พิซซา
พิซซา หรือ พิซซ่า[1] (อิตาลี: pizza) เป็นอาหารอิตาลีและอาหารจานด่วนประเภทหนึ่ง ซึ่งชาวอิตาลีเป็นผู้คิดค้น มีลักษณะเป็นแป้งแผ่นกลมแบนราดด้วยซอสมะเขือเทศ แล้วทำให้สุกโดยการอบในเตาอบ ในประเทศอิตาลี การเสิร์ฟพิซซาในโอกาสที่เป็นทางการ เช่น การรับประทานในภัตตาคาร จะเสิร์ฟโดยไม่หั่นและจะรับประทานโดยใช้มีดและส้อม[2][3] ในขณะที่ชาวอิตาเลียนโดยทั่วไปเมื่อรับประทานพิซซาในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ เช่น รับประทานกันเองที่บ้าน จะหั่นพิซซาให้เป็นชิ้นพอดีคำและนิยมรับประทานโดยใช้มือ คำว่า พิซซา ได้รับการบันทึกครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 10 ในบันทึกเอกสารภาษาละติน ณ เมืองกาเอตา (Gaeta) ทางตอนใต้ของอิตาลีในแคว้นลัตซีโย บนพรมแดนติดกับแคว้นคัมปาเนีย[4] พิซซาสมัยใหม่ได้คิดค้นขึ้นในนาโปลี และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา[5] พิซซาได้กลายเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมที่สุดในโลกและเป็นรายการอาหารจานด่วนที่หารับประทานได้ทั่วไปในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ โดยหารับประทานได้ง่ายทั้งในร้านที่ขายพิซซาโดยเฉพาะ (Pizzerias), ในภัตตาคารอาหารตะวันตกทั่วไป และในรูปแบบของการจัดส่ง (Delivery)[6][7] และหลายบริษัทได้มีการจำหน่ายพิซซาในรูปแบบแช่แข็ง[8] เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการนำเข้าไมโครเวฟพร้อมรับประทานได้ทันที[9] Associazione Verace Pizza Napoletana (True Neapolitan Pizza Association) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองนาโปลี ประเทศอิตาลี มีจุดมุ่งหมายเพื่อประชาสัมพันธ์รสชาติพิซซาแบบดั้งเดิมของชาวเนเปิลส์และส่งเสริมให้พิซซาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ในปี 2009 องค์กรได้จดทะเบียนกับสหภาพยุโรปเพื่อรับรองให้พิซซาเป็นอาหารที่มีความพิเศษและสะท้อนถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมของผู้ผลิต[10] และในปี 2017 ศิลปะการทำพิซซาได้รับการบรรจุไว้ในรายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก[11] ประวัติประวัติของพิซซาเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 79 เมื่อเขาวิซูเวียสระเบิดขึ้นและทลายเมืองปอมเปอีทั้งเมือง[12] หลังจากนั้นประมาณ ค.ศ. 640[13] แกตาโน ฟิโอเรลลี่ ได้ค้นพบเตาฟืนโบราณจำนวนมากมายในซากปรักหักพังของเมือง ที่ถูกลาวาถล่ม หนึ่งในจำนวนเตาทั้งหมดนั้นพบว่ามีเถ้าถ่านขนมปังติดอยู่ในเตาอยู่ถึง 7 กิโลกรัม ซึ่งเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าทหารโรมันในช่วงเวลาดังกล่าว (ก่อนเมืองปอมเปอีจะถูกถล่มด้วยลาวาและเถ้าภูเขาไฟ) ต่างรับประทานขนมปังที่อบด้วยเตาฟืนโบราณนี้ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าชาวเมืองในเมืองนาโปลีก็รับประทานขนมปังที่อบในเตาฟืนโบราณเช่นนี้มาประมาณ 700 ปีแล้ว ต่อมาในต้น ค.ศ. 1700 ชาวเมืองนาโปลีจึงได้เริ่มประยุกต์ใส่มะเขือเทศกับสมุนไพรบางอย่างลงในขนมปังแล้วนำไปอบในเตาฟืนโบราณ นี่เองคือจุดเริ่มต้นของมารีนาราพิซซา และร้านพิซซาร้านแรกในนาโปลีได้เปิดขายในปี ค.ศ. 1830[14] ร้านดังกล่าวใช้วิธีการอบพิซซาในเตาที่ทำจากหินภูเขาไฟอีกประมาณร้อยปีต่อมา (นับจาก ค.ศ. 1700) และชีสเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในอาหาร แต่ชีสดังกล่าวไม่ใช่ชีสปกติธรรมดาทั่วไป เป็นชีสที่ทำจากน้ำนมควายพื้นเมืองที่ชื่อ ฟิออเร ดี บัฟฟาลา ประมาณปี ค.ศ. 1850 ราฟาเอล เอสโปสิโต แห่งเมืองเนเปิล จึงริเริ่มพิซซามาเกอริตาขึ้น[15] เพื่อถวายสมเด็จพระราชาธิบดีอุมแบร์โตที่ 1 และสมเด็จพระราชินีมาเกอริตา ในคราวเสด็จเยือนเมืองเนเปิล พิซซาดังกล่าวใช้สีธงชาติอาลีเป็นสีบนหน้า โดยใช้ใบเบซิลแทนสีเขียว ใช้มอสซาเรลลาชีสแทนสีขาว และมะเขือเทศแทนสีแดง และตั้งชื่อพิซซาเพื่อเป็นเกียรติแด่พระราชินีว่า มาเกอริตา และพระนางทรงอนุญาตให้ใช้ชื่อพระนางเป็นชื่อของพิซซานี้เมื่อปี ค.ศ. 1889 พิซซาดังกล่าวได้กลายเป็นมาตรฐานของพิซซาในปัจจุบัน พิซซาในปัจุบันโดยทั่วไปต่างก็ดัดแปลงหน้ามาจากพิซซา 2 ชนิดซึ่งเป็นพิซซาดั้งเดิมของชาวนาโปลี คือมารีนาราพิซซาและมาเกอริตาพิซซา การจัดเตรียมพิซซาขายสดแช่แข็งและเป็นชิ้นส่วนขนาดหรือชิ้นส่วน มีการพัฒนาวิธีการที่จะเอาชนะความท้าทายต่าง ๆ เช่นป้องกันไม่ให้ซอสเข้ากับแป้งและสร้างเปลือกที่สามารถแช่แข็งและอุ่นได้โดยไม่ต้องแข็งตัว มีพิซซาแช่แข็งที่มีส่วนผสมดิบและเปลือกโลกที่เพิ่มขึ้น การปรุงอาหารในร้านอาหารพิซซาสามารถอบในเตาอบที่มีก้อนอิฐหินเหนือแหล่งความร้อนเตาอบดาดฟ้าไฟฟ้าเตาอบสายพานลำเลียงหรือในกรณีของร้านอาหารราคาแพงกว่าเตาอบอิฐไม้หรือถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง บนเตาอบพิซซาสามารถเลื่อนลงไปในเตาอบบนไม้พายยาวเรียกว่าเปลือกและอบโดยตรงบนอิฐร้อนหรืออบบนหน้าจอ (ตะแกรงโลหะกลมมักเป็นอะลูมิเนียม) ก่อนการใช้งานอาจมีการโรยหน้าข้าวโพดด้วยเปลือกเพื่อให้พิซซาเลื่อนเข้าและออกได้ง่าย เมื่อทำที่บ้านสามารถนำไปอบบนหินพิซซาในเตาอบปกติเพื่อสร้างเอฟเฟกต์ของเตาอบอิฐ การทำอาหารโดยตรงในเตาอบโลหะส่งผลให้การถ่ายเทความร้อนเร็วเกินไปที่เปลือกโลกทำให้ไหม้ได้ พ่อครัวที่บ้าน Aficionado บางครั้งใช้เตาอบพิซซาแบบยิงด้วยไม้ชนิดพิเศษซึ่งมักติดตั้งกลางแจ้ง เตาอบพิซซารูปโดมใช้มานานหลายศตวรรษ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการกระจายความร้อนอย่างแท้จริงในเตาอบพิซซาแบบใช้ถ่าน อีกทางเลือกหนึ่งคือพิซซาย่างที่เปลือกโลกจะอบโดยตรงบนเตาย่างบาร์บีคิว พิซซากรีกเช่นพิซซาสไตล์ชิคาโกจะอบในกระทะแทนที่จะวางบนเตาอิฐ เปลือกด้านล่างของพิซซาที่เรียกว่า "เปลือก" อาจแตกต่างกันตามสไตล์บาง ๆ เช่นพิซซาเนเปิลส์แบบบางหรือแบบนุ่มหนาในสไตล์ชิคาโก ซึ่งแม้เป็นแบบดั้งเดิมธรรมดาแต่อาจปรุงด้วยกระเทียมหรือสมุนไพรหรือยัดไส้ด้วยชีสเพิ่ม ชีสมอสซาเรลลามักใช้กับพิซซาโดยมีมอซซาเรลลาคุณภาพสูงที่ผลิตในบริเวณรอบ ๆ เนเปิลส์[16] ในที่สุดชีสอื่น ๆ ก็ใช้เป็นส่วนผสมของพิซซาโดยเฉพาะชีสอิตาเลียนรวมถึงโพรโวโลน, เพโคริโนโรมาโน, ริคอตตา ชีสแปรรูปที่มีราคาไม่แพงหรืออะนาล็อกชีสได้รับการพัฒนาสำหรับพิซซาในตลาดมวลชนเพื่อให้ได้คุณภาพที่ต้องการเช่นบราวนิง, ละลาย, ความยืดหยุ่น, ปริมาณไขมันและความชื้นที่สอดคล้องกันและอายุการเก็บที่มั่นคง พิซซาในประเทศต่าง ๆอิตาลีอิตาลีถือว่าเป็นประเทศต้นกำเนิดของพิซซา พิซซาเนเปิลส์แท้ ๆ (Pizza Napoletana) ทำจากมะเขือเทศซานมาร์ซาโน ซึ่งปลูกบนที่ราบภูเขาไฟทางตอนใต้ของภูเขาไฟวิสุเวียส[17] และมอสซาเรลลา ดิ บูฟาลา คัมปานา ซึ่งผลิตจากนมควายที่เลี้ยงในที่ลุ่มของกัมปาเนียและลัตซีโย[18] ชีสมอสซาเรลลานี้ได้รับการคุ้มครองจากแหล่งกำเนิดในทวีปยุโรป พิซซาแบบดั้งเดิมอื่น ๆ ที่มีการบันทึกมาอย่างยาวนาน ได้แก่ พิซซาอัลลามารินารา (Alla Marinara) ซึ่งราดด้วยซอสมารินาราและเป็นพิซซาซอสมะเขือเทศที่เก่าแก่ที่สุดในโลก[19] ต่อมาคือ พิซซาคาปริซิโอซาซึ่งปรุงด้วยมอสซาเรลลาชีส แฮมอบ เห็ด อาร์ติโชก และมะเขือเทศ และพิซซาปูกลีส ปรุงด้วยมะเขือเทศ มอสซาเรลลาชีส และหัวหอม ถือเป็นพิซซาอีกประเภทหนึ่งที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน พิซซาที่ได้รับความนิยมในอิตาลีคือ พิซซาซิซิลี (ในท้องถิ่นเรียกว่า Sfincione หรือ Sfinciuni) เป็นพิซซาแป้งหนาจานลึกที่มีต้นกำเนิดในช่วงศตวรรษที่ 17 ในซิซิลี โดยปกติแล้วจะรับประทานกับซอสพิซซารูปแบบอื่น ๆ ยังพบได้ในภูมิภาคอื่นของอิตาลี เช่น Pizza al padellino หรือ Pizza al tegamino[20] พิซซาจานลึกขนาดเล็ก ขอบหนา ซึ่งปกติจะเสิร์ฟในเมืองตูริน[21][22] สหรัฐอเมริกาสหรัฐอเมริกาถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการบริโภคพิซซากันอย่างแพร่หลายมายาวนาน โดยร้านพิซซาแห่งแรงถือกำเนิดขึ้นใน ค.ศ. 1905 ณ แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก[23] ท็อปปิ้งทั่วไปสำหรับพิซซาในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ แองโชวี่ เนื้อบด ไก่ แฮม เห็ด มะกอก หัวหอม พริก เป็ปเปอร์โรนี สับปะรด ซาลามี่ ไส้กรอก ผักโขม สเต็ก และมะเขือเทศ ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค[24] จากการสำรวจพบว่า ในแต่ละวันมีชาวอเมริกันริโภคพิซซากันมากถึง 13% ของประชากรทั้งหมด[25] และมีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น โดมิโน่พิซซ่า (Domino's Pizza, Inc.) ก่อตั้ง ใน ค.ศ. 1960[26] มีสำนักงานใหญ่อยู่ในรัฐมิชิแกน[27] และ พิซซ่าฮัท ซึ่งสองพี่น้อง แฟรงค์ และแดน คาร์นี[28][29] ชาวเมืองวิชิทอ รัฐแคนซัส เริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ. 1958[30] เปิดสาขาแรกที่เมืองวิชิทอ รัฐแคนซัส อาร์เจนตินาชาวอาร์เจนตินาเป็นชาติที่บริโภคพิซซามากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้[31] โดยเป็นอาหารยอดนิยมอันดับต้น ๆ นอกเหนือจากเนื้อย่าง (Asado)[32] ทั่วประเทศอาร์เจนตินาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นครบัวโนสไอเรส เมืองหลวง มีผู้อพยพชาวอิตาลีเข้ามาจำนวนมากในศตวรรษที่ 19 โดยมากมาจากเมืองเนเปิลส์ และพวกเขานำวัฒนธรรมการผลิตพิซซาเข้ามาในเมือง ต่อมา เมื่อรสชาติเป็นที่ถูกปาก พิซซาจึงกลายเป็นที่นิยมทั่วไปในอาร์เจนตินาโดยสามารถหารับประทานได้ทั่วไปแทบจะทุกเมือง และคนอาร์เจนตินามักทำพิซซารับประทานกันเองในครอบครัว พิซซาอาร์เจนตินาโดยทั่วไปจะมีขอบที่หนากว่าแป้งสไตล์อิตาเลียนแท้ ๆ และเรียกว่า "มีเดีย มาซา" และยังนิยมใส่ชีสมากกว่า ประเพณีการทำพิซซาของอาร์เจนตินามักเสิร์ฟพิซซากับเฟนา ซึ่งเป็นแป้งถั่ววางบนพิซซา และไวน์มอสคาโต พิซซาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเรียกว่า "muzzarella" (mozzarella) คล้ายกับพิซซา Neapolitan (ขนมปัง ซอสมะเขือเทศ และชีส) แต่ทำด้วยแป้ง "มีเดีย มาซา" ที่หนากว่า ส่วนประกอบอื่น ๆ ได้แก่ ชีส และซอสมะเขือเทศ และมักใส่มะกอกด้วย สามารถพบได้ในเกือบทุกมุมของประเทศ บัวโนสไอเรสถือเป็นเมืองที่มีพิซซาบาร์มากที่สุดในโลก[33] พิซซาที่มีหัวหอมสองสายพันธุ์ที่เกิดในอาร์เจนตินาก็เป็นที่นิยมเช่นกันได้แก่ fugazza รับประทานกับชีส และ fugazzetta รับประทานได้กับเครื่องเคียงหลายประเภท โดยในอดีต จะประกอบด้วยเปลือกพิซซาปกติราดด้วยชีสและหัวหอม ต่อมาเริ่มมีชีสคั่นระหว่างเปลือกพิซซา 2 แผ่น โรยด้วยหัวหอมด้านบน[34][35] สถิติโลกพิซซาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจัดทำขึ้นในกรุงโรมในเดือนธันวาคม 2012[36] และมีขนาด 1,261 ตารางเมตร (13,570 ตารางฟุต) พิซซาได้รับการตั้งชื่อว่า "ออตตาเวีย" เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิโรมันผู้ยิ่งใหญ่ อ็อตตาเวียน เอากุสตุส และทำด้วยส่วนผสมที่ปราศจากกลูเตน ส่วนพิซซาที่มีขนาดยาวที่สุดในโลกผลิตขึ้นในเมืองฟอนทานา รัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2017[37] และวัดขนาดได้ถึง 1,930.39 เมตร (6,333 ฟุต 3+1⁄2 นิ้ว) พิซซาที่แพงที่สุดในโลกที่กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด บันทึก คือพิซซาแป้งบางที่มีจำหน่ายที่ร้าน Maze ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งมีราคา 100 ปอนด์ พิซซาดังกล่าวอบด้วยไฟฟืน โรยด้วยหัวหอม เห็ดทรัฟเฟิลขาว ชีสฟอนติน่า เบบี้มอสซาเรลลา แพนเช็ตต้า เห็ดเซป ผักกาดมิซูน่าเก็บสด และเห็ดทรัฟเฟิลขาวหายากจากอิตาลี เทศกาลสำคัญมีการจัดเทศกาลเดือนพิซซาแห่งชาติ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา[38] และประเทศแคนาดา[39][40] จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนตุลาคม Gerry Durnell ผู้จัดพิมพ์นิตยสาร Pizza Today เริ่มพิธีนี้ขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 1984 ประชาชนทั่วไปจะออกมาเฉลิมฉลองด้วยการรับประทานพิซซากันในร้านค้าต่าง ๆ ทั่วท้องถนนในเมืองใหญ่ ๆ[41] ข้อกังวลทางสุขภาพพิซซาแทบทุกประเภทถูกจัดอยู่กลุ่มอาหารจานด่วนซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีส่วนผสมที่ส่งผลเสียโดยตรงต่อร่างกาย[42][43] เนื่องด้วยส่วนผสมของพิซซานั้นมีเกลือ ไขมันเลว และให้พลังงานมากเกินไป ผลการวิจัยของกระทรวงเกษตรของสหรัฐ (USDA) ระบุว่าในปริมาณพิซซาขนาด 36 เซนติเมตร (14 นิ้ว) จะมีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยถึง 5,101 มิลลิกรัม[44] และการรับประทานเป็นประจำอาจนำไปสู่ภาวะโรคอ้วน, คอเลสเตอรอล ในเลือดสูง และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย[45] อ้างอิง
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ พิซซา |
Portal di Ensiklopedia Dunia