เดเมโคลไซคลีน
เดเมโคลไซคลีน (อังกฤษ: Demeclocycline) เป็นยาปฏิชีวนะกึ่งสังเคราะห์ชนิดหนึ่งในกลุ่มเตตราไซคลีน คัดแยกได้จากแบคทีเรีย Streptomyces aureofaciens[1][2][3] ที่ได้รับการรับรองให้ใช้เพื่อการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด[4] อาทิ โรคไลม์ สิวที่เกิดจากแบคทีเรีย]] หลอดลมอักเสบจากแบคทีเรีย ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรตที่ 1980 ได้มีการนำยานี้มาใช้ในการรักษาภาวะโซเดียมในเลือดต่ำที่มีสาเหตุมาจากกลุ่มอาการของการหลั่งฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะไม่เหมาะสม (SIADH)[5] แต่มีการคิดค้นพัฒนายาชนิดใหม่สำเร็จ จึงไม่ค่อยมีการใช้เดเมโคลไซคลีนสำหรับข้อบ่งใช้ดังกล่าวมากนักในปัจจุบัน[6] เดเมโคลไซคลีนออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนของแบคทีเรีย โดยเข้าจับกับหน่วยย่อย 30 เอสของไรโบโซมแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียขาดโปรตีนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังสามารถออกฤทธิ์ขัดขวางการทำงานของเอนไซม์วาโซเพรสซิน (vasopressin) บริเวณหน่วยไตได้ด้วย[7] ส่วนอาการไม่พึงประสงค์ ข้อห้ามใช้ และการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาของเดเมโคลไซคลีนนั้นมีความคล้ายคลึงกับยาปฏิชีวนะชนิดอื่นในกลุ่มเตตราซัยคลีน[6][8] แต่เดเมโคลไซคลีนเป็นยาปฏิชีวนะเพียงชนิดเดียวในกลุ่มนี้ที่ก่อให้เกิดภาวะเบาจืดได้ จึงมีการนำเดเมโคลไซคลีนมาใช้ในการรักษากลุ่มอาการ SIADH[8] กลไกการออกฤทธิ์เดเมโคลไซคลีนจัดเป็นยาปฏิชีวนะอีกชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย (bacteriostatic agent) เนื่องจากยานี้เป็นยาในกลุ่มเตตราซัยคลีน จึงมีกลไกลการออกฤทธิ์ที่คล้ายคลึงกับสมาชิกอื่นในกลุ่ม โดยเดเมโคลไซคลีนจะเข้าจับกับหน่วยย่อย 30 เอสของไรโบโซมแบคทีเรีย เพื่อป้องกันไม่ให้อะมิโนเอซิลทีอาร์เอ็นเอเข้าจับกับตำแหน่งดังกล่าวได้ ส่งผลให้กระบวนการการสังเคราะห์โปรตีนของแบคทีเรียนั้นหยุดชะงักลงในที่สุด นอกจากนี้ เดเมโคลไซคลีนยังออกฤทธิ์ขัดขวางการทำงานของเอนไซม์วาโซเพรสซิน (vasopressin) บริเวณหน่วยไต โดยการรบกวนการทำงานระบบตัวสื่อสัญญาณที่สอง (secondary messenger) ภายในเซลล์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยับยั้งการกระตุ้นอะดีลินิลไซเคลส) หลังจากที่ฮอร์โมนดังกล่าวเข้าจับกับตัวรับอาร์จินีนวาโซเพรสซินชนิดที่ 2 (vasopressin V2 receptor) ในไต[7][9][10] อย่างไรก็ตาม กลไกการออกฤทธิ์โดยละเอียดของเดเมโคลไซคลีนในกระบวนการดังกล่าวนั้นยังไม่ได้รับการอธิบายให้แน่ชัเได้เท่าใดนัก[10] การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เดเมโคลไซคลีนเป็นยาปฏิชีวนะที่ได้รับการรับรองให้ใช้เพื่อการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด[4] อาทิ โรคไลม์ สิวที่เกิดจากแบคทีเรีย]] หลอดลมอักเสบจากแบคทีเรีย เนื่องจากพบการดื้อยาของแบคทีเรียต่อยานี้ได้มากขึ้นในปัจจุบัน จึงพบเห็นการใช้เดเมโคลไซคลีนเพื่อรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียได้ไม่มากเท่าใดนัก เดเมโคลไซคลีนถูกนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง (ถึงแม้จะเป็นการใช้ยานอกเหนือข้อบ่งใช้ในหลายประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา) เพื่อการรักษาภาวะโซเดียมในเลือดต่ำที่มีสาเหตุมาจากกลุ่มอาการของการหลั่งฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะไม่เหมาะสม (SIADH) ในกรณีที่การให้การรักษาด้วยสารน้ำแล้วยังไม่ประสบผลสำเร็จในการรักษา[5] โดยเดเมโคลไซคลีนจะออกฤทธิ์ลดการตอบสนองของหลอดไตรวม (collecting tubule) ต่อวาโซเพรสซิน หรือ แอนติไดยูเรติกฮอร์โมน (antidiuretic hormone; ADH) ทั้งนี้ การใช้เดเมโคลไซคลีนเพื่อรักษาความผิดปกติในกลุ่มอาการ SIADH ดังข้างต้นนั้น โดยแท้จริงแล้ว ฤทธิ์ในการรักษาดังกล่าวเป็นผลมาจากอาการไม่พึงประสงค์ของเดเมโคลไซคลีน โดยเดเมโคลไซคลีนจะเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะเบาจืด (การขาดน้ำของร่างกายที่เป็นผลมาจากการสูญเสียความสามารถในการควบคุมความเข้มข้นปัสสาวะของร่างกาย)[5] โดยเดเมโคลไซคลีนถูกนำมาใช้ในข้อบ่งใช้นี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1975[11] และในปี ค.ศ. 1978 มีการศึกษาทางคลินิกขนาดใหญ่หนึ่งการศึกษาที่พบว่าเดเมโคลไซคลีนมีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะโซเดียมในเลือดต่ำที่มีสาเหตุมาจากกลุ่มอาการของการหลั่งฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะไม่เหมาะสมและก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์น้อยกว่าลิเทียมคาร์บอเนต ซึ่งเป็นายาเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการรับรองให้ใช้สำหรับข้อบ่งใช้ดังกล่าวในขณะนั้น[6] ด้วยเหตุนี้ ทำให้เดเมโคลไซคลีนได้รับการพิจารณาให้เป็นยาทางเลือกสำหรับการรักษากลุ่มอาการของการหลั่งฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะไม่เหมาะสมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2009 ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งตัวรับวาโซเพรสซิน อย่างโทลแวปแทน ซึ่งเป็นยากลุ่มใหม่ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากกว่าเดเมโคลไซคลีนได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาให้ใช้เป็นยาทางเลือกสำหรับข้อบ่งใช้ดังกล่าวแทน ทำให้ไม่ค่อยมีการใช้เดเมโคลไซคลีนในการรักษากลุ่มอาการ SIADH มากเท่าใดนักในปัจจุบัน[6] ข้อห้ามใช้เนื่องจากเดเมโคลไซคลีนเป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มเตตราซัยคลีน จึงมีข้อห้ามใช้ที่คล้ายคลึงกันกับยาปฏิชีวนะอื่นในกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ ห้ามใช้ในเด็ก และหญิงตั้งครรภ์ รวมไปถึงหญิงที่กำลังอยู่ระหว่างการให้นมบุตรด้วยตนเอง เนื่องจากยาปฏิชีวนะทั้งหมดในกลุ่มนี้จะรบกวนพัฒนาการของกระดูก และอาจทำให้สีของฟันผิดปกติอย่างถาวรได้[8][12] อาการไม่พึงประสงค์และอันตรกิริยาเดเมโคลไซคลีนมีอาการไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกันกับยาอื่นในกลุ่มเตตราซัยคลีน โดยอาจพบการเกิดปฏิกิริยาการไวต่อแสงแดดของผิวหนังได้ในผู้ที่ใช้ยานี้บางราย[6] ทั้งนี้ เดเมโคลไซคลีนเป็นยาปฏิชีวนะเพียงชนิดเดียวในกลุ่มนี้ที่ก่อให้เกิดภาวะเบาจืด ส่วนการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาของเดเมโคลไซคลีนนั้นมีกลไกคล้ายกับยาอื่นในกลุ่มเดียวกัน โดยยานี้จะเข้าจับกับประจุบวกได้ดี อาทิ แคลเซียม เหล็ก (เมื่อใช้ในรูปแบบรับประทาน) และแมกนีเซียม (ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของยาน้ำลดกรด) ทำให้ได้สารประกอบเชิงซ้อนที่ไม่ละลายน้ำและไม่สามารถถูกดูดซึมได้ในทางเดินอาหาร นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเดเมโคลไซคลีนพร้อมกับอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิงผลิตภัณฑ์จากนม และอาหารเสริม เนื่องจากอาหารจะทำให้เดเมโคลไซคลีนถูกดูดซึมได้ช้าหรือน้อยลง[8] อ้างอิงวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ เดเมโคลไซคลีน
|
Portal di Ensiklopedia Dunia