เขตปกครองตนเองชูคอตคา
เขตปกครองตนเองชูคอตคา (อังกฤษ: Chukotka Autonomous Okrug; รัสเซีย: Чуко́тский автоно́мный о́круг, อักษรโรมัน: Chukotsky avtonomny okrug, สัทอักษรสากล: [tɕʊˈkotskʲɪj ɐftɐˈnomnɨj ˈokrʊk]; ชูคอต: Чукоткакэн автономныкэн округ, Chukotkaken avtonomnyken okrug, สัทอักษรสากล: [tɕukotˈkaken aβtonomˈnəken ˈokɹuɣ]) หรือ ชูคอตคา (รัสเซีย: Чуко́тка, อักษรโรมัน: Chukotka) เป็นหน่วยองค์ประกอบทิศตะวันออก (เขตปกครองตนเอง) ในสหพันธรัฐรัสเซีย มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกไกลของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของเขตการปกครองของเขตสหพันธ์ตะวันออกไกล ชูคอตคาเป็นหน่วยองค์ประกอบที่มีประชากรน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 จำนวน 50,526 คน (สำมะโนประชากร ค.ศ. 2010) และมีประชากรหนาแน่นน้อยที่สุด[9] อะนาดีร์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของชูคอตคาและนิคมตะวันออกสุดที่มีสถานะเมืองในรัสเซีย ลักษณะทางภูมิศาสตร์เขตปกครองตนเองชูคอตกามีอาณาเขตติดกับทะเลชุกชีและทะเลไซบีเรียตะวันออกทางทิศเหนือ; ทะเลและช่องแคบเบริงทางทิศตะวันออก; ดินแดนคัมชัตคาและแคว้นมากาดันทางทิศใต้; และสาธารณรัฐซาคาทางทิศตะวันตก คาบสมุทรชุกชีพาดไปทางทิศตะวันออกเพื่อเป็นการทำให้เกิดช่องแคบเบริงระหว่างไซบีเรียและคาบสมุทรอะแลสกาและเป็นตัวแบ่งระหว่างอ่าวอะนาดีร์กับมหาสมุทรแปซิฟิก แหลมเดจเนฟ (Cape Dezhnyov) ซึ่งเป็นจุดทิศตะวันออกที่สุดในรัสเซียแผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองชูคอตกา ตามหลักนิเวศวิทยาแล้ว ชูคอตคาสามารถแบ่งได้เป็น 3 โซน ซึ่งได้แก่ทะเลทรายอาร์กติกทางตอนเหนือ ทันดราทางตอนกลาง และป่าไทกาทางตอนใต้ ครึ่งหนึ่งของเขตปกครองตนเองชูคอตคาอยู่ในวงกลมอาร์กติก พื้นที่ของเขตปกครองตนเองชูคอตคามีภูเขาตั้งอยู่เป็นส่วนมาก โดยมีเทือกเขาชูคอตสกีและที่ราบสูงอะนาดีร์เป็นต้น แม่น้ำในชูคอตคาส่วนมากมีต้นธารจากภูเขาทางตอนเหนือและตอนกลางของเขตปกครองตนเอง โดยจะมีแม่น้ำอะนาดีร์ แม่น้ำโอโมโลน (Omolon river) และแม่น้ำราอูฉัว (Rauchua river) เป็นแม่น้ำสายสำคัญของชูโคตกา เป็นต้น พื้นที่ส่วนมากของชูคอตคาปกคลุมด้วยมอส ไลเคน และพืชในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งเหมือนกันกับอะแลสกาตะวันตก รอบ ๆ อ่าวอะนาดีร์และหุบเขาแม่น้ำมีต้นสน ต้นเบิร์ช ต้นพอปลาร์ และต้นวิลโลว์เจริญเติบโตอยู่ มากกว่า 900 สปีชีส์ของพืชเจริญเติบโตในชูคอตคา ซึ่งรวมทั้งสปีชีส์ 400 กว่าสปีชีส์ของมอสและไลดคนด้วย รวมทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของนกกว่า 220 สปีชีส์และปลาน้ำจืดกว่า 30 สปีชีส์[13] สภาพภูมิอากาศสภาพภูมิอากาศของชูคอตคาได้รับผลกระทบจากทะเลที่อยู่รอบข้าง ได้แก่ทะเลเบริง ไซบีเรียตะวันออก และชุกชี สภาพอากาศของชูคอตคาในแต่ละฤดูกาลมักจะได้รับผลกระทบจากลมหนาวจากทางตอนเหนือและลมมรสุมจากทางตอนใต้ แหลมนาวาริน (Navarin cape) ที่ซึ่งตั้งอยู่ในชูคอตกา เป็นพื้นที่ที่โดนพายุเฮอร์ริเคนและพายุต่าง ๆ พัดผ่านมามากที่สุดในประเทศรัสเซีย พื้นที่ที่ติดทะเลหรือชายหาดของชูคอตคามักจะมีลมพัดผ่านตลอดและมีจำนวนฝนที่ตกมาต่อปีที่น้อยมาก คิดเป็น 200 ถึง 400 มิลลิเมตรต่อปี อุณหูมิจะแตกต่างกันระหว่าง −35 และ −15 องศาเซลเซียสในเดือนมกราคม และมีอุณหภูมิระหว่าง 5 ถึง 14 องศาเซลเซียสในเดือนกรกฎาคม ฤดูกาลปลูกพืชในชูคอตคาถือว่าสั้นมากถ้าเปรียบเทียบกับพื้นที่ส่วนใหญ่ในโลก โดยจะยาวนานเพียง 80 ถึง 100 วันต่อปีเท่านั้น ประวัติยุคก่อนประวัติศาสตร์ผู้ที่มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณชูคอตคาเป็นกลุ่มแรกคือนักล่าชาว Paleo-Siberian ที่มาจากภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออก พื้นที่นี้ในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของเบอรินเจียที่ซึ่งเป็นสะพานแผ่นดินที่เชื่อมระหว่างทวีปเอเชียและอเมริกา[ต้องการอ้างอิง] ก่อนการมาถึงของรัสเซียตามเดิมแล้ว ดินแดนชูคอตคาเป็นที่อยู่ของชนพื้นเมืองที่อยู่ที่นั่น โดยหลัก ๆ แล้วจะมีชาวชูคอต (Chukchi), ยูอิท (Siberian Yupiks; Yuit), กอร์ยัก (Koryaks), ชูวาน (Chuvans), อีเวน (Evens; Lamuts), และอีนูอิต[ต้องการอ้างอิง] เป็นต้น ตามข้อมูลในปีคริสต์ศักราช 1930 ประชากรพื้นเมืองส่วนมากที่อาศัยอยู่ ณ ดินแดนชูคอตคาคือชาวชูคอต การสำรวจและยึดครองโดยรัสเซีย![]() หลังจากการยึดครองคาซานได้โดยรัสเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เส้นทางการค้าที่ไปทางเทือกเขายูรัลและไซบีเรียได้เปิดให้ใช้งาน หนึ่งในผู้ที่เดินทางไปตามเส้นทางนั้นคือชาวคอสแซ็ก ชาวคอสแซ็กได้ทำการตั้งป้อมปราการไว้บริเวณตะวันออกของรัสเซียและได้ขดขี่ชนพื้นเมืองที่อยู่ในบริเวณนั้นไปด้วย ในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 17 รัสเซียได้เดินทางไปถึงบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือไกล การค้นพบของชาวชูคอตครั้งแรกได้ถูกค้นพบโดยชาวคอสแซ็กเมื่อปี 1641 เมื่อปี 1649 นักสำรวจชาวรัสเซีย เซมยอน เดจเนฟ (Semyon Dezhnyov) ได้ทำการสำรวจตะวันออกเฉียงเหนือไกลตามชายฝั่งและได้ตั้งค่ายพักทหารช่วงฤดูหนาวในบริเวณที่ใกล้ต้นน้ำของแม่น้ำอะนาดีร์ที่ซึ่งจะกลายเป็นเมืองในป้อมปราการอะนาดีรสค์ (Anadyrsk) ในเวลาต่อมา เดจนยอฟพยายามที่จะบังคับให้ชาวชูอคตจ่ายบรรณาการให้กับรัสเซียมาเป็นระยะเวลานานกว่าสิบปีแต่ก็ไม่สำเร็จ ป้อมปราการอะนาดีรสค์ได้ถูกทิ้งร้างในภายหลังอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นจนเกินไปและไม่มีสัตว์ป่าให้ล่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ป้อมปราการอะนาดีรสค์ได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากการค้นพบเส้นทางเดินเรือจากอะนาดีรสค์ไปยังคาบสมุทรคัมชัตคา ป้อมปราการนี้ได้ใช้เป็นฐานในปฏิบัติการสำรวจดินแดนคัมชัตคาและที่อยู่อาศัยในบริเวณรอบ ๆ ก็ขึ้นกับอะนาดีรสค์ด้วยเช่นกัน เมื่อนักสำรวจได้ค้นพบว่าคัมชัตคานั้นอุดมไปด้วยทรัพยากรที่มากมาย รัฐบาลรัสเซียได้ให้ความสนใจและสำคัญกับดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือไกลมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 1725 พระเจ้าซาร์ปิออตร์ที่ 1 มหาราชได้มีกระแสรับสั่งให้ไวทัส เบริงทำการสำรวจบริเวณคัมชัตคาและ Afanasy Shestakov เป็นผู้นำการสำรวจทางการทหารเพื่อบีบบังคัมชาวชูคอตให้ทำการจ่ายเครื่องบรรณาการให้กับทางรัสเซีย แต่ทว่าการสำรวจเหล่านั้นไม่ประสบผลสำเร็จเมื่อกองเรือได้ชนกับอะไรบางอย่างจังทำให้เรืออัปปางลง ผู้ที่รอดชีวิต รวมทั้ง Shestakov ได้ถูกสังหารโดยชาวชูคอตในเวลาต่อมา ในปี 1731 ดมิทรี ปัฟลุตสกี (Dmitry Pavlutsky) ได้พยายามอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือจากชาวคอสแซ็กและชนพื้นเมืองในบริเวณนั้น ปัฟลุตสกีได้เดินเรือขึ้นไปตามแม่น้ำอะนาดีร์และได้ทำลายป้อมปราการของชาวชูคอตในบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกได้สำเร็จ การกระทำอันไม่ยอมปราณีของเขาทำให้ชาวชูคอตต้องจ่ายเครื่องบรรณาการให้รัสเซียแค่เพียงเวลาชั่วคราวเท่านั้น จนกระทั่งปี 1747 ชาวชูคอตได้ปราชัยเหนือกองกำลังรัสเซียในบริเวณนั้นและได้สังหารปัฟลุตสกีอีกด้วย เมื่อรัฐบาลรัสเซียตระหนักได้ว่าการบีบบังคับให้ชาวชูคอตอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียด้วยกำลังทหารนั้นไม่สำเร็จ รัฐบาลรัสเซียได้เปลี่ยนแบบแผนเป็นการเสนอสัญชาติรัสเซียแก่ชาวชูคอต สนธิสัญญาสันติภาพรพหว่างรัสเซียและชาวชูคอตได้ลงนามเมื่อปี 1778 ที่ซึ่งเป็นการยกเว้นการบังคับจ่ายเครื่องบรรณาการขนสัตว์แก่รัฐบาลรัสเซียโดยชาวชูคอต ในปีเดียวกัน กัปตันชาวอังกฤษ เจมส์ คุก ได้ทำการสำรวจแหลมนอร์ท (ปัจจุบันชื่อว่าแหลม Schmidt) และอ่าว Providence ด้วยความกังวลที่ว่าชาติยุโรปชาติอื่นอาจจะมายึดครองดินแดนนี้เยกาเจรีนามหาราชินีได้ทรงมีพระดำรัสในการมีการสำรวจและทำแผนที่ของพื้นที่ในบริเวณนั้น จากการสำรวจที่นำโดย Joseph Billings และ Gavril Sarychev ที่ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1785 ได้เกิดการเขียนแผนที่ของคาบสมุทรชุกชี ชายฝั่งตะวันตกของอะแลสกา และหมู่เกาะอะลูเชียนขึ้น หลังจากนั้นมา เมื่อปี 1821 ถึง 1825 นายพลเรือชาวเยอรมันสัญชาติรัสเซีย Ferdinand von Wrangel และ Fyodor Matyushkin ได้นำการสำรวจตามชายฝั่งทะเลไซบีเรียตะวันออกและสำรวจดินแดนคาลึยมา และแม่น้ำ Bolshoy Anyuy และ Maly Anyuy อิทธิพลจากชาติตะวันตก![]() ชูคอตคาส่วนมากยังคงไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิรัสเซียทั้งหมด จึงทำให้ชาติมหาอำนาจต่าง ๆ (เช่น อเมริกา อังกฤษ หรือนอร์เวย์) เริ่มทำการล่าและแลกเปลี่ยนสิ่งของกันในบริเวณนั้นตั้งแต่ปี 1820 ขึ้นมา หลังจากการขายอะแลสกาให้กับสหรัฐอเมริกา นักล่าวาฬและพ่อค้าชาวอเมริกันได้ทำการขยายการทำกิจการต่าง ๆ ไปยังดินแดนชูคอตคาและอิทธิพลต่างชาติก็ถึงจุดสูงสุด ณ เวลานั้น หลังจากปี 1880 รัสเซียได้ทำการตอบโต้โดยการสร้างหน่วยสาดตระเวนชายฝั่งขึ้นมาเพื่อหยุดเรืออเมริกันไม่ให้เข้ามาในดินแดนนั้นและยึดทรัพย์สินของเรือเหล่านั้นไปด้วย และในปี 1888 เขตการบริหารอะนาดีร์ได้ถูกจัดตั้งขึ้น แต่ทว่าอำนาจเหนือพื้นที่ชูคอตคาโดยรัสเซียได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้งในช่วงประมาณ 1900 ชาวต่างชาติได้เข้ามาในดินแดนชูคอตคาหลังเหตุการณ์การตื่นทองที่ยูคอนเมื่อปี 1898 ในปี 1909 เพื่อทำให้พื้นที่นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย เขตทั้ง 2 เขตได้ถูกจัดตั้งขึ้นในภูมิภาคอะนาดีร์ ซึ่งก็คือเขตอะนาดีร์และชูคอตคา รัฐบาลรัสเซียได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติ เช่น Hudson's Bay Company และ US Northeast Siberia Company มีสิทธิในการขุดทอง เหล็ก และแกรไฟต์ในบริเวณชูคอตคาตั้งแต่ปี 1902 และ 1912 เกาะแรงเกลเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำหรับการอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองโดยสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในปี 1916 รัสเซียได้ทำการอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองเหนือดินแดนเกาะแรงเกลอย่างเป็นทางการ แต่ในปี 1921 ชาวแคนาดานามว่า Vilhjalmur Stefansson ได้พยายามที่จะอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองเกาะนั้นโดยการไปสร้างที่อยู่อาศัยขนาดย่อมบนเกาะนั้น แต่ทว่าในปี 1924 สหภาพโซเวียตได้ยึดครองเกาะนั้นอย่างถาวรและทำการทำลายที่อยู่อาศัยของคนชาติตะวันตกและเนรเทศพวกเขาออกไปจากเกาะแรงเกล อันเป็นจุดจบของอิทธิพลของชาติตะวันตกเหนือดินแดนชูคอตคา สมัยสหภาพโซเวียตในสมัยสหภาพโซเวียตนั้น ดินแดนชูคอตคาเป็นเป้าหมายในการทำนารวมของสหภาพโซเวียต รวมถึงการขับไล่ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แล้วออกจากพื้นที่นั่น แต่ทว่ากระบวรการดังกล่าวจะรุนแรงน้อยกว่าพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ในสหภาพโซเวียต[14][15] เมื่อนาซีเยอรมนีได้รุกรานสหภาพโซเวียตเมื่อปีคริสต์ศักราช 1941 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในชูคอตคาเริ่มมีการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองการขุดแร่ดีบุกจากเหมืองในพื้นที่แถบนั้นจนถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจหลักในชูคอตคา แต่ต่อมานักธรณีวิทยาได้สำรวจดินแดนนั้นจนพบปริมาณแร่ทองที่มีจำนวนมากที่ซึ่งจะเริ่มมีการทำเหมืองทองในบริเวณนั้นตอนช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ต่อมา สมัยสหพันธรัฐรัสเซีย![]() ในช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 2001 ถึง 2008 ผู้ว่าการเขตปกครองตนเองชูคอตคาในขณะนั้น โรมัน อับราโมวิช ได้ลงทุนกับการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของชูคอตคาด้วยกำลังทรัพย์ของตัวเขาเอง การพัฒนาเศรษฐกิจนี้ได้ทวีคูณผลิตภัณฑ์มวลรวมของเขตปกครองตนเองเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวและเพิ่มรายได้ของประชากรที่นั่นเป็นสามเท่าจากเดิม[16] ในปีคริสต์ศักราช 2004 อับราโมวิชได้พยายามที่จะลาออกจากตำแหน่งแต่ดันถูกแต่งตั้งขึ้นให้เป็นผู้ว่าการเขตปกครองตนเองไปอีกหนึ่งสมัยโดยวลาดีมีร์ ปูติน จนกระทั่งในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมของปี 2008 ประธานาธิบดีรัสเซียในขณะนั้น ดมีตรี เมดเวเดฟ ได้ยอมรับคำขอของอับราโมวิชในลาออกจากตำแหน่งของเขาถึงแม้โครงการเพื่อการกุศลของเขาในชูคอตกาจะดำเนินอยู่ต่อก็ตาม เงินเดือนโดยเฉลี่ยของประชากรที่นั่นได้เพิ่มจากเพียง 165 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 5,550 บาท) ต่อเดือนในปี 2000 ขึ้นไปเป็น 826 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 27,750 บาท) ต่อเดือนในปี 2006[17] เศรษฐกิจชูคอตคาเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณสำรองน้ำมัน แก๊ซธรรมชาติ ถ่านหิน แร่เงิน แร่ทอง และทังสเตนมาก โดยทรัพยากรเหล่านั้นกำลังถูกขุดไปใช้อย่างช้า ๆ แต่ประชากรในชนบทของชูคอตกาส่วนมากมักจะพึ่งพาการเลี้ยงกวางเรนเดียร์ การล่าวาฬ และการประมงเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ในขณะที่ประชากรที่อยู่ในเมืองมักจะทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับการขุดเหมือง การบริหาร การก่อสร้าง วัฒนธรรม การศึกษา ยารักษาโรค และงานอื่น ๆ ทำ การเดินทางพื้นที่ส่วนมากของชูคอตคานั้นไม่มีถนนตัดผ่าน ดังนั้นการเดินทางทางอากาศจึงเป็นช่องทางหลักในการเดินทางภายในชูคอตคา อย่างไรก็ดี ในชูคอตคาก็ยังมีถนนที่เชื่อมระหว่างที่อยู่อาศัยบางแห่งกับอีกแห่ง เช่น เอกเวกิโนต-อีอุลติน (ยาว 200 กิโลเมตร) เป็นต้น เมื่อถึงช่วงฤดูหนาว ถนนบางเส้นได้ถูกสร้างขึ้นบนแหล่งน้ำที่แข็งตัวลงเป็นกาลชั่วคราวเพื่อเชื่อมระกว่างที่ตั้งถิ่นฐานจากแห่งหนึ่งไปสู่แห่งหนึ่ง ในปี 2009 การสร้างสะพานลอเรนเพื่อเชื่อมเส้นทางระหว่างลาฟเรนติยาสู่ลอริโน (ยาว 40 กิโลเมตร) ถือเป็นหนึ่งในพัฒนาการที่สำคัญของเส้นทางการเดินทางภายในชูคอตคา การปกครองส่วนท้องถิ่น![]() เขตปกครองตนเองชูคอตคาสามารถแบ่งได้เป็น 6 เขต ดังนี้:
ประชากร
เขตปกครองตนเองชูคอตคามีประชากรอยู่ที่ 47,490 (การสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2021); 50,526 (การสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2010);[9] 53,824 (สำมะโน ค.ศ. 2002);[18] 157,528 (สำมะโน ค.ศ. 1989).[19] อีกทั้ง ชูคอตคาเป็นเพียงไม่กี่ที่ที่มีประชากรชายมากกว่าประชากรหญิงในประเทศรัสเซีย[20] การคาดหมายคงชีพ![]() ชาติพันธุ์ของประชากรประชากรกว่าร้อยละ 37 เป็นชนพื้นเมืองตากข้อมูลสำรวจสำมะโนประชากรเมื่อปี 2021 โดยมีชาวรัสเซียคิดเป็นประมาณร้อยละ 54 และชนชาติอื่น ๆ อีกคิดเป็นประมาณร้อยละ 9 โดยในร้อยละเก้านี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวยูเครน คัลมึค ตาตาร์ และบูร์ยัต รองลงมาตามลำดับ ดูเพิ่มอ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia