การอ้างก้อนหินการอ้างก้อนหิน (อังกฤษ: appeal to the stone, argumentum ad lapidem ) เป็นเหตุผลวิบัติทางตรรกะ เป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับเหตุผลหนึ่ง ๆ โดยอ้างว่าไม่จริงหรือเหลวไหล ซึ่งอาจทำซ้ำ ๆ โดยไม่ให้เหตุผลอื่น ๆ วิธีนี้คล้ายกับ proof by assertion ซึ่งเป็นการกล่าวสิ่งเดียวกันซ้ำ ๆ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะค้านอย่างไร โดยคล้ายกันเพราะเป็นการกล่าวเพื่อให้เชื่อโดยไร้หลักฐาน นี่เป็นเหตุผลวิบัติอรูปนัย เพราะ เป็นการให้เหตุผลแบบอุปนัย เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ระบุโดยสาระของการให้เหตุผลจะไม่ดี นี่เทียบกับเหตุผลวิบัติ รูปนัย ที่รูปแบบหรือโครงสร้างของการให้เหตุผลจะไม่ถูกต้อง ตัวอย่าง![]()
อีกฝ่ายปฏิเสธข้ออ้างของฝ่ายแรกโดยไม่ได้ให้หลักฐานอะไร ๆ ซึ่งอาจจะดีในกรณีที่ข้ออ้างของฝ่ายแรกขัดแย้งกันเอง หรือผิดรูปผิดร่างจนไม่สมเหตุสมผล ประวัติ![]() กำเนิดชื่อชื่อ "การอ้างก้อนหิน" มาจากข้อโต้เถียงกันระหว่างนักพจนานุกรม ดร. ซามูเอล จอห์นสันกับเจมส์ บอสเวลล์เกี่ยวกับทฤษฎีอสสารนิยม (immaterialism) ซึ่งระบุว่าความเป็นจริงจะขึ้นอยู่กับการรับรู้โลกของบุคคล โดยวัตถุที่เป็นสสารจะเกี่ยวเนื่องกับการรับรู้ตัววัตถุนั้น[1]
จุดมุ่งหมายของ ดร. จอห์นสันก็คือ ถ้าเขาสามารถเตะก้อนหินด้วยเท้า การเรียกก้อนหินว่า "อสสาร" ก็จะต้องเป็นเรื่องเหลวไหล[3] การจัดหมวดหมู่เหตุผลวิบัติอรูปนัยทางตรรกะเหตุผลวิบัติอรูปนัยทางตรรกะเป็นความเข้าใจผิดเพราะมีเหตุผลบกพร่อง เพราะ อาศัยการให้เหตุผลแบบอุปนัย จึงอาจผิดพลาดแล้วทำให้เข้าใจว่าเป็นเหตุผลที่ดีแต่จริง ๆ ไม่ใช่[4] เหตุผลวิบัติโดยไม่เข้าประเด็นข้อสรุปนอกประเด็นมีโครงสร้างคล้าย ๆ กับการอ้างก้อนหิน เป็นการให้หลักฐานแก่ข้อสรุปนอกประเด็น ไม่ใช่ข้อสรุปเดิม[5] เช่น การปฏิเสธทฤษฎีอสสารนิยมของ ดร. จอห์นสันด้วยการเตะก้อนหิน จริง ๆ ไม่ได้ปฏิเสธทฤษฎีโดยตรง แต่กลับระบุข้อสรุปที่ไม่เข้ากับทฤษฎี การให้เหตุผลแบบอุปนัยการอ้างก้อนหินเป็นการให้เหตุผลแบบ อุปนัย ส่วนเหตุผลวิบัติรูปนัยใช้การให้เหตุผลแบบ นิรนัย และใช้โครงสร้างแบบรูปนัยเพื่อให้เหตุผล ซึ่งต่างกับการให้เหตุผลแบบ อุปนัย ซึ่งไม่ใช้วิธีเช่นนี้ การให้เหตุผลแบบ อุปนัย มีข้อสรุปที่ไม่แน่นอนเพราะต้องอนุมานจากสถานการณ์ หรือบุคคล/วัตถุ หรือเหตุการณ์โดยเฉพาะ ๆ[6] ในบริบทของการอ้างก้อนหิน มีการให้เหตุผลแบบ อุปนัย เพื่อคัดค้านข้ออ้างเดิมโดยไม่ได้ให้คำอธิบายเพิ่ม แต่การให้เหตุผลแบบ อุปนัย อาจเปลี่ยนไปได้ถ้าได้ข้อมูลหรือหลักฐานใหม่ ๆ ที่ล้มข้อสมมติของการอุปนัยได้[7] การให้เหตุผลแบบอุปนัยสมมุติว่าโอกาสเป็นไปได้ของข้อตั้งสามารถใช้เป็นหลักฐานสนับสนุน[ต้องการอ้างอิง] การให้เหตุผลแบบอุปนัยจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับความหนักแน่นของเหตุผล แต่แต่ละคนจะรู้สึกว่าหนักแน่นไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับความคิดความรู้สึกที่มีอยู่แล้วในเรื่องนั้น จุดอ่อนของการให้เหตุผลแบบอุปนัยเทียบกับการให้เหตุผลแบบนิรนัยก็คือ ไม่สามารถประเมินความสมเหตุสมผลหรือความแน่นอนของข้ออ้าง ความสมเหตุสมผลจะขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลที่ให้เป็นจริงหรือไม่ แต่ถ้าเป็นหลักฐานเท็จเพื่อพิสูจน์ว่าข้อสรุปเป็นเท็จ ก็อาจใช้ได้เหมือนกัน ดังนั้น การให้เหตุผลจะจัดว่าแน่นอนก็ต่อเมื่อข้อสมมุติ/ข้อตั้งของการให้เหตุผลนั้นเป็นจริง ไม่เหมือนกันกับการให้เหตุผลแบบนิรนัย การให้เหตุผลแบบอุปนัยจะพิสูจน์ความสมเหตุสมผลไม่ได้โดยนิรนัย ดังนั้น จึงเป็นปัญหาของการอุปนัย โครงสร้างการให้เหตุผลการให้เหตุผล/ข้อโต้แย้ง (argument) ปกติจะมีข้ออ้าง (claim) ที่สนับสนุนด้วยการให้เหตุผล (reasoning) และหลักฐาน (evidence) ปกติจะเป็นข้อความหลายข้อที่แสดงข้อตั้ง (premise) เพื่อสนับสนุนข้อสรุป (conclusion) การอ้างก้อนหินมีข้อสรุปที่ชัดแจ้ง แต่จะไม่มีข้อตั้งต่าง ๆ เพื่อแสดงความสมเหตุสมผลของข้อสรุปที่อ้าง[8] ตามทฤษฎีการให้เหตุผล (theory of argumentation) การให้เหตุผลหรือการนิรนัยจะต้องมีข้อสมมุติหรือข้อตั้ง ที่นำไปสู่ข้อสรุปหรือประเด็นที่ต้องการ การอ้างก้อนหินไร้หลักฐานเมื่อปฏิเสธข้ออ้างเดิม ซึ่งจำกัดการโต้แย้งของฝ่ายตรงข้าม ปัญหาจำกัดการโต้เถียงเมื่อกำลังโต้เถียงกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งยกข้ออ้างซึ่งอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย "ภาระการพิสูจน์" (burden of proof) ก็จะตกอยู่กับฝ่ายที่ยกข้ออ้าง คือต้องให้เหตุผลสำหรับข้ออ้างนั้น โดยเฉพาะถ้าข้ออ้างขัดกับสิ่งที่ได้ยอมรับกันเป็นปกติแล้ว[9] เพราะการยกก้อนหินเป็นการคัดค้านข้ออ้างดั้งเดิม ดังนั้น ภาระการพิสูจน์จึงตกอยู่กับผู้ที่ยกข้ออ้างดั้งเดิม แต่ก็จะทำได้ยากเพราะการยกก้อนหินไม่ได้ระบุเหตุผลว่าทำไมจึงคัดค้าน[10] อนึ่ง เทคนิคนี้มักใช้ร่วมกับเหตุผลวิบัติทางตรรกะอื่น ๆ ที่จำกัดการสนทนาต่อ ๆ ไป[11] เช่น อาจจะโจมตีอีกฝ่ายแบบ ad-hominem[12] เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวถึงประเด็น หรืออาจใช้กับวิธีหุ่นฟางเพื่อทำลายเครดิตของอีกฝ่าย[13] ในทฤษฎี 2 ระบบของแดเนียล คาฮ์นะมันนักจิตวิทยาชาวอิสราเอลแดเนียล คาฮ์นะมัน ได้ตั้งทฤษฎีสองระบบขึ้นเพื่อให้เหตุผลว่าทำไมจึงเกิดเหตุผลวิบัติทางตรรกะ ทฤษฎีระบุว่ามนุษย์ใช้ระบบ 1 และระบบ 2 ในกระบวนการตัดสินใจ ระบบ 1 จะทำงานได้อย่างรวดเร็วและปกติจะใช้ฮิวริสติกในการประเมินและการตัดสินใจสำหรับกิจการงานที่ไม่ต้องใส่ใจมาก กิจที่ต้องใส่ใจมากกว่าจะใช้ระบบ 2 เพื่อพิจารณาหาเหตุผลให้ได้ข้อสรุป[14] เหตุผลวิบัติทางตรรกะหลายอย่างใช้ระบบ 1 เพื่อการตัดสินใจหาข้อสรุปที่รวดเร็วโดยอาศัยอารมณ์ความรู้สึก แต่ถ้าเป็นคนช่างคิดวิเคราะห์ข้อสรุปที่ตนเองได้และคิดอย่างมีระเบียบแบบแผน ก็อาจหลีกเลี่ยงเหตุผลวิบัติทางตรรกะได้[15] โครงร่างการให้เหตุผลของทูลมิน![]() โครงร่างการให้เหตุผลออกทูลมิน (Toulmin’s argumentation framework) แสดงองค์ประกอบการให้เหตุผลเป็น claim (ข้ออ้าง), grounds (ฐาน), warrant (ข้อรับรอง), qualifier (คำจำกัด), rebuttal (ข้อโต้แย้ง) และ backing (ข้อสนับสนุน) ฐานของ assumption (ข้อสมมุติ) จะต้องมีข้อรับรองและข้อสนับสนุน เพื่อรองรับข้ออ้างและเพื่อพิสูจน์ว่า conclusion (ข้อสรุป) คงเส้นคงวา ข้ออ้างเบื้องต้นของการโต้แย้งก็คือข้อเท็จจริงที่ผู้ให้เหตุผลพยายามพูดให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมรับ ฐานของการให้เหตุผลก็คือหลักฐานที่ใช้สนับสนุนข้อเท็จจริงเบื้องต้น ข้อรับรองก็คือข้อสมมุติที่ใช้เชื่อมฐานกับข้ออ้าง ข้อสนับสนุนเป็นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ข้ออ้างและสนับสนุนข้อรับรอง คำจำกัดใช้แสดงว่าข้ออ้างอาจจะไม่ถูกต้องเสมอ (เช่นคำว่า บางครั้ง โดยมาก บางส่วน) โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และท้ายสุด ข้อโต้แย้งเป็นข้ออ้างที่อีกฝ่ายเสนอในการโต้แย้งนี้[16] การอ้างก้อนหินมีแต่ฐานกับข้ออ้างโดยที่ไม่มีข้อรับรองหรือข้อสนับสนุนที่สมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนข้ออ้าง อนึ่ง ก็จะไม่มีคำจำกัดด้วยซึ่งเท่ากับจำกัดข้อโต้แย้งของอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะ การอ้างก้อนหินไม่ได้ให้หลักฐานที่สมเหตุผล จึงหาข้อโต้แย้งได้ยาก[ต้องการอ้างอิง] วิธีที่คล้ายกันอื่น ๆReductio ad absurdumการอ้างก้อนหินมีโครงสร้างที่คล้ายกันกับการให้เหตุผลแบบ reductio ad absurdum (แปลว่า การลดเหลือเป็นเรื่องเหลวไหล) ซึ่งโต้ว่า ข้อสมมุติของการให้เหตุผลของอีกฝ่าย หรือวิธีการให้เหตุผลจะก่อข้อสรุปที่เหลวไหล[17] แม้การยกก้อนหินจะไม่ได้ระบุตรง ๆ ว่าข้อความดั้งเดิมเหลวไหล แต่การปฏิเสธข้ออ้างดั้งเดิมก็มักจะสมมุติว่าข้ออ้างดั้งเดิมไม่ถูกต้องหรือเหลวไหล ส่วน reductio ad absurdum จะอ้างว่า ถ้าข้ออ้างดั้งเดิมเป็นจริง ข้อสรุปเหลวไหลบางอย่างอื่นก็จะเป็นจริงด้วย[18] การทวนคำถามการทวนคำถาม (begging the question, petitio principii) เป็นข้อสรุปที่อาศัยข้อสมมุติที่ต้องได้ข้อพิสูจน์หรือการอธิบายเพิ่มขึ้น[19] การทวนคำถามอาจเรียกได้ว่าเป็นการ "ไม่สนใจคำถามเพราะสมมุติว่ามันมีคำตอบแล้ว" การให้เหตุผลโดยทวนคำถามมักจะสร้างคำถามเพิ่มขึ้น[20] Ad nauseamคำละตินว่า ad nauseam หมายถึง การกล่าวอะไรซ้ำ ๆ จนน่าเบื่อหน่าย เป็นเหตุผลวิบัติที่ใช้ในการโต้เถียงโดยกล่าวความเห็นในเรื่องหนึ่ง ๆ อย่างซ้ำ ๆ เกินความจำเป็น เพราะ การยกก้อนหินไม่มีหลักฐานเพื่อปฏิเสธข้ออ้าง จึงอาจถูกใช้ในรูปแบบ ad nauseam เพราะ ถ้าไม่สามารถยุติการโต้เถียงได้ ก็จะทำให้ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันจนกระทั่งเบื่อหน่ายโดยไม่ได้ข้อสรุปที่สมควร[21] ปฏิเสธนิยมปฏิเสธนิยม (denialism) คือ การปฏิเสธความจริงแม้เมื่อมีหลักฐานที่หนักแน่น[22] โดยผู้ใช้น่าจะมีแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่เช่น ประโยชน์ส่วนตัวหรือเพื่อเลี่ยงความจริงที่ทำให้ไม่สบายใจ วิธีการโต้แย้งการปฏิเสธเช่นนี้ก็คือ การจำแนกรากฐานความเชื่อแล้วแสดงหลักฐานที่พิสูจน์ความเท็จของความเชื่อแต่ละอย่าง ดูเพิ่มเชิงอรรถและอ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia