ไทกีไซคลีน
ไทกีไซคลีน (อังกฤษ: Tigecycline) เป็นยาปฏิชีวนะที่ถูกใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย[2][3] จัดอยู่ในกลุ่มไกลซิลไซคลีน ในปัจจุบันยานี้มีเพียงรูปแบบที่ใช้สำหรับการฉีดเข้าหลอดเลือดดำเท่านั้น ทั้งนี้ ไทกีไซคลีนถูกคิดค้นพัฒนาขึ้นมาเนื่องมาจากการมีอุบัติการณ์การดื้อต่อยาปฏิชีวนะที่มีอัตราค่อนข้างสูงในปัจจุบัน เช่น Staphylococcus aureus, Acinetobacter baumannii, และ Escherichia coli เป็นต้น[2] เนื่องด้วยยานี้เป็นหนึ่งในยากลุ่มเตตราไซคลีน การดัดแปลงโครงสร้างของยาจึงสามารถเพิ่มขอบข่ายการออกฤทธิ์ของยาให้ครอบคลุมได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ รวมไปถึงเชื้อแบคทีเรียบางสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลายขนาน (multi-drug resistance bacteria) ด้วย ปัจจุบันไทกีไซคลินอยู่ภายใต้การดำเนินการทางการตลอดของไฟเซอร์ ภายใต้ชื่อการค้า Tygacil ยานี้ได้ถูกยื่นให้องค์การอาการและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาพิจารณารับรองการใช้ในมนุษย์อย่างเร่งด่วน (fast-track approve) เนื่องจากปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่มีมากขึ้น และได้รับการรับรองจากองค์กรดังกล่าวในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2005[2][3] การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ไทกีไซคลีนถูกใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังแบบซับซ้อน (complicated skin and structure infections), การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้องแบบซับซ้อน (complicated intra-abdominal infections) และ โรคปอดอักเสบชุมชนที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (community-acquired bacterial pneumonia) ขอบข่ายการออกฤทธิ์ของไทกีไซคลีน ดังแสดงต่อไปนี้
การบริหารยาไทกีไซคลีนนั้นสามารถบริหารยาได้เฉพาะการฉีดเข้าหลอดเลือดดำเท่านั้น โดยยานี้มีขอบข่ายการออกฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบหลายสายพันธุ์ นอกจากนี้แล้วยังออกฤทธิ์ครอบคลุมถึงจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการออกซิเจนได้บางชนิด โดยส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะอื่นที่มีใช้อยู่ก่อน เช่น methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) และ Acinetobacter baumannii แต่ไม่มีผลต่อเชื้อสกุล Pseudomonas spp. และ Proteus spp. ปัจจุบันไทกีไซคลินผ่านการทดลองทางคลินิกในขั้นที่ 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้รับการรับรองให้ใช้ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังแบบซับซ้อน, การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้องแบบซับซ้อน และ โรคปอดอักเสบชุมชนที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยพบว่ายานี้ในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำมีประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังแบบซับซ้อนได้เทียบเท่ากับแวนโคมัยซินและแอซทรีโอนัมรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำเป็นอย่างน้อย และมีประสิทธิภาพเทียบเคียงได้กับอิมมิพีเนม/ซิลลาสตาตินในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้องแบบซับซ้อน[5] สมาคมโรคติดเชื้อและจุลชีววิทยาคลินิกแหล่งสหภาพยุโรป (European Society of. Clinical Microbiology and Infectious Diseases; ESCMID) ได้แนะนำให้ใช้ไทกีไซคลินเป็นทางเลือกที่สำคัญในการรักษาการติดเชื้อ Clostridium difficile ที่มีอาการรุนแรง และ/หรือซับซ้อน หรือดื้อยา[6] นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไทกีไซคลีนได้ในกลุ่มประชากรที่มีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ได้แก่ ผู้ป่วยภาวะคุ้มกันบกพร่อง, ผู้ป่วยมะเร็ง,[6] ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดไมอิลอยด์[7] ข้อมูลความไวของเชื้อแบคทีเรียต่อยาเป้าหมายการออกฤทธิ์ของไทกีไซคลีนนั้นคือทั้งเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ รวมไปถึงเชื้อแบคทีเรียที่พบเห็นการดื้อยาได้บ่อยอีกบางสายพันธุ์ ข้อมูลความเข้มข้นของยาในระดับต่ำสุด (ในหลอดทดลอง) ที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่สำคัญบางชนิด (Minimal Inhibitory Concentration; MIC) ของไทกีไซคลีน ดังแสดงต่อไปนี้ได้:
ทั้งนี้ ไทกีไซคลีนมีฤทธิ์ต้านเชื้อสายพันธุ์ Pseudomonas ได้น้อยมาก[9] ขนาดยาการบริหารยาไทกีไซคลีนด้วยวิธีการฉีดเข้าหลอดเลือดดำนั้นควรบริหารยาอย่างช้า ๆ (30 ถึง 60 นาที) โดยบริหารยาให้ผู้ป่วยทุก 12 ชั่วโมง ผู้ที่มีความปกติของการทำงานของตับจำเป็นต้องมีการปรับลดขนาดยาลงจากปกติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความผิดปกติของตับอย่างรุนแรงนั้นจำเป็นต้องได้รับการติดตามการใช้ยาอย่างใกล้ชิด ส่วนผู้ที่มีการทำงานของไตปกพร่อง รวมถึงผู้ที่ต้องทำการชำระเลือดผ่านเยื่อไม่จำเป็นต้องมีการปรับขนาดยา ยานี้ไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในเด็ก และไม่มียาในรูปแบบรับประทาน[4] การดื้อยากลไกการดื้อต่อไทกีไซคลีนของเชื้อแบคทีเรียในวงศ์เอนเทอร์โรแบคทีเรียซีอี (เช่น E. coli) โดยส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการกลายพันธุ์ของยีน ทำให้มีการขับยาออกจากเซลล์ของแบคทีเรียมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มการขับยาออกผ่าน RND type efflux pump AcrAB เป็นต้น ในแบคทีเรียบางสายพันธุ์อย่าง Pseudomonas spp. นั้นสามารถดื้อต่อยาไทกีไซคลีนได้โดยธรรมชาติเดิมของเชื้อผ่านกระบวนการการเพิ่มการแสดงออกของยีนบางชนิด เช่น ยีนที่ควบคุมการขนส่งสารออกจากเซลล์ เป็นต้น เชื้อแบคทีเรียบางสายพันธุ์ในวงศ์เอนเทอร์โรแบคทีเรียซีอีพบว่ามีการกลายพันธุ์ของยีนบนไรโบโซมที่มีชื่อว่า ยีน rpsJ ซึ่งส่งผลให้เชื้อดังกล่าวดื้อต่อยาไทกีไซคลีนได้เข่นกัน[10] ความปลอดภัยในการใช้ยาอาการไม่พึงประสงค์เนื่องด้วยไทกีไซคลีนเป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มเตตราไซคลีน ทำให้ไทกีไซคลีนมีอาการไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกันกับอนุพันธุ์ของเตตราไซคลีนอื่น ๆ ในกลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร[6] อาการไม่พึงประสงค์ของไทกีไซคลีนที่พบได้บ่อย ได้แก่ คลื่นไส้และอาเจียน[11] ซึ่งเกิดขึ้นได้ประมาณร้อยละ 26 และ 18 ของผู้ที่ได้รับไทกีไซคลีนตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงดังกล่าวนั้นส่วนใหญ่มักอยู่ในระดับรุนแรงน้อยถึงปานกลาง และมักพบเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงสองวันแรกของการใช้ยาเท่านั้น[12] ส่วนอาการไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่พบอุบัติการณ์ค่อนข้างน้อย (น้อยกว่าร้อยละ 2) ได้แก่ บวม, ปวด และการระคายเคืองตรงตำแหน่งที่ได้รับการบริหารยา, เบื่ออาหาร, ดีซ่าน, การทำงานของตับผิดปกติ, คัน, ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน, และมีการเพิ่มขึ้นของระยะเวลาโปรทรอมบิน[12] ข้อควรระวังการใช้ยาไทกีไซคลินนั้นจำเป็นต้องมีการระมัดระวังและเฝ้าติดตามเป็นพิเศษในผู้ที่มีภาวะภูมิไวเกินต่อยากลุ่มเตตราไซคลิน, หญิงตั้งครรภ์, และเด็ก ทั้งนี้พบว่าไทกีไซคลินนั้นสามารถก่อให้เกิดพิษต่อทารกในครรภ์ได้ จึงได้มีการจัดลำดับขั้นของยาต่อการตั้งครรภ์ของไทกีไซคลีนให้อยู่ในระดับ D[4] การศึกษาในหนูและกระต่ายพบว่าไทกีไซคลีนสามารถแพร่ผ่านรกเข้าไปยังเนื้อเยื่อของทารกในครรภ์ได้ และมีความสัมพันธุ์กับของการมีน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ของทารก รวมไปถึงการเกิดการกลายเป็นกระดูกที่ช้ากว่าปกติ ถึงแม้การศึกษานี้จะไม่พบว่าไทกีไซคลีนนั้นก่อให้เกิดพิษกับตัวอ่อนในครรภ์ แต่การพิจารณาใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ควรชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบระหว่างโทษที่อาจเกิดขึ้นกับประโยชน์ที่จะได้รับจากการรักษาเสมอ[12] นอกจากนี้ การใช้ไทกีไซคลีนในเด็กอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนสีของฟันเป็นสีเหลือง เทา หรือน้ำตาลได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในเด็กยกเว้นมีข้อบ่งใช้ที่จำเป็นและไม่มียาอื่นทดแทน ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานทางคลินิกที่พบว่า การได้รับไทกีไซคลีนมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรคซิสติก ไฟโบรซิสร่วมด้วย[13] การใช้ไทกีไซคลีนมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของอัตราการตายในผู้ป่วยโรคปอดอักเสบในโรงพยาบาล (hospital-acquired pneumonia; HAP) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใส่ท่อช่วยหายใจ (ventilator-associated pneumonia; VAP) ซึ่งเป็นการใช้ยานี้นอกเหนือข้อบ่งใช้ที่มีการรับรอง แต่การใช้ยานี้ภายใต้ข้อบ่งใช้ที่ได้รับการรับรองอย่าง การติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังแบบซับซ้อน, การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้องแบบซับซ้อน และผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลติดเชื้อแบคทีเรียที่เท้านั้นก็มีอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน[12] แต่ความแตกต่างของการเพิ่มขึ้นของอัตราการเสียชีวิตนี้ไม่ได้มีความแตกต่างกันกับกลุ่มที่มีสภาวะโรคเดียวกันแต่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอื่นจนถึงระดับที่มีนัยสำคัญทางสถิติแต่อย่างใด แต่อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยไทกีไซคลีนนั้นมีค่าสูงกว่ากลุ่มอื่นในทุก ๆ โรคที่ทำการศึกษา องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาจึงได้มีบังคับให้มีการระบุคำเตือนถึงผลข้างเคียงที่ร้ายแรง (black box warning) ไว้ในเอกสารกำกับยาของไทกีไซคลีน[14] อาการไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรงองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้มีการระบุคำแจ้งเตือนถึงอาการไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรง (black box warning) จากการใช้ยาไทกีไซคลีนในเดือนกันยายน ค.ศ. 2010 ว่า การใช้ไทกีไซคลีนนั้นทำให้มีความเสี่ยงต่อชีวิตมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ยาปฏิชีวนะอื่นที่เหมาะสมในข้อบ่งใช้เดียวกัน[12][15] การเพิ่มขึ้นของอัตราการเสียชีวิตนี้ (ไม่ทราบสาเหตุอื่นที่แน่ชัด) ทำให้มีการสงวนไทกีไซคลีนไว้เป็นการรักษาทางเลือกรองเมื่อได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอื่นที่เหมาะสมแล้วไม่ได้ผลเท่านั้น[4][15] อันตรกิริยาระหว่างยาไทกีไซคลีนสามารถเกิดอันตรกิริยาระหว่างยากับยาอื่นได้ เช่น:
กลไกการออกฤทธิ์ไทกีไซคลีนจัดเป็นยาปฏิชีวนะชนิดออกฤทธิ์กว้าง (broad-spectrum antibiotic) ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการการสังเคราะห์โปรตีนของเซลล์ ยาจะยับยั้งการเจริญของเชื้อโดยจับกับหน่วยย่อย 30 เอสของไรโบโซมแบคทีเรีย ซึ่งจะส่งผลให้อะมิโนเอซิลทีอาร์เอ็นเอ (aminoacyl-tRNA) เข้าจับที่ตำแหน่ง A site บนไรโบโซมไม่ได้[17] นอกจากนี้ ไทกีไซคลินยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ S. pneumoniae และ L. pneumophila อีกด้วย[12] ทั้งนี้ ไทกีไซคลีนจัดเป็นยากลุ่มเตตราไซคลีนรุ่นที่ 3 ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มย่อยไกลซิลไซคลีน โดยมีลักษณะโครงสร้างที่พิเศษคือ มีส่วนของโมเลกุล N,N-dimethyglycylamido (DMG) ที่คาร์บอนตำแหน่งที่ 9 ของเตตราไซคลีนวง D[18] ซึ่งเป็นส่วนของโมเลกุลที่พบได้เช่นกันในมิโนไซคลีน โดยโครงสร้างส่วนนี้จะทำให้ค่าความเข้มข้นของยาในระดับต่ำสุด (ในหลอดทดลอง) ที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (minimal inhibitory concentrations) ทั้งแกรมบวกและแกรมลบลดน้อยลง เมื่อเปรียบกับยาอื่นในกลุ่มเดียวกัน[18] เภสัชจลนศาสตร์ไทกีไซคลีนถูกเมแทบอลิซึมผ่านปฏิกิริยากลูคูโรนิเดชันไปเป็นสารประกอบกลูคูโรนิด (glucuronid conjugates) และ N-acetyl-9-aminominocycline[19] ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับที่ผิดปกติขั้นรุนแรงจึงจำเป็นต้องมีการปรับลดขนาดยาเมื่อจำเป็นต้องใช้ยานี้[12] โดยยาจะถูกขับออกมากับอุจจาระและปัสสาวะในรูปที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นส่วนใหญ่[19] จึงไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยานี้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง สังคมและวัฒนธรรมการประกาศรับรองไทกีไซคลีนได้รับการรับรองให้ใช้ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังแบบซับซ้อน (complicated skin and soft tissue infections; cSSTI), การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้องแบบซับซ้อน (complicated intra-abdominal infections; cIAI) และ โรคปอดอักเสบชุมชนที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (community-acquired bacterial pneumonia; CAP) ในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป[2][3][19][12] ในสหราชอาณาจักร ยานี้ได้รับการรับรองให้ใช้ได้ในผู้ใหญ่และเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 8 ปีขึ้นไปในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังแบบซับซ้อน (ไม่รวมถึงแผลเบาหวานติดเชื้อแบคทีเรียที่เท้า) และการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้องแบบซับซ้อน เฉพาะกรณีที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะอื่นที่มีข้อบ่งใช้เดียวกัน[20] ชื่อการค้าและชื่อสามัญอื่น
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia