โกหยิว
โกหยิว (ค.ศ. 174 – ตุลาคมหรือพฤศจิกายน ค.ศ. 263)[a] มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า เกา โหรว (จีน: 高柔; พินอิน: Gāo Róu) ชื่อรอง เหวินฮุ่ย (จีน: 文惠; พินอิน: Wénhuì) เป็นขุนนางของรัฐวุยก๊กในยุคสามก๊กของจีน เป็นญาติผู้น้องของโกกัน เดิมรับใช้ขุนศึกอ้วนเสี้ยวและโจโฉในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ประวัติช่วงต้นและเข้าพึ่งโกกันโกหยิวเป็นชาวอำเภอยฺหวี่ (圉縣 ยฺหวี่เซี่ยน) เมืองตันลิว (陳留郡 เฉินหลิวจฺวิ้น)[3] ซึ่งปัจจุบันอยู่บริเวณอำเภอฉี่ นครไคเฟิง มณฑลเหอหนาน บิดาของโกหยิวชื่อเกา จิ้ง (高靖) รับราชการเป็นนายกองร้อยประจำเมืองจ๊ก (蜀郡都尉 สู่จฺวิ้นตูเว่ย์)[4] แต่ตัวโกหยิวยังอยู่ที่เมืองตันลิวอันเป็นบ้านเกิด[5] ในปี ค.ศ. 192 เวลานั้นโจโฉเป็นข้าหลวงมณฑลกุนจิ๋ว (兗州刺史 เหยี่ยนโจวชื่อฉื่อ) โกหยิวบอกกับผู้คนในเมืองว่าตันลิวจะกลายเป็นดินแดนที่ถูกล้อมรอบด้วยการศึกทั้งสี่ทิศ โจโฉยังมีความต้องการจะเข้าบุกไปทั้งสี่ทิศ จะต้องไม่อยู่ป้องกันกุนจิ๋วอย่างสงบ นอกจากนั้นเตียวเมาเจ้าเมืองตันลิวแม้ว่าดูเหมือนจะติดตามโจโฉอยู่ แต่เกรงว่าอาจจะทรยศขึ้นได้ จึงแนะนำให้ผู้คนทั้งหลายรีบออกจากตันลิวโดยเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามที่อาจจะเกิดขึ้น[6] แต่ในเวลานั้นทุกคนต่างเชื่อว่าเตียวเมาและโจโฉเป็นมิตรกัน และโกหยิวก็อายุยังน้อย จึงไม่สนใจคำของโกหยิว[7] โกหยิวมีลูกพี่ลูกน้องชื่อโกกันผู้เป็นหลานชาย (บุตรชายของพี่สาวหรือน้องสาว) ของอ้วนเสี้ยว เวลานั้นโกกันเชิญโกหยิวมาที่เหอเป่ย์ (河北; พื้นที่ฝั่งเหนือของแม่น้ำฮองโห) โกหยิวจึงพาครอบครัวเดินทางไปพึ่งโกกัน[8] เมื่อเกา จิ้งบิดาของโกหยิวเสียชีวิต โกหยิวไม่หวั่นเกรงกำลังทหารที่ซุ่มปล้นตามทางยาวไกล เสี่ยงเดินทางไปยังเมืองจ๊กเพื่อไปร่วมงานศพ ประสบความยากลำบากอย่างมาก หลังจากนั้น 3 ปีจึงกลับไปทางเหนือ[9] สวามิภักดิ์ต่อโจโฉในปี ค.ศ. 204 โกกันและโกหยิวสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ โจโฉตั้งให้โกหยิวเป็นนายอำเภอ (長 จ่าง) ของอำเภอเจียน (菅縣 เจียนเซี่ยน)[10] ทุกคนในอำเภอเจียนต่างเคยได้ยินชื่อเสียงของโกหยิว ข้าราชการที่เคยทุจริตหลายคนต่างลาออกอย่างสมัครใจเมื่อทราบว่าโกหยิวมาเป็นนายอำเภอ แต่โกหยิวยังให้ข้าราชการเหล่านี้คงอยู่ในราชการ ให้อภัยต่อเรื่องที่พวกเขาเคยทำในอดีต และทำให้พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นข้าราชการที่ดี[11] ในปี ค.ศ. 205 โกกันก่อกบฏต่อโจโฉที่เป๊งจิ๋ว แม้ว่าโกหยิวไม่ได้เข้าร่วมกับโกกัน แต่โจโฉก็คิดจะสั่งประหารชีวิตโกหยิวเพราะเรื่องที่โกกันก่อขึ้น จึงให้โกหยิวเข้าไปในเรือนจำ ทำหน้าที่เป็นเสมียนตรวจสอบคนร้าย (刺奸令史 ชื่อเจียนลิ่งฉื่อ) แต่โกหยิวทำหน้าที่ได้ดีมาก การบังคับใช้กฎหมายถูกต้องเหมาะสม ในเรือนจำก็ไม่มีนักโทษยังที่ไม่ถูกตัดสินเหลืออยู่ โกหยิวตรวจสอบเอกสารจนดึกดื่นทุกคืนและเผลอหลับไปโดยถือเอกสารอยู่ เมื่อโจโฉทราบผลงานของโกหยิวดังนั้นก็เปลี่ยนใจเรื่องที่เคยคิดจะสั่งประหารชีวิตโกหยิว แล้วตั้งให้โกหยิวเป็นเจ้าหน้าที่สำนักยุ้งฉางของอัครมหาเสนาบดี (丞相倉曹屬 เฉิงเซี่ยงชางเฉาฉู่)[12] ตรวจราชการและเสนอแผนในปี ค.ศ. 211 โจโฉต้องการส่งจงฮิวและคนอื่น ๆ ไปปราบเตียวฬ่อ และโกหยิวเห็นว่าหากนำทัพไปทางตะวันตกจะทำให้ม้าเฉียวและหันซุยในกวนต๋งระแวงว่าโจโฉต้องการโจมตีพวกตนและจะเป็นการบีบให้ทั้งคู่ก่อกบฏต่อโจโฉ จึงควรทำให้ซานฝู่ (三輔; เขตป้องกันสนับสนุน 3 เขตรอบเตียงฮัน) สงบลงเสียก่อน เมื่อซานฝู่สงบลงแล้ว เตียวฬ่อก็จะยอมจำนนแต่โดยดี แต่โจโฉไม่ฟังคำโกหยิว หลังจงฮิวและคนอื่น ๆ ยกทัพไปทางตะวันตก ม้าเฉียวและหันซุยก็ก่อกบฏขึ้นจริง ๆ [13] ในปี ค.ศ. 213 โจโฉขึ้นเป็นวุยก๋ง (魏公 เว่ย์กง) ก่อตั้งราชรัฐวุยก๊ก (魏國 เว่ย์กั๋ว) โกหยิวได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางสำนักราชเลขาธิการ (尚書郎 ช่างชูหลาง) ต่อมาย้ายไปเป็นขุนนางสำนักตรรกะของอัครมหาเสนาบดี (丞相理曹掾 เฉิงเซี่ยงหลี่เฉาเยฺวี่ยน)[14] ในเวลานั้น นายทหารซ่ง จิน (宋金) และคนอื่น ๆ ในหับป๋า (合肥 เหอเฝย์) หนีืทัพ บางคนเสนอให้จับตัวมารดา ภรรยา และน้องชาย 2 คนของซ่ง จินมาประหารชีวิต แต่โกหยิวเห็นว่าการลงโทษอย่างรุนแรงไม่เพียงไม่ช่วยหยุดยั้งการหนีทัพของทหาร แต่ยังทำให้มีคนหนีทัพมากขึ้นเพราะเห็นว่าตนไม่เหลือทางอื่น การประนีประนอมอย่างมีน้ำใจต่างหากที่สามารถกุมใจทหารได้ โจโฉฟังคำของโกหยิว ครอบครัวที่ไม่มีความผิดของทหารหนีทัพจำนวนมากจึงรอดชีวิตมาได้[15] ต่อมาโกหยิวได้รับตำแหน่งเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองเองฉวน (潁川 อิ่งชฺวาน) แล้วกลับมาเป็นขุนนางสำนักกฎหมาย (法曹掾 ฝ่าเฉาเยฺวี่ยน) เวลานั้นราชสำนักแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ (校事 เซี่ยวชื่อ) เพื่อตรวจสอบเหล่าขุนนาง โกหยิวเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเหล่านี้ไม่ได้อยู่เหนือขุนนางใด ๆ และไม่ได้อยู่ใต้ขุนนางใด ๆ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเจ้า ต๋า (趙達) และคนอื่น ๆ ใช้ความชอบและไม่ชอบส่วนตัวในการแสวงอำนาจและทรัพย์สินให้ตนเองหลายครั้ง จึงควรที่จะตรวจสอบเจ้าหน้าที่เหล่านี้ แต่โจโฉไว้วางใจเจ้า ต๋าด้วยเชื่อว่าเจ้า ต๋าและคนอื่น ๆ สามารถทำงานตรวจสอบขุนนางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายหลังความผิดฐานแสวงประโยชน์ของเจ้า ต๋าและคนอื่น ๆ ถูกเปิดเผย โจโฉจึงสังหารพวกเขาทั้งหมดเพื่อเป็นการขอโทษที่ไม่ฟังคำแนะนำของโกหยิว[16] ใช้กฎหมายอย่างเที่ยงธรรมหลังจากที่โจผีขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิในปี ค.ศ. 220 พระองค์ทรงแต่งตั้งให้โกหยิวเป็นเสมียนหลวงผู้เตรียมเอกสาร (治書侍御史 จื้อชูชื่อ-ยฺวี่ฉื่อ) ให้มีบรรดาศักดิ์ระดับกวนไล่เหา (關內侯 กวานเน่ย์โหว) และตั้งตำแหน่งเพิ่มเติมเป็นผู้เตรียมเอกสารบังคับกฎหมาย (治書執法 ชื่อชูจื๋อฝ่า) เวลานั้นมีคนจำนวนมากที่พูดให้ร้ายโจผี โจผีจึงมีรับสั่งให้จับตัวผู้ให้ร้ายมาประหารชีวิต และพระราชทานรางวัลให้กับผู้แจ้งชื่อผู้ให้ร้าย แต่ก็ทำให้มีหลายคนถูกกล่าวหาอย่างเป็นเท็จว่าเป็นผู้ให้ร้าย โกหยิวจึงทูลเสนอให้ยกเลิกรับสั่งนี้เพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์จากการตกเป็นเหยื่อ แต่โจผีไม่ได้ทรงรับฟังในทันที ยังคงรับสั่งลงโทษผู้ให้ร้าย อย่างไรก็ตาม โกหยิวตรวจสอบทุกคดีว่าร้ายที่รายงานเข้ามาเพื่อหาข้อเท็จจริง หากเป็นความผิดเล็กน้อยก็จะตัดสินเป็นเพียงโทษปรับ[17] ในปี ค.ศ. 223 โกหยิวได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีตุลาการ (廷尉 ถิงเว่ย์)[18] ในปี ค.ศ. 226 เนื่องจากโจผีทรงมีความแค้นและไม่พอพระทัยเป้า ซฺวิน (鮑勳) มาเป็นเวลานาน จึงมีพระประสงค์จะเลี่ยงกฎหมายเพื่อหาเหตุประหารชีวิตเป้า ซฺวินด้วยความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ โกหยิวทูลปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามรับสั่ง โจผีจึงมีรับสั่งย้ายโกหยิวออกจากตำแหน่ง และตั้งเสนาบดีตุลาการคนใหม่ทันทีให้ปฏิบัติตามรับสั่ง และประหารเป้า ซฺวินได้ในที่สุดโดยไม่ทรงฟังคำทูลทัดทานของขุนนางหลายคน ภายหลังจากเป้า ซฺวินถูกประหารชีวิต โกหยิวได้กลับมาดำรงตำแหน่งเสนาบดีตุลาการตามเดิม[19] แนะนำช่วยเหลือนายเมื่อโจยอยขึ้นสืบราชบัลลังก์ถัดจากโจผีในปี ค.ศ. 226 โกหยิวได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเหยียนโช่วถิงโหว (延壽亭侯)[20] โกหยิวเคยทูลแนะนำให้โจยอยทรงคัดเลือกบัณฑิตผู้มีความสามารถมาเป็นขุนนางผู้ใหญ่เพื่อแสดงคำสอนในลัทธิขงจื๊อ[21] นอกจากนี้โกหยิวยังทูลแนะนำให้โจยอยหยุดการก่อสร้างพระราชวังและลดจำนวนพระสนมลง เพื่อลดภาระของราษฎรและป้องกันไม่ให้อำนาจรัฐสิ้นลง โจยอยทรงเห็นด้วยทั้งหมด[22] ต่อมาหลิว กุย (劉龜) ผู้มีตำแหน่งขุนนางจัดการการเกษตรอำเภออี้หยาง (宜陽典農 อี้หยางเตี่ยนหนง) ได้ลอบล่ากระต่ายในเขตล่าสัตว์ส่วนพระองค์ จาง จิง (張京) ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ปกครอง (功曹 กงเฉา) ของหลิว กุยจึงไปยื่นคำฟ้องกล่าวโทษหลิว กุย แต่โจยอยทรงเพียงให้จับตัวหลิว กุยมาขังคุก และปกปิดชื่อของจาง จิงในฐานะผู้ยื่นคำฟ้องไว้ โกหยิวทูลขอให้โจยอยเผยชื่อผู้ยื่นคำฟ้องแต่โจยอยทรงปฏิเสธ โกหยิวจึงทูลว่า "เสนาบดีตุลาการเป็นความยุติธรรมของแผ่นดิน จะปล่อยให้ความสุขและความโกรธของผู้ทรงเกียรติสูงสุดมาทำลายกฎหมายได้อย่างไร" หลังจากที่โกหยิวถวายฎีกาอีกครั้ง คำที่ลึกซึ้งของโกหยิวทำให้โจยอยทรงตระหนักได้ในที่สุด จึงเผยชื่อจาง จิงไปเพื่อให้จาง จิงและหลิว กุยได้รับการพิจารณาคดีใหม่และให้ได้รับโทษที่เหมาะสมกับความผิดของแต่ละคน[23] ขึ้นมามีตำแหน่งชั้นซานกงภายหลังโกหยิวได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นเสนาบดีพิธีการ (太常 ไท่ฉาง)[24] ต่อมาในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 245[b] ได้ขึ้นเป็นเสนาบดีโยธาธิการ (司空 ซือคง)[25] และในปี ค.ศ. 248 ได้ขึ้นเป็นเสนาบดีมหาดไทย (司徒 ซือถู)[26] ในการช่วงชิงอำนาจระหว่างโจซองและสุมาอี้ โกหยิวให้การสนับสนุนสุมาอี้ ในปี ค.ศ. 249 สุมาอี้ก่อการรัฐประหารสุสานโกเบงเหลงโดยโกหยิวได้เข้าร่วมก่อการ โดยใช้คทาอาญาสิทธิ์เข้ารักษาการดูแลกิจการของมหาขุนพล (大將軍 ต้าเจียงจฺวิน) และยึดอำนาจในการบัญชาการค่ายทหารของโจซอง หลังจากโจซองถูกประหารชีวิตโดยคำสั่งของสุมาอี้ โกหยิวได้รับบรรดาศักดิ์เป็นว่ายซุ่ยเซียงโหว (萬歲鄉侯)[27] ในปี ค.ศ. 254 โจมอขึ้นครองราชย์ โกหยิวได้รับบรรดาศักดิ์อานกั๋วโหว (安國侯) และขึ้นมามีตำแหน่งเสนาบดีกลาโหม (太尉 ไท่เว่ย์ฺ)[28] หลังจากโจฮวนขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 260 ศักดินาของโกหยิวได้เพิ่มขึ้น โกหยิวมอบศักดินาทั้งหมดของตนให้กับบุตรชาย 2 คนที่มีบรรดาศักดิ์ระดับถิงโหว (亭侯)[29] ในปี ค.ศ. 263 เดือน 9 ของศักราชจิ่ง-ยฺเหวียนปีที่ 4 โกหยิวเสียชีวิตขณะอายุ 90 ปี (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) ได้รับสมัญญานามว่า ยฺเหวียนโหว (元侯)[30] เกา หุน (高渾) หลานชายของโกหยิวได้สืบทอดบรรดาศักดิ์ของโกหยิว ในช่วงศักราชเซียนซีในรัชสมัยจักรพรรดิโจฮวน ได้มีการเปลี่ยนบรรดาศักดิ์ของเกา หุนเป็นชางลู่จื่อ (昌陸子)[31] ดูเพิ่มหมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม
|
Portal di Ensiklopedia Dunia