ประเทศออสเตรเลีย
ออสเตรเลีย (อังกฤษ: Australia) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เครือรัฐออสเตรเลีย (อังกฤษ: Commonwealth of Australia)[13] เป็นประเทศซึ่งประกอบด้วยแผ่นดินหลักของทวีปออสเตรเลีย, เกาะแทสเมเนีย และเกาะอื่น ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และมหาสมุทรใต้ ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับหกของโลกเมื่อนับพื้นที่ทั้งหมด มีประเทศเพื่อนบ้านประกอบด้วย อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี และติมอร์-เลสเตทางเหนือ หมู่เกาะโซโลมอน วานูอาตู และนิวแคลิโดเนียทางตะวันออกเฉียงเหนือ และนิวซีแลนด์ทางตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากรราว 27 ล้านคน ด้วยขนาดพื้นที่ 7,617,930 ตารางกิโลเมตร (2,941,300 ตารางไมล์)[14] มีลักษณะเป็นสังคมเมืองสูงโดยประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นบริเวณชายฝั่งตะวันออก[15] เมืองหลวงของประเทศคือแคนเบอร์รา ในขณะที่เมืองที่ใหญ่ที่สุดคือซิดนีย์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดและยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ เมืองที่มีประชากรรองลงมา ได้แก่ เมลเบิร์น, บริสเบน, เพิร์ท และแอดิเลด ออสเตรเลียเป็นสหพันธรัฐซึ่งปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วย 6 รัฐ และ 10 ดินแดนสหพันธ์ และยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ประกอบไปด้วยผู้พลัดถิ่นจำนวนมาก โดยคิดเป็นอัตราส่วนสูงถึงร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด[16] และกว่าครึ่งหนึ่งของพลเมืองออสเตรเลียกำเนิดจากบิดาหรือมารดาซึ่งกำเนิดในต่างประเทศ[17] ทวีปออสเตรเลียเป็นทวีปที่เก่าแก่ที่สุด[18] มีลักษณะแบนราบที่สุด[19] และเป็นทวีปที่แห้งแล้งที่สุดที่มีผู้คนอาศัยอยู่[20][21] โดยมีปริมาณของดินอุดมสมบูรณ์ในระดับต่ำ และออสเตรเลียยังเป็นประเทศที่มีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีทะเลทรายอยู่ตรงกลาง มีป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือ และทิวเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณทั้งหมดยังเป็นหนึ่งในดินแดนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ชาวพื้นเมืองออสเตรเลียอาศัยอยู่ในทวีปนี้เมื่อประมาณ 65,000 ปีมาแล้ว[22] ก่อนการมาถึงครั้งแรกของนักสำรวจชาวดัตช์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ซึ่งตั้งชื่อดินแดนนี้ว่านิวฮอลแลนด์ ต่อมา ครึ่งหนึ่งของฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียถูกอ้างว่าเป็นของสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1770 และเริ่มใช้บริเวณนี้เป็นทัณฑนิคม โดยทำการขนส่งนักโทษมายังนิวเซาธ์เวลส์ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1788 และถือเป็นวันชาติของออสเตรเลียมาถึงปัจจุบัน[23] จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายทศวรรษต่อมา ซึ่งทวีปออสเตรเลียได้ถูกสำรวจและอีกห้าอาณานิคมปกครองตนเองของพระมหากษัตริย์ได้ถูกจัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1901 ทั้งหกอาณานิคมถูกตั้งขึ้นเป็นสหพันธ์ รวมตัวกันเป็นเครือรัฐออสเตรเลียตั้งแต่นั้นมา ออสเตรเลียยังคงรักษาระบบการเมืองเสรีนิยมประชาธิปไตยที่มั่นคงที่ทำหน้าที่เป็นรัฐสภาประชาธิปไตยของรัฐบาลกลางและพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ สหพันธ์ประกอบด้วยหกรัฐ และอีกหลายพื้นที่[24] ออสเตรเลียเป็นประเทศที่พัฒนาสูง ถือเป็นประเทศอำนาจปานกลาง และมีขนาดเศรษฐกิจโดยวัดตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเป็นอันดับ 13 ของโลก, มีรายได้ต่อหัวอันดับ 10 ของโลก[25] และมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ติด 1 ใน 10 ของโลก ค่าใช้จ่ายทางการทหารของออสเตรเลียยังมากที่สุดเป็นอันดับ 13 ของโลก ออสเตรเลียยังถูกจัดอยู่ในอันดับสูงในด้านคุณภาพชีวิต, สุขภาพ, การศึกษา, เสรีภาพทางเศรษฐกิจ, เสรีภาพของพลเมือง และสิทธิทางการเมือง[26] มีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรม, การท่องเที่ยว และ การส่งออก รวมถึงโทรคมนาคม, การธนาคาร, การผลิต และการศึกษาระหว่างประเทศ โดยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักศึกษาต่างชาตินิยมมาศึกษาต่อมากที่สุดในโลก[27][28] ออสเตรเลียเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ, กลุ่ม 20, เครือจักรภพแห่งชาติ, สนธิสัญญาแอนซัส, องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา, องค์การการค้าโลก, ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก, ประชาคมแปซิฟิก และมีสถานะเป็นพันธมิตรหลักนอกเนโท นิรุกติศาสตร์ชื่อประเทศออสเตรเลีย (ออกเสียงว่า /əˈstreɪliə/ ในภาษาอังกฤษ-ออสเตรเลีย)[29] มาจากภาษาละติน Terra Australis หมายถึง "ดินแดนทางใต้" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกทวีปสมมติในซีกโลกใต้ตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อชาวยุโรปเริ่มมาเยือนและทำแผนที่ออสเตรเลียเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 17 ชื่อ Terra Australis จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 19 ออสเตรเลียเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "นิวฮอลแลนด์" ซึ่งเป็นชื่อแรกที่ใช้โดยนักสำรวจชาวดัตช์ อาเบิล ตัสมัน ใน ค.ศ. 1644 (ในชื่อ Nieuw-Holland) แต่ชื่อ Terra Australis ยังคงเห็นการใช้งานเป็นครั้งคราว เช่น ในตำราทางวิทยาศาสตร์ ต่อมา ชื่อออสเตรเลีย (Australia) ได้เริ่มเป็นที่นิยมโดยมีที่มาจากนักเดินเรือชาวอังกฤษ แมทธิว ฟลินเดอรส์ ซึ่งกล่าวว่า "เป็นชื่อที่ไพเราะกว่า"[30] ซึ่งนักทำแผนที่และนักสำรวจได้ใช้ชื่อนี้ต่อเนื่องมายาวนาน ก่อนที่ชื่อออสเตรเลียจะปรากฏในงานวิชาการครั้งแรกในหนังสือดาราศาสตร์ของ Cyriaco Jacob zum Barth ซึ่งตีพิมพ์ในแฟรงค์เฟิร์ตอัมไมน์ใน ค.ศ. 1545[31] ภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศประเทศออสเตรเลียมีขนาด 7,617,930 ตารางกิโลเมตร (2,941,300 ตารางไมล์)[32] ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลก อินโด-ออสเตรเลีย ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอินเดียทางทิศตะวันตก และมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันออก[N 5] ถูกแยกออกจากเอเชียโดยทะเลอาราฟูรา และทะเลติมอร์ ที่มีแนวปะการังทะเลเรียงรายอยู่นอกชายฝั่งรัฐควีนส์แลนด์, และทะเลแทสมันนอนอยู่ระหว่างประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ จัดเป็นทวีปเล็กที่สุดในโลก[34] และอันดับหกของประเทศที่ใหญ่ที่สุดโดยพื้นที่ทั้งหมด,[35] เนื่องจากขนาดและโดดเดี่ยว ทวีปนี้มักจะถูกขนานนามว่า "ทวีปเกาะ"[36] และบางครั้งถือว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก[37] ประเทศออสเตรเลียมีชายฝั่งยาว 34,218 กิโลเมตร (21,262 ไมล์) (ไม่รวมเกาะนอกชายฝั่งทั้งหมด)[38] และอ้างสิทธิเหนือเขตเศรษฐกิจพิเศษขนาด 8,148,250 ตารางกิโลเมตร (3,146,060 ตารางไมล์) เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ ไม่รวมถึงดินแดนขั้วโลกใต้ของออสเตรเลีย[39] และไม่รวม Macquarie Island ออสเตรเลียอยู่ระหว่างละติจูด 9° และ 44°S, และ ลองจิจูด 112° และ 154°E เกรตแบร์ริเออร์รีฟ แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก[40] อยู่ห่างออกไปจากชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือและขยายไปยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร (1,240 ไมล์). ภูเขาออกัสตัส เป็นหินใหญ่ก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก[41] ตั้งอยู่ในออสเตรเลียตะวันตกที่ความสูง 2,228 เมตร (7,310 ฟุต) ภูเขา Kosciuszko บน Great Dividing Range เป็นภูเขาที่สูงที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลีย แม้ว่าจะมีภูเขาสูงอื่น ๆ คือ Mawson Peak (ที่ 2,745 เมตรหรือ 9,006 ฟุต), บนดินแดนที่ห่างไกลของออสเตรเลียที่เรียกว่า Heard Island, และใน Australian Antarctic Territory, ภูเขา McClintock และภูเขา Menzies ที่ความสูง 3,492 เมตร (11,457 ฟุต) และ 3,355 เมตร (11,007 ฟุต) ตามลำดับ[42] เนื่องด้วยขนาดที่กว้างขวางของประเทศออสเตรเลียส่งผลให้เกิดความหลากหลายทางภูมิประเทศ, ที่มีป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือ, ภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้, ตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันออก และทะเลทรายแห้งในภาคกลาง[43] ทวีปออสเตรเลียเป็นทวีปที่ราบเรียบ[44] ที่มีผืนดินที่เก่าแก่ที่สุดและดินอุดมสมบูรณ์นัอยที่สุด[45][46] ทะเลทรายหรือที่ดินกึ่งแห้งแล้งที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นชนบททำให้เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของที่ดิน[47] ทวีปที่มีอาศัยอยู่ที่แห้งที่สุด เฉพาะทางตะวันออกเฉียงใต้และมุมทางตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้นที่มีอากาศเย็น.[48] ความหนาแน่นของประชากร, ที่ 2.8 ประชากรต่อตารางกิโลเมตร อยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก[49] ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ของประชากรจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอุณหภูมิดีพอสมควร[50] ภาคตะวันออกของออสเตรเลียถูกทำเครื่องหมายโดย Great Dividing Range ที่วิ่งขนานไปกับชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์, นิวเซาธ์เวลส์และบริเวณกว้างใหญ่ของวิกตอเรีย ชื่อ Great Dividing Range ประกอบด้วยเนินเขาเตี้ย ๆ และที่ราบสูงมักจะสูงไม่เกิน 1,600 เมตร (5,249 ฟุต).[51] บริเวณที่สูงชายฝั่งและเข็มขัดของทุ่งหญ้า Brigalow อยู่ระหว่างชายฝั่งและภูเขา ในขณะที่แผ่นดินด้านในของ dividing range เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ของทุ่งหญ้า.[51][52] เหล่านี้รวมถึงที่ราบทางตะวันตกของนิวเซาธ์เวลส์ และ Einasleigh Uplands, Barkly Tableland และ Mulga Lands ของรัฐควีนส์แลนด์ จุด เหนือสุดของชายฝั่งตะวันออกเป็นคาบสมุทร Cape York ที่เป็นเขตป่าฝนเขตร้อน[53][54][55][56] ภูมิทัศน์ทางตอนเหนือของประเทศที่เรียกว่า the Top End และ the Gulf Country ด้านหลัง the Gulf of Carpentaria ที่มีภูมิอากาศเขตร้อน ประกอบด้วย ป่าไม้, ทุ่งหญ้า และทะเลทราย[57][58][59] ที่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปมีหน้าผาหินทราย และ ซอกเขา ของ คิมเบอร์ลีและ ด้านล่างเป็น Pilbara ไปทางใต้ของบริเวณเหล่านี้และเข้าไปในแผ่นดิน จะมีพื้นที่ที่เป็นทุ่งหญ้ามากขึ้น ที่มีชื่อว่า the Ord Victoria Plain และ the Western Australian Mulga shrublands[60][61][62] ที่ใจกลางของประเทศมีพื้นที่สูงของภาคกลางออสเตรเลีย ซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นของภาคกลาง[63][64] สภาพภูมิอากาศของออสเตรเลียได้รับอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญจากกระแสน้ำในมหาสมุทร รวมทั้ง Dipole และ El Niño–Southern Oscillation จากมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความแห้งแล้งตามฤดู และระบบความดันต่ำในเขตร้อนตามฤดูกาลที่ผลิตพายุไซโคลนในภาคเหนือของออสเตรเลีย[65][66] ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดปริมาณน้ำฝนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดทุกปี พื้นที่จำนวนมากทางตอนเหนือของประเทศมีสภาพภูมิอากาศเขตร้อน, ส่วนใหญ่เป็นฝนฤดูร้อน (มรสุม)[67] มุมตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศมีภูมิอากาศเมดิเตอร์เรเนียน[68] พื้นที่จำนวนมากของตะวันออกเฉียงใต้ (รวมทั้ง แทสเมเนีย) เป็นเขตเมืองหนาว[67] ประวัติศาสตร์ชนพื้นเมืองในออสเตรเลียก่อนการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป คือชาวอะบอริจิน และชาวเกาะทอร์เรสสเทรต ซึ่งชนเหล่านี้มีภาษาแตกต่างกันนับร้อยภาษา[69] ประมาณการว่า มีชาวอะบอริจินมากกว่า 780,000 คนอยู่ในออสเตรเลียใน พ.ศ. 2331[70] การตั้งถิ่นฐานการค้นพบออสเตรเลียของชาวยุโรปครั้งแรกที่มีการบันทึกไว้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1606 เป็นเรือของชาวดัตช์ โดยกัปตัน Willem Janszoon ทำแผนที่ชายฝั่งส่วนหนึ่งของออสเตรเลีย ระหว่าง ค.ศ. 1606 ถึง 1770 มีเรือของชาวยุโรปประมาณ 54 ลำจากหลายชาติเดินทางมาที่ออสเตรเลียซึ่งรู้จักในขณะนั้นว่านิวฮอลแลนด์[71] ใน ค.ศ. 1770 เจมส์ คุก เดินทางมาสำรวจออสเตรเลียและทำแผนที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย และได้ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ให้ชื่อว่านิวเซาท์เวลส์ ต่อมาสหราชอาณาจักรใช้ออสเตรเลียเป็นทัณฑนิคม[71] กองเรือชุดแรกเดินทางมาถึงออสเตรเลียที่อ่าวซิดนีย์ใน ค.ศ. 1787 ในวันที่ 26 มกราคม (ค.ศ. 1788) ซึ่งต่อมาเป็นวันชาติออสเตรเลีย ผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรกส่วนใหญ่เป็นนักโทษและครอบครัวของทหาร โดยมีผู้อพยพเสรีเริ่มเข้ามาใน ค.ศ. 1793 มีการตั้งถิ่นฐานบนเกาะแทสเมเนีย หรือชื่อในขณะนั้นคือฟานไดเมนส์แลนด์ ใน ค.ศ. 1803 และตั้งเป็นอาณานิคมแยกอีกแห่งหนึ่งใน ค.ศ. 1825 สหราชอาณาจักรประกาศสิทธิในฝั่งตะวันตกใน ค.ศ. 1829 และเริ่มมีการตั้งอาณานิคมแยกขึ้นมาอีกหลายแห่ง ได้แก่เซาท์ออสเตรเลีย วิกตอเรีย และควีนส์แลนด์ โดยแยกออกมาจากนิวเซาท์เวลส์ เซาท์ออสเตรเลียไม่เคยเป็นอาณานิคมนักโทษ[71] ในขณะที่วิกตอเรียและเวสเทิร์นออสเตรเลียยอมรับการขนส่งนักโทษภายหลัง[72][73] เรือนักโทษลำสุดท้ายมาถึงนิวเซาท์เวลส์ใน 1848 หลังจากการรณรงค์ยกเลิกโดยกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐาน[74] การขนส่งนักโทษยุติอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2396 ในนิวเซาท์เวลส์และแทสเมเนีย และ ค.ศ. 1868 ในเวสเทิร์นออสเตรเลีย[72] ใน ค.ศ. 1851 เอดเวิร์ด ฮาร์กรีฟส์ ค้นพบสายแร่ทอง ในที่ ๆ เขาตั้งชื่อว่าโอฟีร์ (Ophir) ในนิวเซาท์เวลส์ ทำให้เกิดยุคตื่นทอง นำคนจำนวนมากเดินทางมาออสเตรเลีย[75] ใน ค.ศ. 1901 หกอาณานิคมในออสเตรเลียรวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐ ในชื่อเครือรัฐออสเตรเลีย (Commonwealth of Australia) ประกอบด้วยรัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิกตอเรีย รัฐควีนส์แลนด์ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย และรัฐแทสเมเนีย รวมหกรัฐเข้าอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญหนึ่งเดียว เฟเดอรัลแคพิทัลเทร์ริทอรีก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1911 เป็นเมืองหลวงของสหพันธรัฐ จากส่วนหนึ่งของรัฐนิวเซาท์เวลส์ บริเวณแยส-แคนเบอร์รา และเริ่มดำเนินงานรัฐสภาในแคนเบอร์ราใน ค.ศ. 1927[76] ใน ค.ศ. 1911 นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี แยกตัวออกมาจากเซาท์ออสเตรเลีย และเข้าเป็นดินแดนในกำกับของสหพันธ์ ออสเตรเลียสมัครใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยมีอาสาสมัครเข้าร่วมถึง 60,000 คนจากประชากรชายน้อยกว่าสามล้านคน[69] การปกครองตนเองออสเตรเลียประกาศใช้บทกฎหมายเวสต์มินสเตอร์ ค.ศ. 1931 ใน ค.ศ. 1942 โดยมีผลบังคับใช้ย้อนไปตั้งแต่ 3 กันยายน ค.ศ. 1939[77] ซึ่งเป็นการยุติบทบาทนิติบัญญัติของสหราชอาณาจักรในออสเตรเลียเกือบทั้งหมด ในสงครามโลกครั้งที่สอง ออสเตรเลียประกาศสงครามกับเยอรมนีพร้อมกับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส หลังจากเยอรมนีบุกโปแลนด์[78] ออสเตรเลียส่งทหารเข้าร่วมสมรภูมิในยุโรป เมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกาเหนือ แผ่นดินออสเตรเลียโดนโจมตีโดยตรงครั้งแรกจากการเข้าตีโฉบฉวยทางอากาศของญี่ปุ่นที่ดาร์วิน[79] ออสเตรเลียยุตินโยบายออสเตรเลียขาว โดยดำเนินการขั้นสุดท้ายในปีค.ศ. 1973[80] พระราชบัญญัติออสเตรเลีย ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) ยกเลิกบทบาทของสหราชอาณาจักรในอำนาจนิติบัญญัติและตุลาการของออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง ใน ค.ศ. 1999 ออสเตรเลียจัดการลงประชามติ ว่าจะให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีแต่งตั้งจากรัฐสภาหรือไม่ ซึ่งคะแนนเสียงเกือบ 55% ลงคะแนนปฏิเสธ[81] การเมืองการปกครองออสเตรเลียมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีรูปแบบรัฐบาลเป็นสหพันธรัฐ และระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐของออสเตรเลียคือพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 พระอิสริยยศในออสเตรเลียคือ Elizabeth the Second, by the Grace of God Queen of Australia and Her other Realms and Territories, Head of the Commonwealth[82] ผู้สำเร็จราชการเครือรัฐออสเตรเลียเป็นผู้แทนพระองค์ในออสเตรเลียของพระประมุขซึ่งประทับอยู่ในสหราชอาณาจักร รัฐธรรมนูญของออสเตรเลียระบุว่า "อำนาจบริหารเป็นของสมเด็จพระราชินีนาถ และทรงใช้อำนาจนั้นผ่านผู้สำเร็จราชการในฐานะผู้แทนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถ"[83] อำนาจของผู้สำเร็จราชการนั้นรวมถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีและผู้พิพากษา การยุบสภา และการลงนามบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ ผู้สำเร็จราชการยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย[83] ในทางธรรมเนียมปฏิบัตินั้น ผู้สำเร็จราชการจะใช้อำนาจตามคำแนะนำของรัฐมนตรี[84] สภาบริหารสหพันธรัฐ (Federal Executive Council) เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่ผู้สำเร็จราชการ โดยมีผู้สำเร็จราชการเป็นประธานการประชุม และรัฐมนตรีทุกคนมีสมาชิกภาพตลอดชีพ แต่ในทางปฏิบัติจะเรียกประชุมเฉพาะรัฐมนตรีคณะปัจจุบัน[85] รัฐบาลจะมาจากพรรคที่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร บริหารกระทรวง
นิติบัญญัติออสเตรเลียมีรัฐสภาเก้าแห่ง หนึ่งสภาของสหพันธ์ หกสภาของแต่ละรัฐ และสองสภาของแต่ละดินแดน รัฐสภาของสหพันธ์ ใช้ระบบสองสภา ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร (House of Representative) และวุฒิสภา (Senate) สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 150 คน มาจากการเลือกตั้ง โดยแบ่งเป็นเขตเลือกตั้ง มีผู้แทนเขตละหนึ่งคน วุฒิสภามีสมาชิก 76 คน มาจากแต่ละรัฐ รัฐละ 12 คน และจากดินแดน (เขตเมืองหลวงและนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี) ละสองคน[86] ทั้งสองสภาจัดการเลือกตั้งทุกสามปี สมาชิกวุฒิสภามีวาระ 6 ปี โดยการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด ออสเตรเลียมีพรรคการเมืองหลักสามพรรค ได้แก่พรรคแรงงานออสเตรเลีย พรรคเสรีนิยม และพรรคชาติ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2465 รัฐบาลของสหพันธ์มาจากพรรคแรงงานหรือเป็นรัฐบาลผสมของพรรคเสรีนิยมและพรรคชาติ[87] ปัจจุบันนายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริซัน ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 2018 มาจากพรรคเสรีนิยม พรรคอื่น ๆ ที่มีบทบาทได้แก่ออสเตรเลียนเดโมแครต และออสเตรเลียนกรีนส์ โดยมักได้ที่นั่งในวุฒิสภา ตุลาการรัฐและดินแดนออสเตรเลียแบ่งออกเป็น 6 รัฐ ได้แก่ นอกจากนี้ยังมีมณฑลหลัก ๆ บนแผ่นดินใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี และออสเตรเลียนแคพิทอลเทร์ริทอรี (มณฑลนครหลวงออสเตรเลีย) และดินแดนเล็กน้อยอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว ดินแดนนั้นมีลักษณะเดียวกับรัฐ แต่รัฐสภากลางสามารถค้านกฎหมายใดก็ได้จากสภาของดินแดน [88]ในขณะที่ในระดับรัฐ กฎหมายสหพันธ์จะค้านกับกฎหมายรัฐได้เพียงในบางด้านตามมาตรา 51 ของรัฐธรรมนูญ อำนาจนิติบัญญัติอื่น ๆ นั้นเป็นของรัฐสภาของแต่ละรัฐ แต่ละรัฐและดินแดนมีสภานิติบัญญัติของตัวเอง โดยในควีนสแลนด์และดินแดนทั้งสองแห่งเป็นลักษณะสภาเดี่ยว ในขณะที่ในรัฐที่เหลือเป็นแบบสภาคู่ สมเด็จพระราชินีมีผู้แทนพระองค์ในแต่ละรัฐ เรียกว่า "governor" และในนอร์เทิร์นเทอร์ริทอรี administrator ส่วนในเขตเมืองหลวง ใช้ผู้แทนพระองค์ของเครือรัฐ (governor-general) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของออสเตรเลียได้รับการผลักดันจากการใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาผ่านข้อตกลง ANZUS และความปรารถนาที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับเอเชียและแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาเซียน และหมู่เกาะแปซิฟิกฟอรั่ม ใน ค.ศ. 2005 ออสเตรเลียร่วมประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ต่อจากการเข้าร่วมสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และใน ค.ศ. 2011 ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกครั้งที่หก ออสเตรเลียเป็นสมาชิกของเครือจักรภพแห่งประชาชาติ[89] ออสเตรเลียมีส่วนร่วมในการเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ[90][91][92] นำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มแครนส์ และกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก[93][94] ออสเตรเลียเป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา และองค์การการค้าโลก[95][96] และมีการดำเนินการที่สำคัญหลายอย่างตามข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคี รวมถึงข้อตกลงการค้าเสรีของสหรัฐ[97] และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับนิวซีแลนด์[98] ข้อตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ ที่กำลังเจรจาต่อรองกับจีน ได้แก่ข้อตกลงเขตการค้าเสรีออสเตรเลีย-จีน และยังมีข้อตกลงร่วมกับญี่ปุ่น[99] รวมถึงเกาหลีใต้ใน ค.ศ. 2011[100][101] ข้อตกลงเขตการค้าเสรีชิลี, เขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์, และหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจทรานส์-แปซิฟิก ก็ได้รับการดำเนินการเช่นกัน ออสเตรเลียมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะเป็นสมาชิกพหุภาคี[102] และรักษานโยบายความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ภายใต้โปรแกรมซึ่งมี 60 ประเทศได้รับความช่วยเหลือ งบประมาณใน ค.ศ. 2005-06 จำนวนกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐถูกจัดสรรเพื่อความช่วยเหลือและการพัฒนาด้านต่างประเทศ[103] ออสเตรเลียอยู่ในอันดับเจ็ดโดยรวมด้านดัชนีความมุ่งมั่นในการพัฒนาปี 2008 ของศูนย์การพัฒนาทั่วโลก[104] กองกำลังติดอาวุธของออสเตรเลียชื่อ The Australian Defence Force (ADF) ประกอบด้วยราชนาวี (RAN), กองทัพบก และกองทัพอากาศ (RAAF) รวม 80,561 นาย (รวม 55,068 ประจำการ และอีก 25,493 กองหนุน)[105] บทบาทในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดตกเป็นของผู้นำประเทศ และผู้แต่งตั้งหัวหน้ากองกำลังป้องกัน[106] ในขณะที่การบริหารและการกำหนดนโยบายดำเนินการโดยกระทรวงกลาโหม ในงบประมาณระหว่าง ค.ศ. 2010-11 การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมีจำนวน 25.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย[107] เป็นอันดับที่ 13 ของงบประมาณด้านการทหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก[108] ออสเตรเลียมีส่วนร่วมในการรักษาสันติภาพ, การบรรเทาภัยพิบัติและความขัดแย้งที่ใช้อาวุธของสหประชาชาติและของภูมิภาค ปัจจุบันได้มีการวางกำลังมหารประมาณ 3,330 ในภารกิจในติมอร์-เลสเต, หมู่เกาะโซโลมอน และอัฟกานิสถาน[109] สิ่งแวดล้อมแม้ว่าบริเวณส่วนใหญ่ของออสเตรเลียจะเป็นแบบกึ่งแห้งแล้ง หรือทะเลทราย แต่ก็มีความหลากหลายของแหล่งที่อยู่อาศัยมาก ตั้งแต่ต้นไม้เตี้ยเป็นพุ่มที่ขึ้นตามทุ่งแบบอัลไพน์จนถึงป่าฝนเขตร้อน เชื้อราเป็นสัญลักษณ์ความหลากหลายนั้น จำนวนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลียรวมถึงพวกที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ มีการคาดการณ์ที่ประมาณ 250,000 ชนิด ในจำนวนนั้นมีประมาณ 5% ที่สามารถจำแนกได้[110] เพราะความเก่าแก่ของทวีป รูปแบบสภาพอากาศแปรเปลี่ยนอย่างสุดขั้วและการอยู่โดดเดียวทางภูมิศาสตร์ในระยะยาว ทำให้สิ่งมีชีวิตในออสเตรเลียจำนวนมากเป็นเอกลักษณ์และมีความหลากหลาย ประมาณ 85% ของพืชดอก, 84% ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, กว่า 45% ของนกและ 89% ของสัตว์บก และปลาเป็นสัญลักษณ์ประจำถิ่น[111] ออสเตรเลียมีสัตว์เลื้อยคลานจำนวนมากที่สุด (755 สายพันธุ์)[112] ป่าออสเตรเลียส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากสายพันธุ์ที่เขียวชอุ่มตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นยูคาลิปตัสในดินแดนแห้งแล้ง ไม้สนต่าง ๆ เป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นมากที่สุด[113] ท่ามกลางสัตว์ในออสเตรเลียที่รู้จักกันดี คือสัตว์ประเภท monotremes (ตัวตุ่นและตุ่นปากเป็ด); สัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องเลี้ยงลูก รวมถึง จิงโจ้, โคอาล่า และ วอมแบต และนก เช่น นกอีมู[113] ออสเตรเลียเป็นบ้านของสัตว์ที่เป็นอันตรายจำนวนมากรวมทั้งงูที่มีพิษรุนแรงที่สุดในโลก[114] หมาป่าดิงโกได้รับการแนะนำโดยคน Austronesian ที่ค้าขายกับชาวพื้นเมืองประมาณ 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช[115] พืชและสัตว์หลายสายพันธุ์ได้สูญพันธุ์ไปในไม่ช้าหลังจากการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์คนแรก[116] รวมทั้งพันธุ์สัตว์ท้องถิ่นออสเตรเลียได้หายไปตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป เช่น ไทลาซีน[117][118] หลายภูมิภาคเผชิญปัญหาสิ่งมีชีวิตถูกคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์[119] พระราชบัญญัติการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของรัฐบาลกลาง ค.ศ. 1999 เป็นกรอบกฎหมายสำหรับการป้องกันภัยคุกคามของพืชและสัตว์[120] พื้นที่หลายแห่งได้รับการป้องกันภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์ของความหลากหลายทางชีวภาพ[121][122] โดยกว่า 65 พื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์,[123] และ 16 แหล่งมรดกโลกธรรมชาติได้รับการดูแล[124] ออสเตรเลียเป็นอันดับที่ 51 จาก 163 ประเทศทั่วโลกในดัชนีการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมปี 2010[125] การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นในประเทศ และการป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นปัญหาทางการเมืองที่สำคัญ[126][127] ในปี 2007 รัฐบาลได้ลงนามในตราสารการให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต อย่างไรก็ตาม การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของออสเตรเลียต่อหัวอยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุดในโลกที่ ต่ำกว่าเพียงไม่กี่ประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ[128] ปริมาณฝนที่ตกในประเทศได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา คิดเป็นปริมาณกว่าสองในสี่ส่วนของประเทศ[129] จากอ้างอิงถึงของสำนักอุตุนิยมวิทยา ออสเตรเลียมีอุณหภูมิในปี 2011 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยในรอบสิบปียังคงแสดงให้เห็นถึง แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ เนื่องจากการจำกัดเรื่องน้ำในหลายภูมิภาค และการเพิ่มขึ้นของประชากรในเมืองและภัยแล้งในท้องถิ่น[130][131] พื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปนี้ยังเกิดน้ำท่วมใหญ่บ่อยครั้ง[132][133] เศรษฐกิจออสเตรเลียเป็นประเทศที่ร่ำรวยประเทศหนึ่ง[135][136][137] และจีดีพีต่อหัวของประชากรที่ค่อนข้างสูง และอัตราของความยากจนที่ค่อนข้างต่ำ ในแง่ของความมั่งคั่งเฉลี่ย เศรษฐกิจออสเตรเลียเป็นอันดับสองในโลกตามหลังสวิตเซอร์แลนด์ใน ค.ศ. 2013 แม้ว่าอัตราความยากจนของประเทศได้เพิ่มขึ้นจาก 10.2 เปอร์เซนต์ในปี 2000 เป็น 11.8 เปอร์เซนต์ใน ค.ศ. 2013[138][139] ออสเตรเลียได้รับการระบุโดยสถาบันวิจัยเครดิตสวิสว่าเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก และความมั่งคั่งเฉลี่ยสูงสุดในประชากรผู้ใหญ่เป็นอันดับสองใน ค.ศ. 2013[138] เงินดอลลาร์ออสเตรเลียเป็นสกุลเงินของประเทศ รวมทั้งของเกาะคริสมาสต์, หมู่เกาะโคโคส (คีลิง) และเกาะนอร์โฟล์ค เช่นเดียวกับรัฐอิสระเกาะแปซิฟิกของประเทศคิริบาติ, นาอูรู และ ตูวาลู การควบรวมกิจการของตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียและตลาดอนาคตซิดนีย์ใน ค.ศ. 2006 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดอันดับเก้าในโลก[140] ออสเตรเลียได้รับการจัดอันดับในอันดับสามด้านดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (ค.ศ. 2010),[141] เศรษฐกิจประเทศใหญ่ที่สุดอันดับสิบสองของโลกและ มี GDP ต่อหัว (ประมาณ) ที่สูงที่สุดเป็นอันดับห้าที่ และเป็นอันดับที่สองในด้านดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหประชาชาติ ค.ศ. 2011 และเป็นที่หนึ่งในดัชนีเจริญรุ่งเรืองของ Legatum ค.ศ. 2008[142] เมืองใหญ่ทั้งหมดของออสเตรเลียมีอันดับที่ดีในการสำรวจความน่าอยู่[143] เมลเบิร์นเป็นเมืองอันดับหนึ่งจากการจัดโดยหนังสือ The Economist ในปี ค.ศ. 2011,[144] 2012[145] และ 2013 ในรายชื่อเมืองที่น่าอยู่ที่สุดของโลก ตามด้วย แอดิเลด, ซิดนีย์ และ เพิร์ธ ในอันดับที่ห้า, เจ็ด และเก้าตามลำดับ[146] หนี้ภาครัฐรวมในประเทศออสเตรเลียอยู่ที่ประมาณ $190 พันล้าน[147] - 20% ของ GDP ใน ค.ศ. 2010.[148] ออสเตรเลียอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีราคาบ้านสูงที่สุด และมีจำนวนหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงในทศวรรษที่ผ่านมา[149] ออสเตรเลียมีความสมดุลของการชำระเงินที่มีมากขึ้นกว่า 7% ของจีดีพี และมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีขนาดใหญ่นานกว่า 50 ปี[151] ออสเตรเลียมีการเติบโตเศรษฐกิจในอัตราเฉลี่ย 3.6% ต่อปีในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ในการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยประจำปีของกลุ่มประเทศ OECD ที่ 2.5%[151] ออสเตรเลียเป็นประเทศเศรษฐกิจขั้นสูงประเทศเดียวที่ไม่ประสบกับภาวะถดถอยเนื่องจากการชะลอตัวทางการเงินระดับโลกในปี 2008-09[152] อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของหกประเทศคู่ค้าที่สำคัญของออสเตรเลียอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศออสเตรเลียอย่างมีนัยสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา[153][154] จาก ปี 2012 ถึงต้นปี 2013 เศรษฐกิจของประเทศออสเตรเลียเติบโต แต่ในบางรัฐที่ไม่ได้ทำเหมืองแร่ และรัฐที่เศรษฐกิจหลักที่ไม่ได้มาจากการทำเหมืองแร่ประสบกับภาวะถดถอย[155][156][157] ในระบบภาษีของออสเตรเลีย ภาษี รายได้ส่วนบุคคลและบริษัทเป็นแหล่งที่มาหลักของรายได้ของรัฐบาล[158] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 มีลูกจ้าง 11,537,900 คน (ทั้งแบบเต็มเวลาและไม่เต็มเวลา) และอัตราการว่างงานที่ 5.1%[159] การว่างงานเยาวชน (อายุ 15-24) อยู่ที่ 11.2%[159] ข้อมูลที่ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 แสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้รับสวัสดิการได้เติบโตขึ้นถึง 55% ใน ค.ศ. 2007 กว่าทศวรรษที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อมักจะอยู่ที่ 2-3% และอัตราดอกเบี้ยฐานที่ 5-6% ภาคบริการของเศรษฐกิจรวมทั้ง การท่องเที่ยว, การศึกษาและการบริการทางการเงิน มีประมาณ 70% ของ จีดีพี[160] ออสเตรเลียอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าวสาลีและขนสัตว์ รวมถึงแร่ธาตุ เช่นเหล็กและทอง และพลังงานในรูปแบบของก๊าซธรรมชาติเหลว และถ่านหิน การส่งออกสินค้าเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติมีมูลค่า 3% และ 5% ของจีดีพีตามลำดับ ตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน, สหรัฐ, เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์[161] ออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกไวน์และอุตสาหกรรมไวน์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก มูลค่ากว่า 5.5 พันล้านเหรียญต่อปี[162] การท่องเที่ยวออสเตรเลียเป็นประเทศหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย ผลการสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวจัดทำโดย Tourism Australia พบว่า ในปี 2016 ออสเตรเลียมีภาพลักษณ์เป็นจุดหมายทางการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในแง่ความปลอดภัย โดยรัฐบาลออสเตรเลียมีความพยายามในการผลักดันให้ออสเตรเลียเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกผ่านมาตรการรักษาความปลอดภัยและบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม ในปี 2011 รัฐบาลออสเตรเลียได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวระยะยาว ‘Tourism 2020’ เป็นกรอบนโยบายระดับชาติเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวออสเตรเลีย และเพื่อผลักดันให้การท่องเที่ยวของออสเตรเลียเติบโตได้ตามศักยภาพสูงสุด ทั้งนี้ การกำหนดแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวระยะยาวในครั้งนี้เป็นความพยายามของรัฐบาลในการฟื้นฟูจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศที่ลดลงในช่วงก่อนหน้า โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบหลักคือ สำนักงานการพาณิชย์และการลงทุนออสเตรเลีย (Austrade) และการท่องเที่ยวออสเตรเลีย (Tourism Australia)[163] การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้แก่ออสเตรเลีย และจากการที่มีสภาพภูมิประเทศและอากาศที่หลากหลาย ส่งผลให้ออสเตรเลียมีแหล่งท่องเที่ยวทุกรูปแบบที่ได้รับความนิยม ออสเตรเลียขึ้นชื่อเรื่องชายหาดและทะเลที่งดงาม มีหลายรัฐที่เต็มไปด้วยชายหาดหลายแห่งที่ได้รับความนิยม[164] เช่น ควีนส์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ เกรตแบร์ริเออร์รีฟ พืดหินปะการังที่ยาวที่สุดในโลก และ เพิร์ท เมืองท่าซึ่งมีทัศนียภาพงดงาม สถานที่อื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงได้แก่ โรงอุปรากรซิดนีย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของการท่องเที่ยวออสเตรเลีย ตั้งอยู่ในเมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์, สะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ สะพานระนาบเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก[165], อุทยานแห่งชาติ Blue Mountains, เมืองเมลเบิร์น รัฐวิคตอเรีย ซึ่งขึ้นชื่อในด้านอากาศที่ดีและการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ นักท่องเที่ยวสามารถพักผ่อนในสวนสาธารณะอันร่มรื่นตลอดวัน การท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ การทัวร์ปลาฉลาม[166][167] เป็นการนำนักท่องเที่ยวเข้าไปในกรงเหล็กซึ่งมีความปลอดภัย ก่อนจะหย่อนกรงจากเรือลงไปในมหาสมุทรเพื่อสัมผัสปลาฉลามอย่างใกล้ชิด โดยสถานที่ ๆ มีชื่อเสียงที่สุดของออสเตรเลียในการทัวร์ปลาฉลามคือ พอร์ทลินคอล์น[168][169] แม้จะสร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่นแต่ก็ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นการก่อกวนฉลามและอาจกระตุ้นสัญชาติการล่าเหยื่อให้ปลาฉลามทำร้ายมนุษย์ ซึ่งโดยปกติแล้วมนุษย์ไม่ใช่อาหารหลักของฉลาม โครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีชาวออสเตรเลียมีประวัติด้านความสำเร็จและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ในสาขาการแพทย์ เทคโนโลยี กสิกรรม เหมืองแร่และการอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ผู้ประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ยังได้รับรางวัลชาวออสเตรเลียประจำปี (Australian of the Year Awards)[170] ใน ค.ศ. 2005 ผู้ได้รับรางวัลนี้คือ ศาสตราจารย์ ฟิโอนา วูด (Professor Fiona Wood) ผู้พัฒนาการทำผิวหนังเทียมที่พ่นลงไปบนผิวผู้ที่ถูกไฟลวก ใน ค.ศ. 2006 ผู้ที่ได้รับรางวัลคือศาสตราจารย์ เอียน เฟรเซอร์ (Professor Ian Frazer) ผู้ผลิตวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ส่วนใน ค.ศ. 2007 ศาสตราจารย์ ทิม แฟลนเนอรีย์ (Professor Tim Flannery) ได้รับรางวัลในฐานะนักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมชั้นนำ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและประสบความสำเร็จในการวิจัยการเกษตร ออสเตรเลียกลายมาเป็นศูนย์กลางของโลกในด้านการเกษตรและเทคโนโลยีอาหาร[171] และเป็นผู้ส่งออกภาคการเกษตรรายใหญ่อันดับต้น ๆ เป็นประจำทุกปี รัฐบาลออสเตรเลียลงทุนมากกว่า 600 ล้านเหรียญออสเตรเลียต่อปี ในการวิจัยและพัฒนาการเกษตร และสนับสนุนการริเริ่มสหพันธ์เกษตรกรแห่งชาติ ในการขยายเกษตรกรรมของออสเตรเลียไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 คมนาคม และ โทรคมนาคมออสเตรเลียมีระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดชาติหนึ่งในทุกช่องทาง[172] เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวาง การวางระบบการขนส่งจึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาด้านการสร้างเรือมีประวัติที่ยาวนานไม่ว่าจะเป็นการสร้างเรือเพื่อการป้องกันประเทศ, เรือเพื่อการพาณิชย์หรือการดูแลรักษาและซ่อมแซม ซึ่งออสเตรเลียได้รับการยอมรับในทุกด้านที่กล่าวมา ออสเตรเลียยังมีความโดดเด่นด้านการออกแบบ, การวิจัยและการพัฒนาตั้งแต่แผนแม่บท, การวิศวกรรม, การก่อสร้างและระบบไอทีในการสร้างสนามบิน ออสเตรเลียยังได้รับการยอมรับว่ามีระบบรางที่ทันสมัยที่สุดประเทศหนึ่งของโลกอีกด้วย[173][174] นวัตกรรมทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในออสเตรเลียแสดงให้เห็นความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการก้าวข้ามความท้าทายในรูปแบบต่างๆทั้งทางสภาพแวดล้อม สภาพเศรษฐกิจและความท้าทายด้านเทคนิค และเป็นเหตุให้ทั่วโลกให้ความสนใจในศักยภาพของออสเตรเลีย[175] ทางรถไฟสำหรับการขนส่งระบบรางหนักในประเทศออสเตรเลียได้ชื่อว่าเป็นทางผ่านของรถไฟสินค้าหนักที่ขบวนยาวที่สุดและบรรทุกสินค้าได้น้ำหนักมากที่สุดอีกด้วย ในขณะเดียวกัน ทางด้านระบบรางเบา ออสเตรเลียก็มีชื่อตั้งแต่การเริ่มต้นวางแผนโครงการ, งานวิศวกรรมก่อสร้าง, ระบบควบคุมการปฏิบัติการ ตลอดจนการดูแลรักษาเพื่อความประหยัดและปลอดภัยสูงสุด ออสเตรเลียเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมด้านระบบรางหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ควบคุมรถไฟทางไกล (remotely located train control centres) หรือรถไฟสินค้าหนักอัตโนมัติ (Heavy haul and freight rail) ท่าอากาศยานนานาชาติคิงส์ฟอร์ดสมิธ เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของจำนวนผู้โดยสาร[176][177] ตั้งอยู่ที่เมืองซิดนีย์ ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ และเป็นฐานการบินหลักของสายการบินควอนตัส ซึ่งเป็นสายการบินประจำชาติและยังเป็นสายการบินเก่าแก่เป็นอันดับ 3 ของโลกที่ยังให้บริการอยู่[178] รองลงมาได้แก่ ท่าอากาศยานเมลเบิร์น และท่าอากาศยานบริสเบน พลังงานในปี 2003 แหล่งพลังงานของออสเตรเลีย ได้แก่ ถ่านหิน (58.4%) ไฟฟ้าพลังน้ำ (19.1%) ก๊าซธรรมชาติ (13.5%) โรงงานเปลี่ยนเชื้อเพลิงฟอสซิลเหลว/ก๊าซ (5.4%) น้ำมัน (2.9%) และทรัพยากรหมุนเวียนอื่น ๆ เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวภาพ (0.7%) ในช่วงศตวรรษที่ 21 ออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะผลิตพลังงานมากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรหมุนเวียนและใช้พลังงานน้อยลงโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล[179] ในปี 2020 ออสเตรเลียใช้ถ่านหินเป็นสัดส่วน 62% ของพลังงานทั้งหมด (เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับปี 2013) พลังงานลม 9.9% (เพิ่มขึ้น 9.5%) ก๊าซธรรมชาติ 9.9% (ลดลง 3.6%) พลังงานแสงอาทิตย์ 9.9% (9.8% เพิ่มขึ้น), ไฟฟ้าพลังน้ำ 6.4% (ลดลง 12.7%), พลังงานชีวภาพ 1.4% (เพิ่มขึ้น 1.2%) และแหล่งอื่น ๆ เช่น น้ำมันและของเสียจากเหมืองถ่านหิน คิดเป็น 0.5% ในเดือนสิงหาคม 2009 รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุถึง 20% ของพลังงานทั้งหมดในประเทศจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2020 และพวกเขาบรรลุเป้าหมายนี้ เนื่องจากทรัพยากรหมุนเวียนคิดเป็น 27.7% ของพลังงานของออสเตรเลียในปีดังกล่าว[180] บริษัทด้านพลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศได้แก่ EnergyAustralia (TRUenergy) ประชากรเป็นเวลาเกือบสองศตวรรษ ที่ผู้ตั้งถิ่นฐานและผู้อพยพย้ายมาจากเกาะอังกฤษ เป็นผลให้ผู้คนในประเทศออสเตรเลียเป็นชาวอังกฤษและ/หรือชาติกำเนิดไอริชเป็นหลัก การสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 2011 ได้ถามผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับบรรพบุรุษของชาวออสเตรเลีย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวอังกฤษ (36.1%) ตามด้วยออสเตรเลีย (35.4%),[182] ไอริช (10.4%), สก็อต (8.9%), อิตาลี (4.6%), เยอรมัน (4.5%), จีน (4.3%), อินเดีย (2.0%), กรีก (1.9%) และ เนเธอร์แลนด์ (1.7%)[183] และชาวออสเตรเลียเชื้อสายเอเซียคิดเป็น 12% ของประชากรทั้งหมด[184] ประชากรของออสเตรเลียได้เพิ่มเป็นสี่เท่าตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[185] แต่ความหนาแน่นของประชากร ที่ 2.8 ประชากรต่อตารางกิโลเมตร ยังคงอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก[49] ประชากรที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากมาจากการอพยพเข้าเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึง ค.ศ. 2000 เกือบ 5.9 ล้านคนเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศโดยเป็นผู้อพยพใหม่ ซึ่งหมายความว่าเกือบสองในเจ็ดของชาวออสเตรเลียได้เกิดในประเทศอื่น[186] ผู้อพยพส่วนใหญ่เป็นแรงงานมีฝีมือ[187] ใน ค.ศ. 2050 ประชากรของออสเตรเลียเป็นที่คาดการณ์ว่าจะมีถึงประมาณ 42 ล้านคน.[188] ใน ค.ศ. 2011, 24.6% ของชาวออสเตรเลียเกิดจากที่อื่น และ 43.1% ของประชาชนมีอย่างน้อยหนึ่งผู้ปกครองที่เกิดในต่างประเทศ,[189] กลุ่มผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุดเป็นผู้ที่มาจากสหราชอาณาจักร, นิวซีแลนด์, จีน, อินเดีย, อิตาลี, เวียดนามและฟิลิปปินส์[190] กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรมีเชื้อสายยุโรป ที่เหลือเป็นคนเอเชียเก่าแก่ที่มีชนกลุ่มน้อยขนาดเล็กเป็นบรรพบุรุษ หลังจากการยกเลิกนโยบายคนออสเตรเลียขาวใน ค.ศ. 1973 โครงการของรัฐบาลจำนวนมากได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความสามัคคีเชื้อชาติด้วยวัฒนธรรมหลากหลาย[191] ใน ค.ศ. 2005-06 มากกว่า 131,000 คน อพยพไปอยู่ออสเตรเลียส่วนใหญ่มาจากเอเชียและโอเชียเนีย.[192] เป้าหมายสำหรับการย้ายถิ่น ค.ศ. 2012-13 อยู่ที่ 190,000 คน[193] เมื่อเทียบกับ 67,900 คนใน ค.ศ. 1998-99.[194] ประชากรในชนบทของออสเตรเลียใน ค.ศ. 2012 มี 2,420,731 คน (10.66% ของประชากรทั้งหมด)[195] ประชากรชาวพื้นเมือง ได้แก่พวกอะบอริจินส์ และชาวเกาะช่องแคบทอร์เรถูกนับได้ที่ 548,370 คน (2.5% ของประชากรทั้งหมด) ใน ค.ศ. 2011[196] เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 115,953 คนในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 1976[197] การเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเนื่องจากหลายคนที่มีมรดกทางวัฒนธรรมพื้นเมืองก่อนหน้านี้ได้ถูกมองข้ามโดยการสำรวจสำมะโนประชากร เนื่องจากมีการนับขาดไปและหลายกรณีที่สถานะทางพื้นเมืองของพวกเขาไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในแบบฟอร์ม ชาวออสเตรเลียพื้นเมืองมีประสบการณ์การถูกจำคุกและการว่างงาน สูงกว่าอัตราเฉลี่ย และการศึกษาอยู่ในระดับต่ำ และมีอายุขัยโดยรวมต่ำกว่าถึง 11-17 ปีเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ใช่ชนพื้นเมือง.[161][198][199] ชุมชนท้องถิ่นที่ห่างไกลบางแห่งมีสภาพเหมือน "รัฐล้มเหลว"[200][201][202][203][204] เนื่องจากยังอยู่ห่างไกลความเจริญ เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วชาติอื่น ๆ ออสเตรเลียกำลังประสบการเปลี่ยนแปลงประชากรไปเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีผู้เกษียณอายุมากขึ้นและคนในวัยทำงานน้อยลง ใน ค.ศ. 2004 อายุเฉลี่ยของประชากรพลเรือนอยู่ที่ 38.8 ปี[205] ชาวออสเตรเลียจำนวนมาก (759,849 คนระหว่าง ค.ศ. 2002-03;[206] 1 ล้านคนหรือ 5% ของประชากรทั้งหมดใน ค.ศ. 2005[207]) อาศัยอยู่นอกประเทศบ้านเกิด ภาษาแม้ว่าออสเตรเลียจะไม่มีภาษาราชการ แต่ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย[2] ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลียมีความหลากหลายด้วยสำเนียงและคำศัพท์ที่โดดเด่น,[208] และแตกต่างเล็กน้อยจากความหลากหลายอื่น ๆ ของภาษาอังกฤษด้านไวยากรณ์และการสะกดคำ[209] จากผลของการสำรวจสำมะโนประชากร ค.ศ. 2011, ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเดียวที่พูดกันทั่วไปเกือบ 81% ของประชากร ภาษาที่พบพูดมากที่สุดต่อไปคือ ภาษาจีนกลาง (1.7%), อิตาลี (1.5%), อาหรับ (1.4%), กวางตุ้ง (1.3%), กรีก (1.3%) และ เวียดนาม (1.2%);[190] การศึกษาระหว่าง ค.ศ. 2010-2011 โดย Australia Early Development Index พบว่า ภาษาที่พูดโดยเด็กและเยาวชนที่พบมากที่สุดหลังจากอังกฤษ เป็นภาษาอาหรับ ตามด้วยเวียดนาม, กรีก, จีนและภาษาฮินดี[210][211] ระหว่าง 200 ถึง 300 ภาษาออสเตรเลียพื้นเมืองถูกคิดว่าน่าจะใช้กันในช่วงเวลาของการติดต่อกับยุโรปครั้งแรก ซึ่งมีเพียงประมาณ 70 ภาษาเท่านั้นที่ยังคงใช้ในปัจจุบัน หลายภาษาเหล่านี้จะถูกพูดเฉพาะผู้สูงอายุ มีเพียง 18 ภาษาพื้นเมืองเท่านั้นที่ยังคงถูกพูดโดยทุกกลุ่มอายุ[212] ในช่วงเวลาของการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2006, 52,000 ชาวพื้นเมืองออสเตรเลีย, คิดเป็น 12% ของประชากรพื้นเมืองที่รายงานว่าพวกเขาพูดภาษาพื้นเมืองที่บ้าน[213] ออสเตรเลียมีภาษามือที่เป็นที่รู้จักกันคือ Auslan ซึ่งเป็นภาษาหลักของคนหูหนวกประมาณ 5,500 คน[214] ศาสนาออสเตรเลียไม่มีศาสนาแห่งรัฐ; มาตรา 116 ของรัฐธรรมนูญของออสเตรเลียห้ามไม่ให้รัฐบาลกลางออกกฎหมายใด ๆ ที่จะสร้างศาสนาใด ๆ, กำหนดพิธีทางศาสนาใด ๆ หรือห้ามกิจกรรมอิสระ ของศาสนาใด ๆ[215] ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 61.1% ของชาวออสเตรเลียถูกนับเป็นคริสเตียน 25.3% เป็นโรมันคาทอลิก และ 17.1% เป็นแองกลิกัน; 22.3% ของประชากรมีการรายงานว่า "ไม่มีศาสนา"; 7.2% ระบุว่านับถือศาสนาอื่น ๆที่ไม่ใช่คริสเตียน โดยเป็นมุสลิม (2.6%) ตามด้วย พุทธ (2.5%), ศาสนาฮินดู (1.3%) และ ยูดาย (0.5%) ส่วนที่เหลืออีก 9.4% ของประชากรไม่ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอ[190] ก่อนที่จะมีการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปในออสเตรเลีย ความเชื่อของนักวิญญาณนิยมในคนพื้นเมืองของออสเตรเลียได้รับการปฏิบัติมานานนับพันปี ในกรณีของชาวออสเตรเลียอะบอริจินแผ่นดินใหญ่ จิตวิญญาณและประเพณีได้สะท้อนให้เห็นต้นกำเนิดของ เมลานีเซีย การสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 1996 มีผู้ตอบแบบสอบถามได้มากกว่า 7,000 คนที่เป็นสาวกของศาสนาอะบอริจินดั้งเดิม[216] ตั้งแต่การมาถึงของกองทัพเรืออังกฤษใน ค.ศ. 1788 ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลัก ก่อให้เกิดเทศกาลของศาสนาเช่น คริสมาสต์ และอีสเตอร์ อาคารหลายแห่งถูกประดับด้วยยอดแหลมของโบสถ์และวิหาร และโบสถ์คริสต์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา สุขภาพและสวัสดิการในประเทศ ระบบการศึกษาคาทอลิกดำเนินการเป็นผู้ให้การศึกษาซึ่งไม่ใช่รัฐบาลที่ใหญ่ที่สุด (ประมาณ 21%) องค์กรสวัสดิการคริสเตียนยังมีบทบาทที่โดดเด่นในสังคม และได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง โดยในธนบัตรของออสเตรเลียมีการปรากฏรูปของบุคคลสำคัญมากมาย อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคริสเตียน รวมถึงนักเทศน์ และนักประพันธ์พื้นเมืองชื่อดัง เดวิด อูนายพอน ($50); ผู้ก่อตั้งบริการหมอกองบิน จอห์น ฟลินน์ ($ 20 ); และ แคทเธอรี เฮเลน Spence ($5) ผู้สมัครหญิงคนแรกของออสเตรเลียสำหรับสำนักงานทางการเมือง บุคคลสำคัญทางศาสนาอื่น ๆ รวมถึง แมรี แม็คคิลลอป ชาวออสเตรเลียคนแรกที่ได้รับการยอมรับเป็นนักบุญโดยคริสตจักรโรมันคาทอลิก (ค.ศ. 2010) และบาทหลวง เซอร์ ดักลาส คอลส์แห่งคริสตจักรของพระคริสต์ ผู้ซึ่งเปรียบเสมือน มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ นำการเคลื่อนไหวต่อต้านความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติในประเทศออสเตรเลียและยังเป็นชาวพื้นเมืองคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ คริสตจักรแห่งอังกฤษ (เป็นที่รู้จักในนามคริสตจักรแองกลิกันของออสเตรเลีย) เป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุด แต่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของคนอพยพได้มีส่วนร่วมที่ทำให้อิทธิพลของคริสตจักรลดลง อย่างไรก็ตาม คริสตจักรโรมันคาทอลิกยังได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศ และกลายเป็นศาสนากลุ่มใหญ่ที่สุด ในทำนองเดียวกัน ศาสนาอิสลาม, พุทธ, ศาสนาฮินดู, และศาสนายิว ได้รับการขยายตัวในทศวรรษที่ผ่านมา[217] ศาสนาขนาดเล็กอื่น ๆ รวมทั้งศรัทธาบาไฮ, ศาสนาซิกข์ยังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในการสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 2001 มี 17,381 เป็นชาวซิกข์, 11,037 คนนับถือบาไฮ, 10,632 Pagans และ 8,755 Wiccans ในประเทศ[218] การสำรวจระหว่างประเทศโดยภาคเอกชน และนักวิชาการที่ไม่แสวงหาผลกำไร พบว่า "ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศเคร่งศาสนาน้อยในโลกตะวันตก เข้ามาอันดับที่ 17 ใน 21 ประเทศที่สำรวจ" และพบว่า "เกือบสามในสี่ของชาวออสเตรเลีย กล่าวว่าพวกเขามีทั้งที่ไม่ได้เคร่งศาสนาเลยหรือศาสนาไม่ได้มีบทบาทสำคัญในชีวิตของพวกเขา"[219] ในขณะที่ การเข้าร่วมปฏิบัติศาสนกิจประจำสัปดาห์ใน ค.ศ. 2001 มีเพียง 1.5 ล้าน[220] (ประมาณ 7.8% ของประชากร),[221] การสำรวจความคิดเห็นของชาวออสเตรเลีย 1,718 คนโดยสมาคมวิจัยคริสเตียน ปลาย ค.ศ. 2009 ชี้ให้เห็นว่า จำนวนของคนที่เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาต่อเดือนได้ลดลงจาก 23% ใน ค.ศ. 1993 เป็น 16%[222] การศึกษาการเข้าเรียนที่โรงเรียนหรือการลงทะเบียนการศึกษาที่บ้าน[223][224] เป็นภาคบังคับทั่วประเทศออสเตรเลีย การศึกษาเป็นความรับผิดชอบของแต่ละรัฐและดินแดน[225] ดังนั้น กฎระเบียบจึงแตกต่างกันในแต่ละรัฐ, แต่โดยทั่วไป เด็กจะต้องเข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุประมาณ 5 ขึ้นไปจนถึงอายุ 16.[226][227] ในบางรัฐ (เช่น WA}[228] NT,[229] และ NS,[230][231]) เด็กอายุ 16-17 จะต้องไปโรงเรียน หรือมีส่วนร่วมในการฝึกอบรมวิชาชีพ เช่นการฝึกงาน ออสเตรเลียมีอัตราการรู้หนังสือสำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นที่คาดกันว่าจะเป็น 99% ในปี 2003.[232] อย่างไรก็ตามการ รายงานสำหรับสำนักงานสถิติออสเตรเลียของปี 2011-12 รายงานว่า ทัสมาเนีย มีอัตราการรู้หนังสือและการคำนวณเพียง 50%.[233] ในโปรแกรมสำหรับการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ, ออสเตรเลียได้คะแนนอย่างสม่ำเสมออยู่ในกลุ่มสูงสุดห้าในสามสิบประเทศที่พัฒนาแล้วที่สำคัญ (ประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) การศึกษาคาทอลิกนับว่าเป็นภาคที่ไม่ใช่รัฐบาลที่ใหญ่ที่สุด ออสเตรเลียมี 37 มหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และสองมหาวิทยาลัยเอกชน เช่น เดียวกับสถาบันผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ จำนวนมาก ที่จัดให้หลักสูตรที่ได้รับการอนุมัติในระดับการศึกษา ที่สูงขึ้น[234] มหาวิทยาลัยซิดนีย์เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1850 ตามมาด้วยมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในสามปีต่อมา มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ รวมถึงบรรดาของกลุ่มแปดสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ รวมทั้งมหาวิทยาลัยแอดิเลด (ซึ่งมีความสัมพันธ์กับห้ารางวัลโนเบล), มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของ Canberra, มหาวิทยาลัย Monash และมหาวิทยาลัยแห่งนิวเซาเวลส์ OECD ได้วางตำแหน่งออสเตรเลียอยู่ระหว่างกลุ่มประเทศที่มีราคาแพงที่สุดในการเข้ามหาวิทยาลัย[235] มีระบบของรัฐที่ใช้ในการฝึกอบรมวิชาชีพ หรือที่เรียกว่า TAFE, และธุรกิจการค้าจำนวนมากได้ ดำเนินการฝึกอบรมและฝึกงานให้กับพ่อค้าใหม่[236] ประมาณ 58% ของชาวออสเตรเลียวัย 25-64 มีคุณสมบัติทางอาชีวศึกษาหรืออุดมศึกษา[161] และอัตราการสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอยู่ที่ 49%, สูงที่สุดในกลุ่มประเทศโออีซีดี อัตราส่วนของนักศึกษาต่างประเทศต่อนักศึกษาท้องถิ่นในการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศออสเตรเลียสูงที่สุดในกลุ่มประเทศดังกล่าวเช่นกัน[237] ออสเตรเลียมีอัตราส่วนนักศึกษาต่างชาติต่อหัวประชากรสูงที่สุดในโลก กว่า 812,000 คนลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยและสถาบันอาชีวศึกษาของประเทศในปี 2019[238] ดังนั้นในปี 2019 นักศึกษาต่างชาติจึงมีสัดส่วนเฉลี่ย 26.7% ของจำนวนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยทั้งหมด การศึกษาระหว่างประเทศจึงเป็นหนึ่งในภาคการส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและมีอิทธิพลอย่างเด่นชัดต่อประชากรของประเทศ สุขภาพออสเตรเลียมีอายุขัยสูงที่สุดเป็นอันดับสี่รองจาก ไอซ์แลนด์, ญี่ปุ่น และฮ่องกง[239] อายุขัยในประเทศออสเตรเลียใน ค.ศ. 2010 อยู่ที่ 79.5 ปีสำหรับผู้ชาย และ 84.0 ปีสำหรับผู้หญิง.[240] ออสเตรเลียมีอัตราโรคมะเร็งผิวหนังที่สูงที่สุดในโลก โดยมีข้อมูลแสดงว่ามีผู้ป่วยเกือบล้านรายในปี 2015[241] ในขณะที่การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของการตายและโรคที่ป้องกันได้ที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 7.8% ของการเสียชีวิตโดยรวม โรคที่ป้องกันได้ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตรองลงมาอีกสองอันดับคือความดันโลหิตสูงที่ 7.6% และโรคอ้วนที่ 7.5%[242][243] ออสเตรเลียอยู่ในอันดับ 35 ในโลก[244] และอยู่ใกล้กับอันดับสูงสุดของประเทศพัฒนาแล้วสำหรับสัดส่วนของผู้ใหญ่ที่มีภาวะอ้วน[245] ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับการดูแลสุขภาพ (รวมถึงการใช้จ่ายภาคเอกชน) อยู่ที่ประมาณ 9.8% ของ GDP ทั้งหมด[246] ออสเตรเลียเปิดตัวระบบการดูแลสุขภาพแบบถ้วนหน้าใน ค.ศ. 1975.[247] รู้จักกันในชื่อ เมดิแคร์ ได้รับทุนสนับสนุนโดยคิดค่าใช้จ่ายภาษีรายได้ หรือที่เรียกว่า การจัดเก็บเมดิแคร์ปัจจุบันคิดที่ 1.5%.[248] รัฐเป็นฝ่ายจัดการด้านโรงพยาบาลและบริการผู้ป่วยนอก ในขณะที่รัฐบาลกลางจ่ายเงินอุดหนุนแผนสวัสดิการเภสัชกรรม (อุดหนุนค่าใช้จ่ายของยา) และการปฏิบัติทั่วไป.[247] เมืองใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย
วัฒนธรรมวัฒนธรรมของออสเตรเลียมีลักษณะเป็นวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะแบบอังกฤษหรือแองโกล-เคลติก แต่ก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งพัฒนามาจากสภาพแวดล้อมและชนพื้นเมือง ในระยะหลัง วัฒนธรรมของออสเตรเลียยังได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอเมริกัน วรรณกรรมออสเตรเลียมีประเพณีด้านวรรณกรรมที่แข็งแกร่งซึ่งเริ่มมาจากการเล่าเรื่องของชาวพื้นเมืองออสเตรเลีย และต่อด้วยการเล่าเรื่องของนักโทษที่มาถึงในตอนปลายศตวรรษที่ 18 งานเขียนในตอนต้น ๆ ของออสเตรเลียส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘บุช’ หรือ พื้นที่ห่างไกลความเจริญ และความยากลำบากของชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ทุรกันดาร นักเขียนเช่น เฮนรีย์ ลอว์สัน (Henry Lawson) และไมล์ส แฟรงคลิน (Miles Franklin) ได้เขียนบทกลอนและเรื่องราวเกี่ยวกับบุช และวีถีชีวิตของชาวออสเตรเลียเอาไว้ นักเขียนนวนิยายชาวออสเตรเลียชื่อ แพทริค ไวท์ (Patrick White) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1973[250][251] นักเขียนนวนิยายออสเตรเลียสมัยใหม่คนอื่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ ปีเตอร์ แครีย์ (Peter Carey) คอลลีน แม็คคัลลอฟ (Colleen McCullough) และ ทิม วินตัน (Tim Winton)[252][253] อาหารกลุ่มชนพื้นเมืองของออสเตรเลียส่วนใหญ่ดำรงชีวิตด้วยอาหารที่เรียบง่ายตามวิถินักล่าในสมัยโบราณ เริ่มมีการรวบรวมอาหารที่ทำโดยเนื้อสัตว์พื้นเมืองและพืชพันธุ์ท้องถิ่นในเวลาต่อมา หรือเรียกอีกอย่างว่าบุชทัคเกอร์[254] ผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรกได้แนะนำอาหารอังกฤษมาสู่ทวีปออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่ถือว่าเป็นอาหารออสเตรเลียทั่วไป เช่น เนื้อย่าง การย้ายถิ่นฐานจากหลากหลายวัฒนธรรมได้เปลี่ยนโฉมอาหารออสเตรเลีย ผู้อพยพชาวยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่วยสร้างวัฒนธรรมกาแฟที่เฟื่องฟู พายเนื้อและแพฟโลวา (แป้งเค้กทำจากไข่ขาวตีกับน้ำตาล) เป็นของหวานสองชนิดที่มีชื่อเสียงที่สุดในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ อาหารเอเชียจากชาติ อื่น ๆ เป็นที่นิยมในออสเตรเลียตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาจากการมีชาวเอเชียย้ายไปตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา[255] เมืองใหญ่ได้แก่ ซิดนีย์ เมลเบิร์น เพิร์ท และบริสเบน มักปรากฏร้านอาหารจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม และไทยมากมาย[256] อาหารเช้าได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก[257] เช่น เบคอน แฮม ไข่ ทานกับขนมปัง น้ำผึ้ง ซีเรียล โยเกิร์ต และน้ำผลไม้ อาหารกลางวันและอาหารเย็นแตกต่างกันตามรสนิยมและภูมิภาค[258] โดยมากนิยมทานเนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่คู่กับผักสลัด รวมถึงอาหารจานด่วนทั่วไป เช่น แฮมเบอร์เกอร์ ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ พิซซา ไวน์ของออสเตรเลียส่วนใหญ่ผลิตขึ้นในภาคใต้และส่วนที่มีอากาศเย็นของประเทศ[259] ออสเตรเลียยังขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมร้านกาแฟและกาแฟในใจกลางเมือง ซึ่งมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมกาแฟในต่างประเทศ รวมทั้งนครนิวยอร์กด้วย ออสเตรเลียอ้างว่าตนเองเป็นชาติต้นกำเนิดของ แฟลต ไวท์ (เครื่องดื่มกาแฟที่ประกอบด้วยเอสเปรสโซพร้อมสตรีมนมสด) ดนตรีชาวอะบอริจินเป็นนักดนตรีกลุ่มแรกของทวีปออสเตรเลียซึ่งส่งผ่านมรดกทางวัฒนธรรมของตนในรูปบทเพลงต่าง ๆ และเครื่องดนตรีประเภทเป่า เช่น ขลุ่ยไม้ Didgeridoo ดนตรีต่างถิ่นแรก ๆ ของออสเตรเลียมีรากเหง้ามาจากดนตรีพื้นบ้าน[260] โดยในยุคแรกมีลักษณะเป็นเพลงแบบบรรยายโวหาร คร่ำครวญถึงความยากลำบากและความโดดเดี่ยวของดินแดนใหม่ ผู้ตั้งถิ่นฐานที่หลั่งไหลมายังออสเตรเลียในเวลาต่อมา เริ่มจากนักโทษชาวอังกฤษ ไอริช และสก็อต ได้เป็นผู้สืบสานประเพณีนี้ ต่อมา ดนตรีแนวคันทรีเติบโตมาจากพื้นฐานประเพณีทางดนตรีดังกล่าวนี้ จนเมื่อล่วงมาถึงช่วงทศวรรษ 1930 ดนตรีแนวคันทรีได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตชนบทในออสเตรเลีย ดนตรีแจ๊ซเริ่มเข้ามาในออสเตรเลียระหว่างช่วงทศวรรษ 1920 และต่อมาได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ออสเตรเลียมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในด้านดนตรีร็อคและป็อปแบบดั้งเดิม[261] อุปรากรในออสเตรเลียเริ่มมีการแสดงในต้นศตวรรษที่ 19[262][263] และปัจจุบัน Opera Australia เป็นคณะละครเพลงที่มีรอบการแสดงต่อปีมากที่สุดคณะหนึ่งของโลก[264] โดยมีโรงอุปรากรซิดนีย์อเป็นสำนักงานใหญ่[265] รัฐและเขตปกครองทั้งแปดของออสเตรเลียต่างมีวงดุริยางค์ซิมโฟนีประจำรัฐหรือเขตของตนเอง ส่วนวงที่มีขนาดเล็กลงมาเช่น Australian Brandenburg Orchestra และ Australian Chamber Orchestra ต่างก็ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยนักดนตรีหลายคนคือผู้อพยพจากราว 200 ประเทศทั่วโลกซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในออสเตรเลีย สื่อสารมวลชน และวงการบันเทิงThe Story of the Kelly Gang (1906) ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกของโลกที่กระตุ้นความเฟื่องฟูวงการภาพยนตร์ในยุคภาพยนตร์เงียบ[266] หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฮอลลีวูดได้ผูกขาดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในออสเตรเลีย และในช่วงทศวรรษ 1960 การผลิตภาพยนตร์ของออสเตรเลียก็ยุติลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ต่อมา ผู้กำกับคลื่นลูกใหม่ของออสเตรเลียในปี 1970 ได้นำความสำเร็จมาสู่วงการภาพยนตร์ในประเทศ โดยมีภาพยนตร์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ประจำชาติ[267] เช่น Wake in Fright และ Gallipoli ในขณะที่ซีรีส์เรื่อง Crocodile Dundee และ Mad Max ติดอันดับในบล็อกบัสเตอร์ ในตลาดภาพยนตร์สากลที่เต็มไปด้วยการแข่งขันจากภาพยนตร์ต่างประเทศ ภาพยนตร์ของออสเตรเลียมีส่วนแบ่ง 7.7% ของบ็อกซ์ออฟฟิศท้องถิ่นในปี 2015[268] AACTAs เป็นรางวัลภาพยนตร์และโทรทัศน์ชั้นนำของออสเตรเลีย ผู้ได้รับรางวัลออสการ์ที่มีชื่อเสียงจากออสเตรเลีย ได้แก่[269] เจฟฟรีย์ รัช, นิโคล คิดแมน, เคต แบลนเชตต์ และ ฮีธ เลดเจอร์ ออสเตรเลียมีผู้แพร่ภาพกระจายเสียงสาธารณะสองบริษัทใหญ่ (Australian Broadcasting Corporation และ Multicultural Special Broadcasting Service) และยังมีเครือข่ายโทรทัศน์เชิงพาณิชย์สามเครือข่าย และสถานีโทรทัศน์และวิทยุสาธารณะที่ไม่หวังผลกำไรจำนวนมาก เมืองใหญ่แต่ละเมืองมีหนังสือพิมพ์รายวันประจำถิ่นอย่างน้อยหนึ่งฉบับ[270] และมีหนังสือพิมพ์รายวันระดับประเทศสองฉบับคือ The Australian และ The Australian Financial Review ในปี 2020 ออสเตรเลียได้อันดับ 25 จาก 180 ประเทศที่จัดอันดับด้านการให้เสรีภาพสื่อ[271] รองจากนิวซีแลนด์ (8) แต่นำหน้าสหราชอาณาจักร (33) และสหรัฐอเมริกา (44) สื่อสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของ News Corporation และ Nine Entertainment Co. วันหยุดประเทศออสเตรเลียจะฉลองวันพิเศษในแต่ละปีซึ่งก็คือวันสำคัญของประเทศ[272] และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ[273] ซึ่งบางวันอาจมีการจัดงานพิเศษต่าง ๆ ด้วย เกือบทุกรัฐมีวันหยุดราชการวันเดียวกัน แต่บางรัฐก็มีวันหยุดพิเศษเป็นของตนเองเพิ่มอีก ในนครใหญ่หลายแห่งนั้น ร้านค้า ร้านอาหาร และระบบขนส่งสาธารณะมักจะเปิดให้บริการ ส่วนในเมืองที่มีขนาดเล็กกว่านั้น ร้านค้าและร้านอาหารส่วนใหญ่จะปิดบริการ วันหยุดราชการของออสเตรเลียมีดังนี้: วันชาติออสเตรเลีย คือวันที่ 26 มกราคม เป็นวันที่ฉลองแด่ความเป็นประเทศ วันนี้เป็นวันหยุดราชการเพื่อระลึกถึงการก่อตั้งถิ่นฐานในทวีปนี้เป็นครั้งแรกโดยชาวยุโรป, วันแอนแซค คือวันที่ 25 เมษายน เป็นวันที่กองทัพของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ANZAC) ยกพลขึ้นบกที่เมืองกาลิโปลีในประเทศตุรกีเมื่อ ค.ศ. 1915 ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 วันนี้มีเพื่อระลึกถึงเหล่าผู้ที่สู้รบและเสียชีวิตในสงคราม ในวันนี้จะมีพิธีฉลองและการเดินสวนสนามของทหาร, วันราชินี (Queen’s Birthday) จะฉลองให้แก่วันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร จะฉลองกันในวันจันทร์ (ปกติในเดือนมิถุนายน), วันบ๊อกซิ่งเดย์ (Boxing Day) คือวันที่ 26 ธันวาคม ถัดจากวันคริสต์มาส จะมีการแจกเงินและสิ่งของต่าง ๆ ให้แก่ผู้ยากไร้, วันขึ้นปีใหม่สากล คือวันที่ 1 มกราคม จะมีงานเทศกาลและงานสังสรรค์จัดขึ้นทั่วประเทศ, วันแรงงาน แต่ละพื้นที่ของออสเตรเลียจะมีวันแรงงาน (Labor Day) ของตัวเองแตกต่างกันไป วันแรงงานถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นวันหยุดให้แก่ "คนทำงาน" และเพื่อระลึกถึงต้นกำเนิดของการเรียกร้องของสหภาพแรงงานและสิทธิด้านแรงงาน และมีวันสำคัญทางศาสนา ได้แก่วันคริสต์มาส วันกู๊ดไฟร์เดย์ วันอีสเตอร์ซาเทอร์เดย์ อีสเตอร์ซันเดย์ และอีสเตอร์มันเดย์ กีฬาคริกเกตและฟุตบอลเป็นสองกีฬาหลักในออสเตรเลียในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาวตามลำดับ[274] ออสเตรเลียน รูลส์ ฟุตบอลมีต้นกำเนิดในเมลเบิร์นในช่วงทศวรรษ 1850 เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทุกรัฐ ยกเว้นนิวเซาธ์เวลส์และควีนส์แลนด์ที่ลีกรักบี้เป็นกีฬาหลัก คริกเก็ตเป็นที่นิยมในทุกพื้นที่และได้รับการยอมรับจากชาวออสเตรเลียจำนวนมากว่าเป็นกีฬาประจำชาติ คริกเก็ตทีมชาติออสเตรเลียแข่งขันกับอังกฤษในการแข่งขันนัดทดสอบครั้งแรก (1877) และการแข่งขันทางการระหว่างประเทศครั้งแรก (1971) และกับนิวซีแลนด์ในการแข่งขัน Twenty20 International (2004) ครั้งแรก โดยชนะทั้งสามเกม นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมการแข่งขันคริกเกตชิงแชมป์โลกทุกรุ่น และคว้าแชมป์ได้ 5 สมัย[275] ออสเตรเลียยังมีชื่อเสียงในด้านกีฬาทางน้ำ เช่น ว่ายน้ำ และกระดานโต้คลื่น ขบวนการช่วยชีวิตนักโต้คลื่นมีต้นกำเนิดในออสเตรเลีย และอาสาสมัครช่วยชีวิตเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศ กีฬายอดนิยมอื่น ๆ ได้แก่ การแข่งม้า บาสเกตบอล และการแข่งรถ การแข่งม้าประจำปีของเมลเบิร์นคัพ และการแข่งเรือยอทช์ระหว่างซิดนีย์ไปโฮบาร์ตดึงดูดความสนใจอย่างมาก ในปี 2016 คณะกรรมาธิการกีฬาแห่งออสเตรเลียเปิดเผยว่าการว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และฟุตบอล เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรก ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในห้าประเทศที่เข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนทุกครั้งในยุคสมัยใหม่ และเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกสองครั้ง: 1956 ในเมลเบิร์นและ 2000 ในซิดนีย์ และเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2032 ที่เมืองบริสเบนอีกด้วย[276] ออสเตรเลียยังได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพทุกครั้งซึ่งเป็นเจ้าภาพในปี 1938, 1962, 1982, 2006 และ 2018 ออสเตรเลียร่วมการแข่งขัน แปซิฟิกเกมส์ครั้งแรก ในปี 2015 และฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย ร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 5 ครั้ง ชนะการแข่งขัน โอเอฟซีเนชันส์คัพ 4 สมัย และเอเชียนคัพ 1 สมัย ซึ่งถือเป็นชาติเดียวที่ชนะการแข่งขันรายการฟีฟ่าในสองทวีปที่แตกต่างกัน ในเดือนมิถุนายน 2020 ออสเตรเลียได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ฟุตบอลโลกหญิง 2023 ร่วมกับนิวซีแลนด์[277][278] ทีมบาสเกตบอลออสเตรเลียยังมีฝีมือระดับต้น ๆ ของโลก และร่วมแข่งขันโอลิมปืกอย่างสม่ำเสมอ เป็นหนึ่งในทีมดังร่วมกับสหรัฐอเมริกา สเปน อาร์เจนตินา และฝรั่งเศส งานกีฬาระดับนานาชาติที่สำคัญอื่น ๆ ที่จัดขึ้นในออสเตรเลีย ได้แก่ การแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลมออสเตรเลียนโอเพน การแข่งขันคริกเกตนานาชาติ และการแข่งขัน Formula One Grand Prix รายการโทรทัศน์ที่เป็นที่นิยมสูงสุด ได้แก่ รายการกีฬา เช่น โอลิมปิกฤดูร้อน และการถ่ายทอดฟุตบอล ดูเพิ่มหมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม
อ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia