เอลีซาเบตาแห่งโรมาเนีย
เจ้าหญิงเอลีซาเบตาแห่งโรมาเนีย (โรมาเนีย: Elisabeta ; 12 ตุลาคม ค.ศ. 1894 - 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956) ต่อมาเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งชาวเฮเลนส์ในพระนาม สมเด็จพระราชินีเอลิซาเว็ทแห่งกรีซ (กรีก: Ελισάβετ) ในฐานะพระมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีเยออร์ยีโอสที่ 2 แห่งกรีซ ตั้งแต่ ค.ศ. 1922 จนกระทั่งทรงหย่าในปี ค.ศ. 1924 พระนางเป็นพระธิดาของพระเจ้าแฟร์ดีนันท์ที่ 1 แห่งโรมาเนียกับสมเด็จพระราชินีมารีอาแห่งโรมาเนีย พระนางมีพระราชดำรัสสำคัญอยู่ประโยคหนึ่งว่า"ฉันได้กระทำผิดทุกๆอย่างในชีวิตของฉันนอกจากการเป็นฆาตกรและฉันไม่ปรารถนาที่จะตายโดยปราศจากการทำสิ่งเหล่านั้น" เมื่อทรงพระเยาว์![]() ในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1894 เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ พระชายาในมกุฎราชกุมารแฟร์ดีนันท์แห่งโรมาเนียมีพระประสูติกาลพระธิดาที่ปราสาทเปเรส เจ้าหญิงมีพระนามว่า เอลีซาเบตา ซึ่งมีพระนามตามพระปิตุจฉาของพระองค์ คือ เอลีซาเบ็ทแห่งวีท สมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนีย พระมเหสีในพระเจ้าการอลที่ 1 แห่งโรมาเนีย เจ้าหญิงเอลีซาเบตาทรงใช้พระชนมชีพในช่วงต้นที่ปราสาทเปเรส เมืองซินายอา ที่ซึ่งมกุฎราชกุมาร ผู้เป็นพระบิดาทรงพำนักอยู่ ในหนังสือ The Story of My Life พระนิพนธ์ในพระราชินีมารีอา(เจ้าหญิงมารี) ผู้เป็นพระมารดาทรงบันทึกไว้ว่า "เธอมีผิวที่ขาวดุจดังน้ำนมและมีตาโตสีเขียว มักจะตื่นตกใจกลัวง่าย รักที่จะเก็บและวัดดอกไม้ แต่ในตอนแรกเธอเป็นคนเงียบๆแต่ก็บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดอกลิลลี่และดอกรักเร่ ดอกใหญ่ ริมสระน้ำ ในตอนอยู่ที่ที่จอดรถใกล้ปราสาท รถม้ากำลังออกตัว ฉันรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเธอได้เล่าเรื่องความฝันของเธอและบอกว่าเธอมีเพื่อนเป็นนางฟ้า ทำให้ฉันรู้สึกว่าเด็กคนนี้ของฉันมีความคิดที่ฉันคาดไม่ถึง" เนื่องจากเจ้าหญิงมารีในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 19 พรรษา และเจ้าหญิงเอลีซาเบตากับเจ้าชายการอลพระเชษฐาของพระองค์ได้รับการศึกษาร่วมกัน พระราชินีเอลีซาเบตาทรงปลูกฝังพระองค์ให้รักศิลปะ เมื่อมีพระชนมายุ 5 ชันษาทรงศึกษาเปียโนและไวโอลินกับจอร์จ อีเนสคู นักดนตรีในพระราชินีเอลีซาเบ็ท พระองค์ทรงมีความสามารถในการวาดภาพ ในเวลาเพียง 1 ปีพระองค์ทรงเรียรู้ไวในการเป็นศิลปิน แต่เป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะน้อยนัก ทรงชื่นชอบที่จะฟังหีบเพลงในห้องที่มีกระจกแบบมูราโน ทรงเต้นรำแบบวอล์ซ ในตอนกลางคืนทรงชอบเล่นเพลงของเฟรเดริก ฟร็องซัว ชอแป็ง,โซนาตาของลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน หรือของโดเมนิโก สการ์เล็ตติ ในฤดูหนาวจัดของซินายอาที่มีภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะล้อมรอบยังตรึงอยู่ในความทรงจำของเจ้าหญิงเอลีซาเบตาเสมอ เจ้าหญิงเอลีซาเบตาเป็นพระธิดาจากพระโอรส-ธิดาทั้งหมด 6 พระองค์ของสมเด็จพระราชาธิบดีแฟร์ดีนันท์ที่ 1 กับพระราชินีมารีอา ทั้งที่ทรงยังไม่เคยเข้าศึกษาในสถานศึกษาใดๆ แต่ทรงพูดได้ถึง 4 ภาษาและทรงได้รับการศึกษาศิลปกรรม,การเต้นรำและประวัติดนตรีและวรรณคดี ทรงชื่นชอบดนตรีและนักดนตรีต่างๆ ว่ากันว่าทรงเก็บผลงานของนักดนตรีต่างๆ รวมถึงแผ่นเสียงไว้ในหีบแผ่นเสียง แต่หีบได้ถูกทำลายในระหว่างที่ครอบครัวถูกคุ้มครองสงครามโลกครั้งที่ 1.[1] สิ้นปี ค.ศ. 19014 การเสด็จสวรรคตของพระอัยกา และพระบิดาของพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติในพระนาม สมเด็จพระราชาธิบดีแฟร์ดีนันท์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย ทำให้พระราชวงศ์ต้องย้ายจากซินายอาไปยังบูคาเรสต์ ที่พระราชวังโคโทรเซนิ ทำให้เจ้าหญิงต้องเสด็จออกตามที่สาธารณะพร้อมพระบิดาและพระมารดา ทรงต้องทำกิจกรรมต่างๆเพื่อการกุศล เจ้าหญิงทรงชื่นชอบครั้งที่อยู่ที่บูคาเรสต์มาก เนื่องจากสภาพอากาศของบูคาเรสต์เหมาะกับผู้ชื่นชอบศิลปะ พระองค์มีพระสหายเพิ่มมากขึ้นแต่การพำนักที่นี่ต้องทำตามกฎระเบียบเคร่งครัด ในฤดูร้อน ค.ศ. 1916 เมื่อโรมาเนียเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้พระราชวงศ์และคณะรัฐบาล ถูกบังคับให้ลี้ภัยไปยังเมือง อาซิ เมื่อเยอรมนียึดครองโรมาเนีย ต่อมา 2 ปี พระองค์ต้องลี้ภัยไปยังประเทศมอลโดวา ที่นั่นพระองค์ต้องพำนักที่บ้านในบิคาซ โดยพระราชินีมารีอา พระมารดาพร้อมกับพระขนิษฐาทั้ง 2 ของพระองค์คือ เจ้าหญิงมารีอาแห่งโรมาเนียและเจ้าหญิงอีเลียนาแห่งโรมาเนีย ได้ประกอบพระกรณียกิจด้านการพยาบาล ความสัมพันธ์กับพระราชวงศ์พระองค์อื่นๆ![]() เจ้าหญิงเอลีซาเบตาทรงไม่ค่อยร่วมพบปะกับพระราชวงศ์อื่นๆ และทรงไม่เล่นกับพระอนุชาและพระขนิษฐา พระองค์มักจะพอใจเมื่อทรงอยู่คนเดียวกับสุนัขทรงเลี้ยงและอ่านหนังสือ พระองค์มักจะปฏิเสธในการร่วมเสวยอาหารกับพระราชวงศ์ โดยจะทรงหาข้ออ้างต่างๆนานาเพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกับพระราชวงศ์ น่าเศร้าที่การที่ทรงแยกตัวอยู่ลำพังทำให้พระองค์ทรงเติบโตมาอย่างไม่ดี สมเด็จพระราชินีมารีอาแห่งโรมาเนีย พระมารดาทรงพยายามชักชวนให้พระองค์รู้จักเข้าสังคมส่วนรวมและอยู่ร่วมกันบ้าง ทำกิจกรรมต่างๆในครอบครัวบ้าง แต่พระองค์ไม่ยอมและทรงไม่แยแสต่อพระมารดา ทำให้พระมารดาทรงผิดหวังเป็นอันมาก พระนางมักว่าถึงการขาดการให้ความรัก ความอบอุ่นแก่เจ้าหญิงเอลีซาเบตา พระราชินีมารีอาทรงบันทึกไว้ในบันทึกประจำวันของพระนางว่า "...ความลับอยู่ในความเห็นแก่ตัวทั้งหมด และแน่นอนมันไม่สามารถช่วยอะไรได้แก่ผู้ที่ไม่ให้ความรักความสนใจในชีวิตของเธอเท่านั้นแต่เธอได้พยายามเก็บกดได้ดีและเก็บความเจ็บปวดซ่อนไว้ในความรู้สึก การที่เธอมีสิ่งที่ต้องการทำให้เธอป่วยและไม่มีที่ไหนเลยที่เธอเป็น... คุณยินดีที่จะเป็น สิ่งที่คุณทำนั้นไม่มีร่องรอยในความสุขแห่งชีวิตของเธอ เธอรักเรา แต่ในความรักนี้ก็ไม่ทำให้เกิดความสุขเลยแม้แต่น้อย เพราะมันคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น "[2] ด้วยความงดงามของเจ้าหญิง ทำให้ต้องมีคู่ครองซึ่งทำให้เจ้าหญิงทรงขัดแย้งกับพระราชินีมารีอา เนื่องจากพระนางประสงค์ให้พระธิดาของพระนางสมรสกับเจ้าชายรัชทายาทองค์ใดองค์หนึ่งในประเทศแถบคาบสมุทรบอลข่าน ในปี ค.ศ. 1923 การแบ็ฟติสท์พระโอรสองค์แรกของพระขนิษฐาของพระองค์ที่เบลเกรด ได้มีข่าวลือว่าสมเด็จพระราชาธิบดีอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งยูโกสลาเวีย ผู้เป็นพระสวามีในพระขนิษฐา ได้เกี้ยวพาราสีเจ้าหญิงเอลีซาเบตา เมื่อพระราชินีมารีอาทรงทราบ พระนางได้ให้เจ้าหญิงเอลีซาเบตาเสด็จกลับบูคาเรสต์ในทันที นับเป็นเรื่องอื้อฉาวเรื่องแรกของพระองค์[3] เจ้าหญิงเอลีซาเบตาทรงไม่สนิทกับพระเชษฐาของพระองค์ผู้ซึ่งชอบใช้อารมณ์ พระมารดาของพระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า "ภายใต้ใบหน้าอันงดงามของเธอได้แฝงไปด้วยความขุ่นเคือง,ความไม่พอใจและความริษยาในความอับโชคของเธอ ในครั้งหนึ่งเธอได้แสดงทัศนคติต่อซิทตา(เจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์กผู้เป็นพระชายาในเจ้าชายการอล พระเชษฐาของเจ้าหญิงเอลีซาเบตา)หรือหนึ่งในพี่น้องของเธอ เธอได้กล่าวถ้อยคำที่รุนแรง พูดในสิ่งที่เธอไม่พอใจซึ่งเป็นจุดอ่อนของทุกคน การอลและน้องคนอื่นๆของเธอต่างเกรงกลัวเธอและมักจะทะเลาะกับการอลเสมอ ฉันเลยต้องเป็นฝ่ายประนีประนอม"[4] เจ้าหญิงอีเลียนาแห่งโรมาเนีย พระขนิษฐาของเธอซึ่งเป็นพระธิดาลับของพระราชินีมารีอา ผู้อื้อฉาวกับบาร์บู สเตอบีย์ เจ้าหญิงเอลีซาเบตาทรงไม่สงสารพระขนิษฐาซึ่งประสูติท่ามกลางความอื้อฉาวของพระมารดาแต่กลับล้อเลียนเจ้าหญิงอีเลียนาเสมอ คอนสแตนติน อากโทรเอียนนูได้เรียบเรียงเหตุการณ์จากความทรงจำว่า เจ้าหญิงเอลีซาเบตาทรงกล่าวกับเจ้าหญิงอีเลียนาว่า "อีเลียนามาที่หน้าต่างเร็วเข้า มาดูพ่อของเธอ" ซึ่งบาร์บู สเตอบีย์ได้ออกจากรถพอดี[5] การอภิเษกสมรสกับเจ้าชายเยออร์ยีโอสแห่งกรีซ![]() ในปี ค.ศ. 1911 ในวันคล้ายวันประสูติของเจ้าหญิงเอลีซาเบตา พระองค์ทรงได้พบปะกับเจ้าชายเยออร์ยีโอสแห่งกรีซ พระโอรสองค์โตในเจ้าชายคอนสแตนติน มกุฎราชกุมารแห่งกรีซ ราชวงศ์กรีซตอบรับคำเชิญของพระเจ้าแฟร์ดีนันท์ให้เสด็จเยือนโรมาเนียที่กรุงบูคาเรสต์ การพบปะกับเจ้าชายชาวกรีซครั้งแรก เจ้าหญิงทรงปฏิเสธข้อเสนอในการสมรส ซึ่งทำให้ทุกพระราชวงศ์ต่างประหลาดใจ เพราะเจ้าหญิงยังทรงศึกษาอยู่ ก่อนปี ค.ศ. 1914 เจ้าชายเยออร์ยีโอสทรงขอเจ้าหญิงเอลีซาเบตาสมรสอีกครั้ง แต่ก็ได้รับการตอบปฏิเสธจากพระองค์เช่นเดิม ซึ่งตอนนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 20 พรรษา ทรงปฏิเสธจากคำแนะนำของพระอัยยิกา พระนางคาร์เมน ซิลเวีย(อดีตพระราชินีเอลีซาเบ็ท) ที่ไม่ประสงค์ให้เจ้าหญิงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายเยออร์ยีโอสแห่งกรีซ เนื่องจากทรงเชื่อว่า เจ้าหญิงเอลีซาเบตาจะสามารถพบพระสวามีที่ดีสำหรับเธอได้ด้วยพระองค์เอง[6] สงครามโลกครั้งที่ 1 ประทุขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ทำให้การอภิเษกสมรสในกาลข้างหน้าของเจ้าหญิงยุ่งยากขึ้น จุดจบของการนองเลือดในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1918 พระราชวงศ์ได้เสด็จกลับบูคาเรสต์ซึ่งสงบจากสงครามแล้ว พระราชินีมารีอาทรงตระเตรียมในการหาพระสวามีให้เจ้าหญิงเอลีซาเบตาและพระชายาให้เจ้าชายการอล ในปี ค.ศ. 1920 พระราชินีมารีอาและพระธิดาได้เสด็จไปพักผ่อนที่ลูกาโน เพื่อไปเสด็จเยี่ยมพระมารดาและพระขนิษฐา พระราชินีมารีอาออกเดินทางไปพร้อมกับเจ้าหญิงเอลีซาเบตา ทรงวางแผนที่จะให้เจ้าหญิงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอิตาลี[7] ผู้ซึ่งทางพระราชวงศ์ได้ตระเตรียมการสมรสแล้ว แต่การพบปะก็ล้มเหลว เจ้าหญิงเสด็จกลับไปที่สวิตเซอร์แลนด์ ในตอนนั้นเจ้าชายเยออร์ยีโอสแห่งกรีซตกอยู่ในภาวะลำบาก เนื่องจากพระราชวงศ์ถูกเนรเทศจากกรีซในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และพระราชวงศ์อยู่ระหว่างการลี้ภัย เพราะหลังจากสงครามมีหลายประเทศที่ประกาศล้มล้างระบอบกษัตริย์ พวกต่อต้านราชวงศ์มีกำลังกล้าแข็งขึ้น ดังนั้นการสมรสของพระธิดากับพระราชวงศ์ที่ยังเหลืออยู่ในยุโรปเป็นที่ยากยิ่งสำหรับพระราชินีมารีอาแห่งโรมาเนีย เจ้าหญิงเอลีซาเบตาตอบตกลงในการอภิเษกสมรสกับเจ้าชายเยออร์ยีโอสแห่งกรีซในขณะที่มีการจัดเตรียมพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์กกับเจ้าชายการอลพระเชษฐา ในการตอบตกลงครั้งนี้เจ้าหญิงเอลีซาเบตายังทรงลังเลพระทัย เจ้าหญิงทรงเขียนบัทึกลับว่า "ตอนนี้ฉันอายุ 26 ปีและฉันรู้สึกหนักใจ เบื่อในความหวังและความคิดที่ผิดที่ยังคงมาไม่ถึง!" ด้วยแรงกดดันจากพระราชวงศ์เจ้าหญิงเอลีซาเบตาต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าชายเยออร์ยีโอสแห่งกรีซ ในวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1920 สมเด็จพระราชินีมารีอาทรงบันทึกไว้ว่า "วันนี้ช่างเป็นวันที่เสียอารมณ์จริงๆ กว่าเอลีซาเบตาจะยอมรับการหมั้นอย่างเป็นทางการ... เธอมีความคิดแปลกคือไม่ได้ประทับใจในเจ้าชายเยออร์ยีโอส เธอไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้าชายเยออร์ยีโอสและเธอคิดว่าการแต่งงานนี้จะทำให้ไม่มีความสุข แต่เธอบอกว่าไม่มีวันที่จะยกเลิกงานหมั้น เนื่องจากเธอมีมุมมองที่ต่างจากนั้นและเธอรู้ว่าอายุเท่านี้เธอควรจะแต่งงานได้แล้ว หลังอาหารกลางวันเธอรู้สึกเศร้ามากทั้งๆที่วันนั้นเป็นวันดี แต่แหมฉันจะได้เห็นการเรียนรู้ต่อไปในชีวิตเธอด้วยเธอเอง!"[8] ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 ที่โบสถ์เมโทรโปลิแทน บนยอดเขาในบูคาเรสต์ ได้มีพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายเยออร์ยีโอสแห่งกรีซและเจ้าหญิงเอลีซาเบตา ใช้เวลา 2 วันร่วมกันที่สครอวิสเทีย และในวันที่ 7 มีนาคม ได้เสด็จออกจากประเทศโรมาเนียไปยังกรีซ ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1921 มีการจัดพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายการอลกับเจ้าหญิงเฮเลนที่เอเธนส์ จากมกุฎราชกุมารีสู่สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซในฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 1921 เจ้าหญิงเอลีซาเบตาทรงเหยียบผืนแผ่นดินกรีซครั้งแรกในฐานะ พระชายาในมกุฎราชกุมารแห่งกรีซ สถานะของพระราชวงศ์กรีกในตอนนั้นเริ่มดีขึ้น สมเด็จพระราชาธิบดีกอนสตันดีโนสที่ 1 ทรงได้กลับคืนสู่พระราชบัลลังก์ หลังจากต้องลี้ภัยในต่างประเทศถึงหลายปี ในตอนนั้นชาวกรีกแบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย คือ พวกนิยมปฏิวัติกับพวกนิยมกษัตริย์และพระราชวงศ์ ความขัดแย้งของสองพวกนับว่าตึงเครีนดมาก เจ้าหญิงเอลีซาเบตาทรงปรับตัวไม่ได้กับประเทศใหม่ ทรงมีความสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์กรีกอย่างเย็นชาตามอุปนิสัยของพระองค์ พระองค์ทรงขาดความรู้ในการเป็นชาวกรีกและเชื้อพระวงศ์กรีก และเชื่อว่าชาวกรีกจะไม่ยอมรับพระองค์ในฐานะมกุฎราชกุมารีหากทรงไม่มีพระประสูติกาล ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1922 เจ้าหญิงเอลีซาเบตาพร้อมพระสวามีได้เสด็จกลับโรมาเนียครั้งแรกหลังจากอภิเษกสมรส ในฤดูใบไม้ผลิ พระองค์ทรงพระประชวรอย่างหนักด้วยไข้ไทฟอยด์ พระราชินีมารีอาต้องเสด็จไปยังกรีซเพื่อดูแลอาการประชวรของเจ้าหญิง การประชวรครั้งนี้สร้างความทรมานอย่างยาวนานแก่เจ้าหญิง ในฤดูร้อน พระอาการประชวรของเจ้าหญิงได้ทุเลาลงมาก พระองค์ได้เสด็จกลับโรมาเนีย เข้าร่วมพระราชพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการของพระบิดาและพระมารดา ระหว่างทรงประทับอยู่ที่โรมาเนีย ได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในกรีซคือ สมเด็จพระราชาธิบดีกอนสตันดีโนสที่ 1 ทรงถูกยึดอำนาจในเดือนกันยายน ค.ศ. 1922 และต้องเสด็จออกจากประเทศอีกครั้ง พระองค์ได้สละราชบัลลังก์ เจ้าชายเยออร์ยีโอส พระโอรสได้ครองราชย์ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาธิบดีเยออร์ยีโอสที่ 2 แห่งกรีซ ในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1922 เจ้าหญิงเอลีซาเบตาได้เสด็จกลับกรีซในฐานะ "สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ" ทรงตระหนักถึงความไม่พร้อมที่จะเผชิญสถานการณ์ทางการเมืองในกรีซ พระองค์เริ่มจะปฏิเสธงานเลี้ยง,งานรับรองหรืองานทูตอย่างเป็นทางการ พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะประทับที่ภาคใต้ของกรีซอย่างสงบ พระราชินีเอลีซาเบตาทรงเพาะปลูกพรรณไม้ ขยายพันธุ์พืชแปลกๆ และทรงใช้เวลาในการอ่านหนังสือภาษากรีก และทั้งในฉบับภาษาเยอรมัน ทรงวาดภาพและเล่นเปียโน รวมทั้งเสด็จประพาส เวียนนา,ฟลอเรนซ์,ปารีสและลอนดอน ![]() จากการที่สถานการณ์ภายในประเทศไม่ดีขึ้น ชนชั้นกลางได้โกรธแค้นและก่อการปฏิวัติกรีซขึ้นในปี ค.ศ. 1924 หลังจากพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชาธิบดีเยออร์ยีโอสที่ 2 เพียง 15 เดือน พระองค์ทรงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์(ซึ่งทรงครองราชย์อีกครั้งในปี ค.ศ. 1935) พระราชินีเอลีซาเบตาทรงถูกถอดพระอิศริยยศ ซึ่งทำให้พระองค์โล่งพระทัย หลังจากทรงลี้ภัยที่บูคาเรสต์ แล้วในลอนดอน ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 พระองค์เริ่มเลวร้ายลง ทั้ง 2 พระองค์ทรงแยกกันประทับ และทรงหย่าอย่างเป็นทางการจนกระทั่ง ค.ศ. 1935 อดีตพระราชินีเอลีซาเบตาทรงกลับคืนสู่พระยศ "เจ้าหญิง" และเสด็จกลับโรมาเนียหลังจากทรงหย่า พระราชินีมารีอาทรงเล่าถึงความผิดหวังในพระธิดาว่า "ก่อนหย่า เยออร์ยีโอสได้พยายามหลายโอกาสที่จะคืนดีแต่พูดคุยกันผ่านผนังห้อง! เอลีซาเบตาตอบโดยอ้างคนนั้นคนนี้ ดูเหมือนภรรยาของเขาซึ่งเป็นลูกฉันพยายามทำบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจ จะมีใครเข้าใจเธออีกไหม?"[9] เสด็จกลับสู่โรมาเนียหลังจากเสด็จกลับโรมาเนีย พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงการได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงเป็นเจ้าหญิงแห่งโรมาเนีย คอนสแตนติน อาร์กเทียนูได้จดจำได้ถึงข่าวลือที่เล่าต่อๆกันไปในเวลานั้นเกี่ยวกับพระองค์ว่า "พวกเขากล่าวว่า พระองค์เสด็จในเขตต่างๆ ฉลองพระองค์ด้วยเสื้อคลุมยาว และมักครวญเพลงของสครูเบิร์ต ลีเดอร์ ทรงสร้างความประหลาดใจมากภายในฉลองพระองค์เครื่องแบบทหาร ทรงประทับใจในห้องที่มืดและประดับด้วยผ้าม่านสีซีด ทรงตื่นบรรทมในตอนกลางคืนและทรงเล่นเปียโนเพื่อขับร้องเพลงจนถึงย่ำรุ่ง ในบทเพลงของโมสาร์ท ทรงวาดภาพบ่อยๆ แต่ทรงเริ่มประพันธ์บทกลอน พระองค์ทรงเดินทางด้วยเงินบำเหน็จรายปีไปที่เวนิสและนีซ ไม่มีใครเห็นพระองค์อยู่กับคนใดเลย!"[10] ไม่กี่ปีหลังจากขึ้นครองราชบัลลังก์โรมาเนีย ในปีค.ศ. 1930 สมเด็จพระราชาธิบดีการอลที่ 2 แห่งโรมาเนียผู้เป็นพระเชษฐาของพระองค์ ทรงกระทำการอันน่าแปลกใจ คือทรงสร้างพระราชวังขนาดเล็กและสวยงามแก่เจ้าหญิงเอลีซาเบตาบนฝั่งทะเลสาบเฮราสทรู รู้จักกันในนาม พระราชวังเอลิซาเบตาและต่อมาจะเป็นที่ที่พระนัดดาของเจ้าหญิงคือ สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย ทรงถูกยึดอำนาจโดย เปทรู กรอซาและจอร์เก เยออร์ยีโอสิอู-เด็จ ทรงถูกบังคับให้ลงพระนามสละราชบัลลังก์ และปัจจุบันที่นี้คือที่ประทับของพระราชวงศ์โรมาเนีย ตอนแรกเจ้าหญิงเอลีซาเบตาทรงประทับที่นี่แต่เสด็จออกไปประทับเพียงลำพัง โดยทรงไปเล่นกอล์ฟเมื่อยามว่าง จากการเข้ามาในราชวงศ์ของแม็กดา ลูเพสคู พระชายาองค์ใหม่ของพระเชษฐา พระองค์ทรงไม่อยากขัดพระทัยพระเชษฐาในเรื่องรายได้ ทรงประหยัดทรัพย์สินและทรงซื้ออดีตคฤหาสน์กอร์ฟ บานาท ในเขตเมืองบันล็อก ที่แห่งนี้แม่บ้าน 2 คนที่เคยรับใช้พระองค์พยายามรักษาปราสาทแห่งนี้จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต และวาดภาพปราสาทนี้ไว้ด้วยสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ ซึ่งภาพนี้ได้ตีพิมพ์ลงในพระนิพนธ์ของพระมารดาของพระองค์คือเรื่อง The Country That I Love ( "Land that I love " ) ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1947 เจ้าหญิงเอลีซาเบตาทรงทราบข่าวจากโทรเลขว่า สมเด็จพระราชาธิบดีเยออร์ยีโอสที่ 2 อดีตพระสวามีเสด็จสวรรคต ในสมุดบันทึกของทรงจำของเจ้าชายนิโคลัสแห่งโรมาเนีย พระอนุชาของพระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า ทรงถามพระเชษฐภคินีว่า รู้สึกอย่างไรกับข่าวที่เศร้าเช่นนี้ เจ้าหญิงทรงตอบว่า "ถ้าฉันตอบว่าฉันรักเขาล่ะ" เจ้าชายนิโคลัสทรงร้องอุทานว่า "ยากที่จะเข้าใจพี่เอลีซาเบตาของพวกเราอีกครั้งแล้ว!"[11] เสด็จลี้ภัยและสิ้นพระชนม์เหล่าคอมมิวนิสต์มีอำนาตเต็มหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาได้พยายามต่อต้านประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์และสาธารณรัฐและพยายามเปลี่ยนแปลงให้เป็นคอมมิวนิสต์ และปัญหานี้ยังคงยืดเยื้อในโรมาเนีย สมเด็จพระราชาธิบดีไมเคิลที่ 1 แห่งโรมาเนียทรงถูกบังคับให้ลงนามสละราชบัลลังก์ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1947 พระราชวงศ์ทุกพระองค์ต้องเสด็จออกจากแผ่นดินโรมาเนีย ในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1948 รถไฟพระที่นั่งที่ซึ่งมีพระราชาธิบดีมีไฮ,สมเด็จพระราชชนนีเฮเลนและเจ้าหญิงอีเลียนา มุ่งหน้าสู่บันล็อก บนชานชลาไม้ของบันล็อก มีสตรี 3 คนรออยู่ซึ่งก็คือ เจ้าหญิงเอลีซาเบตา อดีตพระราชินีแห่งกรีซ พร้อมทั้งนางสนองโอษฐ์อีก 2 คน ทั้ง 3 ยืนรอด้วยความหนาวเย็นพร้อมสัมภาระส่วนพระองค์ แต่หลังจากทรงขึ้นรถไฟได้ไม่นาน พระองค์ทรงระลึกถึงความทรงจำที่ตรึงในจิตใจอยู่เบื้องหลัง ประเทศนี้เป็นที่ที่พระองค์ทรงเจริญพระชันษา ที่ที่ประทับอยู่ทั้งสุขและทุกข์ พระองค์ทรงรู้สึกว่าจะต้องแยกจากที่แห่งนี้อีกตลอดกาลโดยทรงทราบว่าพระชนม์ชีพจะอยู่ไม่ถึง 10 ปี [12] หลังจากใช้เวลาอันสั้นประทับร่วมกับพระราชวงศ์ในเยอรมนี ที่ซิกมารินเกน เจ้าหญิงเสด็จไปประทับที่เมืองคานส์ ซึ่งทรงเช่าอพาร์ทเมนต์ ทรงใช้พระชนม์ชีพบั้นปลายด้วยการเล่นเปียโน เจ้าหญิงเอลีซาเบตา อดีตพระราชินีแห่งกรีซ สิ้นพระชนม์ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 สิริพระชนมายุ 62 พรรษา พระศพถูกฝังที่เฟรนซ์ รีเวียรา การอ้างสิทธิในพระราชทรัพย์ของเจ้าหญิงเอลีซาเบตาก่อนปี ค.ศ. 2006 ทรัพย์สินและที่ดินของพระองค์แถบบันล็อก ซึ่งปัจจุบันทรุดโทรมลงมาก ได้ถูกอ้างสิทธิและทำการซ่อมแซมโดยพอล-ฟิลิปเป โฮเฮนโซลเลิร์น พระนัดดาในเจ้าหญิงเอลีซาเบตา ซึ่งเป็นทายาทอย่างไม่เป็นทางการของพระราชาธิบดีการอลที่ 2 ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 การบูรณะต้องหยุดชะงักเพราะตามกฎพระราชวงศ์โฮเฮนโซลเลิร์น ไม่ยอมรับ"เลือดสีฟ้า"ของพอล-ฟิลิปเป ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิในทรัพย์ของพระราชวงศ์[13] พอล-ฟิลิปเป โฮเฮนโซลเลิร์นยังอ้างสิทธิในเงิน,เหรียญตรา,เครื่องประดับ,วัตถุทอง,แพลททินัมและโลหะมีค่าต่างๆของพระราชวงศ์ ที่ถูกยึดโดยคอมมิวนิสต์และทรัพย์สินที่เป็นของเจ้าหญิงเอลีซาเบตา,พระราชาธิบดีการอลที่ 2 และเจ้าชายนิโคลัส ซึ่งในปี ค.ศ. 1948 คอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดวังบันล็อกได้ยึดเครื่องประดับ,เหรียญที่ระลึกและ เหรียญทอง 708 เหรียญ ปัจจุบันทางเมืองได้ซื้อวังนี้ในวาระ 49 ปีก่อตั้งมณฑลบานาท[14] คำอ้างอิง
พระราชตระกูลอ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia