ฟาโรห์อูนัส
ยูนัส /ˈjuːnəs/ หรือ เวนิส หรือยังสะกดได้อีกว่า ยูนิส (อียิปต์โบราณ: wnjs, รูปแบบที่แปรมาเป็นภาษากรีก: อีนัส /ˈiːnəs/ หรือ ออนนอส) เป็นฟาโรห์ลำดับที่ที่เก้าและพระองค์สุดท้ายจากราชวงศ์ที่ห้าแห่งอียิปต์โบราณในช่วงสมัยราชอาณาจักรเก่า พระองค์ครองราชย์เป็นเวลา 15 ถึง 30 ปีในช่วงกลางศตวรรษที่ 24 ก่อนคริสตกาล (ประมาณ 2345 ถึง 2315 ปีก่อนคริสตกาล) ต่อจากฟาโรห์ดเจดคาเร ไอเซซิ ซึ่งอาจเป็นพระราชบิดาของพระองค์ ไม่ค่อยทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระองค์มากนัก ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ แต่อียิปต์ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับชายฝั่งเลวานไทน์และนิวเบีย และอาจมีการเคลื่อนไหวทางทหารเกิดขึ้นทางตอนใต้ของคานาอัน การเติบโตและการกระจายอำนาจของฝ่ายบริหารควบคู่ไปกับการลดอำนาจของฟาโรห์ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้รัชสมัยของพระองค์ และท้ายสุดก็มีส่วนทำให้เกิดการล่มสลายของสมัยราชอาณาจักรเก่าในอีก 200 ปีต่อมา พระองค์โปรดให้สร้างพีระมิดขึ้นในซัคคารา ซึ่งเป็นปิรามิดขนาดเล็กที่สุดของราชวงศ์ที่สร้างเสร็จในช่วงสมัยราชอาณาจักรเก่า บริเวณฝังพระศพที่มีโถงทางเดินที่เชื่อมกันยาว 750 เมตร (2,460 ฟุต) ที่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราด้วยภาพสลักนูนต่ำนูน ซึ่งมีคุณภาพและความหลากหลายเหนือกว่ารูปเคารพของราชวงศ์ทั่วไป[6] นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นฟาโรห์พระองค์แรกที่มีตำราพีระมิดที่แกะสลักและทาสีบนผนังห้องต่างๆ ของพีระมิด ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงใหม่สำคัญที่ผู้ปกครองหรือฟาโรห์ต่อจากพระองค์ได้ทำตามถึงช่วงระหว่างกลางที่1 (ระยะเวลาช่วง 2160 ถึง 2050 ปีก่อนคริสตกาล) โดยข้อความเหล่านี้จะระบุตัวฟาโรห์ให้กับเทพราและเทพโอซิริส ซึ่งเทพทั้งสองพระองค์ได้รับการบูชาอย่างมากในรัชสมัยของพระองค์และมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ฟาโรห์ไปสู่ชีวิตหลังความตาย พระองค์มีพระราชธิดาหลายพระองค์และอาจมีพระราชโอรสหนึ่งหรือสองพระองค์ ซึ่งเชื่อว่าได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนพระองค์แล้ว มาเนโท ผู้เป็นนักบวชชาวอียิปต์แห่งอาณาจักรทอเลมีในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลและผู้เขียนประวัติศาสตร์เริ่มแรกของอียิปต์ ได้อ้างว่า เมื่อฟาโรห์ยูนัสเสด็จสวรรคต ราชวงศ์ที่ห้าก็สิ้นสุดลง โดยมีฟาโรห์เตติ เป็นฟาโรห์พระองค์แรกของราชวงศ์ที่หกมาขึ้นครองราชย์ต่อ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าขึ้นครองราชย์หลังจากเกิดวิกฤตกาลในช่วงสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่าชาวอียิปต์โบราณในขณะนั้นไม่ได้หยุดพักอย่างมีสติกับราชวงศ์ก่อนหน้า และการแบ่งแยกระหว่างราชวงศ์ที่ห้าและราชวงศ์ที่หกอาจจะเป็นเรื่องเท็จ การบูชาฟาโรห์ยูนัสได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตและอยู่ต่อมาจนถึงสมัยที่ราชอาณาจักรเก่าสิ้นสุดลงและอาจจะอยู่ต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงช่วงระหว่างกลางที่หนึ่งอันวุ่นวาย พิธีการดังกล่าวยังอาจจะอยู่มาถึงหรือได้รับการฟื้นฟูขึ้นในช่วงราชอาณาจักรกลาง (ราว 2050 ถึง 1650 ปีก่อนคริสตกาล) แต่กลับไม่ได้ป้องกันจากการรื้อถอนที่ฝังพระศพของพระองค์บางส่วนเพื่อเอาวัสดุในรัชสมัยฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 1 และ ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1 (ราวช่วง 1990 ถึง 1930 ปีก่อนคริสตกาล) ควบคู่ไปกับพิธีการดังกล่าว ฟาโรห์ยูนัสอาจได้รับความเคารพอย่างสูงในฐานะเทพเจ้าท้องถิ่นแห่งซัคคารา จนกระทั่งช่วงยุคปลาย (664–332 ปีก่อนคริสตกาล) เกือบ 2,000 ปีหลังจากที่พระองค์สวรรคต หลักฐานรับรองหลักฐานทางประวัติศาสตร์การมีอยู่ของฟาโรห์ยูนัสได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนจากแหล่งประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกรายพระนามกษัตริย์อียิปต์โบราณสามรายการสืบมาจากช่วงสมัยราชอาณาจักรใหม่ได้กล่าวถึงพระองค์[18] พระองค์อยู่ในรายการที่ 33 ของบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งอไบดอส ซึ่งบันทึกขึ้นในรัชสมัยของฟาโรห์เซติที่ 1 (1290–1279 ปีก่อนคริสตกาล) พระนามของพระองค์ก็มีอยู่ในบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งซัคคารา (ในรายการที่ 32)[19] และในบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูริน (ในคอลัมน์ที่ 3 แถวที่ 25) ซึ่งทั้งสองบันทึกพระนามนี้นี้ด้เขียนขึ้นในรัชสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 (1279–1213 ปีก่อนคริสตกาล)[18] บันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูรินได้บันทึกไว้ว่าพระองค์ปกครองอียิปต์เป็นเวลา 30 ปี[18][20] แหล่งข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดได้ระบุว่าพระองค์เป็นฟาโรห์พระองค์ที่เก้าและพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ห้า ซึ่งขึ้นครองราชย์ต่อจาฟาโรห์ดเจดคาเร ไอเซซิ และฟาโรห์เตติขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์[21] ลำดับเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กันนี้ได้รับการยืนยันโดยหลักฐานทางโบราณคดี เช่น ในหลุมฝังศพของข้าราชการที่รับใช้ภายใต้ฟาโรห์เหล่านี้[22] นอกจากแหล่งข้อมูลเหล่านี้แล้ว พระองค์ยังถูกกล่าวถึงใน Aegyptiaca ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณที่เขียนขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ในรัชสมัยของฟาโรห์ปโตเลมีที่ 2 (283–246 ปีก่อนคริสตกาล) โดยนักบวชชาวอียิปต์นามว่า มาเนโท ซึ่งไม่มีสำเนาของ Aegyptiaca ที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ แต่รู้เพียงผ่านงานเขียนในภายหลังโดย เซกตัส จูเลียส อาฟริกานัส และยูเซเบียสเท่านั้น อาฟริกานัสกล่าวว่า Aegyptiaca ได้กล่าวถึงฟาโรห์ "ออนนอส" ที่ครองราชย์เป็นเวลา 33 ปีช่วงปลายราชวงศ์ที่ห้า ซึ่งเชื่อกันว่า ออนนอส เป็นรูปแบบที่แปรมาเป็นภาษากรีกของ ยูนัส และจำนวน 33 ปีแห่งการครองราชย์ของอาฟริกานัสก็ตรงกับจำนวนปีครองราชย์ของพระองค์ตามบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูริน[18] หลักฐานร่วมสมัยหลักฐานชั้นต้นร่วมสมัยในปัจจุบันได้พิสูจน์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระองค์คือภาพสลักนูนต่ำมากมายจากพีระมิดของพระองค์ หากไม่นับหลักฐานเหล่านี้ มีหลักฐานไม่กี่ชิ้นที่สืบเนื่องมาจากรัชสมัยของพระองค์ที่ยังหลงเหลืออยู่เลยจนถึงทุกวันนี้ เมื่อพิจารณาถึงระยะเวลาครองราชย์ 30 ปีที่บันทึกไว้ในสมัยต่อมาสำหรับการครองราชย์ของพระองค์ การขุดค้นอาบูซิร์ ซึ่งเป็นสุสานหลวงของราชวงศ์ที่ห้าแห่งอียิปต์โบราณได้บันทึกจารึกลงวันเวลาเพียงสี่ชิ้นเท่านั้นที่เกี่ยวข้องพระองค์และอยู่สภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งจารึกเหล่านั้นกล่าวถึงปีที่สาม สี่ หกและแปดของการครองราชย์ของพระองค์อย่างชัดเจน[24] พระองค์ยังมีจารึกบนเกาะแอลเลเฟนไทน์ ที่อยู่ถัดจากแก่งน้ำตกแรกของแม่น้ำไนล์ในนิวเบีย[25] นอกจากนี้ ยังมีแจกันหินปูนขาวหลายใบที่มีคาร์ทูธของพระองค์ เรือไม้ที่สมบูรณ์และชิ้นส่วนเพิ่มเติมที่มาจากเมืองไบบลอส[14] ซึ่งอยู่บนชายฝั่งเลวานไทน์ ขณะนี้อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเบรุต[26] แจกันที่ไม่ทราบที่มาตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติฟลอเรนซ์และอ่านว่า "ฮอรัส วาดจ์ทาวี, ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์, ฟาโรห์แห่งอียิปต์ตอนบนและตอนล่าง, โอรสแห่งรา, ยูนัส, ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์"[27][28][b] เรือไม้อีกลำที่ไม่ทราบที่มาที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เป็นแจกันทรงกลมสูง 17 เซนติเมตร (6.7 นิ้ว) กว้าง 13.2 เซนติเมตร (5.2 นิ้ว) ประดับอย่างวิจิตรด้วยเหยี่ยวที่มีปีกกางออกและงูเห่าสองตัวจับเครื่องหมายอังค์รอบ ๆ คาร์ทูธของพระองค์[23] กระปุกขี้ผึ้งที่สลักพระนามของพระองค์และพระนามฮอรัส ซึ่งจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์บรูคลิน[30] และชิ้นส่วนของขอบแจกันแคลไซต์ที่แกะสลักคาร์ทูธของพระองค์ทั้งสองชิ้นก็แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เพทรี[31][c] รัชสมัยพระราชวงศ์ฟาโรห์ยูนัสได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากฟาโรห์ดเจดคาเร ไอเซซิ เสด็จสวรรคต ซึ่งฟาโรห์ดเจดคาเรถูกสันนิษฐานว่าเป็นพระราชบิดาของพระองค์[2] ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับข้อสงสัยอย่างชัดเจน[33] และการขึ้นครองราชย์ของพระองค์จากฟาโรห์ดเจดคาเร ไอเซซิดูเหมือนว่าจะราบรื่น[34] พระองค์มีพระมเหสีอย่างน้อย 2 พระองค์ คือ พระนางเนเบต[35] และ พระนางเคนุต[36] ซึ่งถูกฝังอยู่ในมาสตาบาคู่ขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับพีระมิดของพระสวามี และพระนางเนเบตอาจจะมีพระโอรสคือ "พระราชโอรสแห่งกษัตริย์", "มหาดเล็กของพระราชวงศ์", "นักบวชแห่งเทพีมาอัต" และ "ผู้ตรวจการอียิปต์บน" นามว่า ยูนัส-อังค์ [37] ซึ่งน่าจะสิ้นพระชนม์ประมาณ 10 ปีในรัชสมัยของฟาโรห์ยูนัส[38] พระนามของพระองค์ได้บอกเป็นนัยโดยอ้อมแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตร ตำแหน่งของพระองค์ และหลุมฝังศพของพระองค์ใกล้กับพระนางเนเบตและพระบิดา[39] แต่กลับไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล[40][41][d] พระราชโอรสอีกสองพระองค์มีการสันนิษฐานว่าคือ เนบคาอูฮอร์[43] และเซปเซสพูพทาห์[44] แต่ความสัมพันธ์ระหว่างฟาโรห์ยูนัสนั้นเป็นเพียงการคาดเดาและโต้แย้งกัน[45] ฟาโรห์ยูนัสน่าจะสวรรคตโดยไม่มีองค์รัชทายาทชาย[45] พระองค์มีพระราชธิดาอย่างน้อยห้าพระองค์ พระนามว่า เฮเมตเร เฮมิ[46], เคนท์คาอูเอส[47], เนเฟรุต, [48], เนเฟรตคาอูเอส ไอกู[49], และ เซเซสเฮต ไอดุต[50] และสถานะของพระราชธิดาอีกพระองค์อีกหนึ่งที่เป็นไปได้นามว่า ไอพุต ยังคลุมเครือ[51] ช่วงการครองราชย์ระยะเวลาในการครองราชย์ของฟาโรห์ยูนัสนั้นยังคลุมเครือ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น หลักฐานประวัติศาสตร์ระบุเวลาการครองราชย์ด้วยระยะเวลา 30 และ 33 ปี ตัวเลขปีที่นักไอยคุปต์วิทยานิยมนำไปใช้ เช่น ฟลินเดอร์ส เพทรี[54], วิลเลียม ซี. ฮาเยส[55], ดาร์เรล เบเกอร์[14], ปีเตอร์ มุนโร[56], และจาโรเมียร์ มาเล็ค[6] การครองราชย์ที่ยาวนานเช่นนี้[57] จะมีภาพสลักของเทศกาลเซดซึ่งพบอยู่ในวิหารฝังพระศพของพระองค์[58][2] โดยปกติแล้วเทศกาลนี้จะมีการเฉลิมฉลองหลังจากครองราชย์ไปแล้ว 30 ปี และมีเป้าหมายที่ฟื้นฟูความแข็งแกร่งและอำนาจแก่ฟาโรห์ อย่างไรก็ตาม การพรรณนาถึงเทศกาลเซดเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้หมายถึงการครองราชย์ที่ยาวนานเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น ภาพนูนต่ำที่แสดงให้เห็นฟาโรห์ซาฮูเรในชุดเสื้อคลุมของเทศกาลเซด ซึ่งพบในวิหารฝังพระศพของพระองค์[52][59] ถึงแม้ว่าทั้งหลักฐานทางประวัติศาสตร์และหลักฐานทางโบราณคดีต่างเห็นพ้องกันว่าฟาโรห์ซาฮูเรทรงปกครองอียิปต์เป็นเวลาน้อยกว่า 14 ปีเต็ม[60][10][11] นักไอยคุปต์วิทยาคนอื่น ๆ สงสัยว่าพระองค์จะครองราชย์น้อยกว่า 30 ปี เนื่องจากมีหลักฐานที่สามารถระบุได้ในการครองราชย์ของพระองค์ไม่เพียงพอ เช่นเดียวกับการขาดหลักฐานที่มีอายุเกินกว่าปีที่แปดแห่งการครองราชย์ของพระองค์[61] ดังนั้น เยอร์เกน ฟอน เบ็คเคอราท เชื่อว่า ฟาโรห์ยูนัสปกครองอียิปต์เป็นเวลา 20 ปี[10] ในขณะที่ รอล์ฟ เคราส์, เดวิด วอร์เบอร์ตัน และเอริค ฮอร์นุง ได้ลดจำนวนปีครองราชย์ลงเหลือ 15 ปีในการศึกษาลำดับเหตุการณ์ของอียิปต์โบราณในปี ค.ศ. 2012[11] เคราส์และมิโรสลาฟ แวร์เนอร์ตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูรินช่วงราชวงศ์ที่สี่และราชวงศ์ที่ห้า ดังนั้นจำนวนปีครองราชย์ของฟาโรห์ยูนัสที่ระบุไว้ว่า 30 ปีที่กล่าวในบันทึกดังกล่าวนั้นอาจจะไม่น่าเชื่อถือ[62] การขุดค้น[63]ของหลุมฝังศพของไนคาอู-ไอเซซิ ภายใต้การดูแลของนากิบ คานาวาติที่ซัคคาราได้ให้หลักฐานสนับสนุนการครองราชย์ที่สั้นกว่า[64] โดย ไนคาอู-ไอเซซิ เป็นข้าราชการที่เริ่มทำงานในรัชสมัยของฟาโรห์ดเจดคาเร ไอเซซิ เขามีชีวิตผ่านรัชสมัยของฟาโรห์ยูนัสและถึงแก่กรรมในฐานะผู้ตรวจการอียิปต์บนในช่วงรัชสมัยฟาโรห์เตติ[22] ซึ่งเป็นฟาโรห์ที่ขึ้นครองราชย์ต่อจากฟาโรห์ยูนัส ทราบว่าไนคาอู-ไอเซซิ ถึงแก่กรรมในปีที่มีการนับปศุสัตว์ที่สิบเอ็ดในรัชสมัยของฟาโรห์เตติ ซึ่งเป็นงานที่ประกอบด้วยการนับปศุสัตว์ทั่วประเทศเพื่อประเมินจำนวนภาษีที่จะเรียกเก็บและเชื่อกันว่าการนับดังกล่าวเกิดขึ้นทุก ๆ สองปีในช่วงสมัยราชอาณาจักรเก่าและทุกปีในช่วงหลังสมัยราชอาณาจักรกลาง (ระหว่าง 2055 ถึง 1650 ปีก่อนคริสตกาล)[22] ดังนั้นไนคาอู-ไอเซซิจะมีชีวิตอยู่เวลา 22 ปีหลังจากฟาโรห์เตติขึ้นครองราชย์และรวมกับอีก 30 ปีแห่งการครองราชย์ของฟาโรห์ยูนัส เขาน่าจะถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 70 ปี[22] อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจทางนิติเวชของมัมมี่ของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาน่าจะมีอายุไม่เกิน 45 ปี นี่แสดงให้เห็นว่าการนับปศุสัตว์เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งทุกสองปีในช่วงเวลาของฟาโรห์ยูนัสและฟาโรห์เตติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างผิดปกติ ถ้าเป็นเช่นนั้นจำนวน 30 ปีครองราชย์ของฟาโรห์ยูนัสในบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูริน ซึ่งเข้าใจว่าหมายถึงการนับปศุสัตว์ 15 ครั้งอาจจะมีความหมายเป็น 15 ปี ซึ่งเมื่อรวมกับเวลาเพียง 11 ปีในรัชสมัยของฟาโรห์เตติจะทำให้ไนคาอู-ไอเซซิถึงแก่กรรมเมื่ออายุประมาณ 40 ปี อายุ 45 ปี[22] เหตุการณ์ภายในรัชสมัยการค้าและสงครามเนื่องจากขาดหลักฐานสืบเนื่องในรัชสมัยของพระองค์ จึงทำให้ทราบถึงเหตุการณ์ภายในรัชสมัยของพระองค์น้อยมาก[14] ความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีอยู่กับต่างประเทศและเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองไบบลอส[67] ดูเหมือนจะดำเนินต่อไป ภาพนูนต่ำนูนสูงจากทางเดินของพีระมิดของพระองค์แสดงให้เห็นเรือเดินทะเลขนาดใหญ่สองลำที่กลับมาจากการเดินทางไปยังชายฝั่งเลวานไทน์พร้อมกับชายชาวซีโร-คานาอัน ซึ่งเป็นลูกเรือหรือทาส[68][69] ส่วนภาพสลักอีกภาพหนึ่งแสดงให้เห็นถึงการดำเนินการทางทหาร[70] ชาวอียิปต์ติดอาวุธด้วยธนูและกริชโจมตีชาวคานาอันเร่ร่อนที่เรียกว่าชาซู[71] มีการพบภาพนูนต่ำนูนสูงคล้ายคลึงกันในพีระมิดก่อนหน้า เช่น พีระมิดของฟาโรห์ซาฮูเร ดังนั้นจึงอาจเป็นรูปแบบมาตรฐานมากกว่าการพรรณนาถึงเหตุการณ์จริง[70] หลักฐานอื่นมักจะยืนยันความจริงในเหตุการณ์บนภาพสลักเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น บันทึกอัตชีวประวัติของเวนิที่เกี่ยวข้องกับการลงโทษหลายครั้งต่อชนเผ่าเร่ร่อนชาวคานาอันในช่วงต้นราชวงศ์ที่หก[70][72] จารึกของฟาโรห์ยูนัสบนเกาะแอลเลเฟนไทน์ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอียิปต์ ได้บันทึกการเสด็จเยือนของพระองค์ที่นิวเบียล่าง ซึ่งอาจจะได้รับเครื่องบรรณาการจากหัวหน้าเผ่า[58] หรือเนื่องจากความไม่สงบที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค[73] นอกจากนี้ ภาพสลักนูนต่ำนูนสูงของทางเดินดังกล่าวที่นำไปสู่พีระมิดของพระองค์แสดงให้เห็นตัวยีราฟ ซึ่งบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ทางการค้ากับนิวเบีย[74] การภายในประเทศรัชสมัยของฟาโรห์ยูนัสเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ[73] แม้ว่าตามที่นิโคลัส กรีมาล นักไอยคุปต์วิทยาชาวฝรั่งเศสเขียนไว้ว่า มันเป็น "เวลาแห่งความเสื่อมโทรมไม่เคยเกิดขึ้นเลย"[33] ที่แท้จริงแล้ว รัฐบาลอียิปต์ยังคงสามารถจัดการสำรวจครั้งสำคัญเพื่อจัดหาหินสำหรับก่อสร้างเหล่าอาคารพีระมิดของฟาโรห์ได้[2] การเดินทางเหล่านี้แสดงให้เห็นในภาพนูนต่ำนูนสูงพิเศษที่พบในทางเดินไปพีระมิดของพระองค์[75][76][2] และยังอ้างถึงในจารึกที่บันทึกอัตชีวประวัติของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร[77][f] เจ้าหน้าที่คนนี้รายงานการขนส่งระยะทาง 10.40 เมตร - เสาหินแกรนิตสีแดงสูง (34.1 ฟุต)[g] จากเกาะแอลเลเฟนไทน์ไปยังซัคคาราในเวลาเพียงแค่สี่วัน ซึ่งเป็นผลงานที่ฟาโรห์ยกย่องเขา[77] นอกจากงานก่อสร้างสำคัญที่ดำเนินการในซักคาราสำหรับการก่อสร้างพีระมิดของพระองค์แล้ว กิจกรรมการก่อสร้างยังเกิดขึ้นที่เกาะแอลเลเฟนไทน์อีกด้วย[33] เดิมทีสถานการณ์ภายในประเทศในช่วงรัชสมัยของฟาโรห์ยูนัสถูกคิดว่าเป็นหายนะ โดยอิงจากภาพสลักนูนต่ำนูนสูงบนทางเดินพีระมิด ซึ่งสลักให้เห็นภาพผู้คนที่ผอมแห้ง[5][79] จนแนวคิดนี้เปลี่ยนไปเมื่อการขุดค้นที่อาบูซีร์ในปี ค.ศ. 1996 พบภาพสลักนูนต่ำนูนสูงที่คล้ายกันในหลุมฝังศพของฟาโรห์ซาฮูเร ซึ่งปกครองอียิปต์ในช่วงเวลาที่รุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์ที่ห้าตอนต้น[80] นอกจากนี้ การวิจัยยังพบว่าคนที่หิวโหยมักจะเป็นชาวทะเลทราย ซึ่งชนเผ่าเร่ร่อนจะโดดเด่นด้วยทรงผมเฉพาะของพวกเขามากกว่าชาวอียิปต์[81] ด้วยเหตุนี้ ภาพสลักนูนต่ำนูนสูงเหล่านี้จึงเข้าใจได้ว่าเป็นการแสดงมาตรฐานของความเอื้ออาทรของฟาโรห์ที่มีต่อผู้ยากไร้และความยากลำบากของชีวิตในพื้นที่ทะเลทรายที่มีพรมแดนติดกับอียิปต์[82] แทนที่จะหมายถึงเหตุการณ์จริง[81] การสวรรคตและการสิ้นสุดของราชวงศ์ในบันทึก Aegyptiaca ของมาเนโท กล่าวว่าการสวรรคตของฟาโรห์ยูนัส ทำให้ราชวงศ์ที่ห้าได้สิ้นสุดลง[33] อาจเป็นเพราะว่าพระองค์เสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาทชาย[73] ยูนัส-อังค์ ผู้เป็นที่อาจจะเป็นพระราชโอรสซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนพระองค์ ประเด็นนี้อาจก่อให้เกิดวิกฤตการสืบราชสันตติวงศ์[73] โดยนัยถึงพระนาม ซึ่งฟาโรห์เตติได้เลือกเมื่อขึ้นครองราชย์: "เซเฮเทปทาวี" หมายความว่า "พระองค์ผู้ทรงคืนดี/ทำให้ทั้งสองแผ่นดินสงบ"[33][73] การอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ของฟาโรห์เตติ อาจขึ้นอยู่กับการแต่งงานของพระองค์กับเจ้าหญิงไอพุต ซึ่งอาจเป็นพระราชธิดาของฟาโรห์ยูนัส[83][84][85] ข้อสันนิษฐานนี้มีการถกเถียงกันอย่างมาก เนื่องจากการตีความพระนาม “ไอพุต” ที่จะบ่งบอกว่าพระองค์เป็นพระราชธิดาของฟาโรห์นั้นยังคลุมเครืออยู่[h][51] นอกจากนี้ แนวคิดที่ว่าฟาโรห์เตติสามารถอ้างสิทธิ์ของพระองค์ให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วยการแต่งงานกับราชวงศ์ก็ถูกปฏิเสธ โดยนักไอยคุปต์วิทยาหลายคน รวมทั้ง มุนโร, โดเบรฟ, บัด, เมิร์ตซ, พิเรนเน่ และโรบิน ซึ่งไม่คิดว่าสิทธิในราชบัลลังก์ฟาโรห์จะผ่านสายของผู้หญิง[86] นอกเหนือจากข้อมูลของมาเนโทแล้ว บันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูรินยังชี้ให้เห็นจุดแตกต่างพิเศษระหว่างฟาโรห์ยูนัสและฟาโรห์เตติ ผู้ขึ้นปกครองอียิปต์ต่อจากพระองค์ แม้ว่าบันทึกพระนามกษัตริย์จะไม่ได้จัดอยู่ในราชวงศ์ก็ตาม—ซึ่งถูกคิดค้นโดยมาเนโท— แต่นักไอยคุปต์วิทยา จาโรเมียร์ มาเล็ค อธิบายว่า "เกณฑ์สำหรับการแบ่งแยกดังกล่าวในบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูรินมักจะแบ่งตามคือการเปลี่ยนที่ตั้งของเมืองหลวงและที่ประทับของราชวงศ์"[84] ด้วยเหตุนี้จึงชี้ให้เห็นว่าเมืองหลวงของอียิปต์ ซึ่งในขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ อินบู-เฮดจ์[i] ถูกแทนที่โดยแท้จริงในขณะนั้น โดยการตั้งถิ่นฐานที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ทางตะวันออกของซัคคาราใต้ ซึ่งอาจเป็นที่ตั้งของพระราชวังของฟาโรห์ยูนัส ในสหัสวรรษที่สองก่อนคริสตกาล เมืองเหล่านี้ได้รวมเข้าด้วยกันและก่อให้เกิดเมืองเมมฟิสในที่สุด[88][j] ไม่ว่าข้อสันนิษฐานของมาเนโทในการสิ้นสุดราชวงศ์ที่ห้ากับฟาโรห์ยูนัสจะเป็นเช่นไร แต่ชาวอียิปต์ที่มีชีวิตอยู่ในเวลานั้นคงไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงใดเป็นพิเศษจากการเปลี่ยนผ่านราชวงศ์หนึ่งไปสู่อีกราชวงศ์ การบริหารงานของรัฐไม่มีหลักฐานการรบกวน เจ้าหน้าที่หลายคนยังคงประกอบอาชีพของตนตั้งแต่ฟาโรห์ยูนัสสู่รัชสมัยของฟาโรห์เตติ[89] ซึ่งรวมถึงราชมนตรีเมฮู, คาเกมนี, และไนเคาอู-ไอเซซิ และไอซิ ผู้ตรวจการเมืองเอ็ดฟู เนื่องจากชาวอียิปต์ในช่วงราชอาณาจักรเก่าอาจไม่ได้คิดถึงนึกถึงราชวงศ์เลย[90] การแบ่งแยกระหว่างราชวงศ์ที่ห้าและราชวงศ์ที่หกอาจเป็นเรื่องเท็จได้[33] วิวัฒนาการทางศาสนาและฟาโรห์รัชสมัยของฟาโรห์ดเจดคาเร ไอเซซิและฟาโรห์ยูนัสเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในศาสนาอียิปต์โบราณและในอุดมการณ์ของการเป็นกษัตริย์หรือฟาโรห์ การเปลี่ยนแปลงปรากฎให้เห็นในครั้งแรกภายใต้รัชสมัยของฟาโรห์ยูนัส[91] การวิเคราะห์ทางสถิติของชิ้นส่วนตราประทับดินเหนียวที่มีชื่อฮอรัสของฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ห้าชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมถอยของความเป็นฟาโรห์ในช่วงเวลาการปกครองของพระองค์[92] ความเสื่อมถอยยังคงดำเนินต่อไปนรัชสมัยของฟาโรห์เตติ ซึ่งทราบว่ามีเพียงตราประทับสองชิ้นที่มีพระนามฮอรัสของพระองค์[93] แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการลดอำนาจของฟาโรห์ควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของอำนาจฝ่ายบริหารส่วนกลางและฐานะปุโรหิต[73] ในขณะเดียวกัน การบูชาเทพโอซิริสก็มีความสำคัญมากขึ้น[94] โดยเทพเจ้าองค์นี้เข้ามาแทนที่ฟาโรห์ในฐานะผู้ค้ำประกันชีวิตหลังความตายสำหรับราษฎรของฟาโรห์[84][95] นักไอยคุปต์วิทยาชาวเยอรมัน ฮาร์ตวิค อัลเตนมูลเลอร์ เขียนอธิบายว่า สำหรับชาวอียิปต์ในยุคนั้น "ชีวิตหลังความตาย [...] ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และฟาโรห์อีกต่อไป [...] กลับเชื่อมโยงกับตำแหน่งทางจริยธรรมของโอซิริสโดยตรง"[95] ในทางตรงกันข้าม การบูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์หรือรากำลังเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด[96] แม้ว่าเทพรายังคงเป็นเทพเจ้าที่สำคัญที่สุดของวิหารของอียิปต์[95] ดังนั้นฟาโรห์ดเจดคาเร ไอเซซิและฟาโรห์ยูนัสไม่ได้สร้างวิหารดวงอาทิตย์ ซึ่งกลับกันกับฟาโรห์ของราชวงศ์ที่ห้าก่อนหน้าของทั้งสองพระองค์[94][97] นอกจากนี้พระนามของฟาโรห์เมนคาอูฮอร์ คาอิอูและฟาโรห์ยูนัสไม่ได้อิงถึงเทพราเลย ซึ่งไม่ได้ทำตามประเพณีตั้งแต่รัชสมัยของฟาโรห์ยูเซอร์กาฟ โดยประมาณหนึ่งศตวรรษก่อนหน้า ตำราพีระมิดที่พบในพีระมิดของฟาโรห์ยูนัสแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเทพโอซิริสและเทพราในศาสนาอียิปต์โบราณในขณะนั้น เชื่อกันว่าเทพเจ้าทั้งสองมีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงชีวิตหลังความตาย โดยที่เทพราเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและเทพโอซิริสเป็นพลังที่จะนำไปสู่ชีวิตหน้า[98][k] อาคารและพีระมิดฟาโรห์ยูนัสมีพีระมิดที่สร้างขึ้นสำหรับพระองค์เองในซัคคาราเหนือ ตั้งอยู่ระหว่างพีระมิดของฟาโรห์เซเคมเคตและพีระมิดของฟาโรห์โจเซอร์ที่อยู่มุมทางตะวันตกเฉียงใต้ และตั้งอยู่แนวสมมาตรกับพีระมิดของฟาโรห์ยูเซอร์คาฟ ซึ่งตั้งอยู่ที่มุมทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในกระบวนการนี้ คนงานได้ปรับระดับและปิดสุสานเก่าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่[102] และที่สะดุดตาที่สุดคือหลุมฝังพระศพของฟาโรห์โฮเตปเซเคมวีแห่งราชวงศ์ที่สอง (2890 ปีก่อนคริสตกาล)[102] ชื่อเดิมของพีระมิดของพระองค์คือ "เนเฟอร์ อิซุต ยูนัส" ซึ่งแปลว่า "สถานที่อันสวยงามแห่งยูนัส"[103] พีระมิดแห่งยูนัสเป็นพีระมิดที่เล็กที่สุด[102] ในบรรดาพีระมิดที่สร้างเสร็จในช่วงสมัยราชอาณาจักรเก่า มีฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 57.7 ม. × 57.7 ม. (189 ฟุต x 189 ฟุต) สำหรับความสูง 43 ม. (141 ฟุต)[103] ส่วนที่ฝังพระศพพีระมิดแห่งยูนัสเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ฝังพระศพขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นรอบๆ โดยสามารถเข้าถึงพีระมิดผ่านทะเลสาบโบราณ[104] และมีวิหารสำหรับฟาโรห์ยูนัสที่ตั้งอยู่บนชายฝั่ง วิหารแห่งนี้ได้รับสิ่งของสำหรับการบูชาฟาโรห์และมีการจัดเตรียมเครื่องบูชาไว้ที่นั่น ด้านหลังวิหารดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของทางเดินความยาว 750 เมตร (2,460 ฟุต) ยาวเท่ากับทางเดินไปสู่พีระมิดของฟาโรห์คูฟู[102] และเส้นทางดังกล่าวจะตรงไปที่วิหารที่ตั้งอยู่กับพีระมิด ร่องบางบนหลังคาของทางเดิน ทำให้แสงส่องส่องผนังที่ปกคลุมตลอดความยาวด้วยสีสรรที่ทาสี ภาพเหล่านี้แสดงถึงฤดูกาลของอียิปต์ ขบวนผู้คนจากอียิปต์ ช่างฝีมือในที่ทำงาน คนถือเครื่องบูชา ฉากต่อสู้ และการขนส่งเสาหินแกรนิตสำหรับการก่อสร้างอาคารและพีระมิด[105] ที่ปลายสุดของทางเดินคือห้องโถงขนาดใหญ่ที่นำไปสู่ลานเปิดที่มีเสาซึ่งล้อมรอบด้วยห้องหลายห้อง[105] ซึ่งลานดังกล่าวจะนำเข้าไปในวิหารที่ฝังพระศพ ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปปั้นของฟาโรห์และสถานที่ถวายเครื่องบูชาแก่ฟาโรห์ผู้ล่วงลับ[105] ซึ่งอยู่ติดกับด้านตะวันออกของพีระมิด ซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงล้อมรอบที่กำหนดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้เป็นพีระมิดขนาดเล็กสำหรับดวงพระวิญญาณ (คา) ของฟาโรห์[102] ห้องภายในของพีระมิดถูกเปิดสำรวจในปี ค.ศ. 1881 โดยแกสตัน มาสเปโร ผู้ค้นพบตำราพีระมิด ห้องฝังพระศพไม่มีอะไรเลยนอกจากโลงศพสีเทาดำ[1] โลงศพที่ตั้งอยู่บนสู่พื้นและหีบคาโนปิค ภายในโลงศพที่พิสูจน์แล้วว่ามีกระดูกกระจัดกระจายซึ่งอาจเป็นของฟาโรห์ยูนัส[102] ตำราพีระมิดสิ่งที่เปลี่ยนแปลงใหม่ของพีระมิดแห่งยูนัสคือการปรากฏของตำราพีระมิดครั้งแรก[6] หนึ่งในตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในอียิปต์ที่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้[l] ซึ่งได้ริเริ่มประเพณีที่จะปฏิบัติตามในพีระมิดของฟาโรห์และพระราชินีแห่งราชวงศ์ที่หกถึงราชวงศ์ที่แปดและกระทำจนถึงช่วงสิ้นสุดของราชอาณาจักรเก่าในอีกประมาณ 200 ปีต่อมา[107] เวทมนตร์คาถาทั้งหมด 283 คาถา[106][m] หรือที่รู้จักในชื่อบทสวด ถูกแกะสลักและป้ายทาสีฟ้าบนผนังของทางเดิน ห้องโถง และห้องฝังพระศพ[109] เป็นการตีความที่ชัดเจนที่สุดของตำราพีระมิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน[110] คาถาเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยฟาโรห์ในการเอาชนะกองกำลังที่เป็นศัตรูและอำนาจในโลกหลังความตายและด้วยเหตุนี้จึงรวมเข้ากับเทพแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ในชีวิตหลังความตาย[111] โดยการสลักข้อความลงบนผนังห้องภายในของพีระมิด สถาปนิกของพีระมิดแห่งยูนัสรับรองว่าฟาโรห์จะได้รับประโยชน์จากความสามารถของพวกเขาแม้ว่าการบูชาพระศพจะหยุดลงก็ตาม[2][112] ดังนั้นตำราพีระมิดของพีระมิดแห่งยูนัสจึงรวมคำแนะนำสำหรับพิธีกรรมและบทสวดที่จะสวด บ่งบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำและอ่านระหว่างการบูชาฟาโรห์ในวิหารฝังพระศพของพระองค์อย่างถูกต้อง[113] การเก็บรักษาตำราอย่างดีในพีระมิดแห่งยูนัส แสดงให้เห็นว่าคาถาเหล่านั้นถูกเรียบเรียงเพื่อให้ดวงวิญญาณของฟาโรห์ยูนัสได้ทรงอ่าน ขณะที่ลุกขึ้นจากโลงศพด้วยคำพูดฟื้นคืนชีพและล้อมรอบด้วยคาถาป้องกันและเครื่องบูชา[110][114] จากนั้นดวงวิญญาณจะออกจากห้องฝังพระศพ ซึ่งมีข้อความบอกว่าฟาโรห์กับโอซิริสในดูอัตและจะย้ายไปที่ห้องโถง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอาเคต (เส้นขอบฟ้า) คาถาที่เขียนบนผนังห้องโถงรวมอยู่ในคาถาสองคำที่รู้จักกันในชื่อกลอนสวดมนุษย์กินคน (Cannibal Hymn) แสดงให้เห็นว่าฟาโรห์กำลังบินสู่สวรรค์ผ่านท้องฟ้าที่มีพายุและกินทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ ในการทำเช่นนั้นฟาโรห์จะได้รับพลังชีวิตของเหล่าทวยเทพ[110][n][o] ณ จุดนี้ดวงวิญญาณของพระองค์จะหันไปทางทิศตะวันออกทิศทางของพระอาทิตย์ขึ้นและนอกกำแพงอิฐพีระมิด ซึ่งเป็นประตูหลอกของวิหารฝังพระศพที่ประกอบพิธีฝังพระศพ และท้ายที่สุดดวงวิญญาณของพระองค์จะไปทางซ้ายจะรวมเข้ากับเทพราบนท้องฟ้าโดยผ่านทางเดินพีระมิด[110] ตัวอย่างของคาถาจากพีระมิดแห่งยูนัส คือ ในบทสวดที่ 217:[111] เร-อาตุม ยูนัสนี้มาหาพระองค์ วิญญาณที่ทำลายไม่ได้ พระโอรสมาหาพระองค์ ยูนัสนี้มาหาพระองค์ ข้ามฟากฟ้ามารวมกันในความมืดมิด ขอพระองค์ขึ้นมาบนดินแดนแห่งแสงสว่างที่ซึ่งพระองค์จะส่องแสง! มรดกประเพณีมรดกประเพณีที่สำคัญที่สุดของฟาโรห์ยูนัสคือ การบูชาฟาโรห์ ซึ่งยังคงกระทำตามต่อไปอย่างน้อยก็จนถึงช่วงสิ้นสุดของราชอาณาจักรเก่า พิธีการนี้พบในสุสานที่ซัคคาราของนักบวชทั้งเจ็ดที่รับผิดชอบหน้าที่ทางศาสนาที่ต้องทำในวิหารฝังพระศพ สุสานสามแห่งมีอายุถึงช่วงต้นราชวงศ์ที่หกในช่วงเวลาหลังจากการสวรรคตของฟาโรห์เปปิที่ 1 สุสานอีกสามแห่งมีอายุถึงรัชสมัยของฟาโรห์เปปิที่ 2 และสุสานอีกแห่งมีอายุอยู่ในช่วงปลายสุดของสมัยราชอาณาจักรเก่า (ราว 2180 ปีก่อนคริสตกาล) โดยนักบวชเหล่านี้จะใช้ชื่อที่รวมกับพระนามของฟาโรห์ อาจเป็นไปได้เพื่อการเข้ารับตำแหน่ง[118] การบูชาฟาโรห์ยูนัสดูเหมือนว่าจะคงมีอยู่ถึงในช่วงเวลาอันวุ่นวายของสมัยระหว่างกลางที่ 1 จนถึงสมัยราชอาณาจักรกลาง[119] เมื่อถึงช่วงสมัยราชวงศ์ที่สิบสอง (ราวช่วง 1990 ถึง 1800 ปีก่อนคริสตกาล) ครอบครัวของนักบวชที่มีหน้าที่อ่านบทสวดที่มีนามว่า ยูนัสเอมซาฟ[p] ก็ยังคงกระทำอยู่[120][121] อย่างไรก็ตาม สถานที่ฝังพระศพได้ถูกรื้อถอนบางส่วนเพื่อนำวัสดุเหล่านั้นมาสร้างเป็นพีระมิดในรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 1 และฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1[122][123] นอกจากนี้ ฟาโรห์ยูนัสถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าและยังกลายมาเป็นเทพเจ้าท้องถิ่นแห่งสุสานในซัคคารา โดยกรีเมลให้ความเห็นว่ามันคงจะเกี่ยวข้องสถานที่ฝังพระศพของพระองค์ที่มีความยิ่งใหญ่โอ่อ่า[33] และมาเล็คยังสงสัยในการมีอยู่ของพิธีดังกล่าวที่ได้รับความนิยมในช่วงสมัยราชอาณาจักรเก่าแต่ได้ยอมรับตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรกลางเป็นต้นไป[124] ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 2,000 ปี สังเกตจากตราประทับสคารับที่มีพระนามของฟาโรห์ยูนัสที่พบในซัคคารา ซึ่งมีอายุตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรใหม่ (1550 ถึง 1077 ปีก่อนคริสตกาล) จนถึงช่วงปลาย (664–332 ปีก่อนคริสตกาล)[117][125][126][127] และมาเล็คเชื่อว่าการฟื้นฟูอาณาจักรกลางนี้มาจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์สถานที่ฝังพระศพของพระองค์ ซึ่งกลายเป็นทางเข้าสู่สุสานแห่งซัคคาราโดยธรรมชาติ[128] โดยศูนย์กลางของการบูชานี้ไม่ได้อยู่ที่พีระมิดแห่งยูนัสหรือวิหารฝังพระศพที่เกี่ยวข้อง แต่เป็นรูปสลักของพระองค์ ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าทำไมพีระมิดแห่งยูนัสจึงตกเป็นเป้าหมายของงานบูรณะภายใต้แรงผลักดันของเจ้าชายคาเอมเวเซท ซึ่งเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์รามเสสที่ 2 (1279–1213 ปีก่อนคริสตกาล)[105] อ้างอิง
เชิงอรรถ
บรรณานุกรม
|
Portal di Ensiklopedia Dunia