เชียงแขง รัฐเจ้าฟ้า ของกลุ่มรัฐไทลื้อพุทธศตวรรษที่ 20 – พ.ศ. 2459 อาณาเขตรัฐเชียงแขงในปี พ.ศ. 2432–2436
เมืองหลวง
เมืองเชียงแขง
(พุทธศตวรรษที่ 20 – พ.ศ. 2408)
เมืองยู้
(พ.ศ. 2408–2428)
เวียงน้ำแก้ว
(พ.ศ. 2428–2429)
เมืองสิงห์
(พ.ศ. 2429–2459)
ประวัติศาสตร์ • สถาปนา
พุทธศตวรรษที่ 20 พ.ศ. 2107 พ.ศ. 2432 พ.ศ. 2439 • ยกเลิกตำแหน่งเจ้าฟ้า
พ.ศ. 2459
เชียงแขง หรือ เชียงแข็ง (จีน : 整謙 [ 1] ,จีน : 整欠 [ 2] ) เป็นนครรัฐไทลื้อ ในลุ่มน้ำโขง ตอนบน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของประเทศพม่า และประเทศลาว นอกจากนี้เชียงแขงยังเป็นที่รู้จักในนาม เมืองสิงห์ อันเป็นศูนย์กลางการปกครองก่อนถูกผนวกเข้ากับอินโดจีนของฝรั่งเศส [ 3]
ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ช่วงต้น
รัฐเชียงแขงถูกสันนิษฐานว่าถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20[ 4] ตำนานท้องถิ่นระบุว่า เจ้าฟ้าผู้ก่อตั้งมาจากเชียงรุ่ง และเข้าปกครองแทนที่ผู้ปกครองดินแดนเดิม ซึ่งได้รับการสันนิษฐานว่า อาจมีเค้าโครงมาจากเรื่องราวของกษัตริย์เชียงรุ่ง[ 5] แม้ว่าเนื้อหาตำนานได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ายากต่อการยืนยันความถูกต้อง[ 6] [ 7] ตำนานได้แสดงให้เห็นถึงการเข้ามามีอำนาจเหนือชนพื้นเมืองเดิมของชาวไทลื้อ และความสัมพันธ์เชิงเครือญาติกับรัฐต่างๆในบริเวณใกล้เคียง[ 7]
เชียงแขงในช่วงต้นเป็นประเทศราช ของเชียงรุ่ง ก่อนที่จะสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรล้านนา ด้วยอีกแห่งหนึ่งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21[ 4] เชียงแขงขาดส่งบรรณาการต่อเชียงรุ่งในรัชสมัยเจ้าเมืองยอด ทำให้เชียงรุ่งเข้าโจมตีเชียงแขงในปี พ.ศ. 2067/2068 ไทยสากล[ note 1] (จ.ศ. 886) และปลงพระชนม์เจ้าเมืองยอด เป็นเหตุให้เชียงแขงตัดขาดความสัมพันธ์เชิงบรรณาการกับเชียงรุ่ง[ 5] อาณาจักรล้านนาตกเป็นประเทศราชของราชวงศ์ตองอู ภายใต้การขยายอำนาจของพระเจ้าบุเรงนอง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2101 ไทยสากล ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ระบุว่า เจ้าเมืองเชียงแขงอยู่ที่เชียงใหม่และได้เข้าเฝ้าพระเจ้าบุเรงนองในช่วงเวลานั้น[ 8] ต่อมาในปี พ.ศ. 2107/2108 ไทยสากล (จ.ศ. 926) เชียงแขงให้ความช่วยเหลือในการจับตัวบุคคลที่พม่าต้องการตัว พระเจ้าบุเรงนองจึงโปรดให้ตั้งเชียงแขงเป็นหอคำน้อย[ 9] และพระราชทานดินแดนจำนวนมากให้เชียงแขง ตั้งแต่เมืองภงและเมืองหลวงพูคา ทางตะวันออกไปจนถึงเมืองยอง ทางตะวันตก[ 5]
อำนาจของเชียงแขงคงอยู่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะถูกพม่าจัดให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองยองในปี พ.ศ. 2171/2172 ไทยสากล (จ.ศ. 990)[ 10] และภายใต้เชียงแสน หลังจากพระเจ้าตาลูน ตีเมืองเชียงใหม่แตกในปี พ.ศ. 2175 ไทยสากล[ 11] ตำนานเมืองยองระบุว่า เชียงแขงขอไปยังเชียงรุ่งให้เมืองยองกลับมาขึ้นกับเชียงแขงอีกครั้ง ทว่าในปี พ.ศ. 2289/2290 ไทยสากล (จ.ศ. 1108)[ 5] เชียงแขงเกิดความขัดแย้งกับเมืองยองในกรณีโจรจากเชียงแขงลักขโมยควายจากเมืองยอง ความขัดแย้งยืดเยื้อนานถึง 3 ปี[ 10] และนำไปสู่สงครามตีเมืองเชียงแขงในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2291 ไทยสากล[ 11] หอคำเมืองเชียงแขงถูกเผาทำลาย[ 4] ชาวเชียงแขงได้หลบหนีเข้ามาในเขตของเชียงรุ่ง ทำให้แม่ทัพผู้ปกครองยูนนานและกุ้ยโจวทำการสืบสวนและถวายรายงานต่อราชสำนักจีนในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2292 ไทยสากล[ 1] [ 12] เจ้าฟ้าเชียงแขงเสด็จไปเข้าเฝ้ากษัตริย์พม่า แต่ถูกตัดสินให้จ่ายค่าเสียหายให้ฝ่ายเมืองยอง และเมืองยองถูกแยกออกจากการปกครองของเชียงแขง[ 10] [ 4]
ราชวงศ์ตองอูล่มสลายลงในปี พ.ศ. 2295 และถูกแทนที่ด้วยราชวงศ์โก้นบอง การขยายอำนาจของราชวงศ์ใหม่ผลักดันให้เหล่าเจ้าฟ้าไทใหญ่ขอความช่วยเหลือจากจีน นำไปสู่สงครามจีน–พม่า กองทัพจีนเข้าโจมตีเชียงแขงในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2309 ไทยสากล และสามารถยึดครองได้สำเร็จ จีนแต่งตั้งพญาแสนพง (จีน : 叭先捧 [ 2] ) เป็นถู่ซือ แห่งเชียงแขง[ 13] อย่างไรก็ตาม เชียงแขงกลับไปอยู่ภายใต้อำนาจพม่าอีกครั้งในปีถัดมา รายงานการสืบสวนของราชสำนักจีนระบุว่า เจ้าแก้ว (จีน : 召教 [ 14] ) และเจ้ายวน (จีน : 召淵 [ 14] ) ซึ่งเป็นผู้นำของเชียงแขงได้สมคบคิดกับพม่าในการต่อต้านพญาแสนพง[ 13] ความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการระหว่างจีนและเชียงแขงถูกตัดขาดลงอย่างสิ้นเชิง[ 15] [ 16] แต่อิทธิพลของจีนยังคงหลงเหลืออยู่ในทางสัญลักษณ์ เช่น การใช้สำนวน ฮ่อเป็นพ่อ ม่านเป็นแม่ เช่นเดียวกับเชียงรุ่ง[ 5]
ภายใต้การอ้างสิทธิ์ของสยาม
ทัพผสมภายใต้การนำของสยาม สามารถทำลายเมืองเชียงแสน ในปี พ.ศ. 2347 ไทยสากล เปิดโอกาสให้นครน่าน ขยายอำนาจสู่ลุ่มน้ำโขงตอนบน เชียงแขงยอมสวามิภักดิ์ต่อนครน่านในปี พ.ศ. 2348 เจ้าฟ้าเชียงแขงถูกพาลงไปถวายบรรณาการ ที่กรุงเทพฯ นครน่านอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของเชียงแขงและเข้ารุกรานเชียงแขงหลายครั้งเพื่อกวาดต้อนผู้คนจนกระทั่งดินแดนเชียงแขงเหลือประชากรเบาบาง[ 17] [ 18]
เชียงแขงพยายามฟื้นตัวโดยการสวามิภักดิ์ต่อเชียงตุง เจ้าฟ้าเชียงแขงส่งพระขนิษฐาไปอภิเษกกับเจ้ามหาขนานแห่งเชียงตุง เจ้ากองไตหนึ่งในพระโอรสได้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นเจ้าฟ้าของทั้งเชียงตุงและเชียงแขง[ 19] ในระยะเวลานี้เชียงแขงย้ายศูนย์กลางการปกครองไปที่เมืองยู้และพยายามอ้างสิทธิ์เหนือเมืองสิงห์ ซึ่งเป็นดินแดนของเชียงแขงในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง แต่ได้รับการต่อต้านจากนครน่านที่อ้างสิทธิ์เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเชียงแขงก็ย้ายศูนย์กลางการปกครองไปฝั่งเมืองสิงห์ในปี พ.ศ. 2428 ในขณะที่สยามและนครน่านยังสงวนท่าที[ 4]
ในปีเดียวกัน อังกฤษ เข้ายึดครองพม่าตอนบน และเจ้ากองไตสิ้นพระชนม์ เจ้าเสือซึ่งเป็นเจ้าฟ้าเชียงตุงพระองค์ใหม่เกิดความขัดแย้งกับเจ้าศรีหน่อผู้เป็นเจ้าฟ้าเชียงแขงเรื่องสิทธิ์เหนือดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง เช่น เชียงลาบ [ 20] สยามซึ่งเกรงว่าอังกฤษจะอ้างสิทธิ์เหนือเชียงตุงและเชียงแขงจึงเข้าแทรกแซง ในที่สุดเชียงแขงตัดสินใจสวามิภักดิ์ต่อสยามในปี พ.ศ. 2432 และต่อรองขอขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ โดยไม่ผ่านนครน่าน[ 17] อังกฤษเข้าควบคุมบรรดารัฐฉานในปีถัดมา และเปิดการเจรจากับสยามเกี่ยวกับเชียงแขงในต้นปี พ.ศ. 2434[ 20] ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2435[ 18] โดยสยามสละการอ้างสิทธิ์เหนือหัวเมืองเงี้ยวทั้งห้าและหัวเมืองกะเหรี่ยงทางตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน แลกกับการที่อังกฤษยอมรับการอ้างสิทธิ์ของสยามเหนือเชียงแขง[ 21]
ภายใต้การอารักขาของฝรั่งเศส
สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 112 ทำให้สยามต้องสละการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ซึ่งรวมถึงเมืองสิงห์ ในขณะที่ดินแดนของรัฐเชียงแขงฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง เช่น เมืองยู้และเชียงลาบ ยังอาจถือได้ว่าเป็นของสยาม อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นยังไม่มีข้อตกลงอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของเชียงแขง ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2436 อังกฤษยื่นข้อเสนอต่อฝรั่งเศส ให้เชียงแขงเป็นรัฐกันชน โดยครอบคลุมพื้นที่ในระยะ 50 ไมล์จากแม่น้ำโขงทั้งสองฝั่ง การเจรจาประสบความล้มเหลวในปี พ.ศ. 2438[ 20] และอังกฤษนำกองกำลังเข้ายึดเมืองสิงห์ในวันที่ 19 มีนาคม[ 21] เจ้าฟ้าศรีหน่อเสด็จหนีออกจากเมืองสิงห์ไปร้องขอความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส[ 20] [ 6] อังกฤษเปิดการเจรจาครั้งใหม่โดยบีบให้ฝรั่งเศสยอมตกลงในการเอกราชของสยามและใช้แม่น้ำโขงเป็นเขตแดนระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส[ 21] ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2439 เชียงแขงฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงถูกรวมเข้ากับรัฐเชียงตุง และฝั่งตะวันออกกลายเป็นรัฐในอารักขา ของฝรั่งเศส[ 20]
เซอร์ จอร์จ สกอตต์ กล่าวถึงเจ้าฟ้าเชียงแขงว่า:[ 22]
“
นี่คือชายผู้โชคร้ายซึ่งถูกบอกว่าเขาเป็นของสยาม แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้เป็นไปเสียอย่างนั้น แล้วดินแดนของเขาครึ่งหนึ่งก็ถูกยกให้กับฝรั่งเศสไป
”
เจ้าศรีหน่อทรงปกครองเมืองสิงห์ภายใต้การอารักขาของฝรั่งเศสจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2444 เจ้าองค์คำทรงขึ้นเป็นเจ้าฟ้าองค์ใหม่ เจ้าองค์คำไม่พอพระทัยต่อฝรั่งเศสจึงก่อกบฏในปี พ.ศ. 2457 แต่ไม่สำเร็จ เจ้าองค์คำจึงเสด็จหนีไปประทับอยู่ที่เชียงรุ่งตลอดพระชนมชีพ ฝรั่งเศสจึงยกเลิกตำแหน่งเจ้าฟ้าและผนวกเมืองสิงห์เป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนของฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2459[ 6]
รายพระนามเจ้าฟ้าเชียงแขง[ 5]
พระนาม
เริ่ม (พ.ศ. ไทยสากล)
สิ้นสุด (พ.ศ. ไทยสากล)
หมายเหตุ
เจ้าฟ้าเด็กน้อย
ไม่ปรากฏ
ไม่ปรากฏ
หรือเจ้าหัวลอก, หรือเจ้าอินปัน, พระโอรสในเจ้าฟ้าเชียงรุ่ง
เจ้าอ้ายหน่อเมือง
ไม่ปรากฏ
ไม่ปรากฏ
พระโอรสในเจ้าฟ้าเด็กน้อย
เจ้าสุดอก
ก่อน 1995/1996
ไม่ปรากฏ
พระโอรสในเจ้าอ้ายหน่อเมือง
ยอดใจแพง
2044/2045
2067/2068
หรือเจ้าเมืองยอด, พระนัดดาในเจ้าสุดอก
เจ้าสองเมือง
2067/2068
2083/2084
หรือท้าวแสง, พระอนุชาในยอดใจแพง
เจ้าเมืองซ้าย
2083/2084
2101/2102
หรือพระยาซ้าย, หรือหมื่นซ้าย, เดิมครองเมืองสิง
หน่อแก้ว
2101/2102
2119/2120
หรือพระยาหลวง, พระโอรสในเจ้าเมืองซ้าย
หน่อคำ
2119/2120
2141/2142
หรือพระยาตนปู่, พระอนุชาในหน่อแก้ว
เจ้าแสนมุก
2141/2142
2155/2156
พระโอรสในหน่อคำ
มหาเทวี
2155/2156
4 เมษายน 2180
พระมารดาในเจ้าแสนมุก, ปกครองร่วมกับพญาเทพวงศาเชียงลาบเป็นระยะเวลาหนึ่ง
พระยากำพล
2180/2181
2181/2182
ไม่ปรากฏพระนาม
2181/2182
2197/2198
พระอนุชาในพระยากำพล
ว่างตำแหน่ง 2197/2198 (จ.ศ. 1016) – 2200/2201 (จ.ศ. 1019)
เจ้านาซ้าย
2200/2201
ไม่ปรากฏ
พระโอรสในเจ้าฟ้าพระองค์ก่อนหน้า
เจ้าแก้ว
ไม่ปรากฏ
2205/2206
พระโอรสในเจ้านาซ้าย
เจ้านนทะ
2205/2206
2222/2223
พระอนุชาในเจ้าแก้ว
เจ้าวงศา
2222/2223
2276/2277
เจ้าอินทะกุมาร
2276/2277
2294/2295
พระนัดดาในเจ้าวังสา
เจ้าขัตติยาราชวงสา
2294/2295
2324/2325
ครองราชย์ครั้งที่ 1, พระอนุชาในเจ้าอินทะกุมาร
เจ้าฟ้าแว่นส่อย
2324/2325
2326/2327
พระอนุชาในเจ้าขัตติยาราชวงสา
เจ้าขัตติยาราชวงสา
2326/2327
2339/2340
ครองราชย์ครั้งที่ 2
เจ้าไชยน้อย
2339/2340
2367/2368
พระโอรสในเจ้าขัตติยาราชวงสา
ว่างตำแหน่ง 2367/2368 (จ.ศ. 1186) – 10 มิถุนายน 2370
เจ้าอินปัน
10 มิถุนายน 2370
2372/2373
พระโอรสในเจ้าไชยน้อย
เจ้าขัตติยะราชวงสา
ไม่ปรากฏ
2374
พระอนุชาในเจ้าอินปัน, ตำนานเมืองเชียงแขงฉบับวัดท่าพร้าวระบุปีครองราชย์คือ พ.ศ. 2358/2359 ไทยสากล (จ.ศ. 1177) ฉบับของ K. G. Izikowitz ระบุ พ.ศ. 2378/2379 ไทยสากล (จ.ศ. 1197)
เจ้านาซ้าย
5 กุมภาพันธ์ 2374
ไม่ปรากฏ
หรือเจ้าเมืองเชียงแขงเถ้า[ 19] อาจเป็นเจ้าฟ้าพระองค์เดียวกันกับที่ปรากฏในเอกสารเมืองลอง พ.ศ. 2380[ 23]
เจ้าเทพพมณีคำ
2403/2404
2403/2404
หรือทิปนีคำ[ 19] , พระภาคิไนย (ลูกของน้องสาว) ในเจ้านาซ้าย
ว่างตำแหน่ง 2403/2404 (จ.ศ. 1222) – 2405/2406 (จ.ศ. 1224)
เจ้าฟ้ากองไต
2405/2406
2429
พระอนุชาในเจ้าเทพพมณีคำ, ขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเชียงตุงในปี พ.ศ. 2423 เจ้าศรีหน่อคำรักษาเมืองแทน
เจ้าฟ้าศรีหน่อคำ
2429
9 ตุลาคม 2444
หรือเจ้าฟ้าศรีหน่อ[ 6] , หรือหม่อมสลิ[ 19] , พระโอรสในเจ้านาซ้าย
ว่างตำแหน่ง 9 ตุลาคม 2444 – 1 กุมภาพันธ์ 2446
เจ้าองค์คำ
1 กุมภาพันธ์ 2446
เมษายน 2459
พระโอรสในเจ้าฟ้าศรีหน่อคำ
หมายเหตุ
↑ เทียบตามปฏิทินสุริยคติไทย โดยยึดวันปีใหม่คือ 1 มกราคม
อ้างอิง
↑ 1.0 1.1 "高宗純皇帝實錄 卷之三百三十一 乾隆十三年 十二月 二十九日" [Veritable Records of Emperor Gaozongchun Volume 331 13th Year of Qianlong 12th Month 29th Day], ชิงสือลู่ [Veritable Records of the Qing ] (ภาษาจีน), Academia Sinica, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2024-05-12, สืบค้นเมื่อ 2024-05-11
↑ 2.0 2.1 "高宗純皇帝實錄 卷之七百五十七 乾隆三十一年 三月 三十日" [Veritable Records of Emperor Gaozongchun Volume 757 31st Year of Qianlong 3rd Month 30th Day], ชิงสือลู่ [Veritable Records of the Qing ] (ภาษาจีน), Academia Sinica, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2024-09-20, สืบค้นเมื่อ 2024-09-20
↑ Scott, James George; Hardiman, John Percy (1901). Gazetteer of Upper Burma and the Shan States (ภาษาอังกฤษ). Vol. 3. AMS Press. ISBN 978-0-404-16860-5 .
↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 Grabowsky, Volker (1999). "Introduction to the History of Müang Sing (Laos) prior to French Rule: The Fate of a Lü Principality" (PDF) . Bulletin de l'École française d'Extrême-Orient . 86 : 233–291. JSTOR 43732577 . สืบค้นเมื่อ 2024-08-17 – โดยทาง JSTOR.
↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 Grabowsky, Volker; Wichasin, Renoo (2008), Chronicles of Chiang Khaeng: A Tai Lü Principality of the Upper Mekong , Hawaii: Center for Southeast Asian Studies, University of Hawaii, pp. xvi–xvii, 21–28, 240, 244, 246–247, 317, ISBN 1-930734-02-6
↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 เปรมจิตต์, สมหมาย; ปัญญาแก้ว, วสันต์ (2015), "ประวัติเมืองสิงห์", ตำนานเมืองลื้อ ประวัติศาสตร์พื้นถิ่น แดนดิน เชียงรุ่ง เมืองยอง เมืองสิงห์ (PDF) , เชียงใหม่: โครงการล้านนาคดีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, pp. 157–222, ISBN 978-974-672-986-4 , คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2024-04-11, สืบค้นเมื่อ 2024-08-17
↑ 7.0 7.1 จิระนคร, ยรรยง; เศรษฐกุล, รัตนาพร (1998), ประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมสิบสองปันนา: รายงานการวิจัย (PDF) , สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, pp. 13, 18–20
↑ สำนักนายกรัฐมนตรี, คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์, บ.ก. (1971), ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ [Tamnan Phuen Mueang Chiang Mai ] (PDF) , แปลโดย โชติสุขรัตน์, สงวน, พระนคร: สำนักนายกรัฐมนตรี, p. 78, สืบค้นเมื่อ 2024-09-19
↑ เท่าค่องแซ้ง; อ้ายคำ; วิชาศิลป์, เรณู, บ.ก. (1998), เชื้อเครือเจ้าแสนหวี ๑๒ พันนา , สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, p. 44, สืบค้นเมื่อ 2024-09-18
↑ 10.0 10.1 10.2 ตำนานเมืองยอง [Möng Yawng Chronicle ]. แปลโดย สว่างปัญญางกูร, ทวี. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 1984. pp. 44, 46.
↑ 11.0 11.1 อ๋องสกุล, สรัสวดี (2003). เอียวศรีวงศ์, นิธิ (บ.ก.). พื้นเมืองเชียงแสน . กรุงเทพฯ: อมรินทร์. pp. 116–117, 228. ISBN 9742726612 .
↑ Kato, Kumiko (2021). "Qing China's View of the Eastern Shan States and Northern Thailand in the Mid-eighteenth century" (PDF) . 名古屋大学人文学研究論集= The journal of humanities, Nagoya University . 4 : 313–324. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2023-12-19. สืบค้นเมื่อ 2024-08-17 .
↑ 13.0 13.1 Kato, Kumiko (2022). "Qing China's View of the Eastern Shan States and Northern Thailand in the 1760s" (PDF) . 名古屋大学人文学研究論集 . 5 : 235–249. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2022-10-13. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19 .
↑ 14.0 14.1 "高宗純皇帝實錄 卷之八百十一 乾隆三十三年 五月 十七日" [Veritable Records of Emperor Gaozongchun Volume 811 33rd Year of Qianlong 5th Month 17th Day], ชิงสือลู่ [Veritable Records of the Qing ] (ภาษาจีน), Academia Sinica, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2024-09-20, สืบค้นเมื่อ 2024-09-20
↑ Kato, Kumiko (2015). "Qing China's View of Its Border and Territory in Southernmost Yunnan in the 1830s: Analyses of Historical Sources Concerning Sipsongpanna" (PDF) . Journal of the School of Letters . 11 : 10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2024-01-15. สืบค้นเมื่อ 2024-09-20 .
↑ Dao, Sirui (2023). Travels and Investigations in the Yunnan-Burma Borderlands, 1837–1911 (PDF) (วิทยานิพนธ์). Universitaet Hamburg (Germany). p. 49. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2024-08-08. สืบค้นเมื่อ 2024-09-20 .
↑ 17.0 17.1 อินปาต๊ะ, บริพัตร (2017). การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329-2442 (วิทยานิพนธ์). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. pp. 57–63. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2024-04-19. สืบค้นเมื่อ 2024-08-17 .
↑ 18.0 18.1 โซฟ (2001), "ข้อพิพาทกรณีเมืองสิงห์", สัมพันธภาพของประเทศฝรั่งเศสกับประเทศสยาม พ.ศ. 2223-2450 (PDF) , แปลโดย บรรลือสินธุ์, นันทพร, กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, pp. 134–145, สืบค้นเมื่อ 2024-08-17
↑ 19.0 19.1 19.2 19.3 โบราณคดีสโมสร (ผู้รวบรวม) (1918), "พงศาวดารเมืองเชียงแขง" [Phongsawadan Mueang Chiang Khaeng], ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๙ [A Collection of Chronicles ] (PDF) , กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, pp. 112–116, สืบค้นเมื่อ 2024-08-18
↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 Grabowsky, Volker (2003). "Chiang Khaeng 1893-1896: A Lue Principality in the Upper Mekong Valley at the Centre of Franco-British Rivalry" (PDF) . Contesting visions of the Lao past: Lao historiography at the crossroads, Copenhagen, NIAS : 36–70. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2024-08-17. สืบค้นเมื่อ 2024-08-17 .
↑ 21.0 21.1 21.2 ลือขจรชัย, ฐนพงศ์ (2022). เมื่อจักรพรรดิราชหลั่งน้ำตา: ปัญหาการได้และเสียดินแดนของสยาม (PDF) (วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. pp. 317–322. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2024-08-01. สืบค้นเมื่อ 2024-08-17 .
↑ Scott, James George, Sir. 1934. Scott Collection: Views in Keng Tung and the Wild Wa Country.
↑ Kato, Kumiko (2016). "Sipsongpanna's Perception of Other Tai Principalities in 1837: The Tai Principalities in Present-day Northern Thailand and Other Principalities in Sipsongpanna's Surrounding Area" (PDF) . 年報タイ研究= The journal of Thai studies/日本タイ学会 編 . 16 : 12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2024-06-26. สืบค้นเมื่อ 2024-09-18 .
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikisource
21°21′N 100°52′E / 21.350°N 100.867°E / 21.350; 100.867