เบ้งเฮ็ก
เบ้งเฮ็ก มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า เมิ่ง ฮั่ว (จีนตัวย่อ: 孟获; จีนตัวเต็ม: 孟獲; พินอิน: Mèng Huò) เป็นผู้นำท้องถิ่นในภูมิภาคหนานจงในรัฐจ๊กก๊กในยุคสามก๊กของจีน ภาพลักษณ์ที่เป็นที่นิยมของเบ้งเฮ็กมาจากนิยายอิงประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 14 เรื่องสามก๊กซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนและระหว่างยุคสามก๊ก นวนิยายสามก๊กแสดงภาพลักษณ์ของเบ้งเฮ็กว่าเป็นผู้นำชนเผ่าอนารยชนทางใต้ และยังแต่งงานกับจกหยงซึ่งเป็นตัวละครสมมติผู้อ้างว่าสืบเชื้อสายจากเทพแห่งไฟจู้หรง แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์เรื่องราวของเบ้งเฮ็กและบันทึกเกี่ยวกับการจับและปล่อยตัวเบ้งเฮ็กปรากฏทั้งในฮั่นจิ้นชุนชิวที่เขียนโดยสี จั้วฉื่อในยุคราชวงศ์จิ้นตะวันออก และในพงศาวดารหฺวาหยาง (หฺวาหยางกั๋วจื้อ) ที่เขียนโดยฉาง ฉฺวีระหว่างปี ค.ศ. 348 ถึง ค.ศ. 354 ดังนั้นเอกสารทางประวัติศาสตร์ทั้งสองที่มีที่มาต่างกันจึงเป็นบันทึกเกี่ยวกับเบ้งเฮ็กที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ เผย์ ซงจือนักประวัติศาสต์ในยุคราชวงศ์หลิวซ่งขณะรวบรวมอรรถาธิบายของจดหมายเหตุสามก๊ก พบว่าบันทึกว่าสี จั้วฉื่อเชื่อถือได้และนำข้อความในบันทึกมาอ้างอิงในจดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่ว โดยเผย์ ซงจือไม่ได้เขียนความเห็นเพิ่มเติ่ม นักประวัติศาสตร์ซือหม่า กวางขณะรวบรวมจือจื้อทงเจี้ยนก็บันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเบ้งเฮ็กเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเผย์ ซงจือวิจารณ์งานเขียนส่วนอื่น ๆ ของสี จั้วฉื่อ นักประวัติศาสตร์ฟาง กั๋วยฺหวี (方國瑜) จึงใช้ข้อสงสัยของเผย์ ซงจือเกี่ยวกับความไม่น่าเชื่อถือของสี จั้่วฉื่อ ในการแสดงข้อกังขาของเรื่องราวการถูกจับและปล่อยเจ็ดครั้งของเบ้งเฮ็ก แต่ฟาง กั๋วยฺหวีก็ไม่ได้แสดงความสงสัยถึงการมีตัวตนของเบ้งเฮ็ก[1] ความไม่สมเหตุสมผลของเรื่องที่เบ้งเฮ็กถูกจับและปล่อยตัว 7 ครั้งทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหริอไม่ รวมถึงเรื่องการมีตัวตนอยู่ของเบ้งเฮ็ก นักประวัติศาสตรในยุคสาธารณรัฐจีนชื่อจาง ฮฺว่าล่าน (張華爛) เขียนบทความชื่อว่า "อภิปรายเรื่องเบ้งเฮ็ก" (孟獲辯 เมิ่ง ฮั่ว เปี้ยน) กล่าวว่าเบ้งเฮ็กเป็นเพียงตัวละครสมมติที่สร้างขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์ในยุคหลัง สังเกตว่าชื่อ "เฮ็ก" หรือในภาษาจีนกลางคือ "ฮั่ว" (獲) นั้นมีความหมายว่า "ถูกจับ" จึงเป็นเรื่องบังเอิญเกินเมื่อพิจารณาถึงชะตากรรมของเบ้งเฮ็กที่จะต้องถูกจับ[2] – มุมมองนี้เห็นร่วมกันโดยนักวิชาการหลายคน[3] ตัวอย่างของข้อโต้แย้งในประเด็นนี้คือเรื่องชื่อตัวของเล่าปี่ (หลิว เป้ย์) และเล่าเสี้ยน (หลิว ช่าน) "ปี" หรือภาษาจีนกลางว่า "เป้ย์" (備) มีความหมายว่า "เตรียม" และ "เสี้ยน" หรือภาษาจีนกลางว่า "ช่าน" มีความหมายว่า "ให้" เป็นกรณีเดียวกันกับเบ้งเฮ็กที่ชื่อตัวเหล่านี้บ่งชี้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของชื่อ เล่าปี่เตรียมอาณาจักรจ๊กก๊กและเล่าเสี้ยนมอบให้วุยก๊กตามที่เจียวจิ๋วแนะนำ แต่บุคคลทั้งสองนี้เป็นที่แน่ชัดว่าไม่ใช่ตัวละครสมมติ[4] นอกจากนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่าเบ้งเฮ็กมีเชื้อสายชาวจีนฮั่นหรือมาจากชนเผ่าต่างชาติ หากเป็นกรณีหลังก็อาจเป็นไปได้ว่าชื่อตัวของเบ้งเฮ็กอาจเป็นคำในภาษาอื่นที่ออกเสียงคล้ายคำว่า "ฮั่ว" (獲) ในภาษาจีนจึงถอดเสียงออกมาเช่นนั้น[5] หฺวาง เฉิงจง (黃承宗) แห่งพิพิธภัณฑ์สังคมทาสชนชาติอี๋แห่งจังหวัดเหลียงชานเชื่อว่าเบ้งเฮ็กเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ แม้จะแน่ใจว่าเรื่องราว "จับและปล่อยเจ็ดครั้ง" เป็นที่เรื่องที่แต่งขึ้นก็ตาม[6] เหมียว เยฺว่ (繆鉞) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเสฉวนโต้แย้งว่าจูกัดเหลียงไม่อาจปล่อยตัวผู้นำศัตรูได้หากจับตัวได้จริง ถาน เหลียงเซี่ยว (譚良嘯) ผู้อำนวยการศาลจูกัดเหลียงในเฉิงตูยังกล่าวว่าเรื่องราว "จับและปล่อยเจ็ดครั้ง" เป็นเรื่อง "แปลกและเหลือเชื่อ" แต่ก็เชื่อว่าเบ้งเฮ็กมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับความเห็นของฟาง กั๋วยฺหวี และหฺวาง เฉิงจง[7] ประวัติเมื่อเล่าปี่จักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กสวรรคตในปี ค.ศ. 223 ผู้คนท้องถิ่นในภูมิภาคหนานจงจึงก่อกบฏต่อจ๊กก๊ก โดยให้เหตุผลว่าเวลานั้นมีผู้นำสามคนอ้างตนเป็นผู้ปกครองแผ่นดินอย่างชอบธรรมจึงไม่รู้อีกต่อไปว่าควรจะภักดีต่อใคร จูกัดเหลียงอัครมหาเสนาบดีแห่งจ๊กก๊กจึงตอบโต้ด้วยการบุกภูมิภาคหนานจงและปราบปรามการจลาจลได้สำเร็จ ในช่วงต้นของการก่อกบฏ ยงคี (雍闓 ยง ไข่) เห็นว่ายังมีหลายคนที่ยังคงไม่แน่ใจเรื่องที่จะก่อกบฏ จึงส่งเบ้งเฮ็กชาวเมืองเกียมเหลง (建寧 เจี้ยนหนิง) ไปเกลี้ยกล่อมชนเผ่าโสฺ่ว (叟) และชนเผ่าอื่น ๆ เบ้งเฮ็กประกาศกับทุกคนว่าราชสำนักจ๊กก๊กกำลังเรียกเอาทรัพยาการหายากมากจนเกินไป ยากที่จะจัดหาเป็นจำนวนมากได้ ชนเผ่าต่าง ๆ เชื่อคำของเบ้งเฮ็กจึงกลับมาเข้าร่วมกลุ่มกบฏของยงคี[8] หลังจากยงคีเสียชีวิต เบ้งเฮ็กขึ้นแทนที่ยงคีในฐานะผู้นำกบฏ ในฤดูร้อน จูกัดเหลียงนำทัพข้ามแม่น้ำลกซุยและมุ่งเข้าเมืองเอ๊กจิ๋ว (益州 อี้โจฺว) จูกัดเหลียงจับตัวเบ้งเฮ็กได้และพามายังค่าย แล้วถามเบ้งเฮ็กว่าคิดอย่างไรกับทหารของตน เบ้งเฮ็กตอบว่า "ข้ารู้สึกเสียดายเพราะหากว่าข้ารู้เรื่องนี้เร็วกว่านี้ก็คงจะเอาชนะท่านได้อย่างง่ายดาย"[9] จูกัดเหลียงคิดว่าหากตนต้องการทุ่มกำลังในการรบทางเหนือ จะต้องหากกลวิธีในการสยบชนเผ่าในหนานจง เพราะชนเผ่าเหล่านี้มักก่อกบฏและก่อความวุ่นวาย จูกัดเหลียงจึงให้อภัยเบ้งเฮ็กและส่งตัวกลับไปยังกองกำลังของเบ้งเฮ็ก หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็รบกันทั้งหมดเจ็ดครั้ง เบ้งเฮ็กถูกจูกัดเหลียงจับตัวทุกครั้ง จูกัดเหลียงก็ให้อภัยและปล่อยตัวไปทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้เบ้งเฮ้กและเหล่าชนเผ่ารวมถึงราษฎรชาวฮั่นในหนานจงจึงพิจารณาเรื่องการก่อกบฏใหม่ ในที่สุดจึงยอมสวามิภักดิ์ต่อจ๊กก๊กอย่างจริงใจ เมื่อจูกัดเหลียงเห็นเบ้งเฮ็กมาถึงจึงถามเบ้งเฮ็กถึงเจตนา เบ้งเฮ้กตอบว่าตนถือว่าจูกัดเหลียงเป็น "พลังอำนาจจากฟ้า" ผู้คนทางใต้จึงจะไม่กล้าก่อกบฏอีกต่อไป[10] หลังการกบฏสิ้นสุด คนผู้มีความสามารถหลายคนของภาคใต้ได้เข้าร่วมในราชสำนักจ๊กก๊ก เบ้งเฮ้กเป็นหนึ่งในนั้นและกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจูกัดเหลียง มีตำแหน่งสูงสุดเป็นผู้ช่วยขุนนางตรวจสอบ (御史中丞 ยฺหวี่ฉื่อจงเฉิง).[11] ในนิยายสามก๊ก
ดูเพิ่มอ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia