สมเด็จพระราชินีมารีอาแห่งโรมาเนีย
สมเด็จพระราชินีมารีอาแห่งโรมาเนีย (โรมาเนีย: Maria a României) หรือ เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ (มารีอา อเล็กซานดรา วิกตอเรีย, 27 ตุลาคม ค.ศ. 1875 - 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938)[note 1] เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียพระองค์สุดท้าย โดยเป็นพระมเหสีในพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย เสด็จพระราชสมภพในฐานะพระราชวงศ์อังกฤษ พระองค์ทรงได้รับพระอิสริยยศ เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระเมื่อครั้งพระราชสมภพ พระบิดาและพระมารดาของพระองค์คือ เจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินบะระและแกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย ในวัยเยาว์ เจ้าหญิงมารีอาทรงใช้พระชนมชีพในเคนต์, มอลตาและโคบูร์ก หลังจากการปฏิเสธข้อเสนอที่จะอภิเษกสมรสกับพระญาติของพระองค์เองคือ พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรในอนาคต พระองค์ทรงได้รับเลือกให้เป็นพระวรชายาในมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์แห่งโรมาเนีย องค์รัชทายาทของพระเจ้าการอลที่ 1 แห่งโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1892 เจ้าหญิงมารีทรงดำรงเป็นมกุฎราชกุมารีอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1893 ถึง ค.ศ. 1914 ซึ่งทรงดำรงในพระอิสริยยศนี้ยาวนานที่สุดในบรรดาผู้ครองพระอิสริยยศนี้ และทรงกลายเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ประชาชนชาวโรมาเนียในทันที เจ้าหญิงมารีอาทรงควบคุมพระสวามีผู้ทรงอ่อนแอและเอาแต่ใจก่อนที่จะทรงขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1914 เป็นแรงกระตุ้นให้นักหนังสือพิมพ์ชาวแคนาดาได้ให้ความเห็นว่า "มีพระมเหสีเพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นที่จะทรงมีอิทธิพลยิ่งใหญ่กว่าสมเด็จพระราชินีมารีอาในช่วงรัชสมัยพระสวามีของพระองค์"[1] หลังจากการเกิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมเด็จพระราชินีมารีอาทรงผลักดันให้พระเจ้าเฟร์ดีนันท์ดำเนินการเป็นพันธมิตรกับไตรภาคีและประกาศสงครามกับเยอรมนี ซึ่งที่สุดก็ทรงดำเนินการในปี ค.ศ. 1916 ในช่วงแรกของสงคราม บูคาเรสต์ได้ถูกยึดครองโดยฝ่ายมหาอำนาจกลางและสมเด็จพระราชินีมารีอา พระเจ้าเฟร์ดีนันท์พร้อมพระโอรสธิดาทั้ง 5 พระองค์ทรงลี้ภัยไปยังมอลดาเวีย ซึ่งที่นั่นสมเด็จพระราชินีมารีอาและพระธิดาทั้งสามพระองค์ทรงประกอบพระกรณียกิจในฐานะพยาบาลในโรงพยาบาลทหาร ทรงดูแลทหารที่บาดเจ็บหรือเป็นอหิวาตกโรค ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1918 แคว้นทรานซิลเวเนีย ตามมาด้วยเบสซาราเบียและบูโกวินา ได้รวมตัวกันจัดตั้ง ราชอาณาจักรโรมาเนียเก่า พระนางมารีอาในขณะนี้ทรงดำรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเกรตเทอร์โรมาเนีย พระองค์ทรงเข้าร่วมการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 ซึ่งพระองค์ทรงทำให้นานาชาติยอมรับในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1922 สมเด็จพระราชินีมารีอาและพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในมหาวิหารที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษที่เมืองโบราณซึ่งก็คือ อัลบาอูเลีย เป็นพระราชพิธีที่ซับซ้อนซึ่งสะท้อนสถานะของทั้งสองพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ของรัฐทั้งมวล ขณะเป็นสมเด็จพระราชินี พระองค์ทรงได้รับความนิยมอย่างมาก จากทั้งในโรมาเนียและต่างประเทศ ในปี ค.ศ. 1926 สมเด็จพระราชินีมารีอาและพระโอรสธิดาอีก 2 พระองค์ได้เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาในทางการทูต ทั้งสามพระองค์ได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างกระตือรือร้นและทรงเสด็จเยือนหลายเมืองก่อนจะกลับโรมาเนีย เมื่อเสด็จกลับ สมเด็จพระราชินีมารีอาทรงพบว่าพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตในไม่กี่เดือนต่อมา ในช่วงนี้สมเด็จพระพันปีหลวงมารีอาทรงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งในสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่จะต้องปกครองประเทศแทนพระนัดดาที่ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ ซึ่งก็คือ พระเจ้าไมเคิลแห่งโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1930 พระโอรสองค์โตของพระนางมารีอาคือ เจ้าชายการอลแห่งโรมาเนีย ซึ่งทรงถูกเว้นสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ ได้ถอดถอนพระโอรสและช่วงชิงราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ในฐานะ พระเจ้าการอลที่ 2 พระองค์ทรงถอดถอนพระนางมารีอาออกจากบทบาททางการเมืองและทรงพยายามทำลายความนิยมในตัวพระมารดา เป็นผลให้พระนางมารีอาต้องเสด็จออกจากบูคาเรสต์และทรงใช้พระชนมชีพที่เหลือในชนบท หรือไม่ก็พระตำหนักของพระองค์ที่ทะเลดำ ในปี ค.ศ. 1937 พระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคตับแข็งและสิ้นพระชนม์ในปีถัดมา จากการเปลี่ยนแปลงโรมาเนียไปสู่สาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ถูกประณามอย่างรุนแรงโดยทางการพรรคคอมมิวนิสต์ มีหลายบันทึกชีวประวัติเกี่ยวกับพระราชวงศ์ที่ได้บรรยายว่า พระนางมารีอาทรงเป็นคนติดสุราและมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ โดยมาจากเรื่องอื้อฉาวจำนวนมากและพฤติกรรมที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวทั้งก่อนและในระหว่างสงคราม ในช่วงปีที่นำไปสู่การปฏิวัติโรมาเนียในปี ค.ศ. 1989 ความนิยมในพระนางมารีอาได้รับการฟื้นฟูและพระองค์ทรงได้รับการเสนอภาพในฐานะผู้รักชาติจากประชาชน แรกเริ่มสิ่งที่จดจำได้เกี่ยวกับพระนางมารีอาคือการอุทิศพระองค์ในฐานะพยาบาล แต่ก็ทรงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในการที่ทรงพระนิพนธ์งานเขียน รวมถึงพระนิพนธ์อัตชีวประวัติที่น่าสะเทือนใจของพระองค์เอง ช่วงต้นพระชนมชีพ (ค.ศ. 1875 - 1893)พระราชสมภพสมเด็จพระราชินีมารีอาพระราชสมภพที่พระตำหนักของพระราชบิดาและพระราชมารดาที่อีสต์เวลปาร์ก มณฑลเคนต์ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1875 เวลา 10.30 น. ต่อหน้าพระราชบิดา การพระราชสมภพของพระองค์ได้มีการเฉลิมฉลองด้วยการยิงสลุต[2] พระองค์เป็นพระราชธิดาองค์โตและเป็นพระราชบุตรองค์ที่สองในเจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินบะระและเจ้าหญิงมาเรีย อเล็กซานดรอฟนา ดัชเชสแห่งเอดินบะระ (เดิมคือ แกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย) ทรงได้รับการตั้งพระนามว่า มารีอา อเล็กซานดรา วิกตอเรีย ตามพระนามของพระราชมารดาและพระอัยยิกา[3] แต่เจ้าหญิงมีพระนามอย่างไม่เป็นทางการว่า "มิสซี่" (Missy)[4] ดยุกแห่งเอดินบะระทรงบันทึกไว้ว่าพระธิดาของพระองค์ "สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีเหมือนพี่ชายของเธอและจะแสดงให้เห็นถึงปอดที่มีสุขภาพที่ดี และจะทำเช่นนั้นก่อนที่เธอจะได้รับความเป็นธรรมในโลก"[5] ในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์อยู่ในสายสันตติวงศ์ฝ่ายชาย สมเด็จพระราชินีมารีอามีพระนามอย่างเป็นทางการว่า "เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ" ตั้งแต่แรกพระราชสมภพ พิธีตั้งพระนามของเจ้าหญิงมารีอาได้จัดขึ้นในโบสถ์ส่วนพระองค์ที่พระราชวังวินด์เซอร์ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1875 และกระทำอย่างเป็นทางการโดยอาเทอร์ สแตนลีย์และเจอรัลด์ เวลสลีย์ เจ้าคณะแห่งวินด์เซอร์ พิธีล้างบาปจัดแบบ "ส่วนพระองค์และเคร่งครัด" เนื่องจากเป็นเวลาหนึ่งวันหลังจากพิธีครบรอบการสิ้นพระชนม์ของพระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียซึ่งก็คือ เจ้าชายอัลเบิร์ต[6] พระบิดาและพระมารดาอุปถัมภ์ของเจ้าหญิงมารีอาได้แก่ จักรพรรดินีมารีอาเยีย อะเลคซันโดรฟนาแห่งรัสเซีย (พระอัยยิกาฝ่ายพระมารดา ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นตัวแทน), เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (พระปิตุจฉา), เจ้าหญิงอเล็กซานดรีนแห่งบาเดิน ดัชเชสแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา (พระปัยยิกา ซึ่งเจ้าหญิงเฮเลนาแห่งสหราชอาณาจักรทรงเป็นตัวแทน), ซาเรวิชแห่งรัสเซีย (พระมาตุลา ซึ่งปีเตอร์ อันเดรเยวิช ชูวาลอฟเป็นตัวแทน) และดยุกแห่งคอนน็อตและสตราเธิร์น (พระปิตุลา ซึ่งเจ้าชายลีโอโพลด์ ดยุกแห่งออลบานีทรงเป็นตัวแทน) [7] การศึกษาอบรม![]() เจ้าหญิงมารีอาพร้อมพระเชษฐาและพระขนิษฐาของพระองค์ ได้แก่ เจ้าชายอัลเฟรด (ประสูติ ค.ศ. 1874), เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา (ประสูติ ค.ศ. 1876 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "ดั๊กกี้"<Ducky>), เจ้าหญิงอเล็กซานดรา (ประสูติ ค.ศ. 1878 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "ซานดรา"<Sandra>) และเจ้าหญิงเบียทริซ (ประสูติ ค.ศ. 1884 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "เบบี้บี"<Baby Bee>) ทรงใช้พระชนมชีพในช่วงต้นส่วนใหญ่ที่อีสต์เวลปาร์ก ที่ซึ่งพระราชมารดาทรงโปรดมากกว่าพระตำหนักแคลเรนซ์ สถานที่ประทับ[9] ในบันทึกความทรงจำของพระองค์ เจ้าหญิงมารีอาทรงจดจำช่วงเวลาที่อีสต์เวลด้วยความรัก[10] ดยุกแห่งเอดินบะระไม่ได้ทรงใช้พระชนมชีพส่วนใหญ่กับพระโอรสธิดาเนื่องจากทรงต้องปฏิบัติพระกรณียกิจในราชนาวี และพระชนมชีพของพระโอรสธิดาส่วนใหญ่จึงอยู่ภายใต้การปกครองของพระราชมารดา เจ้าหญิงมารีอาทรงระบุหลังจากนั้นว่าพระองค์ไม่ทรงทราบถึงสีพระเกศาของพระราชบิดาจนกระทั่งหลังจากนั้นทรงทอดพระเนตรไปยังพระสาทิสลักษณ์ และทรงเชื่อว่าสีพระเกศาพระราชบิดาคงจะเข้มกว่าที่เป็นจริง[11] เมื่อพระราชบิดาทรงประทับที่พระตำหนัก ดยุกมักจะทรงเล่นกับพระโอรสธิดา พระองค์มักจะประดิษฐ์เกมจำนวนมากเพื่อมาใช้เล่นกับพระโอรสธิดา[12] ท่ามกลางพระเชษฐาและพระขนิษฐา เจ้าหญิงมารีอาทรงสนิทกับเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา พระขนิษฐา ซึ่งมีพระชนมายุอ่อนกว่าพระองค์หนึ่งปี แต่หลายคนเชื่อว่าเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตามีพระชนมายุมากกว่าเนื่องจากความสูงของพระองค์ ได้สร้างความผิดหวังให้เจ้าหญิงอย่างมาก[13] พระโอรสธิดาจากบ้านเอดินบะระทุกพระองค์ได้เข้าพิธีล้างบาปและอบรมภายใต้นิกายแองกลิคัน สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจแก่พระราชมารดาซึ่งทรงเป็นออร์โธดอกซ์รัสเซียอย่างมาก[3] ดัชเชสแห่งเอดินบะระทรงเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการแยกกันระหว่างรุ่นและเจ้าหญิงมารีอาทรงเสียพระทัยอย่างลึกๆว่าพระราชมารดาของพระองค์ไม่ทรงเคยอนุญาตให้พระองค์สนทนากับบุคคล "ให้ราวกับว่า [พวกเขา] ก็เท่าเทียมกัน" เลย[14] ถึงกระนั้น ดัชเชสทรงเป็นบุคคลที่มีพระทัยกว้าง, มีวัฒนธรรม และเป็น"บุคคลที่สำคัญที่สุด"ในพระชนม์ชีพวัยเยาว์ของพระโอรสธิดาทุกพระองค์[15] ตามคำสั่งของพระราชมารดา เจ้าหญิงมารีอาและพระขนิษฐาต้องได้รับการศึกษาในภาษาฝรั่งเศส ที่เจ้าหญิงและพระขนิษฐาทรงรังเกียจและไม่ค่อยได้ตรัส[16] แต่โดยรวม ดัชเชสทรงละเลยการศึกษาของพระธิดา โดยทรงพิจารณาว่าพระธิดาของพระองค์เองนั้นไม่ฉลาดหรือมีพรสวรรค์เท่าไร ทุกพระองค์ได้รับอนุญาตให้อ่านออกเสียงได้แต่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวาดภาพและการลงสีภาพ ในพื้นที่ที่ทรงได้รับมรดกทางความสามารถจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระธิดาทรงได้รับเพียงแค่ "การเรียนการสอนการเดินเท้า"[17] ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินบะระทรงเสด็จออกรับสมาชิกราชวงศ์บ่อยๆที่อีสต์เวลปาร์ก โดยทรงเชิญร่วมเสวยพระกระยาหารเช้าเกือบทุกวัน[18] และในปีค.ศ. 1885 เจ้าหญิงมารีอาและเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตาทรงได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวในพิธีอภิเษกสมรสของพระปิตุจฉาคือ เจ้าหญิงเบียทริซกับเจ้าชายเฮนรีแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก[19] ในบรรดาพระสหายของเจ้าหญิงมารีอานั้นทรงเป็นพระญาติทางฝ่ายพระมารดา ได้แก่ แกรนด์ดยุกนิโคลัส (ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "นิกกี้" <Nicky>), แกรนด์ดยุกจอร์จ (ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "จอร์จี้" <Georgie>), แกรนด์ดัชเชสเซเนีย และพระญาติอีกสองพระองค์ได้แก่ แกรนด์ดยุกไมเคิล (ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "มิชา" <Misha>) และแกรนด์ดัชเชสโอลกา ซึ่งมีพระชนมายุอ่อนกว่าพระธิดาบ้านเอดินบะระมาก พระสหายอื่นๆอีกก็ได้แก่พระโอรสธิดาในพระมาตุลา คือ แกรนด์ดยุกวลาดิมีร์ อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย[20] ![]() ในปี ค.ศ. 1886 เมื่อเจ้าหญิงมารีอาทรงมีพระชนมายุ 11 พรรษา ดยุกแห่งเอดินบะระทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญการสูงสุดของกองทัพเรือเมดิเตอร์เรเนียน และทั้งครอบครัวต้องย้ายไปประทับที่พระราชวังซานอันโตนิโอในมอลตา[21] เจ้าหญิงมารีอาทรงจดจำช่วงเวลาในมอลตาว่า "เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของฉัน"[22] ที่มอลตา เจ้าหญิงมารีอาทรงพบกับความรักครั้งแรกกับเมาริซ บอร์ก กัปตันเรือของดยุก ซึ่งเจ้าหญิงมารีอาทรงเรียกเขาว่า "กัปตันที่รัก" เจ้าหญิงมารีอาทรงรู้สึกหึงหวงเมื่อบอร์กให้ความสนใจในพระขนิษฐามากกว่าพระองค์[23] ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินบะระทรงรักการประทับในมอลตาอย่างมากและพระราชวังซานอันโตนิโอก็จะเต็มไปด้วยแขกผู้มาเยือนเสมอ[24] เจ้าหญิงมารีอาและเจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตาทรงได้รับม้าขาวจากพระราชมารดาและจะทรงไปลงแข่งขันในท้องถิ่นเป็นประจำทุกวันยกเว้นวันเสาร์[25] ในระหว่างช่วงปีแรกที่มอลตา พระพี่เลี้ยงชาวฝรั่งเศสจะเป็นผู้ดูแลการศึกษาแก่เหล่าเจ้าหญิงแต่เมื่อเธอมีสุขภาพไม่ดี ในปีต่อมาเธอจึงถูกแทนที่ด้วยสตรีชาวเยอรมันที่อ่อนวัยกว่า[26] ที่ซานอันโตนิโอ ดยุกและดัชเชสแห่งเอดินบะระทรงดูแลห้องประทับสำหรับเจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ พระราชโอรสองค์ที่สองในเจ้าชายแห่งเวลส์ ซึ่งทรงปฏิบัติพระกรณียกิจในราชนาวี เจ้าชายจอร์จทรงเรียกพระภคินีจากเอดินบะระทั้งสามที่สูงวัยกว่าว่า "ผู้น่ารักที่สุดทั้งสาม" แต่ทรงโปรดเจ้าหญิงมารีอามากที่สุด[27] ในขณะที่ดยุกแห่งเอดินบะระทรงกลายเป็นรัชทายาทโดยสมมติของเออร์เนสต์ที่ 2 ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา พระปิตุลาผู้ทรงไร้บุตร เมื่อเจ้าชายแห่งเวลส์ทรงสละสิทธิ์ในดัชชีนี้ ดังนั้นครอบครัวจึงย้ายไปที่โคบูร์กในปี ค.ศ. 1889[21] เจ้าหญิงมารีอาทรงมีมุมมองในช่วงเวลานี้ว่า "เป็นจุดจบของชีวิตที่เคยได้รับความสุขและสนุกโดยไม่มีใครควบคุมอย่างแท้จริง ชีวิตที่เคยปราศจากความผิดหวังหรือความหลงผิดและไม่มีความบาดหมางใด ๆ"[28] องค์ดัชเชสทรงเป็นผู้นิยมเยอรมัน พระองค์ทรงจ้างพระพี่เลี้ยงชาวเยอรมันมาอภิบาลพระธิดา โดยทรงซื้อเสื้อผ้าธรรมดาแก่พระธิดาและแม้กระทั่งให้พระธิดาทรงยอมรับในความเชื่อนิกายลูเทอแรน[29] ครอบครัวทรงใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนที่ปราสาทโรสเนา[30] ดยุกเออร์เนสต์ทรงบรรยายถึงเจ้าหญิงมารีอาว่าเป็น "เด็กที่แปลกประหลาด" ราชสำนักขององค์ดยุกเป็นราชสำนักที่เข้มงวดน้อยกว่าราชสำนักอื่นๆในเยอรมัน[31] ในโคบูร์ก การศึกษาของเจ้าหญิงได้มีการขยับขยายมากยิ่งขึ้น โดยมีการให้ความสำคัญกับการวาดภาพและดนตรี ซึ่งทรงได้รับการอบรมจากแอนนา เมสซิงและนางเฮลเฟอริช ตามลำดับ[32] ในวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ เจ้าหญิงมารีอาและพระขนิษฐาจะเสด็จไปยังโรงละครโคบูร์กซึ่งเป็นสถานที่ที่ทุกพระองค์ทรงสนุกอย่างมาก[33] กิจกรรมอื่นๆที่เหล่าพระธิดาทรงโปรดที่โคบูร์กคือการเข้าร่วมงานเลี้ยงฤดูหนาวที่พระราชมารดาทรงจัดขึ้น ที่ซึ่งทุกพระองค์ทรงเล่นสเก็ตน้ำแข็งและเกมกีฬาต่าง ๆอย่างเช่น ฮอกกี้น้ำแข็ง[34] อภิเษกสมรสเจ้าหญิงมารีอาทรงเจริญพระชันษามาเป็น "หญิงสาวที่น่ารัก" ด้วย"ดวงพระเนตรสีฟ้าเป็นประกายและพระเกศาสีอ่อนเนียน" เจ้าหญิงทรงถูกหมายโดยเหล่าราชนิกูลที่ยังโสดทั้งหลาย รวมทั้ง เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ ผู้ซึ่งในปี ค.ศ. 1892 ทรงกลายเป็นผู้มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์ลำดับที่สอง[35] สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เจ้าชายแห่งเวลส์และดยุกแห่งเอดินบะระทรงอนุมัติแผนการนี้ แต่เจ้าหญิงแห่งเวลส์และดัชเชสแห่งเอดินบะระทรงปฏิเสธแผนการนี้ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ไม่ทรงโปรดราชตระกูลที่นิยมเยอรมันและดัชเชสแห่งเอดินบะระไม่ประสงค์ให้พระธิดาอยู่ในอังกฤษที่ทรงไม่พอพระทัย ดัชเชสทรงไม่พอใจในความเป็นจริงที่ว่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งพระราชบิดานั้นเดิมทรงเป็นเพียงเจ้าชายเยอรมันชั้นรองก่อนที่จะทรงได้รับราชบัลลังก์แห่งเดนมาร์ก ซึ่งทำให้พระองค์ทรงมีลำดับยศสูงกว่าดัชเชสตามลำดับความสำคัญ[36] ดัชเชสแห่งเอดินบะระยังทรงต่อต้านแนวคิดการแต่งงานกันในระหว่างเครือญาติชั้นที่หนึ่งซึ่งผิดธรรมเนียมในศาสนจักรออร์ทอด็อกซ์รัสเซียของพระองค์แต่เดิม[37] ดังนั้นเมื่อเจ้าชายจอร์จทรงสู่ขอเจ้าหญิง เจ้าหญิงมารีอาทรงรีบบอกพระองค์ว่าการอภิเษกสมรสนั้นเป็นไปไม่ได้และทรงบอกว่าพระองค์ยังคงเป็น "เพื่อนสนิทที่รัก" ของเจ้าหญิงเสมอ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงให้ความเห็นหลังจากนั้นว่า "จอร์จีสูญเสียมิสซีไปจากการรอและรอ"[38] ในช่วงนี้ พระเจ้าการอลที่ 1 แห่งโรมาเนีย ทรงกำลังมองหาพระชายาที่เหมาะสมสำหรับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการสืบราชสันตติวงศ์และเพื่อให้มั่นพระทัยในความต่อเนื่องของราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์น-ซิกมาริงเงิน จากแรงกระตุ้นโดยการคาดหวังที่จะขจัดความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและโรมาเนียในการควบคุมเหนือดินแดนเบสซาราเบีย ดัชเชสแห่งเอดินบะระทรงแนะนำให้เจ้าหญิงมารีอาทรงพบกับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์[37] เจ้าหญิงมารีอาและมุกฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงพบกันครั้งแรกและคุ้นเคยกันในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำและทั้งคู่ทรงสนทนาเป็นภาษาเยอรมัน เจ้าหญิงทรงพบว่ามกุฎราชกุมารทรงเป็นคนขี้อายแต่น่ารัก และการพบกันครั้งที่สองก็เป็นไปได้ด้วยดี[39] เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงหมั้นอย่างเป็นทางการ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเขียนถึงเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งเฮสส์และไรน์ว่า "[เฟอร์ดินานด์]เป็นคนที่ดีและพ่อแม่ของเขาก็มีเสน่ห์ แต่ประเทศนั้นไม่ปลอดภัยอย่างมากและสังคมในบูคาเรสต์เป็นสังคมที่ผิดศีลธรรมอย่างเลวร้ายมาก ดังนั้นงานอภิเษกครั้งนี้จะต้องทำให้ล่าช้าเพราะว่า มิสซียังมีอายุไม่ถึง 17 ปีเลยจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนตุลาคม!"[40] จักรพรรดินีวิกตอเรียแห่งเยอรมัน พระปิตุจฉาของเจ้าหญิงมารีอา ทรงเขียนถึงมกุฎราชกุมารีอาโซเฟียแห่งกรีซ พระราชธิดา ว่า "ตอนนี้มิสซีมีความยินดีมาก แต่น่าเศร้าที่เธอยังเด็กนัก แล้วเธอจะสามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?"[41] ในช่วงปลายปีค.ศ. 1892 พระเจ้าการอลเสด็จเยือนลอนดอนโดยจะทรงเข้าพบดนุกแห่งเอดินบะระและสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ซึ่งในที่สุดก็จะทรงเห็นด้วยกับการอภิเษกสมรส และทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แก่พระเจ้าการอล[42] ในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1893 เจ้าหญิงมารีอาและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสที่ปราสาทซิกมาริงเงินในสามพิธี ได้แก่ พิธีระดับรัฐ, พิธีคาทอลิก (ศาสนาของมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์) และพิธีแองกลิคัน (ศาสนาของเจ้าหญิงมารีอา) พิธีระดับรัฐได้ถูกดำเนินการที่ห้องโถงแดงของปราสาทโดยคาร์ล ฟอน เวนเดล องค์จักรพรรดิเยอรมันได้เสด็จมาเป็นพยานองค์แรกในสัญลักษณ์ของพิธีอภิเษกสมรส ในเวลา 4 นาฬิกา พิธีคาทอลิกได้ถูกจัดที่โบสถ์เมือง โดยพระราชบิดาทรงพาเจ้าหญิงมารีอามาที่แท่นบูชา พิธีแองกลิคันมีความเรียบง่ายและได้ดำเนินการในห้องหนึ่งของปราสาท[43][44] แม้ว่าพระเจ้าการอลทรงอนุญาตให้ทั้งคู่เสด็จไป "โฮนิกทัก" (Honigtag; หนึ่งวันสำหรับการฮันนีมูน) เจ้าหญิงมารีอาและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงใช้เวลาไม่กี่วันที่ปราสาทในเคราเชนวีส์ที่บาวาเรีย จากที่นั่นทรงเดินทางผ่านชนบท และการเดินทางต้องถูกขัดจังหวะและหยุดที่กรุงเวียนนา ที่ซึ่งทรงเข้าเฝ้าจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย เนื่องจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างออสเตรียและโรมาเนีย (การเข้าเฝ้าเกิดขึ้นระหว่างการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของบันทึกความเข้าใจทรานซิลเวเนีย) ทั้งสองพระองค์เสด็จเยือนเป็นระยะเวลาสั้น ๆ และทรงมาถึงชายแดนของเมืองพรีดีลจากการเดินทางข้ามคืนผ่านทรานซิลเวเนียด้วยรถไฟ[45] เจ้าหญิงมารีอาทรงได้รับการต้อนรับจากชาวโรมาเนียอย่างอบอุ่นซึ่งปรารถนาในสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีความเป็นบุคคลมากขึ้น[46] มกุฎราชกุมารีอาแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1893 - 1914)พระชนม์ชีพภายในประเทศ![]() ในช่วงปีแรกของการอภิเษกสมรสระหว่างมกุฎราชกุมารีอามารีอาและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์นั้นไม่ง่าย และเจ้าหญิงมารีอาทรงบอกพระสวามีในภายหลังว่า "มันเป็นเรื่องน่าละอายจริงๆที่เราทั้งคู่ต้องเสียเวลาเป็นเวลาหลายปีในช่วงวัยรุ่นเพียงเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกัน!"[48] ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ได้ค่อยๆพัฒนาเป็นมิตรภาพที่จริงใจอย่างช้าๆ เจ้าหญิงมารีอาทรงเคารพมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง และต่อมาเป็นพระมหากษัตริย์ และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ก็ทรงเคารพเจ้าหญิงมารีอาในฐานะที่เจ้าหญิงทรงเข้าใจในโลกนี้ดีกว่าพระองค์[49] ในที่สุดเจ้าหญิงมารีอาก็ทรงเชื่อว่า พระองค์กับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์เป็น "เพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุด เป็นสหายที่ดีที่สุด แต่ชีวิตของเราประสานเข้ากันได้ในบางเรื่อง"[50] มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงโปรดมากเมื่อเจ้าหญิงมารีอาทรงปรากฏพระองค์ในระหว่างการสวนสนามของทหารและทำให้เจ้าหญิงทรงได้รับเชิญมายังงานเหล่านี้บ่อยครั้ง[51] เจ้าหญิงมารีอาทรงมีพระประสูติกาลบุตรพระองค์แรกคือ เจ้าชายการอล ในเวลาเพียงเก้าเดือนหลังจากอภิเษกสมรส ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1893 ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงมารีอาจะทรงขอใช้คลอโรฟอร์มเพื่อระงับอาการเจ็บปวด แต่เหล่าแพทย์ไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แพทย์หลวงโรมาเนียเชื่อว่า "ผู้หญิงทุกคนจะต้องชดใช้ด้วยความเจ็บปวดจากบาปของอีฟ" หลังจากที่พระมารดาของเจ้าหญิงมารีอาและสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงยืนยันตามคำขอของเจ้าหญิง ในที่สุดพระเจ้าการอลทรงอนุญาตให้พระสุณิสาสามารถใช้ยาได้[52] เจ้าหญิงมารีอาไม่ทรงมีความสุขมากนักหลังจากมีพระประสูติกาลพระโอรสองค์แรก ต่อมาทรงเขียนว่า "รู้สึกเหมือนเอาหัว (ของเจ้าหญิงมารีอา) หันไปชนผนัง"[53] ในทำนองเดียวกันแม้ว่าเจ้าหญิงมารีอาจะทรงได้รับการย้ำเตือนอย่างต่อเนื่องจากพระมเหสีในพระเจ้าการอลคือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ที่ทรงเห็นว่าการที่เจ้าหญิงทรงมีบุตรถือว่า "เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต (ของเจ้าหญิงมารีอา)" เจ้าหญิงทรงนึกถึงพระมารดาของพระองค์จากการที่ทรงมีพระประสูติกาลบุตรพระองค์ที่สองคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ในปีค.ศ. 1894[54] หลังจากทีทรงคุ้นเคยกับการใช้พระชนม์ชีพในโรมาเนีย เจ้าหญิงมารีอาทรงเริ่มมีความสุขจากการมีพระประสูติกาลพระโอรสธิดา[55] ซึ่งได้แก่ เจ้าหญิงมาเรีย (ค.ศ. 1900 - 1961) ทรงมีพระนามที่เรียกกันในราชวงศ์ว่า "มิกนอน" <Mignon>, เจ้าชายนิโคลัส (ค.ศ. 1903 - 1978) ทรงมีพระนามที่เรียกกันในราชวงศ์ว่า "นิกกี้" <Nicky>[56], เจ้าหญิงอีเลียนา (ค.ศ. 1909 -1991) และ เจ้าชายเมอร์เซีย (ค.ศ. 1913 - 1916) พระเจ้าการอลและสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงนำเจ้าชายการอลและเจ้าหญิงเอลิซาเบธออกจากการดูแลของเจ้าหญิงมารีอาในทันที โดยทรงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่ให้อยู่ภายใต้การอภิบาลโดยพระบิดามารดาที่ยังเป็นวัยรุ่น[57] เจ้าหญิงมารีอาทรงรักพระโอรสธิดามาก แต่ก็ทรงพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทรงสามารถว่ากล่าวตักเตือนพระโอรสธิดาได้ บางครั้งจึงทรงรู้สึกว่าไม่สามารถดูแลพระโอรสธิดาได้อย่างถูกต้อง[58] ดังนั้นพระโอรสธิดาจะได้รับการศึกษาในบางส่วน แต่ไม่เคยถูกส่งไปโรงเรียน ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์จึงไม่สามารถให้การศึกษาในชั้นเรียนได้ ซึ่งทำให้บุคลิกส่วนใหญ่ของพระโอรสธิดาได้สร้างข้อบกพร่องอย่างรุนแรงเมื่อเจริญพระชันษา[59] เอียน จี. ดูคา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยหลัง ได้เขียนบันทึกในเวลาต่อมาว่า "ดูเหมือนว่า [พระเจ้าการอล] จะประสงค์ที่จะปล่อยให้รัชทายาทโรมาเนียไม่มีความพร้อมในการสืบราชบัลลังก์"[60] พระชนม์ชีพในราชสำนักตั้งแต่เริ่ม มกุฎราชกุมารีอามารีอาทรงประสบปัญหาในการปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรมาเนีย บุคลิกภาพและ"จิตวิญญาณสูงสุด"ของพระองค์ได้สร้างข้อถกเถียงอย่างมากในราชสำนักโรมาเนีย และพระองค์ไม่ทรงโปรดบรรยากาศที่เคร่งครัดในราชวงศ์ของพระองค์[61] พระองค์ทรงเขียนว่าพระองค์เอง "ไม่ได้ถูกพามาโรมาเนียเพื่อให้เป็นที่รักหรือเป็นที่พูดถึง และที่มากที่สุดคือ พระองค์ทรงเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องจักรของพระเจ้าการอลที่ได้สร้างรอยแผลขึ้นในตัวของพระองค์ พระองค์ได้ถูกนำเข้ามาเพื่อประดับตกแต่ง, รับการศึกษา, ทำให้มีความสำคัญลดลงและถูกฝึกอบรมตามความคิดของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่" เมื่อบรรยายถึงช่วงต้นๆในโรมาเนีย มกุฎราชกุมารีอามารีอาทรงเขียนว่า "เป็นเวลานานที่ [พระองค์] รู้สึกเซื่องซึมในขณะที่พระสวามีหนุ่ม [ของพระองค์] ทรงเข้ารับราชการทหาร ทั้งหมดนี้ทำให้ต้องโดดเดี่ยวในห้องพักที่ [พระองค์] ทรงเกลียด เป็นห้องแบบเยอรมันขนาดใหญ่"[62] สมเด็จพระจักรพรรดินี พระพันปีหลวงแห่งเยอรมันทรงเขียนจดหมายถึงมกุฎราชกุมารีอาแห่งกรีซ พระราชธิดาว่า "มิสซีแห่งโรมาเนียน่าสงสารกว่าลูกอีกนะ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ปกครองที่เผด็จการที่สุดในครอบครัวของพระองค์ และทรงบดขยี้อิสรภาพของเฟอร์ดินานด์ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีใครสนใจในตัวเขาและภรรยาของเขาผู้งดงามและน่ารัก แม่กลัวว่าเธอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และเหมือนกับผีเสื้อแทนที่จะบินตอมดอกไม้ แต่ได้เผาปีกที่งดงามของเธอโดยการบินเข้าไปใกล้กองไฟ!"[63] พระองค์ทรงเรียนรู้ภาษาโรมาเนียอย่างง่ายดาย พระองค์ทรงทำตามคำแนะนำของพระมารดาที่ต้องระมัดระวังในการแต่งกายและแสดงความเคารพต่อพิธีกรรมออร์โธดอกซ์ มกุฎราชกุมารีอามารีอาและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงได้รับการแนะนำจากพระมหากษัตริย์ที่ให้คงจำกัดกลุ่มของพระสหาย ดังนั้น พระองค์ทรงเสียพระทัยมากที่วงล้อมครอบครัวของพระองค์ได้ลดเหลือเพียงแค่พระมหากษัตริย์และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ "ผู้ซึ่งยืนหยัดอย่างหวาดกลัวอย่างมากต่อชายชราพระหัตถ์เหล็ก ซึ่งทรงสั่นเทิ้มตลอดทุกการกระทำ [ของมารีอา] ที่อาจจะสร้างความไม่พอใจแก่หน้าที่ของพระประมุขของราชวงศ์"[62] ในหนังสือเสริมนิตยสารไทม์ได้เขียนว่าพระนางมารีอาทรงพบว่าพระองค์เอง "จากช่วงเวลาที่มาถึงบูคาเรสต์ ทรงต้องอยู่ภายใต้การปกครองที่เข้มงวดของพระเจ้าการอลที่ 1"[64] ในปีค.ศ. 1896 มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์และมกุฎราชกุมารีอามารีอาทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังโคโทรเซนี ที่ซึ่งได้รับการขยับขยายโดยกริกอร์ เซอร์เชส สถาปนิกชาวโรมาเนีย และพระนางมารีอาทรงเพิ่มการออกแบบของพระนางเองด้วย[65] ในปีถัดมา มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้รากสาดน้อย ทุกวัน พระองค์ทรงเพ้อและแม้ว่าแพทย์จะพยายามอย่างดีที่สุดแล้วแต่พระองค์ทรงใกล้จะสิ้นพระชนม์[66] ในช่วงเวลานี้ พระนางมารีอาทรงเขียนจดหมายแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมากกับครอบครัวของพระนางในอังกฤษ[67] และทรงหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสียพระสวามี พระเจ้าการอลยังทรงมีรัชทายาทอีกพระองค์คือ เจ้าชายการอล ผู้ซึ่งยังทรงพระเยาว์นัก ดังนั้นทุกคนในราชวงศ์ต่างต้องการให้มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงฝ่าฟันโรคภัยไปได้ ในที่สุดพระองค์ก็ทำได้สำเร็จ พระองค์และพระนางมารีอาได้เสด็จไปยังซินายอา ประทับที่ปราสาทเปเรส เพื่อฟื้นฟูพระวรกาย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองพระองค์ก็ไม่สามารถเข้าร่วมพระราชพิธีพัชราภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียในฤดูร้อนได้ ในช่วงการพักฟื้นของมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ พระนางมารีอาทรงใช้เวลาร่วมกับพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ โดยทรงมีพระดำเนินและเก็บดอกไม้ร่วมกัน[68] ในฤดูหนาวปีค.ศ. 1897/1898 ทรงใช้เวลาร่วมกับพระราชวงศ์รัสเซียที่เฟรนช์ริวีเอรา ที่ซึ่งพระนางมารีอาได้ทรงม้าทั้งๆที่อากาศหนาวเย็น[69] ![]() ในช่วงนี้ มกุฎราชกุมารีอามารีอาทรงพบกับร้อยโท จอร์จี คานตาคูซีเน เป็นสมาชิกที่มมาจากเชื้อสายนอกสมรสของเชื้อพระวงศ์ผู้ครองแคว้นในสมัยโบราณของโรมาเนียและเป็นเชื้อสายของเจ้าชายเซอร์บาน คานตาคูซีโน ถึงแม้รูปโฉมจะไม่หล่อเหลาเท่าไหร่ แต่คานตาคูซีเนเป็นคนที่มีอารมณ์ขันและแต่งตัวดี และมีความสามารถในการขี่ม้า[70] ทั้งคู่ได้เริ่มมีความรักแก่กัน แต่เรื่องอื้อฉาวนี้ได้สิ้นสุดเมื่อสาธารณะได้รับรู้ พระราชมารดาของพระนางมารีอาทรงประณามพฤติกรรมของพระธิดาและทรงโปรดให้พระธิดาเสด็จมายังโคบูร์กเมื่อพระนางมารีอาทรงพระครรภ์ใน ค.ศ. 1897 นักประวัติศาสตร์ จูเลีย เกลาร์ดี เชื่อว่าพระนางมารีอามีพระประสูติกาลบุตรที่โคบูร์ก และบุตรอาจจะเสียชีวิตตั้งแต่เกิดหรือไม่ก็ถูกส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทันที[71] มีการคาดเดากันว่า "เจ้าหญิงมิกนอน" พระธิดาองค์ที่สองของพระนางมารีอา ที่จริงแล้วเป็นบุตรที่ประสูติกับคานตาคูซีเน ไม่ใช่มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์[72] ในปีถัด ๆ มา มีข่าวลือว่าพระนางมารีอาทรงมีความสัมพันธ์กับแกรนด์ดยุกบอริส วลาดีมีโรวิชแห่งรัสเซีย,[note 2] วัลดอร์ฟ อัสเตอร์,[note 3] เจ้าชายบาร์บู สเตอบีย์,[note 4] และโจ บอยล์[79] ในปีค.ศ. 1903 มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีอาทรงเปิดปราสาทเปลีซอร์ เป็นปราสาทในสถาปัตยกรรมแบบนวศิลป์ที่เมืองซินายอา ซึ่งพระเจ้าการอลทรงมอบให้กับทั้งสองพระองค์ พระนางมารีอาทรงได้เรียนรู้ถึงขอบเขตการอดกลั้นซึ่งนำไปสู่การปราบปรามกบฏชาวนาโรมาเนีย ค.ศ. 1907 ซึ่งสายเกินไปที่จะทรงพยายามไกล่เกลี่ย หลังจากนั้นพระนางได้ทรงฉลองพระองค์ชุดพื้นบ้านโรมาเนียบ่อยๆทั้งในที่ประทับและที่สาธารณะและทรงเริ่มทิศทางแฟชั่นการแต่งกายแบบนี้ในหมู่เด็กสาวชนชั้นสูง ในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1913 ราชอาณาจักรบัลแกเรียได้ประกาศสงครามกับราชอาณาจักรกรีซ เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามบอลข่านครั้งที่สอง ในวันที่ 4 กรกฎาคม โรมาเนียได้เข้าร่วมสงคราม โดยเป็นพันธมิตรกับกรีซ[80] สงครามได้ดำเนินเป็นระยะเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน แต่กลับแย่ลงเนื่องจากมีการระบาดของอหิวาตกโรค พระนางมารีอาทรงเผชิญครั้งแรกกับการระบาดของโรคซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนในพระชนม์ชีพของพระนาง ด้วยการช่วยเหลือจากนายแพทย์ เอียน คานตาคูซิโนและซิสเตอร์ พุคชี นางพยาบาลจากกาชาด พระนางมารีอาทรงเดินทางไปทั่วโรมาเนียและบัลแกเรีย เพื่อขอความร่วมมือจากโรงพยาบาล[81] เหตุการณ์เหล่านี้ได้ตระเตรียมให้พระนางเพื่อประสบการณ์ในสงครามโลก[81] ผลของสงครามทำให้เกิดสนธิสัญญาบูคาเรสต์ (ค.ศ. 1913) โรมาเนียได้ครอบครองดอบรูจาใต้ รวมทั้งบอลคิค [Balchik (Balcic)] เมืองชายฝั่งทะเล ที่ซึ่งพระนางมารีอาทรงหวงแหนมากในปีค.ศ. 1924 และมักจะทรงใช้เป็นที่ประทับของพระนาง หลังจากสงครามสิ้นสุด[82] พระเจ้าการอลที่ 1 ทรงพระประชวร ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 ที่เมืองซาราเยโว อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์แห่งออสเตรีย องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ ข่าวนี้ได้ทำให้พระนางมารีอาและพระราชวงศ์ต้องตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งทรงกำลังพักผ่อนอยู่ที่ซินายอาเมื่อข่าวได้มาถึง ในวันที่ 28 กรกฎาคม ออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามต่อเซอร์เบียและพระนางมารีอาทรงเห็นว่า "สันติภาพโลกได้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย" จากนั้นในวันที่ 3 สิงหาคม พระเจ้าการอลทรงเรียกประชุมสภาที่ปรึกษาราชบัลลังก์โรมาเนียที่ซินายอา เพื่อทรงตัดสินพระทัยว่าโรมาเนียควรเข้าร่วมสงคราม ถึงแม้ว่าพระเจ้าการอลทรงโปรดที่จะให้ประเทศของพระองค์สนับสนุนเยอรมนีและฝ่ายมหาอำนาจกลาง แต่สภาได้ตัดสินใจต่อต้านพระราชประสงค์ ไม่นานหลังจากการประชุมสภา พระอาการประชวรของพระเจ้าการอลได้แย่ลงและในที่สุดต้องทรงประทับบนแท่นบรรทมตลอด มีการกล่าวกันว่าพระองค์อาจจะสละราชบัลลังก์[83] ในที่สุด พระองค์เสด็จสวรรคตในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914 และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงสืบราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์โดยทันที สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1914 - 1927)
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1914 มกุฎราชกุมารีอามารีอาและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ได้รับการประกาศสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีในรัฐสภา[84] เจ้าหญิงแอนน์ มารีอา คัลลิมาชี พระสหายสนิทของพระนางมารีอา ได้เขียนว่า "ขณะเป็นมกุฎราชกุมารีอา [มารีอา] ทรงเป็นที่นิยม เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระราชินี พระนางทรงเป็นที่รักอย่างมาก"[85] พระนางทรงมีอิทธิพลเหนือพระสวามีและตลอดทั้งราชสำนัก จากงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ เอ.แอล. อีสเตอร์แมน ได้เขียนว่า "ไม่ใช่ [เฟอร์ดินานด์] แต่มารีอาต่างหากที่ปกครองโรมาเนีย"[86] ในช่วงการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ รัฐบาลได้อยู่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีจากพรรคเสรีนิยม คือ นายกรัฐมนตรีเอียน ไอ. ซี. บราเทียนู พระเจ้าเฟร์ดีนันท์และสมเด็จพระราชินีมารีอาทรงร่วมกันตัดสินพระทัยไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักมากนักและทรงพยายามให้ผู้คนยอมรับการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยหนึ่งไปอีกยุคสมัยหนึ่งมากกว่าการบังคับพวกเขา ดังนั้นข้าราชบริพารของเจ้าชายการอลกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แม้ว่าจะมีคนที่ไม่โปรดก็ตาม[87] ด้วยการช่วยเหลือของบราเทียนู พระนางมารีอาทรงเริ่มกดดันให้พระเจ้าเฟร์ดีนันท์เข้าสู่สงคราม พร้อมกันนั้นพระนางทรงติดต่อเหล่าพระญาติที่ครองราชย์ในประเทศต่างๆของยุโรปและทรงพยายามต่อรองเงื่อนไขที่ดีที่สุดแก่โรมาเนีย ในกรณีที่ประเทศจะเข้าสู่สงคราม[21] พระนางมารีอาทรงสนับสนุนการเป็นพันธมิตรกับพันธมิตรไตรภาคี (รัสเซีย, ฝรั่งเศส และอังกฤษ) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทรงมีเชื้อสายชาวอังกฤษ ความเป็นกลางไม่ได้ทำให้ปราศจากภัยอันตรายใดๆและการเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายไตรภาคี นั้นหมายความว่า โรมาเนียจะทำหน้าที่เป็น "ดินแดนกันชน" ให้รัสเซียเมื่อมีการโจมตีเกิดขึ้น[88] ![]() ในที่สุด พระนางมารีอาทรงเรียกร้องให้พระเจ้าเฟร์ดีนันท์ผู้ทรงไม่แน่พระทัย ให้นำโรมาเนียเข้าสู่สงคราม ด้วยการนำให้รัฐมนตรีฝรั่งเศส ออกุสต์ เฟลิกซ์ เดอ โบปอย เคานท์แห่งแซงต์-ออแลร์ เดินทางมายังโรมาเนีย เพื่อย้ำเตือนว่าพระนางมารีอาทรงเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือจากการประสูติ อีกครั้งหนึ่งคือจากพระหทัย[89] พระเจ้าเฟร์ดีนันท์ทรงทำตามคำวิงวอนของพระนางมารีอา และพระองค์ได้ลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับพันธมิตรไตรภาคีในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1916 ในวันที่ 27 สิงหาคม โรมาเนียได้ประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการีอย่างเป็นทางการ[90] แซงต์-ออแลร์ได้ว่า พระนางมารีอาทรง"โอบกอดสงครามเหมือนกับโอบกอดศาสนา"[91] หลังจากที่ทรงตรัสบอกแก่พระโอรสธิดาว่าประเทศได้เข้าสู่สงคราม พระเจ้าเฟร์ดีนันท์และพระนางมารีอาทรงปลดข้าราชบริพารชาวเยอรมัน ซึ่งพวกเขาจะยังคงมีหน้าที่อย่างเดียวคือการเป็น "เชลยสงคราม"[92] ในช่วงก่อนสงคราม พระนางมารีอาทรงมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือกาชาดโรมาเนียและเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลทุกวัน[93] ในช่วงเดือนแรกของสงคราม โรมาเนียต่อสู้กับข้าศึกไม่น้อยกว่าเก้าครั้ง บ้างสู้รบในแผ่นดินโรมาเนีย เช่น ยุทธการทูร์ตูคาเอีย[94] ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 เจ้าชายเมอร์เซีย พระโอรสองค์สุดท้องของพระนางมารีอา ซึ่งทรงพระประชวรด้วยโรคไข้รากสาดน้อย ได้สิ้นพระชนม์ลงที่เมืองบัฟเตีย พระนางมารีอาทรงมีพระจริตคุ้มคลั่งโดยทรงเชียนในบันทึกของพระนางเองว่า "มีอะไรที่สามารถทำให้เป็นเหมือนกันหรือไม่"[95] หลังจากบูคาเรสต์พ่ายแพ้แก่กองทัพออสเตรีย ราชสำนักได้ย้ายไปประทับที่เมืองยาช เมืองหลวงของแคว้นมอลเดเวียในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916[21] ที่นั่นพระนางยังคงประกอบพระกรณียกิจในฐานะพยาบาลที่โรงพยาบาลทหาร ทุกวันพระนางมารีอาจะทรงฉลองพระองค์พยาบาลและเสด็จไปที่สถานีรถไฟยาช ที่ซึ่งพระนางจะได้ทรงรับทหารที่บาดเจ็บได้มากขึ้น จากนั้นพระนางจะทรงส่งพวกเขาไปยังโรงพยาบาล[96] หลังจากข้อสรุปของการปฏิวัติรัสเซียในต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 และชัยชนะของบอลเชวิก จากคำกล่าวของแฟรงก์ แรตติแกน นักการทูต ที่ว่า โรมาเนียได้กลายเป็น "เกาะที่ล้อมรอบไปด้วยศัตรูโดยไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยเหลือจากพันธมิตร"[97] หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าเฟร์ดีนันท์ทรงลงนามในสนธิสัญญาฟอกซานีในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917[98] พระนางมารีอาทรงพิจารณาแล้วว่าสนธิสัญญานี้เต็มไปด้วยอันตราย ในขณะที่บราเทียนูและสเตอร์บีย์เชื่อว่าการทำเช่นนี้ถือเป็นมาตรการจำเป็นเพื่อที่จะถ่วงเวลาให้มากขึ้น ในเหตุการณ์ต่อๆมาพิสูจน์ได้ว่าการสันนิษฐานของพระนางมารีอานั้นถูกต้อง[99] ในปีค.ศ. 1918 พระนางมารีอาทรงพิโรธและต่อต้านกันลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรสต์ ทำให้มีการบรรยายถึงพระนางเพิ่มว่าทรง "เป็นผู้ชายที่แท้จริงเพียงคนเดียวในโรมาเนีย"[100] การสงบศึกกับเยอรมนี (11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918) ได้ทำให้การต่อสู้ในยุโรปสิ้นสุดลงและนำไปสู่การสิ้นสุดสงครามด้วย ![]() ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ราชรัฐฮังการีได้เริ่มต้นพิชิตทรานซิลเวเนีย ซึ่งชาวฮังการีสามารถครอบครองได้อย่างสมบูรณ์ในราวปีค.ศ. 1200[101] แนวคิดเกี่ยวกับ "เกรตเทอร์โรมาเนีย" ยังคงมีอยู่ในจิตใจของชาวโรมาเนียในทรานซิลเวเนียเป็นบางครั้ง[102] และบราเทียนูได้สนับสนุนแนวคิดนี้อย่างแข็งขันตั้งแต่ก่อนสงคราม[103] ในปีค.ศ. 1918 ทั้งเบสซาราเบียและบูโกวินาได้โหวตเพื่อรวมเข้ากับโรมาเนีย มีการชุมนุมกันที่อัลบาอูเลีย เมืองโบราณในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1918 ที่ซึ่งวาซิลลี โกลดิสได้อ่านประกาศการรวมทรานซิลเวเนียเข้ากับราชอาณาจักรโรมาเนียเก่า เอกสารฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนโดยชาวโรมาเนียและผู้แทนชาวแซ็กซอน[104] โดยการจัดตั้ง "สภาสูงแห่งชาติโรมาเนีย" (โรมาเนีย: Marele Sfat Național Român) เพื่อการบริหารราชการชั่วคราวในระดับจังหวัด [105] พระนางมารีอาทรงเขียนว่า "ความฝันถึงที่ราบของชาวโรมาเนีย ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นจริง...มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลย"[106] หลังจากการชุมนุม พระเจ้าเฟร์ดีนันท์และสมเด็จพระราชินีมารีอาได้เสด็จกลับบูคาเรสต์ที่ซึ่งทรงพบกับความรื่นเริง "วันแห่ง "ความกระตือรือร้น, ความตื่นเต้นอย่างที่สุด" พร้อมกับวงดนตรีเสียงดังและทหารเดินสวนสนามและผู้คนตะโกนโห่ร้อง"[106] ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรได้จัดงานเฉลิมฉลองและพระนางมารีอาทรงมีความสุขที่จะได้เห็นฝ่ายสัมพันธมิตรบนผืนแผ่นดินโรมาเนียเป็นครั้งแรก[107] การประชุมสันติภาพปารีสพระนางทรงเป็นคนที่สง่างามและเราต่อต้านระเบียบการทูตทั้งหมด ตะโกนคำสรรเสริญของเรา วันยังคงเป็นสีเทาหม่น แต่สมเด็จพระราชินีมารีทรงนำแสงสว่างมาภายในตัวพระนางเอง
เนื่องจากพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ทรงปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรสต์และโรมาเนียได้ประกาศตนเป็นศัตรูกับฝ่ายมหาอำนาจกลางจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม จึงทำให้มีสถานที่ที่ซึ่งประเทศที่ชนะสงครามมารวมกันในการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 ที่ซึ่งได้มีการรับประกัน คณะผู้แทนอย่างเป็นทางการนำโดยบราเทียนู ซึ่งเขาพึ่งจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สาม[109] ความแข็งกระด้างของบราเทียนูบวกกับการต่อต้านของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอร์ฌ เกลอม็องโซ ที่จะพยายามมองข้ามการยอมรับของพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ต่อสนธิสัญญาบูคาเรสต์นำไปสู่ความขัดแย้งและคณะผู้แทนโรมาเนียได้เดินทาออกจากปารีส สิ่งนี้ได้สร้างความผิดหวังแก่ "มหาอำนาจทั้งสี่" อย่างมาก ด้วยความหวังที่จะแก้ไขสถานการณ์ แซงต์-ออแลร์ได้แนะนำว่าควรส่งสมเด็จพระราชินีมารีอาไปเข้าร่วมการประชุมแทน สมเด็จพระราชินีทรงยินดีอย่างยิ่งเมื่อมีโอกาสเช่นนี้[110] ![]() พระนางมารีอาเสด็จฯถึงปารีสในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1919[108] พระนางทรงเป็นที่นิยมในหมู่ชาวฝรั่งเศสในทันที อันเนื่องมาจากความกล้าหาญของพระนางในสงคราม[111] ในการประชุม เกลอม็องโซได้ทูลกับพระนางมารีอาว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่ชอบนายกรัฐมนตรีของใต้ฝ่าละอองพระบาทเลย" ซึ่งพระนางทรงตอบทันทีว่า "ประเดี๋ยวคุณจะรู้ว่าฉันน่าคบหาพูดคุยมากกว่า"[112] เขาและประธานาธิบดี แรมง ปวงกาเรได้เปลี่ยนทัศนคติของเกลอม็องโซที่มีต่อโรมาเนียนับตั้งแต่การมาถึงของพระนางมารีอา หลังจากทรงประทับในกรุงปารีสเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ พระนางมารีอาทรงตอบรับคำทูลเชิญของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี และทรงเดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษและประทับที่พระราชวังบักกิงแฮม ด้วยความหวังที่ว่าจะทรงได้รับความเป็นมิตรไมตรีแก่โรมาเนีย พระนางมารีอาทรงพบปะคุ้นเคยกับบุคคลทางการเมืองที่สำคัญในช่วงเวลานั้น ดังเช่น ลอร์ดคูร์ซอน, วินสตัน เชอร์ชิล และวัลดอร์ฟ อัสเตอร์กับแนนซี อัสเตอร์ พระนางได้เสด็จฯไปเยี่ยมพระราชโอรส นิกกี ซึ่งทรงศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยอีตันบ่อยๆ[113] พระนางมารีอาทรงมีความสุขอย่างมากที่ได้กลับไปยังอังกฤษหลังจากจากมาเป็นเวลานาน ทรงเขียนว่า "มันเป็นความรู้สึกที่เปี่ยมล้นจริงๆที่ได้มาถึงลอนดอน และได้รับการต้อนรับที่สถานีโดยจอร์จและเมย์"[114] หลังจากสิ้นสุดการเสด็จเยือนอังกฤษ พระนางมารีอาได้เสด็จกลับปารีส ที่ซึ่งผู้คนยังคงตื่นเต้นสำหรับการเสด็จมาถึงของพระนางอย่างที่เคยเป็นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ฝูงชนรวมตัวกันอยู่รอบๆพระนางบ่อยๆ เพื่อรอที่จะพบสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียจาก "ต่างแดน" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา วูดโรว์ วิลสัน ก็ยังคงไม่สร้างความประทับใจแก่พระนางมารีอา และความเห็นของพระนางเกี่ยวกับกฎหมายรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ ซึ่งพระนางพิจารณาว่าไม่เหมาะสม ก็ไม่ได้ช่วยอะไร[113] พระนางมารีอาได้สร้างความตกตะลึงแก่เจ้าหน้าที่โดยทรงโบกพระหัตถ์ให้รัฐมนตรีของพระนางทั้งหมดออกไปและทรงนำการเจรจาต่อรองด้วยพระองค์เอง จากนั้นพระนางทรงแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า "ไม่เป็นไรหรอก ไม่นานพวกท่านคงต้องชินกับการยอมรับข้อบกพร่องในศีลธรรมของข้าพเจ้า"[115] พระนางมารีอาเสด็จฯออกจากปารีสพร้อมเสบียงอาหารจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือโรมาเนีย ในปีหลังจากนั้น ผลการประชุมได้มีข้อตกลงในสนธิสัญญาแวร์ซายโดยยอมรับโรมาเนียอันยิ่งใหญ่ในระดับนานาชาติ ดังนั้นราชอาณาจักรของพระเจ้าเฟร์ดีนันท์และพระนางมารีอาได้เพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 295,000 ตารางกิโลเมตร (114,000 ตารางไมล์) และจำนวนประชากรได้เพิ่มขึ้นถึงสิบล้านคน[113] สิ่งนี้ทำให้แกรนด์ดัชเชสมาเรีย ปาฟลอฟนาแห่งรัสเซีย ผู้ทรงประทับอยู่ในบูคาเรสต์ช่วงสั้นๆได้สรุปว่า "ด้วยเสน่ห์ ความงามและสติปัญญาที่เพียบพร้อม [มารีอา]ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงปรารถนา"[116] ความพยายามของราชวงศ์![]() ในปีค.ศ. 1920 เจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระธิดาองค์โตของพระนางมารีอา ทรงหมั้นกับเจ้าชายเยออร์ยีโอสแห่งกรีซ พระโอรสองค์โตในสมเด็จพระเจ้ากอนสตันดีโนสที่ 1 แห่งกรีซกับอดีตสมเด็จพระราชินีโซเฟีย พระญาติของพระนางมารีอา ซึ่งทรงถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์กรีซ หลังจากที่พระนางทรงเชิญเจ้าชายจอร์จพร้อมพระขนิษฐาทั้งสองพระองค์คือ เจ้าหญิงเฮเลนและเจ้าหญิงไอรีน มาร่วมประทับพร้อมกับพระนางที่ซินายอา พระนางมารีอาทรงจัดการกิจกรรมต่างๆมากมายแก่คู่หนุ่มสาวทั้งสองและทรงยินดีอย่างมากที่จะทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาของพระนางตามที่ทรงคาดหมายไว้แล้ว ซึ่งพระธิดาของพระนางเองนั้นมีข้อด่างพร้อยอย่างรุนแรง ในเดือนตุลาคม มีรายงานข่าวจากกรีซเกี่ยวกับการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอาเลกซันโดรสแห่งกรีซ ซึ่งเจ้าหญิงกรีซต้องรีบเสด็จกลับไปพบพระบิดาและพระมารดาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในวันถัดมา มีข่าวแจ้งว่า พระมารดาของพระนางมารีอาได้สิ้นพระชนม์แล้วอย่างสงบที่ซูริก[117] พระนางมารีอาทรงเตรียมการเสด็จฯไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งพระนางจะทรงพาเจ้าหญิงเฮเลนและเจ้าหญิงไอรีนไปพบพระบิดาและพระมารดาของทั้งสองพระองค์ได้และเข้าร่วมพิธีฝังพระศพพระมารดาของพระนาง ในขณะที่เจ้าชายเยออร์ยีโอสและเจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงประทับอยู่ที่ซินายอา[118] ในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว มกุฎราชกุมารการอลได้มีการหมั้นหมายเจ้าหญิงเฮเลนและทั้งสองพระองค์ก็ได้อภิเษกสมรสในปีถัดมา พระนางมารีอาทรงปลื้มปิติมาก หลังจากที่ไม่ทรงยอมรับความสัมพันธ์ของมกุฎราชกุมารการอลกับซิซิ ลามบริโนและทรงกลุ้มพระทัยมากที่เธอได้ให้กำเนิดลูกนอกสมรสกับมกุฎราชกุมารการอล คือ การอล ลามบริโน ซึ่งสิ่งที่พระนางพอจะบรรเทาได้ก็คือให้เด็กใช้นามสกุลของมารดา[119] ในปีค.ศ. 1922 พระนางมารีอาทรงให้ "เจ้าหญิงมิกนอล" พระธิดาองค์ที่สองอภิเษกสมรสกับพระเจ้าอาเล็กซานดาร์ที่ 1 แห่งยูโกสลาเวีย พระนางมารีอาทรงปลื้มปิติมากที่พระนัดดาทั้งสองประสูติ ซึ่งก็คือ เจ้าชายมีไฮแห่งโรมาเนีย (ประสูติ ค.ศ. 1921-2017) และเจ้าชายเปตาร์แห่งยูโกสลาเวีย (ค.ศ. 1923 - 1970) การประสูติของพระนัดดาทั้งสองพระองค์ที่ถูกกำหนดชะตาให้ครองราชบัลลังก์ในยุโรปดูเหมือนจะประสานความทะเยอทะยานของพระนางได้ ความพยายามในราชวงศ์ของพระนางมารีอาได้ถูกมองจากนักวิจารณ์ว่าเป็นพระมารดาที่คอยชักจูงควบคุมซึ่งต้องเสียสละความสุขของพระโอรสธิดาของพระนางเองเพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานของพระนาง แต่ในความเป็นจริง พระนางมารีอาไม่ทรงเคยบังคับพระโอรสธิดาอภิเษกสมรสเลย[120] ค.ศ. 1924 พระเจ้าเฟร์ดีนันท์และพระราชินีมารีอาทรงประกอบพระราชกรณียกิจเสด็จทางการทูตไปยังฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, เบลเยียมและสหราชอาณาจักร ในอังกฤษ พระนางทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระเจ้าจอร์จที่ 5 ซึ่งทรงประกาศว่า "นอกเหนือจากการมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน ซึ่งเราได้ทำให้ลุล่วงแล้ว พวกเรายังมีความสัมพันธ์ที่รักใคร่กัน ฝ่าพระบาท สมเด็จพระราชินี ญาติที่รักของข้าพเจ้าเป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด"[121] พระนางมารีอาทรงเขียนถึงวันที่เสด็จเยือนอังกฤษในทำนองเดียวกันว่า "เป็นวันที่ดีสำหรับฉัน มีทั้งอารมณ์หวาน, ความสุข และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกรุ่งโรจน์ที่ได้กลับมายังประเทศของฉันในฐานะราชินี ที่ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการ เป็นเกียรติอย่างยิ่งและกระตือรือร้นในการแลกเปลี่ยน ที่รู้สึกว่าหัวใจคุณพองโตด้วยความภาคภูมิและความพึงพอใจที่รู้สึกถึงหัวใจเต้นและน้ำตาเริ่มไหลออกจากดวงตาของคุณ ในขณะที่บางสิ่งรวมตัวเป็นก้อนกลืนเข้าไปในลำคอของคุณ!"[121] การเสด็จเยือนในระดับรัฐครั้งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ในการยอมรับศักดิ์ศรีของโรมาเนียที่ได้รับหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในขณะเสด็จเยือนเจนีวา พระนางมารีอาและพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ทรงเป็นพระราชวงศ์คู่แรกที่เสด็จไปยังสำนักงานใหญ่ของสันนิบาตชาติที่พึ่งก่อตั้งขึ้น[121] พระราชพิธีราชาภิเษก![]() สถานที่ที่พระเจ้าเฟร์ดีนันท์และพระนางมารีอาทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกคือที่อัลบาอูเลีย ที่ซึ่งเคยเป็นป้อมปราการสำคัญในยุคกลาง และเป็นที่ซึ่งเจ้าชายไมเคิล ผู้กล้าหาญได้สถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นวอยโวด (Voivode) แห่งทรานซิลเวเนียในปีค.ศ. 1599 จึงเป็นการรวมตัวกันของวัลลาเซียและทรานซิลเวเนียเป็นครั้งแรก[122] มหาวิหารออร์ทอดอกซ์ได้ถูกสร้างขึ้นในชื่อ มหาวิหารราชาภิเษกในปีค.ศ. 1921 - 1922[123] เครื่องประดับอัญมณีที่สลับซับซ้อนและฉลองพระองค์ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษกโดยเฉพาะ มงกุฎของสมเด็จพระราชินีมารีอาได้ถูกออกแบบโดยจิตรกรชื่อว่า คอสติน เปเทรสคู และถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบอาร์นูโวโดย "ฟาลีซ" ซึ่งเป็นร้านเครื่องเพชรในกรุงปารีส มงกุฎนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก พระนางมิลิกา เดสปินา พระชายาในองค์ประมุขแห่งวัลลาเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นามว่า เนียกอเอ บาซารับ และทั้งหมดทำขึ้นจากทองคำทรานซิลวาเนีย มงกุฎมีจี้ประดับอยู่ทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งเป็นภาพตราแผ่นดินโรมาเนีย อีกข้างหนึ่งเป็นตราอาร์มดยุกแห่งเอดินบะระ ซึ่งเป็นตราอาร์มที่พระนางมารีอาทรงใช้ก่อนอภิเษกสมรส มงกุฎมีค่าใช้จ่ายประมาณ 65,000 ฟรังก์ ซึ่งจ่ายโดยรัฐผ่านกฎหมายพิเศษ[124] ท่ามกลางเหล่าอาคันตุกะที่มาร่วมในพระราชพิธีราชาภิเษกของทั้งสองพระองค์มีทั้ง เจ้าหญิงเบียทริซ หรือ "เบบี้บี" พระขนิษฐาของพระนางมารีอา, เจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก และนายพลฝรั่งเศส แม็กซีม เวย์กองด์ กับ อองรี มัทธีอัส เบอร์เทโลต์ พระราชพิธีได้ดำเนินการโดยอัครบิดรแห่งโรมาเนียทั้งมวล มิรอน คริสที แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการภายในมหาวิหารเนื่อจากพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ทรงเป็นคาทอลิก และทรงปฏิเสธที่จะรับการสวมมงกุฎจากสมาชิกนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ หลังจากที่ทรงสวมมงกุฎลงบนพระเศียรของพระองค์เองแล้ว พระเจ้าเฟร์ดีนันท์ทรงสวมมงกุฎให้สมเด็จพระราชินีมารีอา ซึ่งทรงคุกเข้าอยู่ก่อนแล้ว ทันใดนั้นปืนใหญ่ได้ถูกจุดเป็นสัญญาณว่าพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีองค์แรกแห่งโรมาเนียอันยิ่งใหญ่ได้รับการเจิมตามพิธีศาสนาแล้ว งานเฉลิมฉลองได้ถูกจัดขึ้นในห้องเดียวกับที่สหภาพได้ถูกประกาศในปีค.ศ. 1918 ชาวนากว่า 20,000 คนได้ร่วมรับประทานเนื้อสเต็กย่างที่ถูกเตรียมไว้ ในวันถัดมา พระเจ้าเฟร์ดีนันท์และพระนางมารีอาได้เสด็จเข้าบูคาเรสต์อย่างสมพระเกียรติ[125] ความยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีราชาภิเษกได้ถูกอ้างมาเป็นหลักฐานการแสดงตนของพระนางมารีอา[126] พระนางมารีอาทรงรับเข้ารีตศาสนจักรออร์ทอดอกซ์โรมาเนียในปีค.ศ. 1926 เป็นการกล่าวถึงการที่ทรงปรารถนาที่จะใกล้ชิดกับพสกนิกรของพระนาง[127] เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาไม่เพียงแต่มีฝนที่ตกหนักและหมอกหนาที่ได้บดบังเทพีเสรีภาพอย่างสลัวได้รับเสด็จสมเด็จพระราชินีมารีแห่งรูมาเนีย ซึ่งพระนางเสด็จถึงแบ็ตเตอรีฮิลล์แล้วในเช้านี้
— เดอะมอนทรีออลกาเซ็ตต์, หนังสือพิมพ์แคนาดา[128] พิพิธภัณฑ์ศิลปะแมรีฮิลล์ในแมรีฮิลล์, วอชิงตันซึ่งแต่เดิมได้รับการออกแบบเพื่อนเป็นคฤหาสน์ของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ซามูเอล ฮิลล์ แต่ด้วยคำขอของลออี ฟูลเลอร์ ทำให้อาคารนี้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์แทน ฮิลล์หวังว่ามันจะถูกอุทิศไปใช้สอยในปี ค.ศ. 1926 และเขาคิดว่ามันเป็นอนุสรณ์แห่งความสงบสุขแด่ภรรยาของเขา แมรี และสมเด็จพระราชินีมารีอา พระนางมารีอาทรงเห็นด้วยที่จะเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาและเป็นสักขีพยานในการอุทิศอาคารนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟูลเลอร์เป็นพระสหายเก่าของพระนาง ฟูลเลอร์รีบประสานความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการที่สนับสนุน "การเสด็จเยือน" อเมริกาของพระนางมารีอา และได้มีการเตรียมการเมื่อพระนางทรงออกเดินทาง[129] พระนางมารีอาทรงมองการเดินทางครั้งนี้ว่าเป็นการ "เห็นประเทศ, พบปะประชาชนและวางโรมาเนียลงบนแผนที่"[130] พระนางทรงเดินทางด้วยเรือข้ามมหาสมุทรแอตเลนติกและเสด็จถึงนิวยอร์กในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1926 โดยมีเจ้าชายนิโคลัสและเจ้าหญิงอีเลียนาโดยเสด็จด้วย
![]() เมื่อเสด็จถึง พระนางมารีอาทรงได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นโดยชาวอเมริกัน ด้วย"เสียงหวูดของเรือกลไฟ, เสียงสนั่นของปืนที่พ่นควันขาวเหนือหมอกสีเทา, เสียงแซ่ซ้องตามฝนที่ตกลงมา" พระนางทรงได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการจากจิมมี วอล์กเกอร์ นายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก[133] คอนสแตนซ์ ลิลลี มอร์ริส ผู้เขียนหนังสือ On Tour with Queen Marie ได้เขียนว่า ผู้คนมีความตืนเต้นสำหรับการเสด็จถึงของพระนางมารีอาโดยส่วนใหญ่เพราะเสน่ห์ของพระนางเป็นสิ่งที่เกือบจะเป็นตำนาน ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นโดยเอกสารและคำเล่าลือตลอดพระชนม์ชีพของพระนาง เธอได้ตั้งข้อสังเกตว่า "สมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียมผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ครั้งหนึ่งทรงเสด็จมาพร้อมกับพระสวามีของพระนางเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และหลายปีที่ผ่านมาพระประมุขแห่งฮาวาย ผู้ผิวดำ ได้รับเกียรติจากเรา แต่ก็ไม่มีโอกาสอื่นอีก และเวลาก็ไม่ได้ถูกตั้งไว้ดีไปกว่านี้" พระนางมารีอาทรงเป็นที่นิยมในหมู่สตรีที่เรียกร้องสิทธิเลือกตั้ง ที่ซึ่งพระนางทรงถูกมองว่าเป็น"สตรีที่มีปัญญา ทรงวางแผนการรัฐประหารหลายต่อหลายครั้ง ที่ซึ่งสมองของพระนางได้คิดแก้ไขปัญหายากๆเพื่อพสกนิกรของพระนาง ผู้ซึ่งเคยเป็นของขวัญแก่พระนางเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ดีของพระนาง"[134] ในช่วงที่เสด็จเยือนอเมริกา พระนางมารีอา, เจ้าชายนิโคลัสและเจ้าหญิงอีเลียนาได้เสด็จเยือนหลายเมืองรวมทั้ง ฟิลาเดลเฟีย ทุกพระองค์เป็นที่นิยมชมชอบมากและทรงได้รับการต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นอย่างเท่าเทียมกันในแต่ละเมืองที่ได้เสด็จ ซึ่งมีมากเสียจน "[เจ้าชายนิโคลัสและเจ้าหญิงอีเลียนา]รู้สึกมีนงงอย่างพอสมควรโดยการปรบมืออย่างมากของพวกเขา"[135] ก่อนที่จะเสด็จออกจากสหรัฐอเมริกาพระนางมารีอาทรงถูกเสนอให้ประทับรถกันกระสุนเข้าเมืองจากบริษัทวิลลีส์-ไนท์ ซึ่งพระนางทรงตอบรับอย่างเป็นสุข ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พระนางมารีอาและพระโอรสธิดาได้รับการส่งเสด็จจากคณะผู้แทนจากวอชิงตัน ดี.ซี. เนื่องจากทรงเตรียมที่จะเสด็จออกจากอ่าวนิวยอร์กด้วยเรือ มอร์ริสได้เขียนว่า "จากมุมมองสุดท้ายของเราต่อพระนางและพระราชบุตร ซึ่งทรงโบกพระหัตถ์กลับมาหาเราด้วยรอยยิ้มและน้ำตาจากการที่ทรงผ่านฉากแห่งความสุข"[136] มอร์ริสได้เดินทางมาพร้อมกับสมเด็จพระราชินีตลอดการเดินทางของพระนางและได้บันทึกรายละเอียดช่วงเวลาของพระนางมารีอาในอเมริกาลงในหนังสือของเธอ ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1927 พระนางมารีอาทรงรู้สึกยินดีกับการเสด็จเยือนครั้งนี้มากและทรงหวังว่าจะได้กลับมาอเมริกาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พระนางทรงบันทึกในพระอนุทินของพระนางว่า[137]
ตกพุ่มม่าย (ค.ศ. 1927 - 1938)ค.ศ. 1927 - 1930![]() เจ้าชายการอลทรงทำให้เกิดวิกฤตราชวงศ์โรมาเนียขึ้นโดยทรงประกาศสละสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าเฟร์ดีนันท์อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1926 พร้อมกับทรงสละสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของเจ้าชายมีไฮ ซึ่งได้รับการประกาศเป็นองค์รัชทายาทแทน พระราชบัญญัติผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้ผ่านสภา และได้จัดตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินซึ่งประกอบด้วย เจ้าชายนิโคลัส, อัครบิดรแห่งโรมาเนีย มิรอน คริสทีและจีออร์เก บุซดูกาน ประธานศาลยุติธรรมสูงสุด[138] อย่างไรก็ตามทั้งพระนางมารีอาและพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ก็ไม่ทรงเต็มพระทัยที่เสด็จออกไปโดยปล่อยให้ประเทศอยู่ภายใต้พระหัตถ์ของพระนัดดา ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 5 พรรษา แม้ว่าจะทรงได้รับการดูแลจากคณะผู้สำเร็จราชการ เนื่องจากทรงกลัวว่าดินแดนที่ได้รับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะถูกอ้างสิทธิโดยประเทศเพื่อนบ้านและความผันผวนทางการเมืองอาจจะนไปสู่ความไม่สงบได้ อย่างไรก็ตามเมื่อพระนางมารีอาเสด็จกลับมาจากอเมริกา พระชนม์ชีพของพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ดูเหมือนใกล้จะดับสิ้นลง พระองค์ทรงประชวรอย่างทุกข์ทรมานด้วยพระโรคมะเร็งพระอันตะ และในเดือนเมษายน ค.ศ. 1927 ทรงใกล้จะสวรรคตโดยทรงรับพิธีกรรมสุดท้ายของคริสตจักรโรมันคาทอลิก พระองค์สวรรคตในวันที่ 20 กรกฎาคม ภายในอ้อมพระพาหาของพระนางมารีอา พระนางทรงเขียนในเวลาต่อมาว่า " 'ฉันเหนื่อยเหลือเกิน' นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดและเมื่อเขาเอนตัวลงนอนอย่างเงียบสงบภายในอ้อมแขนของฉัน หนึ่งชั่วโมงต่อมาฉันรู้ว่าอย่างน้อยฉันต้องขอบคุณพระเจ้าเพื่อเขา นี่เป็นการพักผ่อนอย่างสงบที่แท้จริง"[139] เจ้าชายมีไฮทรงสืบราชบัลลังก์ต่อโดยอัตโนมัติหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าเฟร์ดีนันท์ และสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้เข้ามารับบทบาทของพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1928 เจ้าชายการอลทรงพบว่าพระชนม์ชีพของพระองค์ในต่างประเทศกับแม็กดา ลูเปสคูเป็นที่ไม่น่าพอพระทัย[137] ทรงพยายามหาหนทางเสด็จกลับมายังโรมาเนียด้วยความช่วยเหลือของไวส์เคานท์โรเทอร์แมร์ที่ 1 พระองค์ทรงถูกสั่งห้ามทำเช่นนั้นโดยผู้มีอำนาจในอังกฤษ ซึ่งได้ดำเนินการขับไล่พระองค์ออกจากอังกฤษ ด้วยความพิโรธอย่างมาก พระนางมารีอาทรงส่งคำขอโทษอย่างเป็นทางการแก่พระเจ้าจอร์จที่ 5 ในนามของพระโอรสของพระนาง ซึ่งพระโอรสได้เริ่มต้นวางแผนการก่อรัฐประหาร[140] เจ้าชายการอลทรงประสบความสำเร็จในการหย่าขาดจากเจ้าหญิงเฮเลนในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1928 ด้วยฐานจากการที่ไม่ทรงลงรอยกัน[141] ความนิยมในพระนางมารีอาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในรัชสมัยของพระเจ้ามีไฮและหลังจากที่ทรงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในปี ค.ศ. 1929 พระนางทรงถูกกล่าวหาโดยสื่อและแม้กระทั่งเจ้าหญิงเฮเลนว่าทรงวางแผนก่อรัฐประหาร[142] ในช่วงนี้ มีข่าวลือเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงอีเลียนา หลังจากที่มีการพูดคุยถึงการที่จะให้เจ้าหญิงอีเลียนาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าซาร์แห่งบัลแกเรียหรือเจ้าชายแห่งอัสตูเรียส[143] และในที่สุดเจ้าหญิงก็ทรงหมั้นกับอเล็กซานเดอร์ เคานท์แห่งโฮชเบิร์ก ราชนิกุลเยอรมันสายรองในต้นปี ค.ศ. 1930[144] แต่การหมั้นครั้งนี้อายุสั้น พระนางมารีอาไม่ทรงสามารถจัดการอภิเษกสมรสทางการเมืองของพระธิดาองค์เล็กได้ ซึ่งเจ้าหญิงต้องทรงอภิเษกสมรสกับอาร์คดยุกแอนตันแห่งออสเตรีย-ทัสคานี จากอิตาลีแทนในปี ค.ศ. 1931[143] รัชสมัยพระเจ้าการอล![]() ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1930 เจ้าชายการอลได้เสด็จถึงบูคาเรสต์และเสด็จไปยังรัฐสภา ที่ซึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ค.ศ. 1927 ได้ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ ดังนั้น เจ้าชายการอลจึงช่วงชิงราชบัลลังก์ของพระโอรส และทรงครองราชย์เป็น พระเจ้าการอลที่ 2 เมื่อทรงได้ทราบข่างการกลับมาของพระเจ้าการอล พระนางมารีอาผู้ทรงประทับอยู่ต่างประเทศก็ทรงโล่งพระทัย พระนางทรงมีความกังวลกับทิศทางที่ประเทศกำลังมุ่งไปมากและทรงมองการกลับมาของพระเจ้าการอลว่าเป็น การกลับมาของบุตรชายผู้ล้างผลาญ (Return of the Prodigal Son) แต่ทันทีที่พระนางเสด็จกลับบูคาเรสต์ พระนางก็ทรงเริ่มตระหนักว่าทุกสิ่งเป็นไปไม่ได้ด้วยดี พระเจ้าการอลทรงปฏิเสธคำแนะนำของพระนางมารีอาที่ให้รับเจ้าหญิงเฮเลนกลับมา[142] และไม่ทรงเคยของคำปรึกษาพระนางมารีอาตลอดรัชสมัยของพระองค์เลย จึงทำให้รอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างพระมารดาและพระโอรสที่มีอยู่แล้วได้แตกหักโดยสมบูรณ์[145] ด้วยความอ้างว้างและพระนางเกือบจะละทิ้งความเชื่อของพระนาง พระนางมารีอาทรงหันไปสนพระทัยคำสอนของศาสนาบาไฮ ซึ่งพระนางทรงพบว่า "มีความน่าสนใจอย่างมาก"[146] พระนางมารีอาทรงเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรกที่นับถือบาไฮ[147] พระนางทรงเขียนในเวลาต่อมาว่า[148]
ในปี ค.ศ. 1931 เจ้าชายนิโคลัสทรงหนีตามไปกับเอียนา โดเลทติ ผู้หญิงผู้เคยผ่านการหย่าร้างมาแล้ว พระนางมารีอาไม่ทรงเห็นด้วยกับการกระทำของพระโอรสและทรงรู้สึกเจ็บปวดจากการพยายามเข้าไปเกี่ยวในเรื่องของโดเลทติอย่างซ้ำๆทำให้เจ้าชายนิโคลัสทรงหลีกเลี่ยงที่จะติดต่อกับพระมารดา แม้ว่าพระนางจะทรงตำหนิผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของพระโอรส ในขณะเดียวกันพระนางก็ทรงตำหนิตัวพระนางเองด้วยในการที่ทรงล้มเหลวจากการพยายามทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง แต่พระนางก็ทรงดื้อดึงและปฏิเสธที่จะพบกับแม็กดา ลูเปสคู แม้ว่าพระเจ้าการอลจะทรงอ้อนวอนก็ตาม จนกระทั่งในปีสุดท้ายของพระชนม์ชีพ พระนางก็แทบจะไม่กล่าวถึงชื่อของลูเปสคูเลย[149] ด้วยทั้งประเทศเกลียดชังพระสนมในพระเจ้าการอล มันเป็นช่วงก่อนที่ฝ่ายปฏิปักษ์ของพระมหากษัตริย์จะเกิดขึ้น ฝ่ายปฏิปักษ์นี้ที่โดดเด่นที่สุดคือมาจากกลุ่มไอออนการ์ด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากเบนิโต มุสโสลินีและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หลังจากที่พระเจ้าการอลทรงหันมาขอให้นายกรัฐมนตรีเอียน ดูคาช่วยเหลือ กลุ่มไอออนการ์ดได้ลอบสังหารดูคาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1933[149] หลังจากการอสัญกรรมของดูคา ความนิยมในพระเจ้าการอลได้ลดลงและได้มีข่าวลือว่าจะมีความพยายามลอบปลงพระชนม์พระองค์ในพิธีสวนสนามอิสรภาพประจำปี เพื่อทรงหลีกเลี่ยงการนี้ พระองค์จึงให้พระนางมารีอาเสด็จแทนพระองค์ในพิธีสวนสนามนี้ และครั้งนี้จะเป็นการปรากฏพระองค์ต่อหน้าสาธารณชนครั้งสุดท้ายของพระนางมารีอา[150] หลังจากพิธีสวนสนามผ่านไป พระเจ้าการอลทรงพยายามทำลายความนิยมในตัวพระมารดาท่ามกลางชาวโรมาเนียและทรงพยายามที่จะผลักดันให้พระนางเสด็จออกจากประเทศ แต่พระนางมารีอาไม่ทรงยอมทำตาม และทรงเสด็จไปประทับที่ชนบททั้งสองแห่งแทน[151] สถานที่แรกคือปราสาทบราน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองบราชอฟในทรานซิลเวเนียใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้มอบให้พระนางเป็นของกำนัลไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 และพระนางทรงบูรณะสถานที่ในอีกเจ็ดปีต่อมา[152] อีกสถานที่หนึ่งคือบอลชิค ที่ซึ่งพระนางทรงสร้างพระราชวังบอลชิคและโบสถ์เล็ก ๆ ที่เรียกว่า Stella Maris และทรงตกแต่งสวนของพระนาง พระนางยังทรงเสด็จเยี่ยมเจ้าหญิงอีเลียนาและพระโอรสธิดาของเจ้าหญิงในออสเตรีย เจ้าหญิงอีเลียนาไม่ค่อยทรงได้รับอนุญาตจากพระเจ้าการอลให้เสด็จเยือนโรมาเนีย สิ่งนี้ทำให้พระนางมารีอาทรงขุ่นเคืองพระทัยมาก พระนางยังทรงเสด็จไปยังเบลเกรดโดยทรงใช้เวลากับพระธิดา "เจ้าหญิงมิกนอน" และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ พระชามาดา ในปี ค.ศ. 1934 พระนางมารีอาเสด็จเยือนอังกฤษอีกครั้ง[151] ทรงพบกับดัชเชสแห่งยอร์ก ผู้ซึ่งทำให้พระนางทรงปลื้มปิติมาก[153] ประชวรและสวรรคตในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1937 พระนางมารีอาทรงพระประชวร[21] แพทย์ประจำพระองค์คือ นายแพทย์คัสเตลานี ได้วินิจฉัยว่าพระนางทรงเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนแม้ว่าการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการจะระบุว่าทรงเป็นโรคตับแข็ง พระนางมารีอาไม่ใช่นักดื่มและเมื่อทรงได้ยินข่าว พระนางทรงรายงานว่า "มันต้องเป็นโรคตับแข็งที่ไม่มีแอลกอฮอล์แน่ ๆ เพราะตลอดทั้งชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยลิ้มรสแอลกอฮอล์เลยนะ"[154] พระนางได้ถูกแนะนำให้งดเสวยพระกระยาหารที่เย็นจัด และรับการฉีดยาและบรรทมพักผ่อน ในช่วงนั้นพระนางมารีอาทรงมีพระวรกายที่อ่อนแอมาก จนพระนางไม่ทรงสามารถแม้แต่จับปากกาได้เลย ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 พระนางถูกส่งไปยังโรงพยาบาลในอิตาลี ด้วยหวังว่าพระวรกายจะได้รับการฟื้นฟู ที่นั่นเจ้าชายนิโคลัสและพระชายาของเจ้าชายได้เสด็จเยี่ยมพระนางมารีอา ซึ่งในที่สุดแล้วพระนางมารีอาทรงให้อภัยในการกระทำผิดของพระสุณิสา นอกจากนี้ เจ้าหญิงเฮเลน ผู้ซึ่งพระนางไม่ทรงเคยพบอีกเลยตลอดระยะเวลา 7 ปี ได้เสด็จมาเยี่ยมพระนาง รวมทั้งวัลดอร์ฟ อัสเตอร์ด้วย ในที่สุดพระนางมารีอาทรงถูกย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลในเดรสเดิน ด้วยพระอาการทรุดลงเรื่อย ๆ พระนางมารีอาทรงขอเสด็จกลับโรมาเนียเพื่อที่จะได้สวรรคตที่นั่น พระเจ้าการอลปฏิเสธที่จะให้พระนางเสด็จโดยเครื่องบิน[155] และพระนางทรงปฏิเสธบริการทางการแพทย์อากาศที่ฮิตเลอร์ได้ทูลเสนอให้[156] โดยทรงเลือกเสด็จกลับโรมาเนียโดยรถไฟแทน พระนางทรงเข้าประทับที่ปราสาทเปลิซอร์[155][note 5] พระนางมารีอาเสด็จสวรรคตในวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938 เวลา 17.38 น. เป็นเวลาแปดนาทีหลังจากพระอาการอยู่ในช่วงโคม่า[157] พระโอรสธิดาองค์โต คือ พระเจ้าการอลและเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พร้อมกับเจ้าชายมีไฮ ทรงอยู่กับพระนางในช่วงวาระสุดท้าย[155] สองวันถัดมา ในวันที่ 20 กรกฎาคม พระบรมศพของพระนางมารีอาได้ถูกอัญเชิญมาที่บูคาเรสต์ ซึ่งมาประกอบพิธีตั้งพระบรมศพที่ห้องรับแขกสีขาวในพระราชวังโคโทรเซนี หีบพระบรมศพของพระนางได้ล้อมรอบด้วยดอกไม้และเทียนแสงแวววาวและได้รับการรักษาโดยทหารจากกองทหารม้าฮุสซาร์ ผู้คนหลายพันคนเข้าแถวล้อมรอบพระบรมศพของพระนางมารีอาในช่วงเวลาสามวันของพิธีตั้งพระบรมศพ ในวันที่สาม พระราชวังได้เปิดให้กรรมกรโรงงานเข้ามาร่วมพิธี ขบวนพระบรมของพระนางมารีอาได้ไปยังสถานีรถไฟโดยผ่านประตูชัยโรมาเนีย พระบรมศพของพระนางได้ถูกนำไปยังมหาวิหารเคอร์เทียเดออาร์ก ที่ซึ่งทรงถูกฝังที่นั่น พระหทัยของพระนางมารีอาประทับลงในตลับสีทองประดับด้วยสัญลักษณ์ของมณฑลโรมาเนียและฝังอยู่ที่โบสถ์ Stella Maris ในบอลชิคตามพระราชประสงค์ของพระนาง ในปี ค.ศ. 1940 หลังจากมณฑลโดบรูจาใต้ถูกผนวกเข้ากับบัลแกเรียในสนธิสัญญาคราเอียวาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระหทัยของพระนางได้ถูกย้ายมาที่ปราสาทบราน[158] ที่ซึ่งเจ้าหญิงอีเลียนาทรงสร้างโบสถ์เพื่อเป็นที่บรรจุพระหทัยและถูกเก็บไว้ในกล่องสองกล่องที่ซ้อนกันอยู่ภายในโลงหินอ่อน[159] พระนางมารีอาทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียพระองค์สุดท้าย โดยเจ้าหญิงเฮเลนทรงได้รับพระอิสริยยศ "สมเด็จพระราชชนนี" เท่านั้นในระหว่างปีค.ศ. 1940 ถึงค.ศ. 1947 พระนางทรงเป็นหนึ่งในห้าพระราชนัดดาของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียที่ได้สวมมงกุฎและทรงเป็นหนึ่งในสามที่สามารถรักษาพระอิสริยยศในฐานะสมเด็จพระราชินีได้หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยกันกับสมเด็จพระราชินีม็อดแห่งนอร์เวย์และสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ยูเชนีแห่งสเปน พระราชมรดกตามที่หนึ่งในนักเขียนพระราชประวัติของพระนางมารีอา คือ ไดอานา แมนดาเช ได้กล่าวว่า พระนางมารีอาทรงตีพิมพ์หนังสือและเรื่องสั้น 34 เล่ม ทั้งในภาษาโรมาเนียและภาษาอังกฤษ ตลอดพระชนม์ชีพของพระนาง[160] นี้ได้รวมทั้งอัตชีวประวัติอันน่าสะเทือนใจของพระนางด้วย คือ The Story of My Life ที่ตีพิมพ์โดยคาสเซลในลอนดอน มีทั้งหมดสามเล่ม หนังสือได้รับการวิจารณ์โดยเวอร์จิเนีย วูล์ฟ ซึ่งเธอได้มองว่ามันทำให้รู้สึกคุ้นเคยกับราชวงศ์มากเกินไป เธอได้ระบุว่า "คิดว่าท่ามกลางหนังสือในฤดูใบไม้ร่วงแห่งปี 2034 คือเรื่อง Prometheus Unbound ของจอร์จที่ 6 หรือเรื่อง Wuthering Heights ของเอลิซาเบธที่ 2 อะไรที่จะส่งผลกระทบต่อความจงรักภักดี จักรวรรดิอังกฤษจะอยู่รอดหรือไม่ พระราชวังบักกิ้งแฮมยังคงแข็งแกร่งดังเช่นในตอนนี้หรือไม่ คำพูดเป็นสิ่งที่อันตรายให้เราจำไว้ สาธารณรัฐอาจจะถูกนำเข้ามาในบทกวี"[161] พระนางมารีอาทรงเก็บรักษาพระอนุทินมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 จนถึงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ และเล่มแรกได้ถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1996[162] ![]() แม้กระทั่งก่อนการเสด็จขึ้นครองราชย์ในฐานะสมเด็จพระราชินี พระนางมารีอาทรงประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ของพระนางในฐานะ "หนึ่งในเจ้าหญิงที่ดูดีที่สุดและร่ำรวยที่สุดในยุโรป"[163] พระนางทรงเป็ยที่รู้จักอย่างมากในพระอัจฉริยภาพด้านการทรงม้า, การเขียน, ภาพเขียน, การแกะสลัก, การเต้นรำและพระสิริโฉมของพระนาง[164] ความนิยมในตัวพระนางได้ถูกทำให้มัวหมองโดยการกล่าวหาของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือการดำเนินการของฝ่ายมหาอำนาจกลางในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[165] และอีกฝ่ายนำโดยทางการพรรคคอมมิวนิสต์หลังจากที่โรมาเนียได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบสาธารณรัฐสังคมนิยมในปี ค.ศ. 1947 โรมาเนียในช่วง 42 ปีภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ พระนางมารีอาทรงกลายเป็นภาพสลับทั้งเป็น "ตัวแทนของระบอบทุนนิยมอังกฤษ" หรือผู้อุทิศเพื่อชาติที่เชื่อว่าชะตากรรมของพระนางถูกผูกติดไว้กับโรมาเนีย ในปี ค.ศ. 1949 หนังสือ Adevărata istorie a unei monarhii ("The True History of a Monarchy") ที่เขียนโดยอเล็กซานดรู การ์เนียตา ได้บรรยายว่า พระนางมารีอาได้จัดงานเลี้ยงมั่วสุมดื่มสุราที่โคโทรเซนีและบอลชิค และยังอ้างว่าในความเป็นจริงโรคตับแข็งของพระนางมาจากการที่ทรงดื่มอย่างหนัก แม้กระทั่งได้มีการแสดงตัวอย่างว่า พระนางมารีอาผู้ทรงเมามายมักจะเสด็จด้วยเรือยอชท์ไปพร้อมกับพระสหายเพื่อนดื่มของพระนาง เรื่องราวอื้อฉาวของพระนางมารีอาได้ถูกยกขึ้นมาเป็นหลักฐานในเรื่องความสำส่อน ซึ่งเป็นสิ่งฝ่าฝืนค่านิยมลัทธิคอมมิวนิสต์[166] ในปี ค.ศ. 1968 ทางการพรรคคอมนิวนิสต์ได้บุกเข้าไปในโบสถ์ที่เก็บรักษาพระหทัยของพระนางมารีอา ได้เปิดโลงและนำกล่องพร้อมพระหทัยของพระนางไปไว้ที่ปราสาทบราน ในปี ค.ศ. 1971 ได้ถูกย้ายไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โรมาเนียในบูคาเรสต์[159][167] มันไม่ได้เปลี่ยนไปจนกระทั่งปลายสมัยของนีกอลาเอ ชาวูเชสกู ปีสุดท้ายก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติโรมาเนีย พระคุณความดีของพระนางมารีอาได้เป็นที่ยอมรับ[166] ในโรมาเนีย พระนางมารีอาทรงเป็นที่รู้จักในพระนามว่า "Mama Răniților" (มารดาแห่งผู้เจ็บไข้)[168] หรือทรงถูกเรียกง่าย ๆ ว่า "Regina Maria" ในขณะที่ในประเทศอื่น ๆทรงจดจำพระนางในฐานะ "ราชินีทหาร" (Soldier Queen) และ "Mamma Regina"[169][170] พระนางยังทรงเป็นที่รู้จักในฐานะ "พระสัสสุแห่งบอลข่าน" เนื่องมาจากพระธิดาของพระนางทรงอภิเษกสมรสกับราชวงศ์ในคาบสมุทรบอลข่าน ในช่วงที่พระนางสิ้นพระชนม์ พระธิดาของพระนางมารีอาทรงปกครองสามในสี่ประเทศของคาบสมุทรบอลข่านยกเว้นแต่บัลแกเรีย[120][171] แม้ว่าพระสันตติวงศ์ของพระนางจะไม่ได้ครองราชบัลลังก์ยุโรปอีกต่อไปแล้ว พระนางมารีอาทรงได้รับการถวายพระเกียรติในฐานะ "หนึ่งในบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โรมาเนีย" โดยคอนสแตนติน อาร์เกโทเอียนู[172] และในการระลึกถึงพระนาง ได้มีการจัดตั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์กางเขนแห่งสมเด็จพระราชินีมารีอาขึ้นในโรมาเนีย[173][174] ก่อนจะถึงปี ค.ศ. 2009 สิ่งของหลายชิ้นที่เป็นของพระนางมารีอาได้ถูกจัดแสดงที่ปราสาทบราน ซึ่งเป็นที่พำนักของพระนางในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ และได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์[175] ในปีนั้น เมื่อปราสาทได้รับการบูรณะอย่างเป็นทางการโดยทายาทของเจ้าหญิงอีเลียนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้ย้ายสิ่งของสะสมของพระนางมารีอาไปไว้ที่อาคารใกล้ ๆ คือ Vama Medievală ซึ่งยังคงเปิดให้นักท้องเที่ยวเข้าเยี่ยมชม[176] พิพิธภัณฑ์ศิลปะแมรี่ฮิลล์ได้มีการจัดนิทรรศการถาวรภายใต้ชื่อ "มารีอา สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย" (Marie, Queen of Romania) ที่นี่ได้จัดแสดงทั้งฉลองพระองค์ชุดคลุมในพระราชพิธีราชาภิเษกของพระนาง, มงกุฎจำลอง, เครื่องเงิน, เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเพชร รวมทั้งสิ่งของอื่น ๆ[177][178] พระโอรสธิดา
พระอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์และตราอาร์ม
พระอิสริยยศ
ตราอาร์มอังกฤษในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรที่สืบเชื้อสายมาจากพระบรมวงศ์ฝ่ายหน้า ทำให้พระนางมารีอาทรงได้รับพระราชทานตราอาร์มพระราชวงศ์แห่งสหราชอาณาจักร พร้อมโล่ในสำหรับซัคเซิน ที่แตกต่างกันด้วยฉลากเงินห้าจุด คู่ด้านนอกยึดติดด้วยสีฟ้า สีแดงกุหลาบภายในและตรงกลางเป็นกางเขนสีแดง ในปี ค.ศ. 1917 โล่ในได้ถูกยกเลิกโดยพระบรมราชานุญาตในพระเจ้าจอร์จที่ 5[182] เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระนางมารีอาทรงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังนี้
พระราชตระกูลอ้างอิงอ้างอิงท้ายเรื่อง
เชิงอรรถ
บรรณานุกรม
เว็บไซต์อ้างอิงวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ สมเด็จพระราชินีมารีอาแห่งโรมาเนีย
|
Portal di Ensiklopedia Dunia