จูกัดเอี๋ยน
จูกัดเอี๋ยน หรือ จูกัดตุ้น[a] (เสียชีวิต 10 เมษายน ค.ศ. 258[b]) มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า จูเก่อ ต้าน (จีน: 諸葛誕; พินอิน: Zhūgě Dàn) ชื่อรอง กงซิว (จีน: 公休; พินอิน: Gōngxiū) เป็นขุนพลและขุนนางของรัฐวุยก๊กในยุคสามก๊กของจีน ในช่วงที่จูกัดเอี๋ยนดำรงตำแหน่งสำคัญทางการทหารในช่วงกลางและช่วงปลายของการรับราชการ ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กบฏทั้งสามครั้งที่เกิดขึ้นในอำเภอฉิวฉุน (壽春 โช่วชุน; อยู่บริเวณอำเภอโช่ว นครลู่อาน มณฑลอานฮุยในปัจจุบัน) ระหว่างปี ค.ศ. 251 และ ค.ศ. 258 ในเหตุการณ์กบฏครั้งที่สอง จูกัดเอี๋ยนช่วยเหลือสุมาสูผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งวุยก๊กในการปราบกบฏ หลังปราบปรามกบฏเสร็จสิ้น ราชสำนักวุยก๊กมอบหมายให้จูกัดเอี๋ยนดูแลการทหารในฉิวฉุน เมื่อตระกูลสุมามีอำนาจมากขึ้นและตั้งตนเองเป็นผู้ปกครองโดยพฤตินัยของวุยก๊ก จูกัดเอี๋ยนกลัวว่าตนจะถูกสังหารเช่นเดียวกับหวาง หลิง (王淩) และบู๊ขิวเขียมที่เป็นผู้นำของกบฏสองครั้งแรก จูกัดเอี๋ยนจึงตัดสินใจเริ่มต้นก่อกบฏครั้งที่สามในปี ค.ศ. 257 เพื่อต่อต้านสุมาเจียวผู้สืบทอดอำนาจถัดจากสุมาสูในฐานะผู้สำเร็จราชการแห่งวุยก๊ก แม้ว่าจูกัดเอี๋ยนจะได้รับการสนับสนุนบางส่วนจากง่อก๊กที่เป็นรัฐอริของวุยก๊ก แต่กบฏของจูกัดเอี๋ยนในที่สุดก็ถูกปราบปรามโดยทัพหลวงของวุยก๊ก ตัวจูกัดเอี๋ยนถูกสังหารด้วยฝีมือของเฮาหุนนายทหารใต้บังคับบัญชาของสุมาเจียว การรับราชการช่วงต้นจูกัดเอี๋ยนเป็นชาวอำเภอหยางตู (陽都縣 หยางตูเซี่ยน) เมืองลองเอี๋ยหรือลงเสีย (琅邪郡 หลางหยาจฺวิ้น) ซึ่งปัจจุบันคืออำเภออี๋หนาน มณฑลชานตง จูกัดเอี๋ยนสืบเชื้อสายจากจูเก่อ เฟิง (諸葛豐)[3] และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับจูกัดกิ๋นและจูกัดเหลียง[4] จูกัดเอี๋ยนเริ่มรับราชการในตำแหน่งเจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการ (尚書郎 ช่างชูหลาง) ครั้งหนึ่งจูกัดเอี๋ยนและตู้ จี (杜畿) ผู้เป็นรองราชเลขาธิการ (僕射 ผู่เย่) ทดลองนั่งเรือในแม่น้ำ เรือพลิกคว่ำหลังถูกคลื่นซัด ทั้งสองจึงตกลงไปในน้ำ เมื่อราชองครักษ์หน่วยหู่เปิน (虎賁) มาช่วยทั้งคู่ จูกัดเอี๋ยนจึงบอกให้ช่วยตู้ จีก่อน ตัวจูกัดเอี่ยนหมดสติไปหลังจากนั้นและถูกน้ำพัดลอยไปขึ้นฝั่ง และในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมา[5] ต่อมาจูกัดเอี๋ยนได้เป็นนายอำเภอ (令 ลิ่ง) ของอำเภอเอ๊งหยง (滎陽縣 สิงหยางเซี่ยน)[6] จากนั้นได้เป็นเจ้าพนักงาน (郎 หลาง) ในกรมบุคลากร (吏部 ลี่ปู้) ในช่วงเวลานั้น เหล่าข้าราชการได้แนะนำบุคคลต่าง ๆ ให้จูกัดเอี๋ยน จูกัดเอี๋ยนจะเผยในที่สาธารณะถึงสิ่งที่ข้าราชการเหล่านั้นพูดกับตนเป็นการส่วนตัว ก่อนที่จะมอบหมายงานให้บุคคลที่ข้าราชการเหล่านั้นแนะนำ เมื่อจูกัดเอี๋ยนประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการจะคำนึ่งถึงสิ่งที่คนอื่น ๆ พูดไม่ว่าในแง่บวกหรือแง่ลบ ด้วยเหตุนี้เหล่าข้าราชการจึงระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อจะแนะนำบุคคลากรให้จูกัดเอี๋ยน[7] หลังจากผ่านประสบการณ์ในกรมบุคลากร จูกัดเอี๋ยนได้ย้ายไปเป็นผู้ช่วยขุนนางตรวจสอบและราชเลขาธิการ (御史中丞尚書 ยฺหวี่ฉื่อจงเฉิงช่างชู) จูกัดเอี๋ยนเป็นสหายสนิทกับแฮเฮาเหียนและเตงเหยียง ทั้งสามได้รับการยกย่องอย่างมากจากข้าราชการคนอื่น ๆ และพลเรือนในนครหลวง ภายหลังมีบางคนทูลโจยอยจักรพรรดิแห่งวุยก๊กว่าจูกัดเอี๋ยนและสหายรวมถึง "ผู้มีชื่อเสียง" คนอื่น ๆ[c] ปฏิบัติหน้าที่เพื่อผิวเผินและมีพฤติกรรมแสวงชื่อเสียง โจยอยทรงไม่โปรดและมีพระประสงค์จะกีดกันพฤติกรรมเช่นนี้ออกจากเหล่าข้าราชบริพาร พระองค์จึงทรงปลดจูกัดเอี๋ยนจากตำแหน่ง[9] หลังโจยอยสวรรคตในปี ค.ศ. 239 โจฮองขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่ พระองค์โปรดให้จูกัดเอี๋ยนกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยขุนนางตรวจสอบและราชเลขาธิการ ต่อมาเลื่อนให้มีตำแหน่งข้าหลวงมณฑล (刺史 ชื่อฉื่อ) ของมณฑลยังจิ๋วและมียศเป็นขุนพลสำแดงยุทธ (昭武將軍 เจาอู่เจียงจฺวิน)[10] ยุทธการที่ตังหินในปี ค.ศ. 251 ทัพหลวงของวุยก๊กนำโดยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สุมาอี้ปราบปรามกบฏที่ก่อโดยหวาง หลิง (王淩) ขุนพลวุยก๊ก หลังจากนั้นราชสำนักวุยก๊กแต่งตั้งให้จูกัดเอี๋ยนเป็นขุนพลพิทักษ์ภาคตะวันออก (鎮東將軍 เจิ้นตงเจียงจฺวิน) มอบอาญาสิทธิ์และมอบหมายให้ดูแลราชการทหารในมณฑลยังจิ๋ว และตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นเตงเฮาแห่งซันหยง (山陽亭侯 ชานหยางถิงโหว)[11][12] ภายหลังจากสุมาอี้เสียชีวิตในปีเดียวกันนั้น สุมาสูบุตรชายของสุมาอี้ขึ้นสืบทอดอำนาจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และกุมอำนาจราชสำนักวุยก๊กต่อไป[13] ช่วงต้นหรือกลางปี ค.ศ. 252 จูกัดเอี๋ยนแจ้งสุมาสูว่าทัพง่อก๊กได้บุกรุกอาณาเขตของวุยก๊กและก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่พร้อมแนวป้องกันภายนอกที่ตังหิน (東興; ทางตะวันออกเฉียงใต้ของนครเฉาหู มณฑลอานฮุยในปัจจุบัน) จูกัดเอี๋ยนเสนอให้สุมาสูส่งอองซองและบู๊ขิวเขียมนำกำลังทหารเข้าโจมตีและทำลายเขื่อน[14] ต่อมาในปีเดียวกัน สุมาสูดำเนินกลยุทธ์โจมตีง่อก๊กสามทิศทาง โดยส่งอองซองเข้าโจมตีเมืองลำกุ๋น (南郡 หนานจฺวิ้น; ปัจจุบันคือนครจิงโจว มณฑลหูเป่ย์) บู๊ขิวเขียมโจมตีบู๊เฉียง (武昌; ปัจจุบันคือนครเอ้อโจว มณฑลหูเป่ย์) อ้าวจุ๋นและจูกัดเอี๋ยนนำกำลังทหาร 70,000 นายโจมตีเขื่อนตังหิน[15] จูกัดเก๊กขุนพลง่อก๊กจึงนำกำลังทหาร 40,000 นายไปตังหินเพื่อตอบโต้ทัพวุยก๊ก[16] ยุทธการที่ตังหินสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะทางยุทธวิธีของทัพง่อก๊ก จูกัดเอี๋ยนถูกย้ายตำแหน่งไปเป็นขุนพลพิทักษ์ภาคใต้ (鎮南將軍 เจิ้นหนานเจียงจฺวิน) หลังกลับจากยุทธการ[17] กบฏบู๊ขิวเขียมและบุนขิมต้นปี ค.ศ. 255 บู๊ขิวเขียมและบุนขิมเริ่มก่อกบฏในอำเภอฉิวฉุน (壽春 โช่วชุน; ปัจจุบันคืออำเภอโช่ว นครลู่อาน มณฑลอานฮุย)[18] เพราะทั้งคู่ไม่พอใจที่ตระกูลสุมากุมอำนาจราชสำนักวุยก๊ก ทั้งคู่สนิทกับโจซองที่เป็นอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของวุยก๊กและเหล่าผู้ติดตาม[19] ซึ่งถูกถอดออกจากอำนาจในรัฐประหารในปี ค.ศ. 249 โดยสุมาอี้ บู๊ขิวเขียมและบุนขิมส่งคนนำสารไปพบจูกัดเอี๋ยนเพื่อโน้มน้าวให้จูกัดเอี๋ยนรวบรวมกำลังทหารในมณฑลอิจิ๋วมาช่วยสนับสนุนพวกตน แต่จูกัดเอี๋ยนประหารชีวิตคนนำสารและประกาศอย่างเป็นสาธารณะว่าบู๊ขิวเขียมและบุนขิมกำลังก่อกบฏ[20] สุมาสูนำทัพหลวงวุยก๊กด้วยตนเองยกไปจัดการกับกลุ่มกบฏ สุมาสูสั่งจูกัดเอี๋ยนให้นำกำลังทหารจากมณฑลอิจิ๋วและเคลื่อนพลไปยังฉิวฉุนผ่านท่าข้ามอานเฟิง (安風津 อานเฟิงจิน) หลังสุมาสูปราบกบฏได้สำเร็จ กองกำลังของจูกัดเอี๋ยนเป็นกองกำลังแรกที่เข้าฉิวฉุน ประชาชนพลเมืองของฉิวฉุนซึ่งมีมากกว่า 100,000 คนจึงพากันหนีไปยังชนบทหรือหนีไปยังง่อก๊กเพราะกลัวว่าจะถูกฆ่า[21] ราชสำนักวุยก๊กแต่งตั้งให้จูกัดเอี๋ยนมหาขุนพลพิทักษ์ภาคตะวันออก (鎮東大將軍 เจิ้นตงต้าเจียงจฺวิน) โดยมีเกียรติเทียบเท่ากับเสนาบดีระดับซันกง และมอบหมายให้ดูแลราชการทหารในมณฑลยังจิ๋ว ก่อนหน้านี้เมื่อข่าวที่บู๊ขิวเขียมและบุนขิมก่อกบฏแพร่ไปถึงง่อก๊ก ซุนจุ๋นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งง่อก๊กพร้อมด้วยลิกี๋, เล่าเบา และคนอื่น ๆ นำทัพง่อก๊กไปยังฉิวฉุนเพื่อสนันสนุนกลุ่มกบฏ แต่เมื่อทัพง่อก๊กมาถึง ทัพวุยก๊กก็ยึดฉิวฉุนคืนมาได้แล้ว ทัพง่อก๊กจึงล่าถอย จูกัดเอี๋ยนส่งเจียวปั้น (蔣班) ผู้ใต้บังคับบัญชาให้นำกำลังทหารไล่ตามตีทัพง่อก๊กที่ล่าถอย เจียวปั้นสังหารเล่าเบาในการรบครั้งนั้นและได้ตราประจำตำแหน่งของเล่าเบากลับมา จูกัดเอี๋ยนได้เลื่อนบรรดาศักดิ์จากโหวระดับหมู่บ้านเป็นโหวระดับอำเภอคือ "เกาผิงโหว" (高平侯) จากความดีความชอบในการปราบกบฏ และได้รับศักดินาเพิ่มเติม 3,500 ครัวเรือน ราชสำนักวุยก๊กยังเปลี่ยนตำแหน่งให้จูกัดเอี๋ยนเป็น "มหาขุนพลโจมตีภาคตะวันออก" (征東大將軍 เจิงตงต้าเจียงจฺวิน)[22] กบฏจูกัดเอี๋ยนการเตรียมการก่อกบฏเนื่องจากจูกัดเอี๋ยนเป็นสหายสนิทกับแฮเฮาเหียนและเตงเหยียง (鄧颺 เติ้ง หยาง) ซึ่งทั้งคู่เป็นคนสนิทของโจซอง และจูกัดเอี๋ยนได้เห็นถึงจุดจบของหวาง หลิงและบู๊ขิวเขียม จูกัดเอี๋ยนจึงรู้สึกไม่สบายใจและกังวลว่าตนอาจตกเป็นเหยื่อของการกวาดล้างโดยตระกูลสุมา ดังนั้นเมื่อจูกัดเอี๋ยนประจำการอยู่ในอำเภอฉิวฉุน (壽春 โช่วชุน; ปัจจุบันคืออำเภอโช่ว นครลู่อาน มณฑลอานฮุย) จึงพยายามเพิ่มความนิยมของตนในมวลชนในพื้นที่แม่น้ำห้วย (淮河 หฺวายเหอ) โดยใช้ความเอื้อเฟื้ออย่างมาก จูกัดเอี๋ยนยังใช้ทรัพย์สินส่วนตัวในการตัดสินบนผู้ใต้บังคับบัญชาและจ้างทหารรับจ้างหลายพันนายป็นองครักษ์[23] จูกัดเอี๋ยนยังนิรโทษกรรมให้กับนักโทษที่ทำความผิดถึงขั้นต้องโทษประหารชีวิต[24] ในช่วงฤดูหนาวของปี ค.ศ. 256 จูกัดเอี๋ยนหาข้ออ้างเพื่อจะตั้งมั่นในฉิวฉุนและเสริมสร้างการป้องกันให้แข็งแกร่งขึ้น จูกัดเอี๋ยนเขียนฎีกาถึงราชสำนักอ้างว่าตนได้ยินว่าทัพง่อก๊กกำลังวางแผนจะโจมภูมิภาคแถบแม่น้ำห้วย จึงขอกำลังทหาร 100,000 นายและขออนุญาตสร้างโครงสร้างป้องกันในพื้นที่[25] ในช่วงเวลานั้น หลังสุมาสูเสียชีวิตในปี ค.ศ. 255 สุมาเจียวน้องชายของสุมาสูได้สืบทอดอำนาจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งวุยก๊ก กาอุ้นแนะนำสุมาเจียวให้คอยจับตาดูเหล่าขุนพลที่รักษาจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั่ววุยก๊ก และประเมินว่าขุนพลเหล่านี้จงรักภักดีต่อสุมาเจียวหรือไม่ สุมาเจียวทำตามคำแนะนำของกาอุ้นและส่งกาอุ้นไปพบจูกัดเอี๋ยน กาอุ้นถามจูกัดเอี๋ยนว่า "ผู้มีปัญญาหลายคนในลกเอี๋ยงต่างหวังจะให้จักรพรรดิสละราชบัลลังก์เพื่อเปลี่ยนให้ผู้ปกครองที่ดีกว่าขึ้นครองแทน ท่านก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ท่านมีความเห็นประการใด" จูกัดเอี๋ยนตอบอย่างรุนแรงว่า "ท่านเป็นบุตรชายของข้าหลวงกา (กากุ๋ย) ไม่ใช่หรือ รัฐปฏิบัติต่อครอบครัวของท่านเป็นอย่างดีมาหลายชั่วรุ่น ท่านจะทรยศต่อรัฐและปล่อยให้ตกอยู่ในมือผู้อื่นได้อย่างไร ข้าไม่อาจทนได้ หากมีปัญหาในลกเอี๋ยง ข้าก็จะยอมตายเพื่อรัฐ" กาอุ้นฟังแล้วก็เงียบอยู่[26] หลังกลับมาลกเอี๋ยง กาอุ้นบอกกับสุมาเจียวว่า "จูกัดเอี๋ยนมีเกียรติและความนิยมสูงในยังจิ๋ว หากท่านเรียกตัวมาที่นี่และเขาไม่เชื่อฟัง ก็จะเป็นเพียงปัญหาเล็ก แต่หากท่านไม่เรียกตัวมา จะกลายเป็นปัญหาใหญ่" ในช่วงต้นฤดูร้อนของปี ค.ศ. 257 สุมาเจียวออกพระราชโองในนามของราชสำนักให้จูกัดเอี๋ยนกลับมาลกเอี๋ยงเพื่อให้มารับตำแหน่งเป็นเสนาบดีโยธาธิการ (司空 ซือคง) ในราชสำนักกลาง[27][28] แม้ว่าพระราชโองการนี้จะเป็นการเลื่อนตำแหน่งให้จูกัดเอี๋ยนเป็นเสนาบดีผู้ทรงเกียรติ (คือเป็นหนึ่งในสามตำแหน่งเสนาบดีระดับซันกง) แต่แท้จริงเป็นการดำเนินการเพื่อถอดจูกัดเอี๋ยนจากการมีอำนาจในฉิวฉุนและตั้งให้อยู่ภายใต้การควบคุมของสุมาเจียวในลกเอี๋ยง การก่อกบฏเมื่อจูกัดเอี๋ยนได้รับราชโองการก็รู้ว่าสุมาเจียวสงสัยตน จูกัดเอี๋ยนจึงเริ่มหวาดกลัว ในชื่อ-ยฺหวี่ (世語) ระบุว่าจูกัดเอี๋ยนสงสัยว่างักหลิม (樂綝 เยฺว่ หลิน) ข้าหลวงมณฑล (刺史 ชื่อฉื่อ) ของมณฑลยังจิ๋วเป็นผู้ยุยงสุมาเจียวให้ถอดตนจากการมีอำนาจในฉิวฉุนและเรียกตัวไปลกเอี๋ยง จูกัดเอี๋ยนจึงนำกำลังทหารหลายร้อยนายไปยังที่ว่าการมณฑลเพื่อสังหารงักหลิม เมื่อจูกัดเอี๋ยนมาถึงเห็นว่าประตูเปิดอยู่จึงตะโกนบอกทหารรักษาประตูว่า "คราก่อนท่านไม่ใช่ลูกน้องของข้าหรอกหรืิอ" จากนั้นก็ใช้กำลังบุกเข้าไปและสังหารงักหลิม[29] อีกบันทึกหนึ่งจากเว่ย์มั่วจฺว้าน (魏末傳) ระบุว่าจูกัดเอี๋ยนจัดงานเลี้ยงขึ้นหลังได้รับพระราชโองการ และพูดปดว่าตนต้องการลาหยุดงานวันหนึ่งและออกนอกฉิวฉุน จูกัดเอี๋ยนนำทหาร 700 นายไปกับตนด้วย เมื่องักหลิมได้ยินเรื่องนี้จึงสั่งให้ปิดประตูเมือง จูกัดเอี๋ยนจึงสั่งทหารของตนให้ใช้กำลังเข้าเปิดประตู จุดไฟเผาที่ว่าการมณฑล และสังหารงักหลิม จากนั้นจึงเขียนฎีกาส่งไปยังราชสำนักโดยกล่าวหาว่างักหลิมลอบร่วมมือกับง่อก๊กและอ้างว่าตนได้สังหารงักหลิมหลังล่วงรู้เรื่องการทรยศของงักหลิม นักประวัติศาสตร์เผย์ ซงจือเชื่อว่าบันทึกในเว่ย์มั่วจฺว้านไม่เป็นความจริง[30] ไม่ว่าในกรณีใด จูกัดเอี๋ยนได้สังหารงักหลิมและเริ่มก่อกบฏในฉิวฉุนต่อต้านราชสำนักวุยก๊ก[31] ขณะเมื่อจูกัดเอี๋ยนก่อกบฏมีกำลังพลประมาณ 100,000 นายภายใต้การบังคับบัญชาของตนในภูมิภาคแม่น้ำห้วย กำลังพลส่วนใหญ่ประจำการในฐานะส่วนหนึ่งของนโยบายถุนเถียนของราชสำนักวุยก๊ก จูกัดเอี๋ยนยังรวบรวมทหารอีก 40,000 ถึง 50,000 นายในมณฑลยังจิ๋ว จูกัดเอี๋ยนมีเสบียงสะสมที่สามารถใช้ได้เป็นเวลาหนึ่งปีและมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองในภูมิภาคนั้นอย่างสมบูรณ์[32] จากนั้นจึงส่งงอก๋ง (吳綱 อู๋ กาง) หัวหน้าเสมียน (長史 จ๋างฉื่อ) ให้นำจูกัดเจ้งบุตรชายของตนไปขอความช่วยเหลือจากง่อก๊ก โดยให้จูกัดเจ้งยังคงอยู่ที่ง่อก๊กในฐานะตัวประกัน[33] ซุนหลิมผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งง่อก๊กมีความยินดี จึงสั่งให้จวนเต๊ก (全懌 เฉวียน อี้), จวนตวน (全端 เฉวียน ตวาน), ต๋องจู (唐咨 ถาง จือ), หวาง จั้ว (王祚) และนายทหารคนอื่น ๆ ให้นำกำลังพลง่อก๊ก 30,000 นายไปสนับสนุนการก่อกบฏของจูกัดเอี๋ยน ซุนหลิมยังบอกกับบุนขิมผู้แปรพักตร์มาเข้าด้วยง่อก๊กหลังความพ่ายแพ้ของบู๊ขิวเขียมให้ไปช่วยจูกัดเอี๋ยน ราชสำนักง่อก๊กมอบอาญาสิทธิ์ให้จูกัดเอี๋ยนและแต่งตั้งให้มีตำแหน่งดังต่อนี้: ผู้พิทักษ์ทัพซ้าย (左都護 จั่วตู่ฮู่), มหาเสนาบดีมหาดไทย (大司徒 ต้าซือถู), ขุนพลทหารม้าทะยาน (驃騎將軍 เพี่ยวฉีเจียงจฺวิน) และข้าหลวงมณฑลของมณฑลเฉงจิ๋ว (青州牧 ชิงโจวมู่) และยังตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นโหวแห่งฉิวฉุน (壽春侯 โช่วชุนโหว)[34] ยุทธการในบรรดากองกำลังจำนวนมากที่ถูกส่งไปปราบปรามกบฏจูกัดเอี๋ยน กองกำลังที่นำโดยอองกี๋มาถึงฉิวฉุนเป็นกองกำลังแรกและเริ่มปิดล้อมฉิวฉุน ก่อนที่จะการปิดล้อมจะดำเนินการเสร็จ ทัพง่อก๊กที่นำโดยต๋องจูและบุนขิมสามารถเดินทัพตัดผ่านภูมิประเทศภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของฉิวฉุนและเข้าฉิวฉุนเพื่อพบกับจูกัดเอี๋ยนได้[35] ประมาณเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 257 สุมาเจียวมาถึงอำเภอฮางเสีย (項縣 เซี่ยงเซี่ยน; ปัจจุบันคืออำเภอเฉิ่นชิว มณฑลเหอหนาน) ที่ซึ่งสุมาเจียวบัญชากำลังพลรวม 260,000 นายที่ระดมมาจากทั่ววุยก๊กเพื่อปราบกบฏ และมุ่งหน้าไปยังฉิวฉุน สุมาเจียวตั่งมั่นอยู่ที่ชิวโถว (丘頭) ในขณะที่ส่งอองกี๋และตันเกี๋ยน (陳騫 เฉิน เชียน) ให้ปิดล้อมฉิวฉุนและเสริมกำลังการปิดล้อมด้วยโครงสร้างป้องกันอย่างกำแพงดินและคูน้ำ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สุมาเจียวยังสั่งให้โจเป๋า (石苞 ฉือ เปา) และจิวท่าย (州泰 โจว ไท่) ให้นำกำลังพลส่วนหนึ่งออกลาดตระเวนโดยรอบบริเวณและป้องกันกองกำลังใด ๆ ที่อาจยกมาช่วยจูกัดเอี๋ยน เมื่อบุนขิมและคนอื่น ๆ พยายามจะตีฝ่าวงล้อมออกไป ก็ถูกทัพวุยก๊กตีโต้จนถอยกลับมา[36] จูอี้ขุนพลง่อก๊กนำอีกกองกำลังไปยังฉิวฉุนเพื่อช่วยจูกัดเอี๋ยน จิวท่ายโจมตีจูอี้ที่หลีเจียง (黎漿) และเอาชนะได้ ซุนหลิมผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งง่อก๊กโกรธมากที่จูอี้ล้มเหลวจึงสั่งให้นำตัวจูอี้ไปประหารชีวิต[37] การแปรพักตร์หลังจากนั้นไม่นาน ฉิวฉุนก็ค่อย ๆ ขาดแคลนเสบียงและถูกตัดขาดจากภายนอกมากขึ้น ผู้ช่วยคนสนิทสองคนของจูกัดเอี๋ยนคือเจียวปั้น (蔣班 เจี่ยว ปาน) และเจียวอี้ (焦彝 เจียว อี๋) บอกกับจูกัดเอี่ยนว่า "จูอี้มาพร้อมทัพใหญ่แต่ไม่อาจทำการใดได้ ซุนหลิมประหารชีวิตจูอี้และกลับไปกังตั๋ง แท้จริงแล้วซุนหลิมกำลังจะสร้างแนวร่วมเมื่อส่งกำลังพลมาช่วยเรา การตัดสินใจของซุนหลิมที่จะถอยกลับไปแสดงให้เห็นว่าเขามีท่าทีจะรอและเฝ้าดู บัดนี้ในเมื่อทหารของเรายังมีขวัญกำลังใจสูงและกระหายที่จะออกรบ เราจึงควรมุ่งกำลังทั้งหมดไปที่การตีฝ่าวงล้อมไปทางด้านใดด้านหนึ่ง อย่างน้อยเราก็สามารถนำกำลังพลวางส่วนหลบหนีและเอาตัวรอดไปได้"[38] บุนขิมไม่เห็นด้วยและบอกจูกัดเอี๋ยนว่า "ทัพกังตั๋งเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องการได้รับชัยชนะหลายครั้ง ข้าศึกของเราทางเหนือก็หยุดทัพกังตั๋งไม่ได้ ท่านควรนำทหารหมื่นกว่านายเข้าร่วมกับกังตั๋ง จวนตวน ตัวข้า และคนอื่น ๆ จากกังตั๋งก็ติดอยู่กับท่านที่นี่ ครอบครัวของเรายังคงอยู่ในกังตั๋ง แม้ว่าซุนหลิมไม่ต้องการช่วยพวกเรา ท่านคิดหรือว่าองค์จักรพรรดิและพระญาติวงศ์จะทอดทิ้งเรา ในอดีตมีเหตุที่ข้าศึกของเราประสบกับภัยโรคระบาดหลายครั้ง บัดนี้พวกเราติดอยู่ที่นี่มาเกือบปีแล้ว หากเราปลุกปั่นให้เกิดความรู้สึกแตกแยก ก็จะเกิดการก่อกำเริบภายในขึ้น เราควรยืนหยัดต่อไปและมีความหวังว่าความช่วยเหลือจะมาถึงในไม่ช้า"[39] บุนขิมโกรธมากเมื่อเจียวปั้นและเจียวอี้โน้มน้าวจูกัดเอี๋ยนหลายครั้งให้ปฏิบัติตามแผนของตน ด้านจูกัดเอี๋ยนก็รู้สึกรำคาญเจียวปั้นและเจียวอี้จึงขั้นต้องการจะประหารชีวิตทั้งคู่ เจียวปั้นและเจียวอี้กลัวพวกตนจะถูกสังหารและตระหนักว่าจูกัดเอี๋ยนมีชะตาต้องล้มเหลว ดังนั้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 257 หรือมกราคม ค.ศ. 258 เจียวปั้นและเจียวอี้จึงหนีออกจากฉิวฉุนและยอมจำนนต่อสุมาเจียว[40][41] ต่อมาสุมาเจียวดำเนินอุบายโน้มน้าวจวนเต๊ก (全懌 เฉวียน อี้) และจวนตวน (全端 เฉวียน ตวาน) ให้ยอมจำนน จวนเต๊กและจวนตวนจึงนำทหารหลายร้อยนายออกจากฉิวฉุนและแปรพักตร์เข้าด้วยฝ่ายสุมาเจียว การแปรพักตร์ของทั้งคู่ยิ่งทำให้ภายในทัพของจูกัดเอี๋ยนเกิดความหวาดกลัวและตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น[42] การพยายามฝ่าวงล้อมในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ค.ศ. 258 บุนขิมบอกกับจูกัดเอี๋ยนว่า "เจียวปั้นและเจียวอี้จากไปเพราะพวกเราไม่ทำตามความคิดพวกเขาที่ให้โจมตีข้าศึก จวนตวนและจวนเต๊กก็แปรพักตร์เช่นกัน ข้าศึกคงต้องลดการป้องกันลง บัดนี้ถึงเวลาที่จะเข้าโจมตีข้าศึกแล้ว" จูกัดเอี๋ยนเห็นด้วย ตัวจูกัดเอี๋ยนพร้อมด้วยบุนขิมและต๋องจูจึงนำกำลังพลออกโจมตีและพยายามตีฝ่าวงล้อม[43][44] ความพยายามในการตีฝ่าวงล้อมไม่เป็นผล เพราะทัพวุยก๊กได้สร้างกำแพงและโครงสร้างป้องกันอื่น ๆ ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบมากกว่า ทหารวุยก๊กทุ่มก้อนหินและยิงเกาทัณฑ์ใส่ทัพจูกัดเอี๋ยน ทหารฝ่ายจูกัดเอี๋ยนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตรงมหลายพันนาย พื้นดินนองไปด้วยเลือด จูกัดเอี๋ยนไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมได้จึงล่าถอยกลับเข้าฉิวฉุน ในช่วงเวลานั้นเสบียงในฉิวฉุนก็หมดลง ทหารของจูกัดเอี๋ยนหลายพันนายลอบออกจากฉิวฉุนและยอมจำนนต่อสุมาเจียว[45] ความล้มเหลวและการเสียชีวิตก่อนหน้านี้ บุนขิมต้องการให้จูกัดเอี๋ยนลดการปันส่วนเสบียงอาหารลงและส่งทหารทั้งหมดออกตีฝ่าวงล้อม ส่วนตัวบุนขิมและกำลังทหารจากง่อก๊กจะยังคงอยู่ด้านหลังเพื่อรักษาฉิวฉุน จูกัดเอี๋ยนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งและทะเลาะกับบุนขิมในเรื่องนี้ แม้ว่าในช่วงแรกจูกัดเอี๋ยนและบุนขิมจะร่วมมือกัน แต่ทั้งคู่ก็รู้สีกระแวงและไม่ไว้วางใจกันและกันมากยิ่งขึ้นในขณะที่สถานการณ์ในฉิวฉุนเลวร้ายลง ในที่สุดจูกัดเอี๋ยนก็สั่งประหารชีวินบุนขิม[46] บุตรชายของบุนขิมคือบุนเอ๋งและบุนเฮา (文虎 เหวิน หู่) ทราบข่าวการเสียชีวิตของบิดาด้วยฝีมือของจูกัดเอี๋ยน ทั้งคู่จึงพยายามหนีออกจากฉิวฉุน หลังจากที่บุนเอ๋งและบุนเฮาโน้มน้าวทหารของพวกตนให้ร่วมติดตามพวกตนไปแต่ไม่สำเร็จ ทั้งคู่จึงหลบหนีไปเพียงลำพังสองคนและยอมจำนนต่อสุมาเจียว เหล่านายทหารแนะนำสุมาเจียวให้ประหารชีวิตทั้งคู่ แต่สุมาเจียวพูดว่า "ความผิดของบุนขิมไม่อาจให้อภัย แม้ว่าบุตรชายของบุนขิมก็ควรถูกประหารชีวิต แต่พวกเขาก็ยอมจำนนต่อเราแล้ว อีกทั้งเมือง (ฉิวฉุน) ก็ยังไม่ถูกยึดคืน การประหารทั้งสองคนนี้ก็มีแต่จะทำให้กบฏยิ่งฮึดสู้มากขึ้น" สุมาสูจึงนิรโทษกรรมให้บุนเอ๋งและบุนเฮา แล้วสั่งทหารม้าหลายร้อยนายให้คุ้มกันทั้งคู่เดินตระเวนรอบฉิวฉุนและประกาศแก่กลุ่มกบฏในฉิวฉุนว่า "เห็นหรือไม่ว่าบุตรชายของบุนขิมได้รับการไว้ชีวิตแล้ว จะมีอะไรต้องกลัวอีกเล่า" จากนั้นสุมาเจียวจึงแต่งตั้งให้บุนเอ๋งและบุนเฮาเป็นนายทหารและให้ทั้งคู่มีบรรดาศักดิ์ระดับกวนไล่เหา (關內侯 กวานเน่ย์โหว)[47] ในเวลานั้น ทหารส่วนใหญ่ของจูกัดเอี๋ยนหมดกำลังใจที่ต่อสู้หลังติดอยู่ในฉิวฉุนเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่มีอาหาร จูกัดเอี๋ยน, ต๋องจู และนายทหารที่เหลือในฉิวฉุนก็จนปัญญาเช่นกัน สุมาเจียวมาถึงฉิวฉุนและบัญชาการทัพให้เข้ากระชับวงล้อมและร้องเรียกให้ข้าศึกออกรบ ฝ่ายกบฏไม่ตอบสนอง จากนั้นจูกัดเอี๋ยนพยายามจะตีฝ่าวงล้อมพร้อมด้วยผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กี่นาย เฮาหุน (胡奮 หู เฟิ่น) นายทหารใต้บังคับบัญชาของสุมาเจียวนำทหารเข้าโจมตีจูกัดเอี๋ยนและสังหารจูกัดเอี๋ยนได้ ศีรษะที่ถูกตัดของจูกัดเอี๋ยนถูกนำไปวางประจาน และสมาชิกในครอบครัวของจูกัดเอี๋ยนก็ถูกประหารชีวิต จูกัดเอี๋ยนนั้นเคยจ้างทหารรับจ้างหลายร้อยคนไว้เป็นองครักษ์ หลังจูกัดเอี๋ยนเสียชีวิต องครักษ์เหล่านี้ก็ถูกจับกุมและได้รับการเสนอโอกาสให้ยอมสวามิภักดิ์แล้วจะได้รับการไว้ชีวิต แต่ไม่มีทหารรับจ้างคนใดยอมรับข้อเสนอ ทั้งหมดจึงถูกประหารชีวิต ความภักดีขององครักษ์เหล่านี้ต่อจูกัดเอี๋ยนเทียบได้กับความจงรักภักดีของผู้ติดตาม 500 คนของเตียนหอง (田橫 เถียน เหิง)[d] อีจ้วน (于詮 ยฺหวี เฉฺวียน) นายทหารของง่อก๊กกล่าวว่า "ข้าได้รับคำสั่งจากนายให้นำกำลังทหารมาช่วยเหลือผู้อื่น ข้าล้มเหลวในการทำภารกิจและไม่สามารถกระทำการใดเพื่อเอาชนะข้าศึกได้ ข้าไม่อาจทนต่อเรื่องนี้ได้" แล้วอีจ้วนจึงถอดเกราะของตนและบุกเข้าหาข้าศึกแล้วถูกสังหาร[48][49] ต๋องจู, หวาง จั้ว (王祚) และนายทหารง่อก๊กคนอื่นยอมจำนนต่อสุมาเจียว อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยึดมาได้จากทัพง่อก๊กกองใหญ่เหมือนเนินเขา[50] ครอบครัวจูกัดเอี๋ยนมีบุตรชายอย่างน้อย 1 คนและบุตรสาวอย่างน้อย 2 คน บุตรสาวคนหนึ่งของจูกัดเอี๋ยนสมรสกับหวาง กว่าง (王廣) บุตรชายของหวาง หลิง (王淩) ในคืนวันแต่งงาน หวาง กว่างกล่าวกับนางว่า "เจ้ามีสีหน้าที่คล้ายกับกงซิว (公休; ชื่อรองของจูกัดเอี๋ยน) มาก!" นางตอบว่า "ท่านไม่สามารถเป็นเหมือนเยี่ยน-ยฺหวิน (彥雲; ชื่อรองของหวาง หลิง) จึงเปรียบภรรยาของตนเหมือนผู้กล้า!"[51] นางน่าจะถูกประหารชีวิตพร้อมด้วยครอบครัวตระกูลหวาง (ออง) ที่เหลือหลังการล่มจมของหวาง หลิง บุตรสาวอีกคนหนึ่งของจูกัดเอี๋ยนสมรสกับสุมาเตี้ยมบุตรชายคนที่ 6 ของสุมาอี้ซึ่งขึ้นเป็นอ๋องในยุคราชวงศ์จิ้น นางเป็นที่รู้จักในพระนาม "จูเก่อไท่เฟย์" (諸葛太妃) หรือ "มหาชายาจูกัด" นางให้กำเนิดโอรสของสุมาเตี้ยม 4 พระองค์ ได้แก่ ซือหม่า จิ้น (司馬覲), ซือหม่า เหยา (司馬繇), ซือหมา ฉุ่ย (司馬漼) และซือหม่า ต้าน (司馬澹)[52] พระโอรสของซือหม่า จิ้นคือซือหม่า รุ่ย (司馬睿) ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์จิ้นตะวันออก (ค.ศ. 317-420) และจูกัดเอี๋ยนได้รับการนับว่าเป็นบรรพบุรุษของจักรพรรดิทุกพระองค์ของราชวงศ์จิ้นตะวันออก บุตรชายของจูกัดเอี๋ยนคือจูกัดเจ้ง ถูกส่งไปเป็นตัวประกันในง่อก๊กในปี ค.ศ. 257 เพื่อขอการสนับสนุนจากง่อก๊กในการก่อกบฏของบิดา[33] จูกัดเจ้งยังคงอยู่ในง่อก๊กและรับราชการเป็นเสนาบดีกลาโหม (大司馬 ต้าซือหม่า) ในปี ค.ศ. 280 หลังราชวงศ์จิ้นพิชิตง่อก๊ก จูกัดเจ้งไปหลบซ่อนตัวในบ้านของพี่สาวคนหนึ่ง (คนที่สมรสกับสุมาเตี้ยม) สุมาเอี๋ยน (จักรพรรดิจิ้นอู่ตี้) จักรพรรดิแห่งราชวงศ์จิ้นทรงถือว่าจูกัดเจ้งเป็นพระญาติของพระองค์ (สุมาเตี้ยมเป็นพระปิตุลาหรืออาของสุมาเอี๋ยน) และทรงทราบว่าจูกัดเจ้งซ่อนตัวอยู่ในบ้านของพี่สาว จึงเสด็จไปเยี่ยม เมื่อจูกัดเจ้งได้ยินว่าจักรพรรดิเสด็จมาเยี่ยม จึงซ่อนตัวอยู่ในห้องส้วมและปฏิเสธที่จะออกมา จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงยืนกรานจะพบจูกัดเจ้งและตรัสว่า "วันนี้ ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีกครั้ง" จูกัดเจ้งทูลตอบทั้งน้ำตาว่า "กระหม่อมเสียใจที่ไม่อาจเอาสีทาตัวและลอกผิวหนังออกจากหน้าได้[e] ก่อนที่กระหม่อมจะได้พบกับฝ่าบาทอีกครั้ง!" จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนแต่งตั้งให้จูกัดเจ้งเป็นขุนนางมหาดเล็ก (侍中 ชื่อจง) แต่จูกัดเจ้งปฏิเสธการรับตำแหน่ง จากนั้นกลับไปบ้านเกิดและใช้ชีวิตในฐานะสามัญชนในช่วงชีวิตที่เหลือ[53] จูกัดเจ้งมีบุตรชาย 2 คนคือจูเก่อ อี๋ (諸葛頤) และจูเก่อ ฮุย (諸葛恢) จูเก่อ อี๋รับราชการเป็นเสนาบดีพิธีการ (太常 ไท่ฉาง) ในยุคราชวงศ์จิ้นและเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิจิ้น-ยฺเหวียนตี้[54] จูเก่อ ฮุยรับราชการเป็นหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ (尚書令 ช่างชูลิ่ง)[55] และมีบทประวัติของตนเองในจิ้นชู (เล่มที่ 77) ในวัฒนธรรมประชานิยมจูกัดเอี๋ยนปรากฏครั้งแรกในฐานะตัวละครที่เล่นได้ในภาคที่ 7ของซีรีส์วิดีโอเกมไดนาสตีวอริเออร์ของโคเอ ดูเพิ่มหมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม
|
Portal di Ensiklopedia Dunia