สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (อังกฤษ: World War I)[a] เป็นสงครามโลกที่กินเวลาตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นความขัดแย้งกันระหว่างสองขั้วมหาอำนาจพันธมิตร ได้แก่ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายมหาอำนาจกลาง โดยการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายดำเนินขึ้นในทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา แปซิฟิก และพื้นที่บางส่วนของทวีปเอเชีย เป็นหนึ่งในสงครามที่มีความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยจำนวนทหารที่เสียชีวิต 9 ล้านนาย และบาดเจ็บ 23 ล้านนาย รวมทั้งพลเรือนที่เสียชีวิตจากสาเหตุอื่นอีก 5 ล้านคน ในช่วงสงครามมีการกระทำฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอีกหลายล้านคน และสงครามยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่สเปน ความตึงเครียดทางการทูตที่เพิ่มขึ้นระหว่างมหาอำนาจยุโรปถึงจุดแตกหักเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 เมื่อกัฟรีโล ปรินซีป ชาวเซิร์บบอสเนียลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟรีดีนันท์ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีมองว่าเซอร์เบียต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวและประกาศสงครามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม รัสเซียเข้าให้การช่วยเหลือเซอร์เบีย และในวันที่ 4 สิงหาคม เยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักรเข้าร่วมสงคราม เช่นเดียวกับจักรวรรดิออตโตมันที่เข้าร่วมสงครามในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน กลยุทธ์การรบของเยอรมนีใน ค.ศ. 1914 คือการพิชิตฝรั่งเศสได้สำเร็จชาติแรก จากนั้นจึงย้ายกองกำลังไปยังแนวรบด้านรัสเซีย อย่างไรก็ตาม แผนการนี้กลับล้มเหลว และในช่วงปลาย ค.ศ. 1914 แนวรบด้านตะวันตกจึงกลายเป็นสมรภูมิสนามเพลาะที่ลากยาวจากช่องแคบอังกฤษถึงสวิตเซอร์แลนด์ กลับกันที่แนวรบด้านตะวันออกซึ่งการรบมีความคืบหน้ามากกว่า แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถสร้างความได้เปรียบได้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าการรุกจะมีความก้าวหน้า เมื่อสงครามเริ่มขยายไปสู่แนวรบด้านอื่นมากขึ้น บัลแกเรีย โรมาเนีย กรีซ อิตาลี และชาติต่าง ๆ ได้เข้าร่วมสงครามตั้งแต่ ค.ศ. 1915 เป็นต้นมา ในช่วงต้น ค.ศ. 1917 สหรัฐเข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร และต่อมาในปีเดียวกัน บอลเชวิคเถลิงอำนาจในรัสเซียระหว่างการปฏิวัติเดือนตุลาคม เป็นเหตุให้ประเทศเจรจาสงบศึกกับฝ่ายมหาอำนาจกลางเมื่อช่วงต้น ค.ศ. 1918 จากนั้นเยอรมนีได้เปิดการรุกในด้านตะวันตกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 และถึงแม้ว่าการรุกจะประสบผลสำเร็จเบื้องต้น แต่ก็สร้างความอ่อนล้าและความขวัญเสียแก่กองทัพเยอรมันเป็นอย่างมาก จากความสำเร็จของการรุกตอบโต้โดยฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลาต่อมาส่งผลให้แนวรบเยอรมันแตกพ่าย ในช่วลปลาย ค.ศ. 1918 บัลแกเรีย จักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการียินยอมเจรจาสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตร ปล่อยให้เยอรมนีอยู่โดดเดี่ยวในสงคราม ซึ่งต้องเผชิญกับการปฏิวัติภายในประเทศและความพยายามก่อกบฏของกองทัพ ทำให้ท้ายที่สุดจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน การรบยุติลงจากการสงบศึก 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 และต่อมาการเจรจาสันติภาพปารีสได้กำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ให้กับผู้พ่ายแพ้ โดยที่ปรากฏเด่นชัดที่สุดคือสนธิสัญญาแวร์ซาย การล่มสลายของจักรวรรดิใหญ่อย่างรัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และออตโตมันทำให้เกิดรัฐเอกราชใหม่ขึ้นมาอย่างมากมาย อันประกอบด้วยโปแลนด์ ฟินแลนด์ เชโกสโลวาเกีย และยูโกสลาเวีย ซึ่งจากการไร้ความสามารถในการจัดการความไม่มั่นคงภายหลังสงคราม มีส่วนทำให้เกิดการปะทุขึ้นของสงครามโลกครั้งที่สองในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ชื่อคำว่า"สงครามโลก" ถูกใช้ครั้งแรกในเดือนกันยายน ค.ศ. 1914 โดยนักชีววิทยาและนักปรัชญาชาวเยอรมัน แอร์นสท์ เฮคเคิล ผู้กล่าวอ้างว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลักสูตรและลักษณะของ'สงครามในยุโรป'ที่น่ากลัว ... จะกลายเป็นสงครามโลกครั้งแรกตามความหมายของคำนี้" ตามการอ้างอิงจากรายงานบริการโทรเลขในหนังสือพิมพ์อินเดียนาโพลิส สตาร์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1914 ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1914 - 1918 เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อว่า มหาสงคราม หรือเรียกอย่างง่าย ๆ ว่า สงครามโลก[5][6] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1914 นิตยสารแคนาดาที่มีชื่อว่า แมคลีนส์ ได้เขียนไว้ว่า "บางครั้งสงครามต่าง ๆ ได้ตั้งชื่อเป็นของตัวเอง นี่คือมหาสงคราม"[7] ชาวยุโรปในยุคเดียวกันยังได้เรียกว่า "สงครามเพื่อยุติสงคราม" หรือ "สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งหมด" เนื่องจากการรับรู้ถึงขนาดและการทำล้ายล้างที่ไม่ใครเปรียบเทียบได้ในขณะนั้น[8] ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1939 คำดัวกล่าวได้กลายเป็นมาตรฐานมากขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิบริติช รวมทั้งชาวแคนาดา ที่นิยมใช้คำเรียกว่า "สงครามโลกครั้งแรก" และ"สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" ของชาวอเมริกัน[9] ภูมิหลังแห่งสงครามพันธมิตรทางการเมืองและการทหาร![]() ในช่วงศตวรรษที่ 19 ประเทศมหาอำนาจที่สำคัญในทวีปยุโรปได้พยายามจะรักษาสมดุลแห่งอำนาจระหว่างกันเองส่งผลให้เครือข่ายพันธมิตรทางการเมืองและการทหารนั้นมีความซับซ้อน[10] ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถอนตัวของบริติชจนนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า การแยกตัวอย่างสง่างาม การเสื่อมถอยของจักรวรรดิออตโตมัน และการเถลิงอำนาจของปรัสเซียในช่วงหลังปี ค.ศ. 1848 ภายใต้การนำโดยอ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค ชัยชนะในสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย ปี ค.ศ. 1866 ได้สถาปนาให้ปรัสเซียใช้อำนาจครอบงำในเยอรมนี ในขณะที่ชัยชนะเหนือฝรั่งเศสในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ปี ค.ศ. 1870 - 1871 ได้รวมรัฐเยอรมันต่าง ๆ มาเป็นไรช์เยอรมันภายใต้การนำของปรัสเซีย ความต้องการแก้แค้นของฝรั่งเศสที่มีต่อความพ่ายแพ้ในปี ค.ศ. 1871 ที่เรียกกันว่า ลัทธิการแก้แค้น และการเข้ายึดอาลซัส-ลอแรนกลับคืนมากลายเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายฝรั่งเศสในอีกสี่สิบปีข้างหน้า(ดูที่ ฝรั่งเศส-เยอรมันเป็นศัตรูกัน)[11] ในปี ค.ศ. 1873 เพื่อแบ่งแยกฝรั่งเศสและหลีกเลี่ยงสงครามในสองแนวรบ บิสมาร์คได้เจรจากับสันนิบาตสามจักรพรรดิ(German: Dreikaiserbund) ระหว่างออสเตรีย-ฮังการี รัสเซีย และเยอรมนี สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชัยชนะของรัสเซียในสงครามปรัสเซีย-ตุรกี ปี ค.ศ. 1877-1878 และมีอิทธิพลในคาบสมุทรบอลข่าน สันนิบาตจึงถูกยุบในปี ค.ศ. 1878 ด้วยเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีได้ก่อตั้งทวิพันธมิตรในเวลาต่อมาในปี ค.ศ. 1879 สิ่งนี้ได้กลายเป็นไตรพันธมิตร เมื่ออิตาลีเข้าร่วมในปี ค.ศ. 1882[12][13] รายละเอียดในทางปฏิบัติของพันธมิตรเหล่านี้มีจำกัด เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของพวกเขาคือเพื่อให้แน่ใจว่ามีการร่วมมือกันระหว่างสามมหาอำนาจจักรวรรดิและเพื่อแบ่งแยกฝรั่งเศส ความพยายามของบริติชในปี ค.ศ. 1880 เพื่อแก้ไขความตึงเครียดด้านอาณานิคมกับรัสเซียและการเคลื่อนไหวทางการทูตโดยฝรั่งเศสทำให้บิสมาร์คต้องก่อตั้งสันนิบาตขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1881[14] เมื่อสันนิบาตได้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1887 มันได้ถูกแทนที่ด้วยสนธิสัญญาประกันพันธไมตรี ข้อตกลงลับระหว่างเยอรมนีและรัสเซียเพื่อรักษาความเป็นกลาง หากถูกโจมตีโดยฝรั่งเศสหรือออสเตรีย-ฮังการี ในปี ค.ศ. 1890 จักรพรรดิเยอรมันพระองค์ใหม่ ไคเซอร์ วิลเฮ็ล์มที่ 2 ทรงบีบบังคับให้บิสมาร์คเกษียณราชการและได้รับการโน้มน้าวไม่ต่ออายุสนธิสัญญาประกันพันธไมตรีโดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ลีโอ ฟอน คาพีวิ[15] สิ่งนี้ทำให้ฝรั่งเศสสามารถต่อต้านไตรพันธมิตรด้วยการเป็นพันธมิตรกันของฝรั่งเศส-รัสเซียในปี ค.ศ. 1894 และความตกลงฉันทไมตรีกับบริติช ในขณะที่บริติชและรัสเซียได้ลงนามในอนุสัญญาอังกฤษ-รัสเซีย ปี ค.ศ. 1907 ข้อตกลงนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยการยุติข้อพิพาทเกี่ยวกับอาณานิคมที่มีมายาวนาน พวกเขาได้ทำให้บริติชได้เข้าสู่ความขัดแย้งในอนาคตที่เกี่ยงข้องกับฝรั่งเศสหรือรัสเซียเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้อตกลงทวิภาคีที่ประสานงานกันเหล่านี้ได้กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ไตรภาคี[16] บริติชได้ให้การสนับสนุนแก่ฝรั่งเศสในการต่อต้านเยอรมนีในช่วงวิกฤตการณ์โมร็อคโกที่สอง ปี ค.ศ. 1911 ได้ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศ(และกับรัสเซีย) และความบาดหมางระหว่างอังกฤษ-เยอรมันได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการแบ่งแยกที่เข้มข้นขึ้นในปี ค.ศ. 1914[17] การแข่งขันทางอาวุธ![]() การสร้างไรช์เยอรมันภายหลังจากชัยชนะในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี ค.ศ. 1871 ได้นำไปสู่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของเยอรมนีที่เพิ่มมากขึ้น พลเรือเอก อัลเฟรท ฟ็อน เทียร์พิทซ์ และวิลเฮ็ล์มที่ 2 ที่กลายเป็นจักรพรรดิในปี ค.ศ. 1890 ได้พยายามที่จะใช้สิ่งนั้นเพื่อสร้างไคเซอร์ลีเชอมารีเนอหรือกองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมันเพื่อแข่งขันกับราชนาวีของบริติชเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดทางทะเลของโลก[18] ในการทำเช่นนี้ พวกเขาได้รับอิทธิพลจาก อัลเฟรด เธเออร์ มาฮาน นักยุทธศาสตร์กองทัพเรือสหรัฐ ผู้ที่โต้แย้งว่าการครอบครองน้ำสีฟ้าของกองทัพเรือนั้นมีความสำคัญต่อสิ่งที่วางแผนไว้ในอำนาจทั่วโลก เทียร์พิทซ์ได้แปลหนังสือของเขาเป็นภาษาเยอรมันและวิลเฮ็ล์มที่ 2 ทรงให้พวกเขาได้อ่านมัน[19] อย่างไรก็ตาม มันยังได้รับแรงผลักดันจากการยกย่องของวิลเฮ็ล์มที่ 2 ที่มีต่อราชนาวีและทรงปรารถนาที่จะเอาชนะ[20] สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดการแข่งขันอาวุธทางเรือของอังกฤษ-เยอรมัน แต่การเปิดตัวของเรือหลวงเดรดนอต ในปี ค.ศ. 1906 ทำให้ราชนาวีมีความได้เปรียบทางเทคโนโลยีเหนือคู่แข่งอย่างเยอรมัน ซึ่งพวกเขาไม่เคยพ่ายแพ้[18] ในท้ายที่สุด การแข่งขันนั้นได้ใช้ทรัพยากรจำนวนมากไปสู่การสร้างกองทัพเรือเยอรมันที่มีขนาดใหญ่ที่มากพอที่จะต่อต้านบริติช แต่ก็ไม่อาจที่จะเอาชนะได้ ในปี ค.ศ. 1911 นายกรัฐมนตรี เทโอบัลท์ ฟ็อน เบทมัน ฮ็อลเวค ได้ยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งนำไปสู่ Rüstungswende หรือ 'จุดเปลี่ยนอาวุธยุโธปกรณ์' เมื่อเยอรมนีได้เปลี่ยนค่าใช้จ่ายจากกองทัพเรือมาเป็นกองทัพบกแทน[21] สิ่งนี้ได้รับแรงผลักดันจากการฟื้นฟูของรัสเซียจากการปฏิวัติ ปี ค.ศ. 1905 โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเพิ่มการลงทุนในช่วงหลังปี ค.ศ. 1908 ในทางรถไฟและโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคชายแดนตะวันตก เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีได้อาศัยการระดมพลทหารที่เร็วขึ้นเพื่อชดเชยจำนวนที่มีน้อยลง ด้วยความกังวลในการปิดช่องว่างนี้ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดลงของการแข่งขันทางเรือ แทนที่จะลดความตึงเครียดจากที่อื่น เมื่อเยอรมนีได้ขยายกองทัพบกที่มีจำนวนคงที่คือ 170,000 นาย ในปี ค.ศ. 1913 ฝรั่งเศสได้ขยายการเกณฑ์ทหารจากสองถึงสามปี มาตรการที่มีความคล้ายกันที่ถูกดำเนินการโดยประเทศมหาอำนาจในคาบสมุทรบอลข่านและอิตาลีทำให้ออตโตมันและออสเตรีย-ฮังการีมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น จำนวนที่สมบูรณ์เป็นสิ่งที่ยากจะคำนวณ เนื่องจากความแตกต่างในการจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่าย ในขณะที่มักจะละเว้นโครงการโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนที่มีการใช้ทางทหาร เช่น ทางรถไฟ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 ถึง ปี ค.ศ. 1913 ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันโดยประเทศมหาอำนาจในยุโรป 6 ประเทศได้เพิ่มขึ้นกว่า 50% ในมุมมองที่แท้จริง[22] ความขัดแย้งในบอลข่าน![]() ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1908 ออสเตรีย-ฮังการีได้ยุติวิกฤตการณ์บอสเนียในปี ค.ศ. 1908-1909 โดยทำการผนวกอดีตดินแดนของออตโตมันอย่างบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งถูกยึดครองตั้งแต่ปี ค.ศ. 1878 สิ่งนี้ทำให้ราชอาณาจักรเซอร์เบียและผู้อุปถัมภ์ กลุ่มลัทธิรวมชาวสลาฟ และกลุ่มนิกายออร์ทอดอกซ์ของจักรวรรดิรัสเซียเกิดความโกรธเกี้ยว บอลข่านได้รับการขนานนามว่า "ถังแป้งแห่งยุโรป"[23] สงครามอิตาลี-ตุรกี ในปี ค.ศ. 1911–1912 เป็นเค้าลางที่สำคัญของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เนื่องจากจุดชนวนลัทธิชาตินิยมในรัฐบอลข่านและปูทางไปสู่สงครามบอลข่าน.[24] ในปี ค.ศ. 1912 และ 1913 สงครามบอลข่านครั้งที่หนึ่งเป็นการสู้รบระหว่างสันนิบาตบอลข่านและจักรวรรดิออตโตมันที่แตกแยก ส่งผลทำให้เกิดสนธิสัญญาลอนดอนซึ่งทำให้จักรวรรดิออตโตมันได้หดตัวลงไปอีก ทำให้เกิดรัฐแอลเบเนียที่เป็นเอกราช ในขณะที่ได้ขยายการถือครองดินแดนของบัลแกเรีย เซอร์เบีย มอนเตเนโกร และกรีซ เมื่อบัลแกเรียได้เข้าโจมตีเซอร์เบียและกรีซในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1913 เป็นการจุดชนวนของสงครามบอลข่านครั้งที่สองที่กินเวลาเพียง 33 วัน ในช่วงตอนท้ายก็ต้องสูญเสียส่วนใหญ่ของมาซิโดเนียให้กับเซอร์เบียและกรีซ และดอบรูจาใต้ให้กับโรมาเนีย ทำให้ภูมิภาคแห่งนั้นเกิดความสั่นคลอนต่อไป ประเทศมหาอำนาจสามารถที่จะรักษาความขัดแย้งบอลข่านไว้ได้ แต่ครั้งต่อไปจะแพร่กระจายไปทั่วยุโรปและอื่น ๆ จุดชนวนการลอบสังหารที่เมืองซาราเยโว![]() เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 อาร์ชดยุก ฟรันซ์ แฟร์ดีนันท์ รัชทายาทสืบทอดราชบังลังก์จักรพรรดิแห่งออสเตรีย-ฮังการี ได้เสด็จเยี่ยมเยียนเมืองหลวงบอสเนียคือ ซาราเยโว กลุ่มมือลอบสังหาร 6 คน (Cvjetko Popović, กัฟรีโล ปรินซีป, Muhamed Mehmedbašić, Nedeljko Čabrinović, Trifko Grabež, และ Vaso Čubrilović) จากกลุ่มเยาวชนบอสเนียของกลุ่มนิยมยูโกสลาเวีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้วยอาวุธโดยกลุ่มแบล็คแฮนด์เซอร์เบีย ได้รวมตัวกันบนท้องถนนที่ขบวนรถพระที่นั่งของอาร์ชดยุกจะผ่านไปโดยมีเป้าหมายที่จะลอบปลงพระชนม์ เป้าหมายทางการเมืองของการลอบสังหารคือเพื่อทำลายจังหวัดสลาฟทางตอนใต้ของออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งออสเตรีย-ฮังการีได้ทำการผนวกดินแดนจากจักรวรรดิออตโตมัน เพื่อให้พวกเขารวมชาติเป็นยูโกสลาเวีย Čabrinović ได้โยนระเบิดใส่รถพระที่นั่งแต่กลับพลาด เลยไปถูกฝูงชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจนได้รับบาดเจ็บกันทั่วหน้า แต่ขบวนรถพระที่นั่งของแฟร์ดีนันท์ยังเดินหน้าต่อไป มือสังหารคนอื่น ๆ ต่างล้มเหลวในการลงมือ ในขณะที่รถพระที่นั่งได้ผ่านพ้นพวกเขาไป ในประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อแฟร์ดีนันท์กำลังเสด็จกลับจากการเยี่ยมเยียนผู้บาดเจ็บจากความพยายามลอบปลงพระชนม์ที่โรงพยาบาลในเมืองซาราเยโว ขบวนรถพระที่นั่งได้เลี้ยวผิดทางเข้าสู่ถนนที่ซึ่งปรินซีปยืนอยู่โดยบังเอิญ ปรินซีปจึงชักปืนพกยิงใส่อาร์ชดยุกและดัสเชสโซเฟีย ผู้เป็นพระชายา จนสิ้นพระชนม์ทั้งคู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สนิทกันเป็นส่วนตัว จักรพรรดิ ฟรันทซ์ โยเซ็ฟ รู้สึกตกพระทัยและพระโสมนัสอย่างมาก ปฏิกิริยาท่ามกลางประชาชนในออสเตรีย แม้กระนั้นจะเบาบาง แทบจะไม่สนใจแต่อย่างใด ตามที่นักประวัติศาสตร์ที่ชื่อว่า Zbyněk Zeman ได้เขียนไว้ในภายหลังว่า "เหตุการณ์ครั้งนี้แทบจะล้มเหลวในการสร้างความประทับใจแต่อย่างใด ในวันอาทิตย์และวันจันทร์ (28 และ 29 มิถุนายน) ฝูงชนในกรุงเวียนนาได้ฟังเพลงและดื่มไวน์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น"[27][28] อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางการเมืองของการลอบปลงพระชนม์รัชทายาทนั้นมีความสำคัญและได้รับการอธิบายโดยนักประวัติศาสตร์ที่ชื่อ คริสโตเฟอร์ คลาร์ก ในรายการวิทยุบีบีซี 4 ในหัวเรื่องคือ เดือนแห่งความบ้าคลั่ง คือ เอฟเฟกต์ 9/11 เหตุการณ์การก่อการร้ายที่มีความหมายในประวัติศาสตร์ ได้เปลี่ยนแปลงทางเคมีในกรุงเวียนนา"[29] การขยายความรุนแรงในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา![]() เจ้าหน้าที่ออสเตรีย-ฮังการีได้ให้การสนับสนุนให้เกิดการก่อจลาจลต่อต้านชาวเซิร์บในเมืองซาราเยโวในเวลาต่อมา ซึ่งชาวบอสเนียโครแอต และชาวบอสนีแอกได้สังหารชาวเซิร์บบอสเนีย 2 คน และสร้างความเสียหายให้กับอาคารที่ชาวเซิร์บเป็นเจ้าของ[30][31] การกระทำความรุนแรงต่อเชื้อชาติเซิร์บก็ยังจัดขึ้นนอกเมืองซาราเยโว ในเมืองอื่น ๆ ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา โครเอเชีย และสโลวีเนีย ที่ถูกควบคุมโดยออสเตรีย-ฮังการี เจ้าหน้าที่ออสเตรีย-ฮังการีในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาได้จำคุกและส่งผู้ร้ายข้ามแดนชาวเซิร์บที่มีความสำคัญจำนวนประมาณ 5,500 คน 700 คน ถึง 2,200 คนได้เสียชีวิตในคุก ชาวเซิร์บอีก 460 คนถูกตัดสินประหารชีวิต มีการจัดตั้งกองทหารอาสาสมัครชาวบอสนิกที่รู้จักกันในชื่อว่า Schutzkorps และทำการประหัตประหารต่อชาวเซิร์บ[32][33][34][35] วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคมการลอบปลงพระชนม์ได้นำไปสู่เดือนของการวางแผนทางการทูตระหว่างออสเตรีย-ฮังการี เยอรมนี รัสเซีย ฝรั่งเศส และบริติช ซึ่งเรียกกันว่า วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคม ออสเตรีย-ฮังการีได้เชื่อมั่นว่า เจ้าหน้าที่เซอร์เบีย (โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของแบล็คแฮนด์) มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุก และต้องการยุติการแทรกแซงของเซอร์เบียในบอสเนียในที่สุด เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ออสเตรีย-ฮังการีได้ออกแถลงการณ์ในการยื่นคำขาดเดือนกรกฎาคมต่อเซอร์เบีย ข้อเรียกร้อง 10 ประการที่ทำให้ไม่สามารถยอมรับโดยเจตนาในความพยายามที่จะกระตุ้นให้เกิดสงครามกับเซอร์เบีย[36] เซอร์เบียได้ออกคำสั่งให้ระดมพลทหารทั่วไป เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เซอร์เบียได้ยอมรับเงื่อนไขทั้งหมดของการยื่นคำขาด ยกเว้นข้อที่ 6 ซึ่งเรียกร้องให้ผู้แทนออสเตรียได้รับอนุญาตในเซอร์เบียเพื่อแสดงเจตจำนงในการมีส่วนร่วมในการสอบสวนคดีการลอบปลงพระชนม์[37] ภายหลังจากนั้น ออสเตรียได้ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับเซอร์เบียและในวันรุ่งขึ้น ได้ออกคำสั่งให้มีการระดมพลทหารบางส่วน ในที่สุด เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 หนึ่งเดือนหลังการลอบปลงพระชนม์ ออสเตรีย-ฮังการีได้ประกาศสงครามกับเซอร์เบีย ![]() เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม รัสเซียในการสนับสนุนเซอร์เบีย ได้ประกาศระดมพลทหารบางส่วนเพื่อต่อต้านออสเตรีย-ฮังการี[38] วันที่ 30 กรกฎาคม รัสเซียได้สั่งระดมพลทหารทั่วไป นายกรัฐมนตรีเยอรมนี Bethmann-Hollweg ได้รอจนถึงวันที่ 31 เพื่อรับคำตอบที่เหมาะสม เมื่อเยอรมันได้ประกาศ Erklärung des Kriegszustandes, หรือ "คำแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานะสงคราม"[39][40] d ไคเซอร์ วิลเฮ็ล์มที่ 2 ทรงขอให้พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง ให้ระงับการระดมพลทหารทั้วไปของรัสเซีย เมื่อถูกปฏิเสธ เยอรมนีได้ยื่นคำขาดเรียกร้องให้หยุดการระดมพลทหาร และให้คำมั่นสัญญาที่จะไม่สนับสนุนแก่เซอร์เบีย อีกด้านหนึ่งก็ส่งไปยังฝรั่งเศส เพื่อขอให้ไม่สนับสนุนแก่รัสเซีย หากต้องมาปกป้องเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ภายหลังจากรัสเซียตอบกลับ เยอรมนีได้สั่งระดมพลทหารและประกาศสงครามกับรัสเซีย นอกจากนี้ยังได้นำไปสู่การระดมพลทหารในออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม รัฐบาลเยอรมนีได้ประกาศข้อเรียกร้องให้ฝรั่งเศสยังคงวางตัวเป็นกลาง ในขณะที่พวกเขาได้ตัดสินใจว่าจะใช้แผนการใดในการปรับใช้ มันยากมากที่จะเปลี่ยนปรับใช้ เมื่อกำลังดำเนินการอยู่ แผนชลีเฟน ของเยอรมันที่ได้รับการแก้ไข Aufmarsch II West จะส่งกำลังทหาร 80% ไปทางตะวันตก ในขณะที่ Aufmarsch I Ost และ Aufmarsch II Ost จะส่งกำลังทหาร 60% ในทางตะวันตกและ 40 % ในทางตะวันออก ฝรั่งเศสไม่ได้ตอบโต้ แต่ส่งข้อความแบบผสมโดยสั่งให้ทหารถอนกำลังออกจากชายแดน 10 กม.(6 ไมล์) เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ใด ๆ และในเวลาเดียวกันก็สั่งระดมพลทหารกำลังสำรองของพวกเขา เยอรมันได้ตอบโต้ด้วยระดมพลทหารกองกำลังสำรองของตนเองและนำไปใช้กับ Aufmarsch II West คณะรัฐมนตรีบริติชได้ตัดสินใจ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญา ปี ค.ศ. 1839 เกี่ยวกับเบลเยียมที่ไม่ได้ถูกบังคับให้ต่อต้านเยอรมันในการบุกครองเบลเยียมด้วยกำลังทหาร[41] เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม วิลเฮล์มทรงมีรับสั่งให้นายพล เฮ็ลมูท ฟ็อน ม็อลท์เคอ ยังเกอร์ "เคลื่อนทั้งกองทัพ...สู่ตะวันออก" ภายหลังจากได้รับรู้ว่าบริติชจะวางตัวเป็นกลาง หากฝรั่งเศสไม่ถูกโจมตี(และอาจจะเป็นไปได้ อำนาจยังอยู่ในกำมือ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ซึ่งต้องคอยยับยั้งวิกฤตการณ์ไอร์แลนด์)[42][43] ม็อลท์เคอได้กราบทูลกับไคเซอร์ว่า ความพยายามที่จะโยกย้ายกำลังคนเป็นล้านนั้นเรื่องที่คาดไม่ถึงและนั่นจะทำให้เป็นไปได้ว่าฝรั่งเศสจะเข้าโจมตีเยอรมันจาก"ทางด้านหลัง" ซึ่งพิสูจน์ได้เลยว่าเป็นความหายนะ แต่วิลเฮล์มได้ยืนยันว่ากองทัพเยอรมันไม่ควรเคลื่อนทัพเข้าไปยังลักเซมเบิร์กจนกว่าพระองค์จะได้รับโทรเลขจากพระเจ้าจอร์จที่ห้า ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ ซึ่งทำให้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเป็นความเข้าใจผิด ในที่สุดไคเซอร์ทรงรับสั่งกับม็อลท์เคอว่า "ตอนนี้ ท่านจะสามารถทำสิ่งที่ท่านต้องการได้แล้ว"[44][45] ![]() เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม เยอรมันเข้ายึดครองลักเซมเบิร์ก และวันที่ 3 สิงหาคม ได้ประกาศสงครามกับฝรั่งเศส ในวันเดียวกัน พวกเขาได้ยื่นคำขาดไปยังรัฐบาลเบลเยียมเพื่อเรียกร้องสิทธิที่ไม่มีข้อจำกัดสำหรับเส้นทางผ่านส่วนใดส่วนหนึ่งของเบลเยี่ยม ซึ่งถูกปฏิเสธ ช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 4 สิงหาคม เยอรมันได้ทำการบุกครอง สมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ทรงมีรับสั่งให้ทหารทำการต่อต้านและเรียกร้องขอความช่วยเหลือภายใต้สนธิสัญญาลอนดอน ปี ค.ศ. 1839[46][47][48] บริติชได้เรียกร้องให้เยอรมนีปฏิบัติตามสนธิสัญญาและเคารพความเป็นกลางของเบลเยียม ซึ่งได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีในช่วงวลา 1 ทุ่มของเวลาสากลเชิงพิกัดของวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 5 ทุ่ม) ภายหลังจากที่"ได้รับคำตอบที่ไม่น่าพอใจ"[49] เส้นทางของสงครามเปิดฉากความเป็นปรปักษ์ความสับสนภายในฝ่ายมหาอำนาจกลางยุทธศาสตร์ของฝ่ายมหาอำนาจกลางเสียหายเพราะความผิดพลาดในการติดต่อสื่อสารกัน เยอรมนีให้คำมั่นสนับสนุนออสเตรีย-ฮังการีในการรุกรานเซอร์เบีย แต่ได้มีการตีความความหมายนี้ผิดไป แผนการจัดวางกำลังซึ่งเคยทดสอบมาแล้วในอดีตถูกเปลี่ยนใหม่ในต้นปี ค.ศ. 1914 แต่ยังไม่เคยทดสอบในทางปฏิบัติ ผู้นำออสเตรีย-ฮังการีเชื่อว่าเยอรมนีจะป้องกันปีกด้านทิศเหนือที่ติดกับรัสเซีย[50] อย่างไรก็ตาม เยอรมนีซึ่งเห็นว่าออสเตรีย-ฮังการีมุ่งส่งกำลังทหารส่วนใหญ่ต่อสู้กับรัสเซีย ขณะที่เยอรมนีจัดการกับฝรั่งเศส ความสับสนนี้ทำให้กองทัพออสเตรีย-ฮังการีต้องแบ่งกำลังเพื่อไปประจำทั้งแนวรบรัสเซียและเซอร์เบีย การทัพเซอร์เบีย![]() ออสเตรียได้บุกครองและต่อสู้รบกับกองทัพเซอร์เบียที่ยุทธการที่เซียร์และยุทธการที่โคลูบารา ซึ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ในอีกสองสัปดาห์ต่อมา ฝ่ายโจมตีอย่างออสเตรียได้ถูกผลักดันกลับพร้อมกับความสูญเสียอย่างหนัก ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะที่สำคัญครั้งแรกของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามและดับความหวังของออสเตรีย-ฮังการีในการเอาชนะอย่างรวดเร็ว เป็นผลทำให้ ออสเตรียต้องรักษากองกำลังขนาดใหญ่ไว้ในแนวรบเซอร์เบียทำให้ความพยายามในการต่อต้านรัสเซียอ่อนแอลง[51] ความพ่ายแพ้ของเซอร์เบียในการบุกครองของออสเตรีย-ฮังการีในปี ค.ศ. 1914 ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในชัยชนะที่สำคัญที่ทำให้เกิดหัวเสียในศตวรรษที่ยี่สิบ[52] การทัพครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกด้วยการใช้การอพยพทางการแพทย์โดยกองทัพเซอร์เบียในฤดูใบไม้ร่วงในปี ค.ศ. 1915 และการทำสงครามต่อต้านอากาศยานในฤดูใบไม้ผลิในปี ค.ศ. 1915 ภายหลังจากเครื่องบินของออสเตรียถูกยิงตกด้วยการยิงจากภาคพื้นดินสู่อากาศ[53][54] การรุกของเยอรมันในเบลเยียมและฝรั่งเศส![]() เมื่อมีการระดมพลใน ค.ศ. 1914 80% ของกองทัพบกเยอรมันตั้งอยู่บนแนวรบด้านตะวันตก โดยส่วนที่เหลือซึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังป้องกันในด้านตะวันออก ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Aufmarsch II West ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีคือ แผนชลีฟเฟิน ตามชื่อของผู้ก่อตั้งแผน นามว่า อัลเฟรท ฟ็อน ชลีเฟิน หัวหน้าคณะเสนาธิการใหญ่ของเยอรมัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1891 ถึง ค.ศ. 1906 แทนที่จะโจมตีโดยตรงในการข้ามชายแดนร่วมกัน ปีกขวาของเยอรมันจะกวาดผ่านทางเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม จากนั้นเคลื่อนลงทางตอนใต้ โอบล้อมกรุงปารีสและดักล้อมกองทัพฝรั่งเศสไว้กับชายแดนสวิส ชลีเฟินคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาถึงหกสัปดาห์ หลังจากนั้นกองทัพบกเยอรมันจะโยกย้ายไปทางด้านตะวันออกและเอาชนะรัสเซีย[55] แผนการนี้ได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างมากโดยผู้รับช่วงต่อจากเขา เฮ็ลมูท โยฮันเนิส ลูทวิช ฟ็อน ม็อลท์เคอ ภายใต้ชลีฟเฟิน 85% ของกองกำลังเยอรมันในด้านตะวันคกได้รับมอบหมายให้เป็นปีกขวา โดยส่วนที่เหลือยังคงยึดที่มั่นตามแนวชายแดน โดยจงใจให้ปีกซ้ายอ่อนแอ เขาหวังว่าจะหลอกล่อให้ฝรั่งเศสเข้ารุกโจมตี "จังหวัดที่เสียไป" ของอาลซัส-ลอแรน ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นยุทธศาสตร์ที่วางเอาไว้โดยแผนสิบเจ็ด[55] อย่างไรก็ตาม ม็อลท์เคอเริ่มวิตกกังวลว่าฝรั่งเศสอาจจะผลักดันปีกซ้ายแรงเกินไป และเมื่อกองทัพบกเยอรมันได้เพิ่มขนาด ตั้งแต่ ค.ศ. 1908 ถึง ค.ศ. 1914 เขาได้เปลี่ยนแปลงการจัดสรรกำลังระหว่างปีกทั้งสองข้างจาก 85:15 เป็น 70:30[56] นอกจากนี้ เขายังถือว่าความเป็นกลางของดัตซ์ยังมีความจำเป็นต่อการค้าขายของเยอรมัน และยกเลิกการบุกเข้าไปในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งหมายความว่า ความล่าช้าใด ๆ ในเบลเยียมจะเป็นภัยคุกคามต่อการนำไปปฏิบัติจริงของแผนการทั้งหมด[57] นักประวัติศาสตร์นามว่า Richard Holmes ได้ให้เหตุผลว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หมายความว่า ปีกขวาไม่แข็งแกร่งพอที่จะบรรลุความสำเร็จอย่างเด็ดขาดและด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่เป้าหมายและเวลาที่ไม่สมจริง[58] ![]() การรุกของเยอรมันช่วงแรกในด้านตะวันตกประสบความสำเร็จอย่างมาก และเมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม ฝ่ายสัมพันธมิตรได้จากไป ซึ่งรวมถึงกองกำลังรบนอกประเทศบริติช(BEF) ได้ล่าถอยอย่างเต็มกำลัง ในเวลาเดียวกัน การรุกของฝรั่งเศสในอาลซัส-ลอแรนเป็นความล้มเหลวอย่างย่อยยับ โดยมีการสูญเสียมากกว่า 260,000 นาย รวมถึงผู้เสียชีวิต 27,000 นาย ในวันที่ 22 สิงหาคม ในช่วงยุทธการชายแดน การวางแผนของเยอรมันได้ให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ปล่อยให้ผู้บัญชาการกองทัพบกมีอิสระอย่างมากในการปฏิบัติการที่แนวหน้า สิ่งนี้ใช้ได้ผลดีใน ค.ศ. 1866 ถึง ค.ศ. 1870 แต่ใน ค.ศ. 1914 ฟ็อน คลัดใช้เสรีภาพในการขัดคำสั่ง เปิดช่องว่างระหว่างกองทัพเยอรมันในขณะที่พวกเขาปิดล้อมกรุงปารีส ฝรั่งเศสและอังกฤษได้ใช้ประโยชน์จากช่องว่างนี้เพื่อหยุดยั้งการรุกของเยอรมันทางตะวันออกของกรุงปารีสในยุทธการมาร์นครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 12 กันยายน และผลักดันกองทัพเยอรมันให้ล่าถอยกลับไปประมาณ 50 กิโลเมตร(31 ไมล์) ใน ค.ศ. 1911 สตาฟกา(กองบัญชาการทหารสูงสุด)ของรัสเซียได้ตกลงกับฝรั่งเศสที่จะโจมตีเยอรมนีภายในสิบห้าวันของการระดมพล สิบวันก่อนที่เยอรมันจะเตรียมการป้องกันล่วงหน้า แม้ว่าจะหมายถึงสองกองทัพรัสเซียที่กำลังเข้าสู่ปรัสเซียตะวันออก เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม การทำเช่นนั้นโดยปราศจากองค์ประกอบการสนับสนุนมากนัก แม้ว่ากองทัพที่สองของรัสเซียเกือบที่จะถูกทำลายในยุทธการที่ทันเนินแบร์ค เมื่อวันที่ 26 - 30 สิงหาคม การรุกของพวกเขาทำให้เยอรมันต้องเปลี่ยนเส้นทางให้กับกองทัพภาคที่ 8 จากฝรั่งเศสสู่ปรัสเซียตะวันออก ซึ่งเป็นปัจจัยในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสมรภูมิมาร์น ในปลายปี ค.ศ. 1914 กองกำลังทหารเยอรมันได้เข้ายึดตำแหน่งป้องกันที่แข็งแกร่งในฝรั่งเศศ เข้าควบคุมกองถ่านหินภายในประเทศของฝรั่งเศส และทำให้มีการสูญเสียมากกว่า 230,000 คน มากกว่าที่พวกเขาเสียไป อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านการสื่อสารและการตัดสินใจในการสั่งการที่น่าสงสัยทำให้เยอรมนีสูญเสียโอกาศที่จะได้รับผลตัดสินชี้ขาด ในขณะที่เยอรมนีล้มเหลวในการบรรลุวัตถุประสงค์หลักในการหลีกเลี่ยงสองแนวรบที่ยาวนาน ดังที่ผู้นำเยอรมันหลายคนได้เข้าใจอย่างชัดเจน สิ่งนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ ไม่นานภายหลังจากสมรภูมิมาร์น เจ้าชายวิลเฮ็ล์ม มกุฎราชกุมารทรงตรัสกับนักข่าวชาวอเมริกันว่า "เราแพ้สงคราม มันจะดำเนินต่อไปเป็นเวลายาวนาน แต่ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว" เอเชียและแปซิฟิกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1914 นิวซีแลนด์เข้ายึดครองเยอรมันซามัว ปัจจุบันคือรัฐเอกราชแห่งซามัว เมื่อวันที่ 11 กันยายน กองกำลังรบนอกประเทศการทหารและเรือของออสเตรียยกพลขึ้นบกที่เกาะนิวบริเตน จึงเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันนิวกินี เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม เรือลาดตระเวนของเยอรมัน SMS Emden จมเรือลาดตระเวนของรัสเซีย Zhemchug ในยุทธนาวีที่ปีนัง ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับเยอรมนีก่อนที่จะเข้ายึดครองดินแดนในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหมู่เกาะทะเลใต้ในการอาณัติ รวมทั้งท่าเรือตามสนธิสัญญาของเยอรมันบนคาบสมุทรซานตงของจีนที่ชิงเต่า ภายหลังจากที่เวียนนาได้ปฏิเสธที่จะถอนเรือลาดตระเวน SMS Kaiserin Elisabeth ออกจากชิงเต่า ญีปุ่นก็ประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการีเช่นกัน และเรือก็ถูกจมลงที่ชิงเต่า ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1914[59] ภายในเวลาไม่กี่เดือน กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ายึดครองดินแดนของเยอรมันทั้งหมดในมหาสมุทรแปซิฟิก เหลือแค่เพียงการเข้าโจมตีเรือพาณิชย์เพียงลำพังและกองกำลังทหารที่ยืนหยัดสู้รบเพียงไม่กี่แห่งในนิวกินี[60][61] การทัพแอฟริกาการปะทะกันครั้งแรก ๆ ของสงครามเกิดขึ้นในกองทัพอาณานิคมอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมนีในแอฟริกา วันที่ 6-7 สิงหาคม กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษรุกรานโตโกแลนด์และแคเมอรูน อันเป็นดินแดนในอารักขาของเยอรมนี วันที่ 10 สิงหาคม กองทัพเยอรมันในแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้โจมตีแอฟริกาใต้ การต่อสู้ประปรายและป่าเถื่อนดำเนินต่อไปกระทั่งสงครามสิ้นสุด กองทัพอาณานิคมเยอรมันในแอฟริกาตะวันออกของเยอรมนี นำโดยพันเอก พอล เอมิล ฟอน เลทโท-วอร์เบค สู้รบในการทัพสงครามกองโจรระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและยอมจำนนสองสัปดาห์หลังสัญญาสงบศึกมีผลใช้บังคับในยุโรป[62] อินเดียให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร![]() เยอรมนีได้พยายามใช้ลัทธิชาตินิยมอินเดียและอุดมการณ์รวมกลุ่มอิสลามให้เป็นประโยชน์ ได้ยุยงปลุกปั่นทำให้เกิดการลุกฮือในอินเดีย และส่งคนให้ไปทำภารกิจที่กระตุ้นทำให้อัฟกานิสถานเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง อย่างไรก็ตาม ตรงกันข้ามที่บริติชหวาดกลัวต่อการก่อการกำเริบในอินเดีย การปะทุของสงครามได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีและความปรารถนาดีได้หลั่งไหลมาสู่บริติชอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ผู้นำทางการเมืองของอินเดียจากคองเกรสแห่งชาติอินเดียและกลุ่มอื่น ๆ ได้กระตือรือร้นที่จะให้การสนับสนุนต่อการทำสงครามของบริติช เนื่องจากพวกเขาเชื่อกันว่าการให้สนับสนุนที่เข้มแข็งสำหรับความพยายามในการทำสงครามจะเป็นสาเหตุที่อินเดียจะได้รับมอบในการปกครองตนเอง(Indian Home Rule)มากยิ่งขึ้น ในความเป็นจริง กองทัพอินเดียมีจำนวนมากกว่ากองทัพบริติชในช่วงเริ่มต้นของสงคราม ทหารและคนงานชาวอินเดียประมาณ 1.3 ล้านนาย ซึ่งทำหน้าที่ในยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง ในขณะที่รัฐบาลส่วนกลางและรัฐมหาราชาคอยส่งซับพลายขนาดใหญ่สำหรับอาหาร เงิน และกระสุนอาวุธปืน โดยรวมแล้ว มีทหารจำนวน 140,000 นาย ซึ่งทำหน้าที่ในแนวรบด้านตะวันตกและเกือบ 700,000 นาย ในตะวันออกกลาง จำนวนความสูญเสียของทหารอินเดียทั้งหมดโดยมีผู้เสียชีวิต 47,746 นาย และผู้ได้รับบาดเจ็บ 65,126 นาย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นมาจากสงคราม เช่นเดียวกับความล้มเหลวของรัฐบาลบริติชในการมอบให้ปกครองตนเองแก่อินเดีย ภายหลังของการสิ้นสุดของการสู้รบ ความท้อแท้และแรงผลักดันก่อให้เกิดการรณรงค์ในการเรียกร้องเอกราชโดยสมบูรณ์ภายใต้การนำโดยมหาตมา คานธี และคนอื่น ๆ แนวรบด้านตะวันตกการริเริ่มทำสงครามสนามเพลาะ![]() กลยุทธ์ทางทหารช่วงก่อนสงครามที่เน้นการทำสงครามแบบเปิดโล่งและพลปืนไรเฟิลแต่ละคนได้รับการพิสูจน์แล้วว่าล้าสมัย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1914 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดการสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่งซึ่งส่วนใหญ่จะป้องกันการรุกของทหารราบจำนวนมาก เช่น ลวดหนาม ปืนกล และเหนือกว่าสิ่งอื่นใดด้วยปืนใหญ่ที่ทรงพลังยิ่งกว่า ซึ่งได้ครอบงำในสนามรบและทำให้การข้ามพื้นที่แบบเปิดโล่งยากลำบากมากขึ้น[63] ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามดิ้นรนเพื่อพัฒนายุทธวิธีสำหรับการเข้ายึดตำแหน่งฐานที่มั่นโดยปราศจากการเผชิญพบกับการสูญเสียอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เทคโนโลยีได้ริเริ่มผลิตอาวุธสำหรับการรุกขึ้นมาใหม่ ๆ เช่น การทำสงครามแก๊ส และรถถัง[64] ภายหลังยุทธการที่มาร์นครั้งที่หนึ่งในเดือนกันยายน ค.ศ. 1914 กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายเยอรมันต่างพยายามโจมตีขนาบข้างแต่ละฝ่ายซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ เป็นหนึ่งในรูปแบบของการฝึกซ้อมรบซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเวลาต่อมาคือ "การแข่งขันสู่ทะเล" (Race to the Sea) ในช่วงปลาย ค.ศ. 1914 กองทัพที่เป็นฝ่ายปฏิปักษ์ต่างเผชิญหน้ากันตามแนวของตำแหน่งฐานที่มั่นที่ไม่ขาดสายจากช่องแคบถึงชายแดนสวิส[65] เนืองจากโดยปกติแล้ว เยอรมันสามารถที่จะเลือกจุดที่ยืนได ้ พวกเขามักจะครอบครองอยู่บนพื้นที่สูง นอกจากนี้ สนามเพลาะของพวกเขาค่อนข้างจะสร้างได้ดีกว่า เนื่องจากสนามเพลาะของอังกฤษ-ฝรั่งเศสแต่เดิมมีจุดมุ่งหมาย"ชั่วคราว" และจะต้องใช้ในยามจำเป็นเท่านั้นจนกว่าจะสามารถทลายแนวป้องกันของเยอรมัน[66] ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามที่จะทำลายหนทางตันโดยใช้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1915 ในยุทธการที่แม่น้ำอิพร์ครั้งที่สอง เยอรมัน(ละเมิดอนุสัญญากรุงเฮก) ได้ใช้แก๊สคลอรีนเป็นครั้งแรกบนแนวรบด้านตะวันตก ในไม่ช้า แก๊สหลายชนิดได้ถูกใช้อย่างกว้างขวางโดยทั้งสองฝ่าย และถึงแม้ว่าไม่เคยพิสูจน์ว่า เป็นอาวุธที่นำมาซึ่งชัยชนะอย่างเด็ดขาดในการสู้รบ แก๊สพิษกลายเป็นหนึ่งในความน่าสะพรึงกลัวมากที่สุดและเป็นที่จดจำอย่างดีที่สุดของความหวาดกลัวของสงคราม[67][68] ความต่อเนื่องของสงครามสนามเพลาะ![]() ทั้งสองฝ่ายได้พิสูจน์ว่าไม่สามารถส่งผลกระทบอย่างเด็ดขาดในอีกสองปีข้างหน้า ตลอดช่วงปี ค.ศ. 1915 - 17 จักรวรรดิบริติชและฝรั่งเศสได้เผชิญกับความสูญเสียมากกว่าเยอรมนี เนื่องจากทั้งจุดยืนทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ทั้งสองฝ่ายเลือก ในทางยุทธศาสตร์ ในขณะที่เยอรมันเข้ารุกโจมตีครั้งใหญ่เพียงฝ่ายเดียว ส่วนฝ่ายสัมพันธมิตรได้พยายามหลายครั้งที่จะบุกทะลวงฝ่าแนวรบของเยอรมัน ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1916 เยอรมันเข้าโจมตีตำแหน่งป้องกันของฝรั่งเศสที่ยุทธการที่แวร์เดิง ยืดเยื้อจนถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916 เยอรมันได้เปรียบในช่วงแรก ก่อนที่ฝรั่งเศสจะโจมตีตอบโต้กลับจนสามารถผลักดันกลับไปยังใกล้กับจุดเริ่มต้น ความสูญเสียนั้นมีจำนวนมากมายสำหรับฝรั่งเศส แต่เยอรมันกลับนองเลือดอย่างหนักเช่นกัน โดยมีตั้งแต่จำนวน 700,000 นาย ถึง 975,000 นาย การเผชิญประสบความสูญเสียระหว่างสองคู่สงคราม แวร์เดิงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการตัดสินใจอันแน่วแน่และการเสียสละตนเองของฝรั่งเศส[69] ![]() ยุทธการที่แม่น้ำซอมเป็นการรุกของอังกฤษ-ฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1916 วันเปิดฉากของการรุก(1 กรกฎาคม ค.ศ. 1916) เป็นวันแห่งการนองเลือดในประวัติศาสตร์ของกองทัพบกอังกฤษ ซึ่งประสบความสูญเสียจำนวน 57,470 นาย รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิต 19,240 นาย ราคาของการรุกแม่น้ำซอมทั้งหมดทำให้กองทัพอังกฤษสูญเสียประมาณ 420,000 นาย ฝรั่งเศสประสบความสูญเสียอีกประมาณ 200,000 คน และเยอรมันประมาณ 500,000 นาย[70] การยิงปืนไม่ใช่เพียงแค่ปัจจัยเดียวที่คร่าชีวิต โรคภัยที่เกิดขึ้นในสนามเพลาะเป็นนักฆ่าที่สำคัญต่อทั้งสองฝ่าย สภาพความเป็นอยู่ทำให้เกิดโรคภัยและการติดเชื้อมากมาย เช่น โรคเท้าแช่เย็น(Trench foot) ภาวะหวาดผวาจากกระสุนปืนใหญ่(Shell shock) ตาบอด/แผลไหม้จากแก๊สมัสตาร์ด เหา ไข้สนามเพลาะ(trench fever) Cooties(เหาลำตัว) และไข้หวัดใหญ่สเปน[71][แหล่งอ้างอิงอาจไม่น่าเชื่อถือ] สงครามทางทะเลเมื่อสงครามเริ่มต้น จักรวรรดิเยอรมันมีเรือลาดตระเวนกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งเรือบางลำในจำนวนนี้ได้ถูกใช้โจมตีการเดินเรือพาณิชย์ฝ่ายสัมพันธมิตรต่อมา ฝ่ายราชนาวีอังกฤษได้พยายามตามล่าเรือรบเหล่านี้อย่างเป็นระบบ แต่ก็ยังอับอายจากความไร้ความสามารถในการคุ้มครองการเดินเรือฝ่ายสัมพันธมิตร ตัวอย่างเช่น เรือลาดตระเวนเบาเยอรมนี เอสเอ็มเอส เอมเดน อันเป็นส่วนหนึ่งของกองเรือเอเชียตะวันออก ประจำการอยู่ในเมืองท่าชิงเตา ได้ยึดหรือทำลายเรือพ่อค้า 15 ลำ ตลอดจนเรือลาดตระเวนเบารัสเซียและเรือพิฆาตฝรั่งเศสอย่างละลำด้วย อย่างไรก็ตาม กองเรือเอเชียตะวันออกของเยอรมนีส่วนใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะสองลำ เรือลาดตระเวนเบาสองลำ และเรือขนส่งสองลำ ไม่ได้รับคำสั่งให้โจมตีการเดินเรือแต่อย่างใด และกำลังอยู่ระหว่างแล่นกลับเยอรมนีเมื่อกองเรือเผชิญกับเรือรบฝรั่งเศส กองเรือเยอรมัน พร้อมด้วยเรือเดรสเดิน จมเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะได้สองลำในยุทธนาวีโคโรเนล หากกองเรือดังกล่าวเกือบถูกทำลายสิ้นที่ยุทธนาวีหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1914 โดยมีเพียงเรือเดรสเดินและเรือเล็กอีกไม่กี่ลำเท่านั้นที่สามารถหลบหนีไปได้[72] ![]() ![]() หลังสงครามปะทุไม่นาน อังกฤษก็ได้ทำการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนี ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เห็นผลแล้วว่ามีประสิทธิภาพ โดยการปิดล้อมได้ตัดเสบียงของทั้งทหารและพลเรือนที่สำคัญของเยอรมนี แม้ว่าพฤติการณ์ดังกล่าวจะเป็นการละเมิดกฎหมายนานาชาติซึ่งได้รับการยอมรับและประมวลขึ้นผ่านความตกลงระหว่างประเทศหลายครั้งในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมาก็ตาม[73] กองทัพเรืออังกฤษยังได้วางทุ่นระเบิดในเขตน่านน้ำสากลเพื่อป้องกันมิให้เรือลำใดออกสู่เขตมหาสมุทร ซึ่งเป็นอันตรายแม้แต่กับเรือของประเทศที่เป็นกลาง[74] และเนื่องจากอังกฤษได้รับปฏิกิริยาจากยุทธวิธีดังกล่าวเพียงเล็กน้อย เยอรมนีจึงคาดหวังว่าสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตของตนจะได้รับปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยแบบเดียวกัน[75] ค.ศ. 1916 ยุทธนาวีจัตแลนด์ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นยุทธนาวีครั้งใหญ่ที่สุดในสงคราม และครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นการปะทะกันเต็มอัตราศึกของกองทัพเรือทั้งสองฝ่าย ซึ่งกินเวลาสองวัน คือ 31 พฤษภาคมและ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1916 ในทะเลเหนือนอกคาบสมุทรจัตแลนด์ กองเรือทะเลหลวงของกองทัพเรือเยอรมัน ภายใต้บังคับบัญชาของพลเรือโทไรนาร์ด เชร์ ประจัญกับกองเรือหลวงของราชนาวีอังกฤษภายใต้การนำของพลเรือเอก เซอร์จอห์น เจลลิโค ผลของยุทธนาวีนี้ไม่มีฝ่ายใดแพ้หรือชนะ เมื่อฝ่ายเยอรมันสามารถหลบหนีจากกองเรืออังกฤษที่มีกำลังเหนือกว่า และสร้างความเสียหายแก่กองเรืออังกฤษมากกว่าที่ตนได้รับ แต่ในทางยุทธศาสตร์แล้ว ฝ่ายอังกฤษแสดงสิทธิ์ในการควบคุมทะเล และกองเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ของเยอรมนีถูกกักอยู่แต่ในท่ากระทั่งสงครามยุติ[76] เรืออูของเยอรมนีพยายามตัดเส้นทางเสบียงระหว่างอเมริกาเหนือกับอังกฤษ[77] ธรรมชาติของสงครามเรือดำน้ำ หมายความว่า การโจมตีมักมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทำให้ลูกเรือสินค้ามีหวังรอดชีวิตน้อยมาก[77][78] สหรัฐประท้วง และเยอรมนีเปลี่ยนกฎการปะทะ หลังการจมเรือโดยสาร อาร์เอ็มเอส ลูซิตาเนีย อันฉาวโฉ่ใน ค.ศ. 1915 เยอรมนีสัญญาว่าจะไม่เลือกโจมตีเรือเดินสมุทรอีก ขณะที่อังกฤษติดอาวุธเรือสินค้าของตน และจัดให้อยู่นอกเหนือการคุ้มครองของ "กฎเรือลาดตระเวน" ซึ่งกำหนดให้มีการเตือนภัยและจัดวางลูกเรือไว้ใน "ที่ปลอดภัย" อันเป็นมาตรฐานซึ่งเรือช่วยชีวิตไม่เป็นไปตามนี้[79] จนในที่สุด ต้น ค.ศ. 1917 เยอรมนีปรับใช้นโยบายสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขต เมื่อตระหนักว่าสหรัฐจะเข้าสู่สงครามในที่สุด[77][80] เยอรมนีพยายามจะจำกัดเส้นทางเดินเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรก่อนที่สหรัฐจะสามารถขนส่งกองทัพขนาดใหญ่ข้ามทะเล แต่เยอรมนีสามารถใช้เรืออูพิสัยไกลออกปฏิบัติการได้เพียงห้าลำ จึงมีผลจำกัด[77] ภัยจากเรืออูนั้นเริ่มลดลงใน ค.ศ. 1917 เมื่อเรือพาณิชย์ของอังกฤษเริ่มเดินทางในขบวนเรือคุ้มกัน (convoy) ที่มีเรือพิฆาตนำ ยุทธวิธีดังกล่าวทำให้เรืออูค้นหาเป้าหมายยาก และทำให้การสูญเสียลดลงอย่างสำคัญ หลังจากเริ่มมีการใช้ไฮโดรโฟนและระเบิดน้ำลึก ทำให้เรือพิฆาตที่เสริมเข้ามาอาจโจมตีเรือดำน้ำที่อยู่ใต้น้ำได้โดยมีหวังสำเร็จอยู่บ้าง ขบวนเรือคุ้มกันดังกล่าวทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งเสบียง เพราะเรือต้องรอให้ขบวนเรือคุ้มกันมารวมกันครบก่อน ทางแก้ปัญหาความล่าช้านี้ คือ โครงการอันกว้างขวางในการสร้างเรือขนส่งสินค้าแบบใหม่ ส่วนเรือขนส่งทหารนั้นเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเรือดำน้ำและไม่เดินทางไปกับขบวนเรือคุ้มกันในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ[81] เรืออูจมเรือฝ่ายสัมพันธมิตรมากกว่า 5,000 ลำ โดยมีเรือดำน้ำถูกทำลายไป 199 ลำ[82] เขตสงครามใต้สงครามในบอลข่าน![]() ![]() เมื่อต้องเผชิญหน้ากับรัสเซีย ออสเตรีย-ฮังการีจึงสามารถแบ่งกองทัพโจมตีเซอร์เบียได้เพียงหนึ่งในสาม หลังประสบความสูญเสียอย่างหนัก ออสเตรียก็สามารถยึดครองเมืองหลวงเบลเกรดของเซอร์เบียได้ช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การตีโต้ตอบของเซอร์เบียในยุทธการคอลูบารา ได้ขับออสเตรียออกจากประเทศเมื่อถึงปลาย ค.ศ. 1914 ในช่วงสิบเดือนแรกของ ค.ศ. 1915 ออสเตรีย-ฮังการีใช้ทหารกองหนุนส่วนใหญ่สู้รบกับอิตาลี แต่ทูตเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการีสามารถชักชวนให้บัลแกเรียเข้าร่วมโจมตีเซอร์เบีย จังหวัดสโลวีเนีย โครเอเชียและบอสเนียของออสเตรีย-ฮังการีเป็นพื้นที่จัดเตรียมทหารให้แก่ออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งรุกรานเซอร์เบียเช่นเดียวกับสู้รบกับรัสเซียและอิตาลี มอนเตเนโกรวางตัวเป็นพันธมิตรกับเซอร์เบีย[84] เซอร์เบียถูกยึดครองนานกว่าหนึ่งเดือนเล็กน้อย เมื่อฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มโจมตีทางเหนือตั้งแต่เดือนตุลาคม อีกสี่วันถัดมา บัลแกเรียร่วมโจมตีจากทางตะวันออก กองทัพเซอร์เบีย ซึ่งสู้รบบนสองแนวรบและแน่นอนว่าต้องเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ ได้ถอยทัพไปยังอัลเบเนีย และหยุดยั้งเพียงครั้งเดียวเพื่อป้องกันการโจมตีของบัลแกเรีย ชาวเซิร์บประสบความพ่ายแพ้ในยุทธการคอซอวอ มอนเตเนโกรช่วยคุ้มกันการล่าถอยของเซอร์เบียไปยังชายฝั่งเอเดรียติกในยุทธการมอยคอแวทส เมื่อวันที่ 6-7 มกราคม ค.ศ. 1916 แต่สุดท้ายก็ส่งผลให้ออสเตรียยึดครองมอนเตเนโกรเช่นเดียวกัน กองทัพเซอร์เบียถูกอพยพทางเรือไปยังกรีซ[85] ปลาย ค.ศ. 1915 กองทัพฝรั่งเศส-อังกฤษยกพลขึ้นบกที่ซาโลนิกาของกรีซ เพื่อเสนอความช่วยเหลือและกดดันให้รัฐบาลกรีซประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง โชคไม่เข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อพระมหากษัตริย์กรีกผู้ทรงนิยมเยอรมนี พระเจ้าคอนแสตนตินที่ 1 ทรงปลดรัฐบาลนิยมสัมพันธมิตรของเอเลฟเทริออส เวนิเซลอสพ้นจากตำแหน่ง ก่อนที่กองทัพรบนอกประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรจะมาถึง[86] ความร้าวฉานระหว่างพระมหากษัตริย์กรีซและฝ่ายสัมพันธมิตรพอกพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้กรีซถูกแบ่งแยกเป็นภูมิภาคซึ่งยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และที่จงรักภักดีต่อรัฐบาลเฉพาะกาลใหม่ของเวนิเซลอสในซาโลนิกา หลังการเจรจาทางการทูตอย่างเข้มข้นและการเผชิญหน้าด้วยอาวุธในกรุงเอเธนส์ระหว่างกองทัพสัมพันธมิตรและฝ่ายนิยมกษัตริย์ ทำให้พระมหากษัตริย์กรีซต้องสละราชสมบัติ และพระราชโอรสพระองค์ที่สอง อเล็กซานเดอร์ เสด็จขึ้นครองราชย์แทน เวนิเซลอสเดินทางกลับมายังกรุงเอเธนส์เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 และกรีซ ซึ่งรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง เข้าร่วมสงครามอย่างเป็นทางการโดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายสัมพันธมิตร กองทัพกรีซทั้งหมดถูกระดมและเริ่มเข้าร่วมในปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายมหาอำนาจกลางบนแนวรบมาซิโดเนีย หลังจากถูกยึดครอง เซอร์เบียถูกแบ่งออกระหว่างออสเตรีย-ฮังการีและบัลแกเรีย ใน ค.ศ. 1917 ชาวเซิร์บได้ก่อการกำเริบโทพลิคาขึ้น และส่งผลให้พื้นที่ระหว่างเทือกเขาโกบาโอนิคและแม่น้ำเซาท์โมราวาถูกปลดปล่อยชั่วคราว แต่การก่อการกำเริบดังกล่าวถูกบดขยี้โดยกองทัพร่วมบัลแกเรียและออสเตรียเมื่อปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 1917 แนวรบมาซิโดเนียส่วนใหญ่ไม่มีพัฒนาการ กองทัพเซอร์เบียยึดคืนบางส่วนของมาซิโดเนียโดยยึดบิโตลาคืนเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 และเฉพาะเมื่อสงครามใกล้ยุติลงแล้วเท่านั้นที่ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถโจมตีผ่านได้ หลังกองทัพเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการีส่วนใหญ่ถอนกำลังออกไปแล้ว กองทัพบัลแกเรียประสบความพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวในสงครามที่ยุทธการโดโบรโพล แต่อีกไม่กี่วันให้หลัง บัลแกเรียก็สามารถเอาชนะกองทัพอังกฤษและกรีกได้อย่างเด็ดขาดที่ยุทธการดอเรียน แต่เพื่อป้องกันการถูกยึดครอง บัลแกเรียได้ลงนามการสงบศึกเมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1918[87] ฮินเดินบวร์คและลูเดินดอร์ฟสรุปว่าสมดุลทางยุทธศาสตร์และปฏิบัติการเอียงไปข้างฝ่ายสัมพันธมิตรแล้วอย่างไม่มีข้อสงสัย และหนึ่งวันหลังบัลแกเรียออกจากสงคราม ระหว่างการประชุมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ยืนยันให้มีการเจรจาสันติภาพในทันที[88] การหายไปของแนวรบมาซิโดเนียหมายความว่าถนนสู่บูดาเปสต์และเวียนนาเปิดกว้างสำหรับกองทัพขนาดกำลังพล 670,000 นาย ภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอกเฟรนเช เดเปเร เมื่อบัลแกเรียยอมจำนน ทำให้ฝ่ายมหาอำนาจกลางสูญเสียทหารราบ 278 กองพัน และปืนใหญ่ 1,500 กระบอก ซึ่งเทียบเท่ากับกองพลของเยอรมนีราว 25 ถึง 30 กองพล ซึ่งเคยยึดแนวดังกล่าวไว้ก่อนหน้านี้[89] กองบัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีตัดสินใจส่ง 7 กองพลทหารราบ และ 1 กองพลทหารม้าไปยังแนวหน้า แต่กำลังเหล่านี้ไม่เพียงพอจะสถาปนาแนวรบขึ้นมาใหม่ได้อีก[89] จักรวรรดิออตโตมัน![]() จักรวรรดิออตโตมันเข้าร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยได้ลงนามเป็นพันธมิตรออตโตมัน-เยอรมันอย่างลับ ๆ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ซึ่งได้ภัยคุกคามต่อดินแดนคอเคซัสของรัสเซีย และการติดต่อคมนาคมของอังกฤษกับอินเดียผ่านทางคลองสุเอซ อังกฤษและฝรั่งเศสได้เปิดแนวรบโพ้นทะเลด้วยการทัพกัลลิโพลีและการทัพเมโสโปเตเมีย ที่กัลลิโพลี จักรวรรดิออตโตมันสามารถขับไล่กองทัพอังกฤษ ฝรั่งเศสและเหล่ากองทัพออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้ แต่การณ์กลับตรงกันข้ามในเมโสโปเตเมีย ซึ่งจักรวรรดิออตโตมันพ่ายแพ้อย่างหายนะจากการล้อมคุท (ค.ศ. 1915-16) กองทัพจักรวรรดิอังกฤษรวบรวมทัพใหม่และสามารถยึดกรุงแบกแดดได้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1917 ห่างไปทางตะวันตก คลองสุเอซได้รับการป้องกันอย่างเป็นผลจากการโจมตีของออตโตมันใน ค.ศ. 1915 และ 1916 ในเดือนสิงหาคม กองทัพเยอรมันและออตโตมันพ่ายแพ้ที่ยุทธการโรมานี หลังชัยชนะนี้ กองทัพจักรวรรดิอังกฤษรุกคืบข้ามคาบสมุทรไซนาย ผลักดันกองทัพออตโตมันให้ถอยกลับไปในยุทธการแมกดาบา (Magdhaba) ในเดือนธันวาคมและยุทธการราฟาตรงชายแดนระหว่างไซนายของอียิปต์และปาเลสไตน์ของออตโตมันในเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 ในเดือนมีนาคมและเมษายน ที่ยุทธการกาซาครั้งแรกและครั้งที่สอง กองทัพเยอรมันและออตโตมันหยุดการรุกคืบ แต่ในปลายเดือนตุลาคม การทัพไซนายและปาเลสไตน์ดำเนินต่อ เมื่อกองทัพรบนอกประเทศอียิปต์ของอัลเลนบีชนะยุทธการเบียร์เชบา สองกองทัพออตโตมันพ่ายแพ้อีกไม่กี่สัปดาห์ให้หลังที่ยุทธการสันเขามักอาร์ (Maghar Ridge) และต้นเดือนธันวาคม เยรูซาเลมถูกยึดได้หลังกองทัพออตโตมันอีกกองทัพหนึ่งพ่ายแพ้ที่ยุทธการเยรูซาเล็ม พอถึงช่วงนี้ ฟรีดริช ไฟรแฮร์ เครสส์ ฟอน เครสเซนสไตน์ถูกปลดจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพที่ 8 และแทนที่ด้วย Cevat Çobanlı และอีกไม่กี่เดือนให้หลัง ผู้บัญชาการกองทัพออตโตมันในปาเลสไตน์ เอริช ฟอน ฟัลเคนไฮน์ ถูกแทนที่ด้วยออทโท ลีมัน ฟอน ซันเดอร์ส ![]() โดยปกติแล้วกองทัพรัสเซียด้านคอเคซัสเป็นกองทัพที่ดีที่สุด เอนเวอร์ ปาชา ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพออตโตมัน มีความทะเยอทะยานและใฝ่ฝันจะยึดครองเอเชียกลางอีกครั้ง และดินแดนที่เคยเสียให้แก่รัสเซียในอดีต แต่เขาเป็นผู้บัญชาการที่ไม่มีความสามารถ[90] เขาออกคำสั่งโจมตีรัสเซียในคอเคซัสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1914 โดยมีกำลังพล 100,000 นาย เขายืนกรานการโจมตีทางด้านหน้าต่อที่ตั้งของรัสเซียที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาในฤดูหนาว ซึ่งทำให้สูญเสียกำลังพลไปถึง 86% ในยุทธการซาริคามิส[91] ผู้บัญชาการรัสเซียระหว่าง ค.ศ. 1915-1916 พลเอกนิโคไล ยูเดนนิช สามารถขับไล่พวกเติร์กให้ออกไปจากเขตเทือกเขาคอเคซัสตอนใต้ส่วนใหญ่โดยได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ใน ค.ศ. 1917 แกรนด์ดยุกนิโคลัสเข้าบัญชาการกองทัพรัสเซียแนวรบคอเคซัส[91] เขาวางแผนสร้างทางรถไฟจากจอร์เจียไปยังดินแดนยึดครอง เพื่อที่ว่ากองทัพรัสเซียจะมีเสบียงเพียงพอในการรุกครั้งใหม่ใน ค.ศ. 1917 อย่างไรก็ตาม เดือนมีนาคม ค.ศ. 1917 พระเจ้าซาร์ถูกโค่นล้มหลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ และกองทัพรัสเซียคอเคซัสเริ่มแตกออกจากกัน ![]() ด้วยการยุยงของสำนักอาหรับของสำนักงานต่างประเทศและเครือจักรภพของอังกฤษ การปฏิวัติอาหรับจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1916 ด้วย ยุทธการเมกกะ โดย ชารีฟ ฮัสเซน แห่งเมกกะ และจบลงด้วยการยอมจำนนของจักรวรรดิออตโตมันที่ดามัสกัส ฟาครี ปาชา ผู้บัญชาการออตโตมันที่เมดินะ ทำการรบต้านทานเป็นเวลากว่าสองปีครึ่งระหว่างการล้อมเมดินะ[92] ![]() ตามพรมแดนลิเบียของอิตาลีและอียิปต์ของอังกฤษ ชนเผ่าเซนุสซี ซึ่งได้รับการปลุกปั่นยุยงและติดอาวุธโดยพวกเติร์ก ทำสงครามกองโจรขนาดเล็กต่อกองทัพสัมพันธมิตร ฝ่ายอังกฤษถูกบีบให้ต้องแบ่งทหาร 12,000 นายมาต่อสู้ในการทัพเซนุสซี จนกระทั่งกบฏเหล่านี้ถูกบดขยี้ในที่สุดเมื่อกลาง ค.ศ. 1916[93] การเข้าร่วมของอิตาลี![]() อิตาลีเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีตั้งแต่ ค.ศ. 1882 โดยเป็นภาคีของไตรพันธมิตร อย่างไรก็ตาม อิตาลีนั้นมีเจตนาของตนบนพื้นที่ของออสเตรียในเตรนตีโน อิสเตรียและดัลมาเทีย อิตาลีได้แอบทำสนธิสัญญาอย่างลับ ๆ กับฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1902 ซึ่งเป็นการลบล้างพันธมิตรเก่าอย่างสิ้นเชิง ในตอนต้นของสงคราม อิตาลีปฏิเสธที่จะส่งทำเข้าร่วมรบกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง โดยให้เหตุผลว่าไตรพันธมิตรเป็นพันธมิตรป้องกัน แต่จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีกลับเป็นผู้เปิดฉากสงครามก่อนเสียเอง รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีเริ่มเจรจาเพื่อพยายามจะให้อิตาลีวางตัวเป็นกลางในสงคราม โดยเสนออาณานิคมตูนิเซียของฝรั่งเศสให้เป็นการตอบแทน ซึ่งทางฝ่ายสัมพันธมิตรก็ยื่นข้อเสนอซ้อนโดยสัญญาว่าจะอิตาลีจะได้ไทรอลใต้ จูเลียนมาร์ช และดินแดนบนชายฝั่งดัลมาเทียหลังออสเตรีย-ฮังการีพ่ายแพ้ ข้อเสนอดังกล่าวทำให้เป็นทางการในสนธิสัญญาลอนดอน หลังถูกกระตุ้นจากการรุกรานตุรกีของฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1915 อิตาลีเข้าร่วมกับไตรภาคีและประกาศสงครามต่อออสเตรีย-ฮังการีเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม และประกาศสงครามต่อเยอรมนีอีกสิบห้าเดือนให้หลัง ![]() แม้ว่าในทางการทหาร อิตาลีจะมีความเหนือกว่าด้านกำลังพลก็ตาม แต่ข้อได้เปรียบดังกล่าวเสียไป ไม่เพียงแต่มีสาเหตุจากลักษณะภูมิประเทศสลับซับซ้อนที่เกิดการสู้รบขึ้นเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ใช้ด้วย จอมพลลุยจิ คาดอร์นา ผู้เสนอการโจมตีทางด้านหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ใฝ่ฝันว่าจะตีเข้าไปสู่ที่ราบสูงสโลวีเนีย ตีเมืองลูบลิยานา และคุกคามกรุงเวียนนา มันเป็นแผนการสมัยนโปเลียน ซึ่งไม่มีโอกาสสำเร็จแท้จริงเลยในยุคของลวดหนาม ปืนกลและการยิงปืนใหญ่ทางอ้อม ประกอบกับภูมิประเทศที่เป็นเนินและภูเขา บนแนวรบเตรนติโน ออสเตรีย-ฮังการีใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศแบบภูเขา ซึ่งเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายตั้งรับ หลังจากการล่าถอยทางยุทธศาสตร์ในช่วงแรก ส่วนใหญ่แนวรบก็แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย ขณะที่ทั้งสองฝ่ายสู้รบในระยะประชิดตัวอันขมขื่นตลอดฤดูร้อน ออสเตรีย-ฮังการีตีโต้ตอบที่อัสซิอาโก มุ่งหน้าไปยังเวโรนาและปาดัว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1916 แต่มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1915 กองทัพอิตาลีภายใต้การบังคับบัญชาของคาดอร์นา ได้โจมตีประมาณสิบเอ็ดครั้งบนแนวไอซอนโซตามแนวของแม่น้ำชื่อเดียวกัน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของตรีเยสเต ซึ่งการโจมตีทั้งหมดก็ถูกขับไล่โดยกองทัพออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งยึดภูมิประเทศที่สูงกว่า ในฤดูร้อน ค.ศ. 1916 กองทัพอิตาลีสามารถตีเมืองกอร์ริซเซียได้ หากหลังจากชัยชนะย่อยครั้งนี้ แนวรบนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี แม้อิตาลีจะโจมตีอีกหลายครั้ง เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1917 ทหารออสเตรีย-ฮังการีได้รับกำลังเสริมขนาดใหญ่จากเยอรมนี ฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มการรุกเด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1917 โดยมีทหารเยอรมันเป็นหัวหอก ฝ่ายมหาอำนาจกลางได้รับชัยชนะที่คาปอร์เรตโต กองทัพอิตาลีแตกพ่ายและล่าถอยเป็นระยะทางมากกว่า 100 กิโลเมตร จึงสามารถจัดระเบียบใหม่ได้ และยึดแนวที่แม่น้ำเปียเว และเนื่องจากอิตาลีสูญเสียอย่างหนักในยุทธการคาปอร์เรตโต รัฐบาลอิตาลีจึงสั่งให้ชายอายุต่ำกว่า 18 ปีทุกคนเข้าประจำการ ใน ค.ศ. 1918 ออสเตรีย-ฮังการีไม่สามารถตีผ่านแนวดังกล่าวได้ ในยุทธการหลายครั้งตามแม่น้ำเปียเว และสุดท้ายก็พ่ายแพ้ราบคาบในยุทธการวิตโตริโอ วีนีโตในเดือนตุลาคมปีนั้น ออสเตรีย-ฮังการียอมจำนนในต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918[94][95][96] การเข้าร่วมของโรมาเนียโรมาเนียได้เป็นพันธมิตรกับฝ่ายมหาอำนาจกลางตั้งแต่ ค.ศ. 1882 อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามเริ่มต้น โรมาเนียได้ประกาศตนเป็นกลาง โดยให้เหตุผลว่าออสเตรีย-ฮังการีเองที่เป็นฝ่ายประกาศสงครามต่อเซอร์เบีย และโรมาเนียไม่มีข้อผูกมัดที่จะต้องเข้าสู่สงคราม เมื่อฝ่ายไตรภาคีให้สัญญาว่าจะยกดินแดนขนาดใหญ่ทางตะวันออกของฮังการี (ทรานซิลเวเนียและบานัต) ซึ่งมีประชากรโรมาเนียขนาดใหญ่อาศัยอยู่ ให้แก่โรมาเนีย แลกเปลี่ยนกับที่โรมาเนียต้องประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง รัฐบาลโรมาเนียจึงสละความเป็นกลาง และวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1916 กองทัพโรมาเนียได้เปิดฉากโจมตีออสเตรีย-ฮังการี โดยได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งจากรัสเซีย การรุกของโรมาเนียประสบความสำเร็จในช่วงต้น โดยสามารถผลักดันทหารออสเตรีย-ฮังการีในทรานซิลเวเนียออกไปได้ แต่การตีโต้ตอบของฝ่ายมหาอำนาจกลางขับกองทัพรัสเซีย-โรมาเนีย และเสียกรุงบูคาเรสต์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1916 การสู้รบในมอลโดวาดำเนินต่อไปใน ค.ศ. 1917 ซึ่งจบลงด้วยการคุมเชิงกันที่มีราคาแพงสำหรับฝ่ายมหาอำนาจกลาง[97][98] เมื่อรัสเซียถอนตัวจากสงครามในปลาย ค.ศ. 1917 จากผลของการปฏิวัติเดือนตุลาคม โรมาเนียถูกบีบให้ลงนามในการสงบศึกกับฝ่ายมหาอำนาจกลางเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1917 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1918 กองทัพโรมาเนียสถาปนาการควบคุมเหนือเบสซาราเบีย เมื่อกองทัพรัสเซียละทิ้งดินแดนดังกล่าว แม้ว่าสนธิสัญญาถูกลงนามโดยรัฐบาลโรมาเนียและบอลเชวิครัสเซียหลังการประชุมระหว่างวันที่ 5-9 มีนาคม ค.ศ. 1918 ที่ให้กองทัพโรมาเนียถอนกำลังออกจากเบสซาราเบียภายในสองเดือน วันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1918 โรมาเนียผนวกเบสซาราเบียเข้าเป็นดินแดนของตน โดยอาศัยอำนาจอย่างเป็นทางการของมติที่ผ่านโดยสภานิติบัญญัติท้องถิ่นของดินแดนในการรวมเข้ากับโรมาเนีย โรมาเนียยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างเป็นทางการโดยการลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรสต์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1918 ภายใต้สนธิสัญญาดังกล่าว โรมาเนียมีข้อผูกมัดจะยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางและยกดินแดนบางส่วนให้แก่ออสเตรีย-ฮังการี ยุติการควบคุมช่องเขาบางแห่งในเทือกเขาคาร์พาเธียนและยกสัมปทานน้ำมันแก่เยอรมนี ในการแลกเปลี่ยน ฝ่ายมหาอำนาจกลางจะรับรองเอกราชของโรมาเนียเหนือเบสซาราเบีย สนธิสัญญาดังกล่าวถูกละทิ้งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 และโรมาเนียเข้าสู่สงครามอีกครั้งเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 วันรุ่งขึ้น สนธิสัญญาบูคาเรสต์ถูกทำให้เป็นโมฆะตามเงื่อนไขของการสงบศึกที่คองเปียญ[99][100] มีการประเมินว่าชาวโรมาเนียทั้งทหารและพลเรือนที่เสียชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1914 และ 1918 ภายในพรมแดนปัจจุบัน มีถึง 748,000 คน[101] แนวรบด้านตะวันออกการปฏิบัติขั้นต้น![]() ขณะที่สถานการณ์ในแนวรบด้านตะวันตกยังคุมเชิงกันอยู่ สงครามยังดำเนินต่อไปในแนวรบด้านตะวันออก แผนเดิมของรัสเซียกำหนดให้รุกรานกาลิเซียของออสเตรียและปรัสเซียตะวันออกของเยอรมนีพร้อมกัน แม้ว่าการรุกขั้นต้นเข้าไปในกาลิเซียของรัสเซียจะประสบความสำเร็จใหญ่หลวง แต่กองทัพที่ส่งไปโจมตีปรัสเซียตะวันออกถูกขับกลับมาโดยฮินเดินบวร์คและลูเดินดอร์ฟที่ทันเนินแบร์คและทะเลสาบมาซูเรียนในเดือนสิงหาคมและกันยายน ค.ศ. 1914[102][103] ฐานอุตสาหกรรมที่ด้อยพัฒนาของรัสเซียและผู้นำทางทหารที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังนี้ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1915 รัสเซียล่าถอยเข้าไปในกาลิเซีย และในเดือนพฤษภาคม ฝ่ายมหาอำนาจกลางสามารถตีผ่านแนวรบทางใต้ของโปแลนด์ครั้งใหญ่[104] วันที่ 5 สิงหาคม ฝ่ายมหาอำนาจกลางยึดวอร์ซอและบีบให้รัสเซียถอยออกจากโปแลนด์ การปฏิวัติรัสเซียแม้ความสำเร็จในกาลิเซียตะวันออกระหว่างการรุกบรูซิลอฟเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1916[105] แต่ความไม่พอใจกับการชี้นำสู่สงครามของรัฐบาลรัสเซียเพิ่มมากขึ้น ความสำเร็จถูกบ่นทอนโดยความไม่เต็มใจของนายพลคนอื่นที่ส่งกำลังของตนเข้าไปสนับสนุนให้ได้รับชัยชนะ กองทัพสัมพันธมิตรและรัสเซียฟื้นฟูชั่วคราวเฉพาะเมื่อโรมาเนียเข้าสู่สงครามเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม กองทัพเยอรมันเข้าช่วยเหลือกองทัพออสเตรีย-ฮังการีพร้อมรบในทรานซิลเวเนียและบูคาเรสต์เสียให้แก่ฝ่ายมหาอำนาจกลางเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ขณะเดียวกัน ความไม่สงบเกิดขึ้นในรัสเซีย ระหว่างที่ซาร์ยังคงประทับอยู่ที่แนวหน้า การปกครองอย่างขาดพระปรีชาสามารถของจักรพรรดินีอเล็กซานดรานำไปสู่การประท้วง และการฆาตกรรมคนสนิทของพระนาง รัสปูติน เมื่อปลายปี ค.ศ. 1916 เมื่อเดือนมีนาคม 1917 การชุมนุมประท้วงในเปโตรกราด ลงเอยด้วยการสละราชบัลลังก์ของซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียและการแต่งตั้งรัฐบาลชั่วคราวของรัสเซียซึ่งอ่อนแอ และแบ่งปันอำนาจกับกลุ่มสังคมนิยมเปโตรกราดโซเวียต การจัดการดังกล่าวนำไปสู่ความสับสนและความวุ่นวายทั้งที่แนวหน้าและในรัสเซีย กองทัพรัสเซียยิ่งมีประสิทธิภาพด้อยลงกว่าเดิมมาก[104] สงครามและรัฐบาลได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อย ๆ ความไม่พอใจทำให้พรรคบอลเชวิค ที่นำโดย วลาดีมีร์ เลนิน ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาให้สัญญาว่าจะดึงรัสเซียออกจากสงครามและทำให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ชัยชนะของพรรคบอลเชวิคในเดือนพฤศจิกายนนั้น ตามมาด้วยการสงบศึกและการเจรจากับเยอรมนี ในตอนแรก พรรคบอลเชวิคปฏิเสธข้อเสนอของเยอรมนี แต่เมื่อกองทัพเยอรมันทำสงครามต่อไปและเคลื่อนผ่านยูเครนโดยไม่ช้าลง รัฐบาลใหม่จึงต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1918 ซึ่งทำให้รัสเซียออกจากสงคราม แต่ต้องยอมยกดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล รวมไปถึงฟินแลนด์ รัฐบอลติก บางส่วนของโปแลนด์และยูเครนแก่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง[106] อย่างไรก็ตาม ดินแดนที่เยอรมนีได้รับจากรัสเซียทำให้ต้องแบ่งกำลังพลไปยึดครองและอาจเป็นปัจจัยนำสู่ความล้มเหลวของการรุกฤดูใบไม้ผลิ และสนับสนุนอาหารและยุทธปัจจัยอื่นค่อนข้างน้อย ด้วยการลงมติยอมรับสนธิสัญญาเบรสต์-ลีตอฟสก์ ไตรภาคีจึงไม่คงอยู่อีกต่อไป ฝ่ายสัมพันธมิตรนำกำลังขนาดเล็กรุกรานรัสเซีย ส่วนหนึ่งเพื่อหยุดมิให้เยอรมนีใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของรัสเซีย และในขอบเขตที่เล็กกว่า เพื่อให้การสนับสนุน "รัสเซียขาว" (ตรงข้ามกับ "รัสเซียแดง") ในสงครามกลางเมืองรัสเซีย[107] กองทัพสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่อาร์ชอันเกลและวลาดิวอสตอก กองทหารเชคโกสโลวาเกีย
ข้อเสนอริเริ่มการเจรจาสันติภาพของฝ่ายมหาอำนาจกลางในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916 หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดสิบเดือนของยุทธการแวร์ดังและการรุกโรมาเนียที่ประสบความสำเร็จ เยอรมนีพยายามจะเจรจาสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่นานหลังจากนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐ วูดโรว์ วิลสันพยายามเข้าแทรกแซงเป็นผู้ประนีประนอม โดยร้องขอในโน้ตแก่ทั้งสองฝ่ายให้ระบุข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่าย คณะรัฐมนตรีสงครามของอังกฤษมองว่าข้อเสนอสันติภาพของเยอรมนีเป็นแผนการสร้างความแตกแยกในฝ่ายสัมพันธมิตร หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว อังกฤษถือโน้ตของวิลสันเป็นอีกความพยายามหนึ่ง โดยส่งสัญญาณว่าสหรัฐใกล้จะเข้าสู่สงครามกับเยอรมนีหลัง "การทำลายล้างด้วยเรือดำน้ำ" ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรโต้เถียงกันเรื่องการตอบข้อเสนอของวิลสัน เยอรมนีเลือกจะบอกปัดและสนับสนุน "การแลกเปลี่ยนมุมมองโดยตรง" มากกว่า เมื่อทราบถึงการตอบสนองของเยอรมนี รัฐบาลฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นอิสระจะระบุข้อเรียกร้องที่ชัดเจนในวันที่ 14 มกราคม โดยเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหาย การอพยพประชากรจากดินแดนยึดครอง ค่าเสียหายแก่ฝรั่งเศส รัสเซียและโรมาเนีย และการยอมรับหลักการแห่งเชื้อชาติ ซึ่งรวมไปถึงการให้เสรีภาพแก่ชาวอิตาลี สลาฟ โรมาเนีย เชโกสโลวัก และการสถาปนา "โปแลนด์ที่มีอิสระและรวมเป็นหนึ่ง" ว่าด้วยปัญหาความมั่นคง ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกร้องคำยืนยันที่จะป้องกันหรือจำกัดสงครามในอนาคต และยกเลิกการลงโทษ เป็นเงื่อนไขของทุกการเจรจาสันติภาพ[108] การเจรจาล้มเหลวและไตรภาคีปฏิเสธข้อเสนอของเยอรมนี เพราะเยอรมนีไม่ได้กล่าวถึงข้อเสนอใดเจาะจง วิลสันและไตรภาคีว่าจะไม่เริ่มการเจรจาสันติภาพจนกว่าฝ่ายมหาอำนาจกลางจะอพยพประชากรในดินแดนยึดครองที่เคยเป็นของฝ่ายสัมพันธมิตรและค่าชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด[109] ค.ศ. 1917-1918ความคืบหน้าใน ค.ศ. 1917![]() เหตุการณ์ใน ค.ศ. 1917 นั้นได้พิสูจน์แล้วว่ามีความเด็ดขาดในการยุติสงคราม แม้ว่าผลจะยังไม่อาจสัมผัสได้กระทั่งปลาย ค.ศ. 1918 การปิดล้อมทางทะเลของกองทัพเรืออังกฤษได้ทำให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงต่อเยอรมนี เยอรมนีได้โต้ตอบด้วยการออกปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้อังกฤษขาดแคลนอาหารและต้องออกจากสงคราม นักวางแผนชาวเยอรมันประเมินว่า สงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตจะทำให้อังกฤษสูญเสียเรือไปกว่า 600,000 ตันต่อเดือน ขณะที่อังกฤษตระหนักว่านโยบายดังกล่าวมีแนวโน้มจะดึงให้สหรัฐเข้าสู่ความขัดแย้ง การสูญเสียเรือของอังกฤษจะสูงมากเสียจนอังกฤษถูกบีบให้เรียกร้องสันติภาพหลังเวลาผ่านไป 5 ถึง 6 เดือน ก่อนที่การเข้าแทรกแซงของสหรัฐจะมีผลกระทบ ในความเป็นจริง เรืออังกฤษถูกยิงจมไปคิดเป็นน้ำหนักมากกว่า 500,000 ตันต่อเดือนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม และสูงที่สุด 860,000 ตันในเดือนเมษายน หลังเดือนกรกฎาคม ได้มีการนำระบบขบวนเรือคุ้มกันกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการลดภัยคุกคามจากเรืออูลงอย่างยิ่ง อังกฤษปลอดภัยจากการขาดแคลนอาหาร ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีลดลง และทหารสหรัฐเข้าร่วมสงครามเป็นจำนวนมากกว่าที่เยอรมนีเคยคาดไว้ก่อนหน้านี้มาก ![]() วันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 ระหว่างการรุกเนวิลล์ กองพลอาณานิคมที่ 2 ของฝรั่งเศสที่เหน็ดเหนื่อย ทหารผ่านศึกยุทธการแวร์เดิง ปฏิเสธคำสั่งที่ได้รับ มาถึงโดยเมาและปราศจากอาวุธ นายทหารไม่อาจหาวิธีการมาลงโทษทหารทั้งกองพลได้ และไม่มีการดำเนินมาตรการรุนแรงในทันที จากนั้น การขัดขืนคำสั่งได้ลุกลามไปยังอีก 54 กองพลของฝรั่งเศส และมีทหารหนีหน้าที่ 20,000 นาย กองทัพสัมพันธมิตรอื่นโจมตีแต่ประสบความสูญเสียมหาศาล[110] อย่างไรก็ตาม ด้วยการดึงดูดสู่ความรักชาติและหน้าที่ เช่นเดียวกับการจับกุมและการพิจารณาครั้งใหญ่ กระตุ้นให้ทหารกลับมาป้องกันสนามเพลาะของตน แม้ว่าทหารฝรั่งเศสปฏิเสธจะเข้าร่วมในการปฏิวัติการรุกต่อไป[111] โรเบร์ต เนวิลล์ถูกปลดจากตำแหน่งบัญชาการในวันที่ 15 พฤษภาคม และแทนที่ด้วยพลเอกฟิลิป เปแตง ผู้ยกเลิกการรุกขนาดใหญ่อันนองเลือดชั่วคราว ชัยชนะของออสเตรีย-ฮังการีและเยอรมนีที่ยุทธการกาปอเรตโต นำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรที่การประชุมราปัลโลจัดตั้งสภาสงครามสูงสุดเพื่อประสานการวางแผน โดยก่อนหน้านั้น กองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสได้ดำเนินการบังคับบัญชาแยกกัน ในเดือนธันวาคม ฝ่ายมหาอำนาจกลางลงนามสงบศึกกับรัสเซีย ทำให้ทหารเยอรมันจำนวนมากสามารถถูกส่งมาปฏิบัติหน้าที่ในทางตะวันตกได้ ด้วยกำลังเสริมเยอรมนีและทหารสหรัฐที่ไหลบ่าเข้ามาใหม่ ทำให้แนวรบด้านตะวันตกจะเป็นการตัดสินผลของสงคราม ฝ่ายมหาอำนาจกลางทราบว่าตนไม่อาจเอาชนะสงครามยืดเยื้อ แต่พวกเขาตั้งความหวังไว้สูงสำหรับความสำเร็จโดยขึ้นอยู่กับการรุกอยางรวดเร็วครั้งสุดท้าย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำฝ่ายมหาอำนาจกลางและฝ่ายสัมพันธมิตรต่างเริ่มรู้สึกกลัวต่อความไม่สงบในสังคมและการปฏิวัติในยุโรป ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็มุ่งได้รับชัยชนะขั้นเด็ดขาดอย่างรวดเร็ว[112] ค.ศ. 1917 จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย ทรงพยายามเจรจาแยกต่างหากอย่างลับ ๆ กับคลูมองโซ โดยมีน้องชายของพระมเหสี ซิกตัส ในเบลเยียม เป็นคนกลาง โดยเยอรมนีไม่รับรู้ด้วย เมื่อการเจรจาล้มเหลว และความพยายามดังกล่าวทราบถึงเยอรมนี ส่งผลให้เกิดหายนะทางการทูตระหว่างสองประเทศ[113][114] สหรัฐเข้าสู่สงครามสหรัฐเดิมดำเนินนโยบายไม่แทรกแซง เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างประเทศและเป็นนายหน้าสันติภาพ เมื่อเรืออูเยอรมันจมเรือโดยสารลูซิเทเนียของอังกฤษ ใน ค.ศ. 1915 ที่มีชาวอเมริกันอยู่บนเรือ 128 คน ประธานาธิบดีวิลสันได้สาบานว่า "อเมริกามีทิฐิมากเกินกว่าจะสู้" และเรียกร้องให้ยกเลิกการโจมตีเรือพลเรือน ซึ่งเยอรมนีก็ยอมตาม วิลสันพยายามเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทแต่ล้มเหลว เขาเตือนย้ำว่าสหรัฐจะไม่ทนต่อสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขต วิลสันได้รับแรงกดดันธีโอดอร์ รูสเวลต์ ผู้ประณามพฤติการณ์ของเยอรมนีว่าเป็น "การกระทำอันเป็นโจรสลัด"[115] ความปรารถนาของวิลสันที่จะได้เข้าร่วมในการเจรจาสันติภาพเมื่อสงครามยุติเพื่อพัฒนาแนวคิดสันนิบาตชาติเองก็เป็นส่วนสำคัญ[116] รัฐมนตรีต่างประเทศของวิลสัน วิลเลียม เจนนิงส์ ไบรอัน ซึ่งความคิดเห็นของเขาได้ถูกเพิกเฉย ได้ลาออกเพราะไม่อาจสนับสนุนนโยบายของประธานาธิบดีได้อีกต่อไป มติมหาชนรู้สึกโกรธกับเหตุวินาศกรรมแบล็กทอมในนครเจอร์ซีย์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งสงสัยว่าเยอรมนีอยู่เบื้องหลัง และเหตุระเบิดคิงส์แลนด์ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 เยอรมนีทำสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตอีกครั้ง รัฐมนตรีต่างประเทศบอกแก่เม็กซิโก ผ่านโทรเลขซิมแมร์มันน์ ว่า สหรัฐมีแนวโน้มเข้าสู่สงครามหลังสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตเริ่มขึ้น และเชิญเม็กซิโกเข้าสู่สงครามเป็นพันธมิตรของเยอรมนีต่อสหรัฐ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เยอรมนีจะส่งเงินให้เม็กซิโกและช่วยให้เม็กซิโกได้รับดินแดนเท็กซัส นิวเม็กซิโกและแอริโซนาที่เม็กซิโกเสียไประหว่างสงครามเม็กซิโก-อเมริกาเมื่อ 70 ปีก่อน[117] วิลสันเปิดเผยโทรเลขดังกล่าวให้แก่สาธารณชน และชาวอเมริกันมองว่าเป็นเหตุแห่งสงคราม ![]() อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสหรัฐจะเข้าสู่สงครามโดยอยู่ข้างเดียวกับฝ่ายพันธมิตร แต่ไม่เคยเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของฝ่ายพันธมิตรเลย โดยเรียกตัวเองว่าเป็น "ประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือ" (Associated Power) สหรัฐมีกองทัพขนาดเล็ก แต่หลังรัฐบัญญัติคัดเลือกทหาร (Selective Service Act) สหรัฐก็มีทหารเกณฑ์มากถึง 2.8 ล้านนาย[118] และภายในฤดูร้อน ค.ศ. 1918 ก็มีการส่งทหารใหม่กว่า 10,000 นายไปยังฝรั่งเศสทุกวัน ใน ค.ศ. 1917 รัฐสภาสหรัฐให้สถานะพลเมืองแก่ชาวเปอร์โตริโก เมื่อพวกเขาถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จากรัฐบัญญัติโจนส์ เยอรมนีคำนวณผิด โดยเชื่อว่าจะใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าสหรัฐจะมาถึง และการขนส่งทหารข้ามมหาสมุทรสามารถถูกหยุดยั้งได้โดยเรืออู[119] ![]() กองทัพเรือสหรัฐได้ส่งกองเรือรบไปยังสกาปาโฟลว์ (Scapa Flow) เพื่อเข้าร่วมกับกองเรือหลวง (Grand Fleet) อังกฤษ, เรือพิฆาตไปยังควีนส์ทาวน์, ไอร์แลนด์ และเรือดำน้ำไปช่วยคุ้มกันขบวนเรือ นาวิกโยธินหลายกรมของสหรัฐถูกส่งไปยังฝรั่งเศส ด้านอังกฤษและฝรั่งเศสต่างต้องการให้หน่วยทหารอเมริกันเข้าเสริมกำลังบนแนวรบที่มีทหารของตนอยู่ก่อนแล้ว และไม่สิ้นเปลืองจำนวนเรือที่มีอยู่น้อยเพื่อขนย้ายเสบียง และไม่ต้องการใช้เรือเพื่อเป็นการขนส่งเสบียง ซึ่งสหรัฐปฏิเสธความต้องการแรก แต่ยอมตามความต้องการข้อหลัง พลเอกจอห์น เจ. เพอร์ชิง ผู้บัญชาการกองกำลังรบนอกประเทศอเมริกา (AEF) ปฏิเสธที่จะแบ่งหน่วยทหารออกเพื่อใช้เป็นกำลังหนุนแก่หน่วยทหารอังกฤษและฝรั่งเศส โดยยกเว้นให้กรมรบแอฟริกัน-อเมริกันถูกใช้ในกองพลฝรั่งเศสได้ หลักนิยมของ AEF กำหนดให้ใช้การโจมตีทางด้านหน้า ซึ่งผู้บัญชาการอังกฤษและฝรั่งเศสเลิกใช้ไปนานแล้ว เพราะสูญเสียกำลังพลมหาศาล[121] การรุกฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1918พลเอกเยอรมัน อิริช ลูเดินดอร์ฟ ได้ร่างแผนซึ่งใช้ชื่อรหัสว่า ปฏิบัติการมิคาเอล ขึ้นสำหรับการรุกบนแนวรบด้านตะวันตกใน ค.ศ. 1918 การรุกฤดูใบไม้ผลิมีจุดประสงค์เพื่อแยกกองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสออกจากกันด้วยการหลอกหลวงและการรุกหลายครั้ง ผู้นำเยอรมนีหวังว่าการโจมตีอย่างเด็ดขาดก่อนที่กองกำลังสหรัฐขนาดใหญ่จะมาถึง ปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1918 โดยโจมตีกองทัพอังกฤษที่อเมนส์ และสามารถรุกเข้าไปได้ถึง 60 กิโลเมตรอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดสงคราม[122] ![]() ส่วนแนวสนามเพลาะของอังกฤษและฝรั่งเศสถูกเจาะผ่านด้วยยุทธวิธีแทรกซึมที่เป็นของใหม่ ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า ยุทธวิธีฮูเทียร์ (Hutier tactics) ตามชื่อพลเอกชาวเยอรมันคนหนึ่ง ก่อนหน้านั้น การโจมตีเป็นรูปแบบการระดมยิงปืนใหญ่อย่างยาวนานและการบุกโจมตีโดยใช้กำลัพลมหาศาล อย่างไรก็ตาม ในการรุกฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1918 ลูเดินดอร์ฟได้ใช้ปืนใหญ่เฉพาะเป็นเวลาสั้น ๆ และแทรกซึมกลุ่มทหารราบขนาดเล็กไปยังจุดที่อ่อนแอ พวกเขาโจมตีพื้นที่สั่งการและพื้นที่ขนส่ง และผ่านจุดที่มีการต้านทานอย่างดุเดือด จากนั้น ทหารราบที่มีอาวุธหนักกว่าจะเข้าบดขยี้ที่ตั้งที่ถูกโดดเดี่ยวนี้ภายหลัง ความสำเร็จของเยอรมนีนี้อาศัยความประหลาดใจของข้าศึกอยู่มาก[123] ![]() แนวหน้าเคลื่อนเข้าไปในระยะ 120 กิโลเมตรจากกรุงปารีส ปืนใหญ่รถไฟหนักของครุพพ์ยิงกระสุน 183 นัดเข้าใส่กรุงปารีส ทำให้ชาวปารีสจำนวนมากหลบหนี การรุกในช่วงแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงามกระทั่งจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงประกาศให้วันที่ 24 มีนาคมเป็นวันหยุดราชการ ชาวเยอรมันจำนวนมากคิดว่าชัยชนะของสงครามอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังการต่อสู้อย่างหนัก ปรากฏว่าการรุกของเยอรมนีหยุดชะงักไป การขาดแคลนรถถังหรือปืนใหญ่เคลื่อนที่ทำให้ฝ่ายเยอรมันไม่สามารถรวมกำลังกันรุกต่อไปได้ สถานการณ์ดังกล่าวยังเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเส้นทางส่งกำลังบำรุงตอนนี้ถูกยืดออกไปอันเป็นผลจากการรุก[124] การหยุดกะทันหันนี้ยังเป็นผลมาจากกำลังจักรวรรดิออสเตรเลีย (AIF) จำนวนสี่กองพลที่ถูกกวดไล่ และสามารถกระทำในสิ่งที่ไม่มีกองทัพใดสามารถทำได้ และหยุดยั้งการรุกของเยอรมนีตามเส้นทางได้ ระหว่างช่วงเวลานี้ กองพลออสเตรเลียที่หนึ่งถูกส่งขึ้นเหนืออย่างเร่งรีบอีกครั้งเพื่อหยุดยั้งการเจาะผ่านครั้งที่สองของเยอรมนี พลเอกฟอคกดดันให้ใช้กำลังอเมริกาที่มาถึงแล้วเป็นการเข้าสวมตำแหน่งแทนโดยลำพัง แต่เพอร์ชิงมุ่งให้จัดวางหน่วยของสหรัฐเป็นกองกำลังอิสระ หน่วยเหล่านี้ถูกมอบหมายให้อยู่ในการบังคับบัญชาของฝรั่งเศสและจักรวรรดิอังกฤษที่ทหารร่อยหรอลง เมื่อวันที่ 28 มีนาคม สภาสงครามสูงสุดของกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้นที่การประชุมดูล็อง (Doullens) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917[125] พลเอกฟอคถูกแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรสูงสุด เฮก เปแตง และเพอร์ชิงยังคงมีการควบคุมทางยุทธวิธีในส่วนของตนอยู่ ฟอครับบทบาทประสานงาน มากกว่าบทบาทชี้นำ และกองบัญชาการอังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรัฐดำเนินการส่วนใหญ่เป็นอิสระต่อกัน[125] หลังปฏิบัติการมิคาเอล เยอรมนีเริ่มปฏิบัติการเกออร์เกทเทอ (Operation Georgette) ต่อเมืองท่าช่องแคบอังกฤษทางเหนือ ฝ่ายสัมพันธมิตรหยุดยั้งการผลักดันโดยเยอรมนีได้รับดินแดนเพิ่มน้อยมาก กองทัพเยอรมันทางใต้เริ่มปฏิบัติการบลอแชร์และยอร์ค ซึ่งพุ่งเป้าไปยังกรุงปารีส ปฏิบัติการมาร์นเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม โดยพยายามจะล้อมแรมส์และเริ่มต้นยุทธการแม่น้ำมาร์นครั้งที่สอง การตีตอบโต้ที่เป็นผลนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการรุกร้อยวัน นับเป็นการรุกที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงคราม จนถึงวันที่ 20 กรกฎาคม กองทัพเยอรมันถูกผลักดันข้ามแม่น้ำมาร์นที่แนวเริ่มต้นไกแซร์ชลัชท์[126] โดยที่ไม่บรรลุจุดประสงค์ใด ๆ เลย หลังขั้นสุดท้ายของสงครามในทางตะวันตกแล้ว กองทัพเยอรมันจะไม่อาจเป็นฝ่ายริเริ่มได้อีก ความสูญเสียของเยอรมนีระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน ค.ศ. 1918 อยู่ที่ 270,000 คน ในขณะเดียวกัน ในประเทศกำลังแตกออกเป็นเสี่ยง การรณรงค์ต่อต้านสงครามเกิดบ่อยครั้งขึ้น และขวัญกำลังใจในกองทัพถดถอย ผลผลิตทางอุตสาหกรรมทรุดลงอย่างหนัก โดยคิดเป็น 53% ของผลผลิตทางอุตสาหกรรมใน ค.ศ. 1913 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัย: ฤดูร้อนและใบไม้ร่วง ค.ศ. 1918![]() ![]() การตีตอบโต้ของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งรู้จักกันว่า การรุกร้อยวัน เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1918 ในยุทธการอาเมียง กองทัพน้อยที่ 3 กองทัพอังกฤษที่ 4 อยู่ทางปีกซ้าย กองทัพฝรั่งเศสที่ 1 อยู่ทางปีกขวา และกองทัพน้อยออสเตรเลียและแคนาดาเป็นหัวหอกโจมตีตรงกลางผ่าน Harbonnières[127][128] ยุทธการครั้งนั้นมีรถถังมาร์ก 4 และมาร์ก 5 กว่า 414 คัน และทหารกว่า 120,000 นายเข้าร่วม ฝ่ายสัมพันธมิตรรุกเข้าไป 12 กิโลเมตรในดินแดนที่เยอรมนีถือครองในเวลาเพียงเจ็ดชั่วโมง เอริช ลูเดินดอร์ฟ เรียกวันนี้ว่า "วันอันมืดมนของกองทัพเยอรมัน"[127][129] หัวหอกออสเตรเลีย-แคนาดาที่อาเมียง ยุทธการซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความล่มจมของเยอรมนี[130] ช่วยดึงให้กองทัพอังกฤษคืบหน้าไปทางเหนือและกองทัพฝรั่งเศสไปทางใต้ ขณะที่การต้านทานของเยอรมนีบนแนวรบกองทัพอังกฤษที่ 4 ที่อาเมียงเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง หลังฝ่ายสัมพันธมิตรรุกเข้าไป 14 กิโลเมตรจากอาเมียง กองทัพฝรั่งเศสที่ 3 ขยายความยาวของแนวรบอาเมียงเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม เมื่อกองทัพถูกส่งไปทางปีกขวาของกองทัพฝรั่งเศสทรา 1 และรุกเข้าไป 6 กิโลเมตร ซึ่งกำลังปลดปล่อย Lassigny กระทั่งการสู้รบดำเนินไปจนถึงวันที่ 16 สิงหาคม ทางใต้ของกองทัพฝรั่งเศสที่ 3 พลเอก Charles Mangin เคลื่อนกองทัพฝรั่งเศสที่ 10 ไปข้างหน้าที่ Soissons เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม เพื่อจับกุมเชลยศึกแปดพันคน ปืนใหญ่สองร้อยกระบอก และที่ราบสูง Aisne ที่มองเห็นและคุกคามที่ตั้งของเยอรมนีทางเหนือของ Vesle[131] เอริช ลูเดินดอร์ฟบรรยายว่านี่เป็น "วันอันมืดมน" อีกวันหนึ่ง ขณะเดียวกัน พลเอก Byng แห่งกองทัพอังกฤษที่ 3 รายงานว่าข้าศึกบนแนวรบของเขากำลังมีจำนวนลดลงจากการจำกัดการล่าถอย ถูกออกคำสั่งให้โจมตีด้วยรถถัง 200 คัน ไปยัง Bapaume เปิดฉากยุทธการอัลแบร์ (Albert) ด้วยคำสั่งเฉพาะให้ "เจาะแนวรบข้าศึก เพื่อที่จะตีโอบปีกข้าศึกที่อยู่บนแนวรบ" (ตรงข้ามกองทัพอังกฤษที่ 4 ที่อาเมียง)[130] การโจมตีเป็นไปอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะชิงความได้เปรียบจากการรุกที่ประสบความสำเร็จตรงปีก แล้วจากนั้นจึงยุติเมื่อการโจมตีสูญเสียแรงผลักดันเริ่มต้นไป[131] แนวรบยาว 24 กิโลเมตรของกองทัพอังกฤษ ทางเหนือของอัลแบร์ มีความคืบหน้า หลังหยุดไปวันหนึ่งเมื่อเผชิญกับแนวต้านทานหลักซึ่งข้าศึกได้ถอนกำลังไปแล้ว[132] กองทัพอังกฤษที่ 4 ของรอว์ลินสัน สามารถสู้รบต่อไปทางปีกซ้ายระหว่างอัลแบร์และซอมม์ ซึ่งยืดแนวระหว่างตำแหน่งอยู่หน้าของกองทัพที่ 3 และแนวรบอาเมียง ซึ่งส่งผลให้ยึดอัลแบร์กลับคืนได้ในขณะเดียวกัน[131] วันที่ 26 สิงหาคม กองทัพอังกฤษที่ 1 ซึ่งอยู่ทางปีกซ้ายของกองทัพที่ 3 ถูกดึงเข้าสู่การสู้รบซึ่งยืดกองทัพไปทางเหนือจนพ้นอารัส เหล่าทหารแคนาดาซึ่งกลับอยู่ที่เดิมในทัพหน้าของกองทัพที่ 1 สู้รบจากอารัสไปทางตะวันออก 8 กิโลเมตร คร่อมพื้นที่อารัส-กองเบร์ ก่อนจะถึงการป้องกันชั้นนอกของแนวฮินเดินบวร์ค ก่อนจะเจาะแนวดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 และ 29 สิงหาคม วันเดียวกัน เยอรมนีเสีย Bapaume ให้แก่กองพลนิวซีแลนด์แห่งกองทัพที่ 3 และกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งยังนำการรุกของกองทัพที่ 4 สามารถผลักดันแนวรบไปข้างหน้าที่อาเมียงและยึดเปรอนน์ (Peronne) และมงแซ็ง-เกียงแต็ง (Mont Saint-Quentin) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ห่างไปทางใต้ กองทัพฝรั่งเศสที่ 1 และที่ 3 รุกคืบอย่างช้า ๆ ขณะที่กองทัพที่ 10 ซึ่งข้ามแม่น้ำ Ailette มาแล้ว และอยู่ทางตะวันออกของ Chemin des Dames ปัจจุบันอยู่ใกล้กับตำแหน่งอัลเบริชของแนวฮินเดนแบร์ก[133] ระหว่างช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม แรงกดดันตามแนวรบยาว 113 กิโลเมตรต่อข้าศึกนั้นเป็นไปอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง แม้กระทั่งทางเหนือในฟลานเดอร์ กองทัพอังกฤษที่ 2 และที่ 5 มีความคืบหน้าจับกุมเชลยศึกและยึดที่มั่นได้ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ประสบความสำเร็จระหว่างเดือนสิงหาคมและกันยายน[133] วันที่ 2 กันยายน เหล่าแคนาดาโอบล้อมแนวฮินเดนแบร์กด้านข้าง ด้วยการเจาะตำแหน่งโวทัน (Wotan) ทำให้กองทัพที่ 3 สามารถรุกคืบต่อไปได้ ซึ่งส่งผลสะท้อนกลับตลอดแนวรบด้านตะวันตก วันเดียวกันโอแบร์สเตอ เฮเรสไลทุง (OHL) ไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งให้หกกองทัพล่าถอยเข้าไปสู่แนวฮินเดนแบร์กทางใต้ หลังกานัลดูนอร์ดบนแนวรบกองทัพที่ 1 ของแคนาดา และถอนกลับไปยังแนวทางตะวันออกของลิส (Lys) ในทางเหนือ ซึ่งถูกยึดครองโดยปราศจากการต่อสู้ ส่วนที่ยื่นออกมาถูกยึดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา[134] ตามข้อมูลของลูเดินดอร์ฟฟ์ "เราจำต้องยอมรับความจำเป็น ... ที่จะล่าถอยทั้งแนวรบจากสการ์ป (Scarpe) ถึงเวสเล (Vesle)"[135] เวลาเกือบสี่สัปดาห์หลังการต่อสู้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม มีเชลยศึกเยอรมันถูกจับกุมได้เกิน 100,000 นาย อังกฤษจับได้ 75,000 นาย และที่เหลือโดยฝรั่งเศส จนถึง "วันอันมืดมนของกองทัพเยอรมัน" กองบัญชาการทหารสูงสุดเยอรมนีตระหนักว่าพ่ายสงครามแล้วและพยายามบรรลุจุดจบอันน่าพอใจ วันหลังการสู้รบ ลูเดินดอร์ฟฟ์บอกพันเอกแมร์ทซ์ว่า "เราไม่อาจชนะสงครามได้อีกต่อไป แต่เราจะต้องไม่แพ้เช่นกัน" วันที่ 11 สิงหาคม เขาเสนอลาออกจากตำแหน่งต่อไกเซอร์ ผู้ทรงปฏิเสธ โดยทรงตอบว่า "ฉันเห็นว่าเราต้องทำให้เกิดสมดุล เราได้เกือบถึงขีดจำกัดอำนาจการต้านทานของเรา สงครามต้องยุติ" วันที่ 13 สิงหาคม ที่สปา (Spa) ฮินเดนแบร์ก ลูเดินดอร์ฟฟ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศฮินทซ์ตกลงว่าสงครามไม่อาจยุติลงได้ในทางทหาร และในวันรุ่งขึ้นสภาราชสำนักเยอรมันตัดสินใจว่า ชัยชนะในสนามรบขณะนี้ยากที่จะเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ออสเตรียและฮังการีเตือนว่า ทั้งสองสามารถทำสงครามได้ถึงเดือนธันวาคมเท่านั้น และลูเดินดอร์ฟฟ์เสนอการเจรจาสันติภาพทันที แด่ไกเซอร์ผู้ทรงสนองโดยทรงแนะนำให้ฮินทซ์มองหาการไกล่เกลี่ยจากสมเด็จพระราชินีแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าชายรุพเพรชท์เตือนเจ้าชายมักซ์แห่งบาเดนว่า "สถานการณ์ทางทหารของเราบั่นทอนลงอย่างรวดเร็วเสียใจฉันไม่เชื่อว่าเราสามารถยื้อได้ตลอดฤดูหนาวอีกต่อไป และเป็นไปได้ว่าหายนะจะมาเร็วกว่านั้น" วันที่ 10 กันยายน ฮินเดนแบร์กกระตุ้นท่าทีสันติภาพต่อจักรพรรดิชาลส์แห่งออสเตรีย และเยอรมนีร้องต่อเนเธอร์แลนด์ขอการไกล่เกลี่ย วันที่ 14 กันยายน ออสเตรียส่งบันทึกถึงคู่สงครามและประเทศเป็นเลางทั้งหมดเสนอการประชุมสันติภาพในประเทศที่เป็นกลาง และวันที่ 15 กันยายน เยอรมนียื่นข้อเสนอสันติภาพต่อเบลเยียม ข้อเสนอสันติภาพทั้งสองถูกปฏิเสธ และวันที่ 24 กันยายน OHL แจ้งต่อผู้นำในเบอร์ลินว่าการเจรจาสงบศึกหลีกเลี่ยงไม่ได้[133] เดือนกันยายนเป็นเดือนที่ฝ่ายเยอรมันยังคงสู้รบการปฏิบัติกองระวังหลังอย่างเข็มแข้งและเริ่มการตีโต้ตอบหลายครั้งต่อตำแหน่งที่เสียไป แต่ประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อย และเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมือง หมู่บ้าน ที่สูงและสนามเพลาะในตำแหน่งและกองรักษาด่านที่มีการป้องกันของแนวฮินเดนแบร์กยังเสียแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง โดยกองทัพอังกฤษเพียงชาติเดียวก็สามารถจับเชลยศึกได้ถึง 30,441 นายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การรุกต่อไปทางตะวันออกขนาดเล็กจะเกิดขึ้นหลังชัยชนะของกองทัพที่ 3 ที่อีวินกูร์ (Ivincourt) ในวันที่ 12 กันยายน กองทัพที่ 4 ที่อีเฟอนี (Epheny) ในวันที่ 18 กันายน และกองทัพฝรั่งเศสยึดได้แอซซีญีเลอก็อง (Essigny-le-Grand) อีกวันหนึ่งให้หลัง วันที่ 24 กันยายน การโจมตีครั้งสุดท้ายของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสบนแนวรบ 6.4 กิโลเมตรจะเข้ามาในระยะ 3.2 กิโลเมตรของแซ็งก็องแต็ง (St. Quentin)[133] ด้วยกองรักษาด่านและแนวป้องกันขั้นต้นของตำแหน่งซีกฟรีดและอัลเบริชถูกทำลายหมดไป ฝ่ายเยอรมันขณะนี้อยู่หลังแนวฮินเดนแบร์กทั้งหมด ด้วยตำแหน่งโวทันของแนวนั้นได้ถูกเจาะไปแล้วและตำแหน่งซีกฟรีดอยู่ในอันตรายจะถูกโอบจากทางเหนือ เวลานี้ฝ่ายสัมพันธมิตรสบโอกาสโจมตีตลอดทั้งความยาวแนวรบ การโจมตีตรงแนวฮินเดนแบร์กของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน รวมทหารสหรัฐด้วย ทหารอเมริกันที่ยังอ่อนประสบการณ์ประสบปัญหาเกี่ยวกับรถไฟเสบียงสำหรับหน่วยขนาดใหญ่บนภูมิประเทศทุรกันดาร[136] สัปดาห์หนึ่งให้หลังหน่วยฝรั่งเศสและอเมริกันเจาะผ่านในช็องปาญ (Champagne) ที่ยุทธการเนินบลังก์มง (Blanc Mont) บีบให้ฝ่ายเยอรมันถอยไปจากที่สูงที่ควบคุมอยู่ และรุกคืบเข้าใกล้ชายแดนเบลเยียม[137] เมืองเบลเยียมแห่งสุดท้ายที่ได้รับการปลดปล่อยก่อนการสงบศึกคือ เกนต์ (Ghent) ซึ่งฝ่ายเยอรมันยึดไว้เป็นจุดหลังกระทั่งฝ่ายสัมพันธมิตรนำปืนใหญ่ขึ้นมา[138][139] กองทัพเยอรมันได้ย่นระยะแนวรบของตนและใช้พรมแดนดัตช์เป็นสมอเพื่อสู้รบการปฏิบัติกองหลัง เมื่อบัลแกเรียลงนามการสงบศึกแยกต่างหากเมื่อวันที่ 29 กันยายน ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับการควบคุมเซอร์เบียและกรีซ ลูเดินดอร์ฟฟ์ ซึ่งอยู่ภายใต้ความเครียดใหญ่หลวงหลายเดือน มีอาการคล้ายกับป่วย เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเยอรมนีไม่อาจป้องกันได้อย่างสำเร็จอีกต่อไป[140][141] ขณะเดียวกัน ข่าวความพ่ายแพ้ทางทหารที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้าของเยอรมนีแพร่สะพัดไปทั่วกองทัพเยอรมัน ภัยคุกคามการขัดขืนคำสั่งนั้นสุกงอม พลเรือเอกไรนาร์ด เชร์และลูเดินดอร์ฟฟ์ตัดสินใจเริ่มความพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อฟื้นฟู "ความกล้าหาญ" ของกองทัพเรือเยอรมัน โดยทราบว่ารัฐบาลของเจ้าชายมาซีมีลันแห่งบาเดนจะยับยั้งการปฏิบัติเช่นนี้ ลูเดินดอร์ฟฟ์ตัดสินใจไม่ถวายรายงาน อย่างไรก็ดี ข่าวการโจมตีที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้ามาถึงหูกะลาสีที่คีล กะลาสีหลายคนปฏิเสธจะเข้าร่วมการรุกทางทะเลซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ก่อกบฏและถูกจับกุม ลูเดินดอร์ฟฟ์รับผิดชอบความผิดพลาดนี้ ไกเซอร์ปลดเขาในวันที่ 26 ตุลาคม การล่มสลายของบอลข่านหมายความ่วา เยอรมนีกำลังเสียเสบียงอาหารและน้ำมันหลักของตน ปริมาณสำรองได้ใช้หมดไปแล้ว ขณะเดียวกับที่กองทัพสหรัฐมาถึงยุโรปด้วยอัตรา 10,000 นายต่อวัน[142] โดยได้รับความสูญเสียถึง 6 ล้านชีวิต เยอรมนีได้หันไปหาสันติภาพ เจ้าชายมาซีมีลันแห่งบาเดนมีหน้าที่ในรัฐบาลใหม่เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนีในการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร การเจรจาทางโทรเลขกับประธานาธิบดีวิลสันเริ่มขึ้นทันที ในความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าเขาจะได้รับข้อเสนอที่ดีกว่ากับอังกฤษและฝรั่งเศส แต่วิลสันกลับเรียกร้องให้ไกเซอร์สละราชสมบัติ ไม่มีการต่อต้านเมื่อฟีลิพพ์ ไชเดมันน์แห่งพรรคสังคมประชาธิปไตย ประกาศให้เยอรมนีเป็นสาธารณรัฐเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน จักรวรรดิเยอรมันล่มสลายลง และเยอรมนีใหม่ คือ สาธารณรัฐไวมาร์ ได้เกิดขึ้นแทน[143] การสงบศึกและการยอมจำนน![]() การล่มสลายของฝ่ายมหาอำนาจกลางมาเยือนอย่างรวดเร็ว บัลแกเรียเป็นประเทศแรกที่ลงนามการสงบศึก เมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1918 ที่ซาโลนิกิ[145] วันที่ 30 ตุลาคม จักรวรรดิออตโตมันยอมจำนนที่มูโดรส[145] วันที่ 24 กันยายน อิตาลีเริ่มการผลักดันซึ่งทำให้ได้รับดินแดนที่สูญเสียไปคืนหลังยุทธการคาปอเร็ตโต จนลงเอยในยุทธการวิตโตริโอ เวเนโต อันเป็นจุดจบที่กองทัพออสเตรีย-ฮังการีไม่อาจเป็นกำลังรบที่มีประสิทธิภาพได้อีกต่อไป การรุกนี้ยังกระตุ้นการสลายตัวของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ระหว่างสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม มีการประกาศเอกราชขึ้นในกรุงบูดาเปสต์, ปราก และซาเกร็บ วันที่ 29 ตุลาคม ทางการออสเตรีย-ฮังการีขอสงบศึกกับอิตาลี แต่อิตาลีรุกคืบต่อไป โดยไปถึงเทรนโต, ยูดีนและตรีเยสเต วันที่ 3 พฤศจิกายน ออสเตรีย-ฮังการีส่งธงพักรบขอการสงบศึก เงื่อนไข ซึ่งจัดการโดยโทรเลขกับทางการฝ่ายสัมพันธมิตรในกรุงปารีส มีการสื่อสารไปยังผู้บัญชาการออสเตรียและยอมรับ การสงบศึกกับออสเตรียมีการลงนามในวิลลา กิอุสติ ใกล้กับพาดัว เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ออสเตรียและฮังการีลงนามการสงบศึกแยกกันหลังการล้มล้างราชวงศ์ฮับส์บูร์ก หลังการปะทุของการปฏิวัติเยอรมัน มีการสถาปนาสาธารณรัฐขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน องค์ไกเซอร์ได้ทรงหลบหนีไปยังเนเธอร์แลนด์ วันที่ 11 พฤศจิกายน มีการลงนามการสงบศึกกับเยอรมนีขึ้นในตู้โดยสารรถไฟในคองเปียญ เมื่อเวลา 11 นาฬิกา ของวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 หรือ "ชั่วโมงที่สิบเอ็ด ของวันที่สิบเอ็ด ของเดือนที่สิบเอ็ด" การหยุดยิงมีผลบังคับ กองทัพซึ่งประจัญกันอยู่บนแนวรบด้านตะวันตกนั้นเริ่มถอนจากตำแหน่งของตน พลทหารแคนาดา จอร์จ ลอว์เรนซ์ ไพรซ์ ถูกยิงโดยพลแม่นปืนชาวเยอรมันเมื่อเวลา 10.57 น. และสิ้นชีวิตเมื่อเวลา 10.58 น.[146] เฮนรี กึนเธอร์ชาวอเมริกันถูกสังหาร 60 วินาทีก่อนการสงบศึกมีผลบังคับขณะเข้าตีกำลังพลเยอรมันที่รู้สึกประหลาดใจ เพราะทราบข่าวว่า กำลังจะมีการสงบศึกขึ้น[147] ทหารอังกฤษคนสุดท้ายที่เสียชีวิต คือ พลทหารจอร์จ เอ็ดวิน เอลลิสัน ผู้เสียชีวิตคนสุดท้ายในสงคราม คือ ร้อยโทโธมัส ผู้ซึ่ง หลังเวลา 11 นาฬิกา กำลังเดินไปยังแนวรบเพื่อแจ้งข่าวแก่ทหารอเมริกันซึ่งยังไม่ถูกแจ้งข่าวการสงบศึกว่า พวกเขาจะละทิ้งอาคารเบื้องหลังพวกเขา[148] สถานะสงครามอย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองฝ่ายดำรงอยู่เป็นเวลาอีกจนเดือน กระทั่งการลงนามสนธิสัญญาแวร์ซายกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 สนธิสัญญากับออสเตรีย ฮังการี บัลแกเรียและจักรวรรดิออตโตมันมีการลงนามภายหลัง อย่างไรก็ดี การเจรจากับจักรวรรดิออตโตมันนั้นตามมาด้วยการขัดแย้งกัน และสนธิสัญญาสันติภาพสุดท้ายระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับประเทศซึ่งอีกต่อมาไม่นานจะได้ชื่อว่า สาธารณรัฐตุรกี มีการลงนามเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 ที่โลซาน ในทางกฎหมาย สนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการไม่เสร็จสมบูรณ์กระทั่งมีการลงนามในสนธิสัญญาโลซานฉบับสุดท้าย ภายใต้เงื่อนไขนั้น กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรถอนออกจากคอนสแตนติโนเปิลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1923 ความได้เปรียบของฝ่ายสัมพันธมิตรและตำนานแทงข้างหลัง พฤศจิกายน ค.ศ. 1918ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ฝ่ายสัมพันธมิตรมีกำลังบำรุงที่เป็นคนและยุทโธปกรณ์มากพอที่จะรุกรานเยอรมนี กระนั้น เมื่อมีการสงบศึกนั้น ไม่มีกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรใดข้ามพรมแดนเยอรมนีได้เลย แนวรบด้านตะวันตกยังอยู่ห่างจากกรุงเบอร์ลินเกือบ 1,400 กิโลเมตร และกองทัพเยอรมันยังล่าถอยจากสนามรบอย่างเป็นระเบียบดี ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ฮินเดินบวร์คและผู้นำเยอรมันอาวุโสคนอื่น ๆ เผยแพร่เรื่องเล่าว่า กองทัพของพวกเขามิได้ถูกเอาชนะอย่างแท้จริง ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นตำนานแทงข้างหลัง[149][150] คือ ถือว่าความพ่ายแพ้ของเยอรมนีนั้นมิได้เกิดจากการขาดความสามารถในการสู้รบต่อไป (แม้ทหารมากถึงหนึ่งล้านนายกำลังเจ็บป่วยจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ค.ศ. 1918 และไม่พร้อมรบ) แต่เป็นเพราะสาธารณชนขาดการสนองต่อ "การเรียกด้วยความรักชาติ" และการก่อวินาศกรรมอย่างเจตนาต่อความพยายามของสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกยิว สังคมนิยมและบอลเชวิค ผลที่ตามมาภายหลังสงครามสิ้นสุดลง มีจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ต้องล่มสลายไปถึง 4 จักรวรรดิ ได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิรัสเซีย[b] หลายประเทศได้รับเอกราชของชาติกลับคืนมา และในจำนวนหนึ่งก็สถาปนาประเทศของชาติตนขึ้นมา นอกจากนี้ ราชวงศ์ใหญ่ในทวีปยุโรปทั้งสี่ ได้แก่ ราชวงศ์โรมานอฟ ราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค และราชวงศ์ออตโตมัน ต้องถึงคราวสิ้นสุดจากผลของสงครามเช่นกัน เบลเยียมและเซอร์เบียเป็นประเทศที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วง เช่นเดียวกับฝรั่งเศส ด้วยจำนวนทหารที่เสียชีวิตราว 1.4 ล้านนาย[151] ไม่นับรวมกับความสูญเสียอื่น ๆ ส่วนเยอรมนีและรัสเซียต่างได้รับผลกระทบในทำนองเดียงกัน[152] สิ้นสุดสงครามอย่างเป็นทางการ![]() ภาวะของสงครามอย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินต่อไปอีกเจ็ดเดือน กระทั่งการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 วุฒิสภาสหรัฐมิได้ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาฉบับนี้ แม้จะมีการสนับสนุนจากสาธารณชนก็ตาม[153][154] และไม่ได้มีการยุติการมีส่วนร่วมในสงครามอย่างเป็นทางการจนกระทั่งการลงนามในมติน็อกซ์–โปร์เตอร์ (Knox–Porter Resolution) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1921 โดยประธานาธิบดีวาร์เรน จี. ฮาร์ดิง[155] สำหรับจักรวรรดิบริติชแล้ว ภาวะสงครามสิ้นสุดลงภายใต้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติยุติสงคราม ณ ขณะนี้ (คำนิยาม) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ: อนุสรณ์สถานสงครามบางแห่งลงวันสิ้นสุดสงครามตรงกับวันที่ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายใน ค.ศ. 1919 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กองทหารผ่านศึกในต่างประเทศได้กลับบ้านในที่สุด ในทางกลับกัน การระลึกถึงการยุติสงครามส่วนมากจะมุ่งเน้นไปที่การสงบศึก 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918[161] สนธิสัญญาสันติภาพและเขตแดนของชาติ![]() ภายหลังสงคราม ทั่วโลกให้ความสนใจกับการศึกษาเหตุแห่งสงครามและองค์ประกอบที่จะพาโลกไปสู่สันติภาพ ส่วนหนึ่งได้นำไปสู่การสร้างสันติภาพและการศึกษาด้านความขัดแย้ง การศึกษาด้านความปลอดภัย รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยทั่วไป[162] การประชุมสันติภาพปารีสได้กำหนดชุดสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างเป็นทางการ สนธิสัญญาแวร์ซายใน ค.ศ. 1919 ได้จัดการกับเยอรมนี มีการกำหนดหลักการสิบสี่ข้อของวิลสัน และมีการจัดตั้งสันนิบาตชาติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919[163][164] ฝ่ายมหาอำนาจกลางจำต้องยอมรับความรับผิดชอบสำหรับ "ความสูญเสียและความเสียหายทั้งหมดต่อรัฐบาลฝ่ายสัมพันธมิตรและชาติสมทบตลอดจนชนชาติของฝ่ายเหล่านั้น เนื่องจากเยอรมนีและพันธมิตรของเยอรมนีได้กระทำสงครามแก่ฝ่ายเหล่านั้นด้วยการรุกราน" ซึ่งปรากฏอยู่ในข้อ 231 ของสนธิสัญญาแวร์ซาย หัวข้อดังกล่าวได้กลายเป็นที่กล่าวถึงในฐานะ "ข้อกำหนดความรับผิดในอาชญากรรมสงคราม" เนื่องจากสร้างความอดสูและขุ่นเคืองต่อชาวเยอรมันส่วนใหญ่[165] เหนือสิ่งอื่นใด ชาวเยอรมันรู้สึกว่าพวกเขาถูกจัดการอย่าง เป็นไม่เป็นธรรมจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "คำสั่งแวร์ซาย" (Diktat of Versailles) ฮาเกิน ชุลท์เซอ นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมัน กล่าวว่าสนธิสัญญาดังกล่าวทำให้เยอรมนี "ตกอยู่ในการคว่ำบาตรทางกฎหมาย ถูกจำกัดอำนาจทางการทหาร เศรษฐกิจพังทลาย และเกิดความอับอายทางการเมือง"[166] โลร็องส์ วัน อีเปอร์เซิล นักประวัติศาสตร์ชาวเบลเยียม เน้นย้ำถึงบทบาทสําคัญของความทรงจําของสงครามและสนธิสัญญาแวร์ซายในการเมืองเยอรมันในช่วงทศวรรษ 1920 และทศวรรษ 1930 ความว่า:
ในขณะเดียวกัน ประเทศใหม่ที่ได้รับการปลดปล่อยจากการปกครองของเยอรมนี มองว่าสนธิสัญญาเป็นการยอมรับความผิดที่กระทําต่อประเทศเล็ก ๆ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ก้าวร้าวกว่ามาก[168] ![]() จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้แตกออกเป็นหลายรัฐจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ยึดตามแนวทางชาติพันธุ์ ดินแดนทวิราชาธิปไตยถูกแบ่งให้กับออสเตรียและฮังการี เชโกสโลวาเกีย อิตาลี โปแลนด์ โรมาเนีย และยูโกสลาเวีย ผ่านสนธิสัญญาแซ็ง-แฌร์แม็ง-อ็อง-แลและสนธิสัญญาทรียานง ด้วยเหตุนี้ ฮังการีจึงสูญเสียประชากรร้อยละ 64 จากประชากรทั้งหมด ลดลงจาก 20.9 ล้านคน เป็น 7.6 ล้านคน และสูญเสียชาวฮังการีร้อยละ 31 (เป็นจำนวน 3.3 ล้านคน จากทั้งหมด 10.7 ล้านคน) ของชาติพันธุ์ฮังการี[169] ตามการสำมะโนประชากร ค.ศ. 1910 ประชากรผู้พูดภาษาฮังการีเป็นจำนวนร้อยละ 54 ของประชากรทั้งหมดในราชอาณาจักรฮังการี ภายในประเทศมีชนกลุ่มน้อยเป็นจํานวนมาก ประกอบด้วย ชาวโรมาเนียร้อยละ 16.1 ชาวสโลวักร้อยละ 10.5 ชาวเยอรมันร้อยละ 10.4 ชาวรูทีเนียร้อยละ 2.5 ชาวเซิร์บร้อยละ 2.5 และชาติพันธุ์อื่นอีกร้อยละ 8[170] ในช่วง ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1924 ชาวฮังการีจำนวน 354,000 คน อพยพจากดินแดนที่สูญเสียให้กับโรมาเนีย เชโกสโลวาเกีย และยูโกสลาเวีย[171] จักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งถอนตัวออกจากสงครามใน ค.ศ. 1917 ภายหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม ได้สูญเสียดินแดนทางตะวันตกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการก่อตั้งประเทศเอกราชใหม่ ได้แก่ เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ลัตเวีย ลิทัวเนีย และโปแลนด์ ส่วนภูมิภาคเบสซาเรเบียอยู่ในการควบคุมของโรมาเนียในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918[172] เอกลักษณ์ประจำชาติโปแลนด์กลายเป็นประเทศเอกราชอีกครั้งหลังจากสูญเสียอธิปไตยไปเมื่อ 123 ปีที่แล้ว ราชอาณาจักรเซอร์เบียในฐานะ "ประเทศพันธมิตรรอง" และเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตโดยเฉลี่ยมากที่สุด[173][174][175] กลายเป็นชาติแกนหลักของราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (ต่อมาเปลี่ยนเป็นยูโกสลาเวีย) เชโกสโลวาเกียเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของราชอาณาจักรโบฮีเมียกับดินแดนส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรฮังการี โรมาเนียสามารถรวมประชากรที่พูดภาษาโรมาเนียทั้งหมดภายใต้รัฐเดียว นำไปสู่การก่อตัวของเกรตเทอร์โรมาเนีย[176] ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ การทัพกัลลิโพลีกลายเป็นที่กล่าวถึงว่าเป็น "การล้างบาปแห่งไฟ" ของชาติ การทัพครั้งนี้นับเป็นสงครามขนาดใหญ่ครั้งแรกที่ประเทศเกิดใหม่ได้ต่อสู้ และเป็นครั้งแรกที่กองทหารออสเตรเลียได้ต่อสู้ในฐานะชาวออสเตรเลียอย่างแท้จริง มิใช่เพียงพลเมืองภายใต้สหราชอาณาจักร เป็นผลให้เอกลักษณ์ประจําชาติของประเทศเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้น วันแอนแซก (Anzac Day) จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงวีรกรรมของกองทัพน้อยออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ANZAC)[177][178] หลังจากการยุติลงของมหาสงคราม กรีซได้ต่อสู้กับฝ่ายชาตินิยมตุรกีที่นำโดยมุสทาฟา เคมัล ซึ่งสุดท้ายลงเอยด้วยการแลกเปลี่ยนประชากรขนานใหญ่ระหว่างสองประเทศภายใต้สนธิสัญญาโลซาน[179] ตามแหล่งข้อมูลจำนวนมากระบุว่า[180] ชาวกรีกหลายแสนคนต้องเสียชีวิตลงในช่วงเวลานี้ ซึ่งเกี่ยวโยงกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกรีก[181] เทคโนโลยีสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเริ่มต้นขึ้นเป็นการปะทะของเทคโนโลยีในคริสต์ศตวรรษที่ 20 กับยุทธวิธีในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยได้เกิดความสูญเสียเลือดเนื้ออย่างใหญ่หลวงตามมา อย่างไรก็ดี เมื่อถึงปลาย ค.ศ. 1917 กองทัพของประเทศใหญ่ ๆ ซึ่งมีกำลังพลหลายล้านนาย ได้ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยและมีการใช้โทรศัพท์ การสื่อสารไร้สาย[182] รถหุ้มเกราะ รถถัง[183] และอากาศยาน ขบวนทหารราบมีการจัดใหม่ ดังนั้น กองร้อยที่มีทหาร 100 นายจึงมิใช่หน่วยหลักในการดำเนินกลยุทธ์อีกต่อไป และหมู่ที่มีทหารประมาณ 10 นาย ภายใต้บัญชาของนายทหารประทวนอ่อนอาวุโสกลายเป็นได้รับความนิยม ปืนใหญ่เองก็ได้เกิดการปฏิวัติขึ้นเช่นกัน ใน ค.ศ. 1914 ปืนใหญ่ประจำอยู่ในแนวหน้าและยิงไปยังเป้าหมายโดยตรง จนถึง ค.ศ. 1917 การยิงเล็งจำลองด้วยปืน (เช่นเดียวกับปืนครกหรือแม้กระทั่งปืนกล) พบแพร่หลาย โดยใช้เทคนิคใหม่สำหรับการกำหนดตำแหน่งและการตั้งระยะ ที่โดดเด่นคือ อากาศยานและโทรศัพท์สนามที่ตกค้างบ่อยครั้ง ภารกิจต่อสู้กองร้อยทหารปืนใหญ่ก็ได้กลายมาแพร่หลายเช่นกัน และการตรวจจับเสียงได้ถูกใช้เพื่อค้นหาปืนใหญ่ของข้าศึก เยอรมนีนำหน้าฝ่ายสัมพันธมิตรไกลในการใช้การเล็งยิงจำลองหนัก กองทัพเยอรมันติดตั้งฮาวอิตเซอร์ขนาด 150 และ 210 มม. ใน ค.ศ. 1914 ขณะที่ปืนใหญ่ตามแบบของฝรั่งเศสและอังกฤษมีขนาดเพียง 75 และ 105 มม. อังกฤษมีฮาวอิตเซอร์ 152 มม. แต่มันหนักเสียจนต้องลำเลียงสู่สนามเป็นชิ้น ๆ และประกอบใหม่ ฝ่ายเยอรมันยังประจำปืนใหญ่ออสเตรีย 305 มม. และ 420 มม. และเมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้นนั้น ได้มีรายการมีเนนเวอร์เฟอร์ (Minenwerfer) หลายขนาดลำกล้องแล้ว ซึ่งเหมาะสำหรับการสงครามสนามเพลาะตามทฤษฎี[184] การสู้รบมากครั้งข้องเกี่ยวกับการสงครามสนามเพลาะ ซึ่งทหารหลายร้อยนายเสียชีวิตในแผ่นดินแต่ละหลาที่ยึดได้ ยุทธการครั้งนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวนมากเกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ยุทธการเหล่านั้นเช่น อีแปร มาร์น คัมไบร ซอมม์ แวร์เดิง และกัลลิโปลี ฝ่ายเยอรมันนำกระบวนการฮาเบอร์ซึ่งเป็นการตรึงไนโตรเจนมาใช้ เพื่อให้กำลังมีเสบียงดินปืนอย่างต่อเนื่อง แม้ฝ่ายอังกฤษจะทำการปิดล้อมทางทะเลก็ตาม[185] ปืนใหญ่เป็นเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด[186] และบริโภควัตถุระเบิดปริมาณมหาศาล การบาดเจ็บที่ศีรษะจำนวนมากเกิดขึ้นจากกระสุนปืนใหญ่ที่ระเบิดและการแตกกระจาย ทำให้ชาติที่เข้าร่วมสงครามต้องพัฒนาหมวกเหล็กกล้าสมัยใหม่ นำโดยฝรั่งเศส ซึ่งนำหมวกเอเดรียนมาใช้ใน ค.ศ. 1915 และต่อมาไม่นานอังกฤษและสหรัฐได้ใช้หมวกโบรดี และใน ค.ศ. 1916 โดยหมวกสทาลเฮล์มที่มีเอกลักษณ์ของเยอรมนี ซึ่งการออกแบบและการปรับปรุง ยังใช้เรื่อยมาถึงปัจจุบัน การใช้การสงครามเคมีอย่างแพร่หลายเป็นคุณลักษณะเด่นเฉพาะของความขัดแย้งนี้ แก๊สที่ใช้มีคลอรีน แก๊สมัสตาร์ดและฟอสจีน มีผู้เสียชีวิตจากแก๊สในสงครามเพียงเล็กน้อย[187] เพราะมีวิธีการรับมือการโจมตีด้วยแก๊สที่มีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว เช่น หน้ากากกันแก๊ส ทั้งการใช้สงครามเคมีและการทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ขอบเขตเล็กนั้นถูกบัญญัติห้ามโดยอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1907 และทั้งสองพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพจำกัด[188] แม้จะจับจินตนาการของสาธารณะก็ตาม อาวุธติดตั้งภาคพื้นที่ทรงอานุภาพที่สุด คือ ปืนใหญ่รถไฟ (railway gun) ซึ่งแต่ละกระบอกหนักหลายร้อยตัน ปืนใหญ่เหล่านี้มีชื่อเล่นว่า บิกเบอร์ธา เยอรมนีได้พัฒนาปืนใหญ่ปารีส ซึ่งสามารถยิงถล่มกรุงปารีสจากพื้นที่ซึ่งห่างออกไปกว่า 100 กิโลเมตรได้ แม้กระสุนปืนใหญ่จะค่อนข้างเบา โดยมีน้ำหนัก 94 กิโลกรัม แม้ฝ่ายสัมพันธมิตรจะมีปืนใหญ่รถไฟเช่นเดียวกับเยอรมนี แต่แบบของเยอรมันมีพิสัยไกลกว่าและเหนือชั้นกว่าของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างมาก การบินอากาศยานปีกตรึงมีการใช้ในทางทหารครั้งแรกโดยอิตาลีในลิเบียเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1911 ระหว่างสงครามอิตาลี-ตุรกีเพื่อการลาดตระเวน ตามมาด้วยการทิ้งระเบิดมือและการถ่ายภาพทางอากาศในปีต่อมา เมื่อถึง ค.ศ. 1914 ประโยชน์ใช้สอยทางทหารของอากาศยานนั้นปรากฏชัด อากาศยานเหล่านี้เดิมทีใช้เพื่อการลาดตระเวนและโจมตีภาคพื้นดิน ในการยิงเครื่องบินฝ่ายข้าศึก จึงได้มีการพัฒนาปืนต่อสู้อากาศยานและเครื่องบินขับไล่ขึ้น เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ถูกผลิตขึ้น โดยเยอรมนีและอังกฤษเป็นหลัก แม้เยอรมนีจะใช้เซพเพลินด้วยเช่นกัน[189] เมื่อสงครามใกล้ยุติ เรือบรรทุกเครื่องบินจึงได้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก บอลลูนสังเกตการณ์ที่มีคนขับ ลอยสูงเหนือสนามเพลาะ ถูกใช้เป็นแท่นตรวจตราอยู่กับที่ คอยรายงานการเคลื่อนไหวของข้าศึกและชี้เป้าให้ปืนใหญ่ โดยทั่วไปบอลลูนมีลูกเรือสองคน และมีร่มชูชีพติดตัว[190] เผื่อหากมีการโจมตีทางอากาศของข้าศึก ร่มชูชีพจะสามารถกระโดดร่มออกมาได้อย่างปลอดภัย เมื่อมีการตระหนักถึงคุณค่าของบอลลูนในฐานะแท่นสังเกตการณ์ บอลลูนจึงตกเป็นเป้าสำคัญขออากาศยานข้าศึก ในการป้องกันบอลลูนจากการโจมตีทางอากาศ บอลลูนจึงได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาโดยปืนต่อสู้อากาศยานและมีอากาศยานฝ่ายเดียวกันลาดตระเวน ในการโจมตี ได้มีการทดลองใช้อาวุธไม่ธรรมดาอย่างจรวดอากาศสู่อากาศ ดังนั้น คุณค่าการสังเกตการณ์ของเรือเหาะและบอลลูนจึงได้มีส่วนต่อการพัฒนาการสู้รบแบบอากาศสู่อากาศระหว่างอากาศยานทุกประเภท และต่อภาวะคุมเชิงกันในสนามเพลาะ เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะเคลื่อนย้ายกำลังขนาดใหญ่ได้โดยไม่ถูกสังเกตพบ เยอรมนีดำเนินการตีโฉบฉวยทางอากาศต่ออังกฤษระหว่าง ค.ศ. 1915 และ 1916 ด้วยเรือบิน โดยหวังว่าจะบั่นทอนขวัญกำลังใจของอังกฤษและส่งผลให้อากาศยานถูกเบี่ยงเบนไปจากแนวหน้า และที่จริง ความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นตามมาได้นำไปสู่การเบี่ยงเบนฝูงเครื่องบินขับไหล่หลายฝูงจากฝรั่งเศส[189][191] เทคโนโลยีนาวิกเยอรมนีวางเรืออู (เรือดำน้ำ) หลังสงครามอุบัติ โดยเปลี่ยนไปมาระหว่างการสงครามเรือดำน้ำจำกัดและไม่จำกัดในมหาสมุทรแอตแลนติก ไกเซอร์ลีเชอมารีนจัดวางเพื่อตัดทอนเสบียงสำคัญมิให้ไปถึงหมู่เกาะอังกฤษ การเสียชีวิตของกะลาสีเรือพาณิชย์อังกฤษและการที่เรืออูดูเหมือนอยู่คงกระพันนำไปสู่การพัฒนาทุ่นระเบิดน้ำลึก (ค.ศ. 1916), ไฮโดรโฟน (โซนาร์เชิงรับ, ค.ศ. 1917), เรือเหาะ (blimp), เรือดำน้ำล่าสังหาร (เรือหลวงอาร์-1, ค.ศ. 1917), อาวุธต่อสู้เรือดำน้ำโยนไปด้านหน้า และไฮโดรโฟนจุ่ม (สองอย่างนี้ถูกยกเลิกไปใน ค.ศ. 1918) เพื่อขยายขอบเขตการปฏิบัติ เยอรมนีได้เสนอเรือดำน้ำเสบียง (ค.ศ. 1916) เทคโนโลยต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกลืมไปหลังสงครามยุติ ก่อนได้รับการรื้อฟื้นใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติ เทคโนโลยีการสงครามภาคพื้นสนามเพลาะ ปืนกล การสอดแนมทางอากาศ รั้วลวดหนามและปืนใหญ่สมัยใหม่ซึ่งมีกระสุนลูกปรายมีส่วนให้แนวสู้รบของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่อาจเอาชนะกันได้เด็ดขาด อังกฤษมองหาทางออกด้วยการสร้างการสงครามรถถังและยานยนต์ขึ้น รถถังคันแรก ๆ ถูกใช้ระหว่างยุทธการซอมม์เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1916 ความน่าเชื่อถือยานยนต์นั้นเป็นปัญหา แต่การทดลองพิสูจน์ถึงคุณค่าของมัน ภายในหนึ่งปี อังกฤษส่งรถถังเข้าสู่สนามรบหลายร้อยคัน และพวกมันได้แสดงแสงยานุภาพระหว่างยุทธการคัมไบรในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 ด้วยการเจาะแนวฮินเดินบวร์ค ขณะที่กำลังผสมจับกุมทหารข้าศึกเป็นเชลยได้ 8,000 นาย และยึดปืนใหญ่ได้ 100 กระบอก สงครามยังได้มีการนำอาวุธกลเบาและปืนกลมือ เช่น ปืนลิวอิส ไรเฟิลอัตโนมัติบราวนิง และเบิร์กทันน์ เอ็มเพ 18 อาชญากรรมสงคราม
สยามกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง![]() กองทหารสยามในดินแดนเยอรมนีสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2457 สยามตั้งตัวเป็นกลาง จนกระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 สยามจึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี และได้ส่งทหารอาสาสมัครไปช่วยรบ 1,284 คน ทั้งนี้รวมทั้งนายและพลทหาร สมทบกับนักเรียนไทยในนานาประเทศอีกประมาณ 400 คน รวมทหารอาสาสมัครทั้งหมดประมาณ 1,600 คน ทหารอาสาออกเดินทางเมื่อ พ.ศ. 2461 ถึงประเทศฝรั่งเศสอยู่ใต้บัญชาการของนายพล เปแตง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ไปปฏิบัติการในสมรภูมิประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมโดยการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นและอังกฤษ ในการยึดแนวข้าศึกบริเวณอาณาเขตของเยอรมันทำให้มีทหารเสียชีวิต ระหว่างการรบ ภายหลังสงคราม สยามได้ขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ทำไว้เดิมกับประเทศต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อเมริกา เยอรมัน ฯลฯ โดยแก้ไขจากสนธิสัญญาเดิมที่สยามเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้ได้ประโยชน์ดีขึ้น นอกจากนี้ สยามยังได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติอีกด้วย ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น มีความสำคัญดังนี้
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรมแหล่งข้อมูล
แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ
ประวัติศาสตร์และความทรงจำ
อ่านเพิ่มเติม
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia