การให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบการให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบ[1] (อังกฤษ: argument from analogy, false analogy) เป็นการให้เหตุผลแบบอุปนัยอย่างหนึ่งที่ลักษณะอะไรที่คล้ายๆ กันจะใช้เป็นเหตุในการอนุมานหรือเป็นแนวเทียบว่า มีอะไรอย่างอื่นอีกที่คล้ายๆ กันแต่ยังไม่เห็น การหาเหตุผลโดยแนวเทียบเป็นวิธีการที่สามัญที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ใช้เพื่อให้เข้าใจโลกและเพื่อตัดสินใจ[2] เมื่อบุคคลมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่ง แล้วตัดสินใจว่าจะไม่ซื้ออะไรจากผู้ผลิตนั้นอีก นี่มักจะเป็นเพราะเหตุผลโดยแนวเทียบ คือเพราะผลิตภัณฑ์ทั้งสองเทียบกันได้ว่ามีผู้ผลิตเดียวกัน ดังนั้น จึงมองว่าแย่ นี่ยังเป็นหลักอย่างหนึ่งของวิทยาศาสตร์อีกด้วย เช่น การทดลองโดยใช้หนูทดลองอาศัยเหตุผลว่า ลักษณะทางสรีรวิทยาที่คล้ายๆ กันระหว่างหนูกับมนุษย์ แสดงนัยว่ายังมีอะไรที่คล้ายกันอย่างอื่นอีก เช่น จะมีปฏิกิริยาต่อยาที่คล้ายกัน[3] โครงสร้างกระบวนการการอนุมานโดยแนวเทียบ เริ่มจากการเห็นว่ามีลักษณะที่คล้ายๆ กันระหว่างสิ่งสองสิ่ง แล้วจึงสรุปว่าทั้งสองจะต้องมีอะไรที่คล้ายกันอย่างอื่นๆ[2][3][4] โครงสร้างหรือรูปแบบเช่นนี้สามารถระบุรวมๆ อย่างนี้ว่า[2][3][4]
การให้เหตุผลนี้ไม่ได้ยืนยันว่า สิ่งสองอย่างเหมือนกัน เพียงแต่ระบุว่าคล้ายกัน แม้การให้เหตุผลนี้อาจจะเป็นหลักฐานที่ดีสำหรับข้อสรุปนั้น แต่จริงๆ ข้อสรุปนั้น จะระบุไม่ได้ว่าเป็นความจริงเชิงตรรก (logical truth)[2][3][4] การตัดสินว่าเหตุผลมีน้ำหนักแค่ไหน จะต้องพิจารณาเรื่องอื่นๆ เกินกว่ารูปแบบ (form) เพราะจะต้องพิจารณาสาระ (content) อย่างละเอียดด้วย การวิเคราะห์การให้เหตุผลโดยแนวเทียบน้ำหนักของแนวเทียบปัจจัยหลายอย่างมีผลเพิ่มหรือลดน้ำหนักของการให้เหตุผลโดยแนวเทียบ
เหตุผลต่อต้านเหตุผลโดยแนวเทียบสามารถค้านเพราะเทียบกันไม่ได้ (disanalogy) เพราะมีแนวเทียบตอบโต้ (counteranalogy) และเพราะมีผลที่ไม่ได้ตั้งใจของแนวเทียบ[2] เพื่อให้เข้าใจว่าจะวิเคราะห์เหตุผลโดยแนวเทียบได้อย่างไร ให้พิจารณาแนวเทียบเรื่องช่างทำนาฬิกาซึ่งใช้ให้เหตุผลว่าพระเป็นเจ้ามีจริง โดยอาศัยข้อวิจารณ์ของนักปรัชญาชาวสกอตแลนด์ เดวิด ฮูม เหตุผลโดยแนวเทียบเรื่องช่างทำนาฬิกาก็คือ สำหรับสิ่งของที่ซับซ้อนและแม่นยำเช่นกับนาฬิกา กระบวนการสุ่มจะสร้างสิ่งของเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่าต้องมีผู้สร้างที่ชาญฉลาดผู้มีแผนจะใช้มัน และดังนั้น ก็พึงเทียบสรุปได้ด้วยว่า สิ่งของที่ซับซ้อนอีกอย่าง คือ เอกภพ ก็มีผู้สร้างที่ชาญฉลาดเช่นกัน[2] ฮูมให้เหตุผลว่าเอกภพและนาฬิกานั้นต่างกันอย่างสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น เอกภพมักจะไม่มีระเบียบและเป็นไปโดยสุ่ม แต่นาฬิกาไม่เป็นอย่างนั้น การให้เหตุผลเช่นนี้เรียกในภาษาปรัชญาอังกฤษว่า disanalogy (ไม่ใช่แนวเทียบ/เทียบกันไม่ได้) ถ้าจำนวนและความหลากหลายของความเหมือนกันอันสำคัญระหว่างสิ่งของสองสิ่ง ทำให้ข้อสรุปด้วยแนวเทียบมีน้ำหนักขึ้น จำนวนและความหลากหลายของความต่างกันที่สำคัญ ก็ควรจะลดน้ำหนักของข้อสรุปด้วยเช่นกัน[2] เมื่อให้เหตุผลแบบ "counteranalogy" (แนวเทียบตอบโต้) ฮูมกล่าวว่า แม้วัตถุธรรมชาติบางอย่างเช่น เกล็ดหิมะ ดูเหมือนจะมีระเบียบและมีความซับซ้อน แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่ผลของการกระทำที่ชาญฉลาด[2] อีกฝ่ายก็อาจเถียงได้ว่า แม้ระเบียบและความซับซ้อนของเกล็ดหิมะอาจไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาด แต่เหตุของมันก็อาจจะเป็นเช่นนั้น แม้นี้อาจปฏิเสธเหตุผลของฮูม แต่จริงๆ ก็ยังเป็นเหตุผลวิบัติแบบการให้เหตุผลเป็นวง เพราะตัวข้อตั้งเองไม่ได้ให้เหตุผลที่เป็นอิสระจากข้อสรุป ท้ายสุด ฮูมได้ให้เหตุผลจำนวนหนึ่งโดยระบุผลที่ไม่ได้ตั้งใจของแนวเทียบ (unintended consequences) เช่น สิ่งของต่างๆ เช่นนาฬิกา มักจะมาจากแรงงานของกลุ่มบุคคล ดังนั้น ถ้าเหตุผลโดยแนวเทียบใช้ได้ พระเป็นเจ้าก็ควรจะมีหลายพระองค์ (พหุเทวนิยม)[2] แนวเทียบเท็จแนวเทียบเท็จ (false analogy) เป็นเหตุผลวิบัติอรูปนัย (informal fallacy) หรือเป็นแนวเทียบที่ผิดๆ การใช้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบจะอ่อนกำลังลงถ้าปัจจัยต่างๆ ที่ระบุไว้ไม่ดีพอ คำว่า "false analogy" มาจากนักปรัชญาชาวอังกฤษจอห์น สจวรต์ มิลล์ ผู้น่าจะเป็นคนแรกๆ ที่ตรวจสอบการให้เหตุผลโดยแนวเทียบอย่างละเอียด[3] ตัวอย่างนี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ
นี่เป็นแนวเทียบเท็จเพราะไม่ได้ใส่ใจความแตกต่างที่สำคัญระหว่างระบบสุริยะจักรวาลกับอะตอม ความต่างก็คือ
เชิงอรรถและอ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia