สมมติฐานโลกยุติธรรมสมมติฐานโลกยุติธรรม (อังกฤษ: just-world hypothesis, just-world fallacy) เป็นความเอนเอียงทางประชาน หรือเป็นการสมมุติว่า การกระทำของบุคคลหนึ่ง ๆ มีแนวโน้มที่จะนำผลที่ยุติธรรมโดยศีลธรรมและที่เหมาะสมมายังบุคคลนั้น ๆ คือในที่สุดกรรมดีก็จะได้ผลดี และกรรมชั่วก็จะได้ผลชั่ว กล่าวอีกอย่างก็คือ เป็นแนวโน้มที่จะอ้างหรือคาดหวังว่า ผลที่เห็นมีเหตุเนื่องกับพลังจักรวาลที่ปรับโลกให้สมดุลอย่างยุติธรรม ความเชื่อเช่นนี้ทั่วไปส่องถึงความเชื่อเรื่องความยุติธรรมจักรวาล ชะตากรรม ลิขิตของผู้เป็นเจ้า ความสมดุลทางจักรวาล ระเบียบจักรวาล และมีโอกาสสูงที่จะให้ผลเป็นเหตุผลวิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่บุคคลให้เหตุผลความเคราะห์ร้ายของผู้อื่นว่า คน ๆ นั้น ๆ "สมควร" จะได้รับผลเช่นนั้น ในภาษาอังกฤษ สมมติฐานเช่นนี้พบได้ในภาพพจน์ต่าง ๆ ที่แสดงนัยรับประกันที่จะได้ผลร้ายคืน เช่น "You got what was coming to you" (คุณได้สิ่งที่ควรจะมาหาคุณ) "What goes around comes around" (อะไรเวียนไปก็ย่อมจะเวียนมา) "chickens come home to roost" (ไก่ย่อมกลับบ้านเพื่อมานอน) และ "You reap what you sow" (คุณเก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณหว่าน) เป็นสมมติฐานที่ศึกษากันอย่างกว้างขวางโดยนักจิตวิทยาสังคม เริ่มต้นที่งานทรงอิทธิพลของ ศ.ดร.เลอร์เนอร์ ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1960[1] ตั้งแต่นั้น งานวิจัยก็ได้ดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ โดยตรวจสอบสมรรถภาพการพยากรณ์ของทฤษฎีนี้ในสถานการณ์ต่าง ๆ และในวัฒนธรรมต่าง ๆ ช่วยให้ความเข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้นและขยายกว้างออกไป[2] ประวัติทั้งนักปรัชญาและนักคิดทฤษฎีสังคมศาสตร์ ได้สังเกตการณ์และพิจารณ์ปรากฏการณ์ความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรมมาก่อนแล้ว แต่ว่า งานของ ศ.เลอร์เนอร์ได้ทำให้สมมติฐานนี้กลายเป็นจุดสนใจงานวิจัยในสาขาจิตวิทยาสังคม เม็ลวิน เลอร์เนอร์ศ.เลอร์เนอร์เริ่มการศึกษาทางจิตวิทยาสังคมเรื่องความเชื่อ เมื่อทำงานสอบสวนเรื่องปฏิสัมพันธ์เชิงลบในสังคม[3] โดยต่อยอดงานของ ศ.สแตนลีย์ มิลแกรม ในเรื่องการเชื่อฟังผู้มีอำนาจ มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะตอบคำถามว่า ระบบการปกครองที่โหดร้ายทารุณ ก่อความทุกข์ทรมาน ยังจะรักษาความนิยมชมชอบจากประชาชนไว้ได้อย่างไร และคำถามเกี่ยวกับกระบวนการที่ประชาชนกลายมายอมรับบรรทัดฐานทางสังคมและกฎหมายที่ก่อความทุกข์ทรมาน[4] การสอบสวนของ ศ.เลอร์เนอร์ได้รับอิทธิพลจากสังเกตการณ์ซ้ำ ๆ ที่เห็นการโทษให้ความผิดแก่ผู้รับเคราะห์หรือเหยื่อที่ได้รับความทุกข์ทรมาน ในช่วงการฝึกรักษาเป็นนักจิตวิทยา เขาได้เห็นการบำบัดรักษาคนไข้โรคจิตโดยแพทย์พยาบาลที่เขาทำงานร่วมด้วย แม้คนเหล่านั้นจะใจดี มีการศึกษา แต่พวกเขาก็มักจะโทษคนไข้เรื่องความทุกข์ทรมานที่คนไข้ได้รับ[5] ศ.เลอร์เนอร์ได้กล่าวถึงความแปลกใจของเขาที่ได้ยินนักศึกษาดูถูกคนจน โดยดูเหมือนจะไม่เข้าใจปัญหาโครงสร้างทางสังคมที่มีส่วนทำให้เกิดความยากจน[3] ในงานศึกษาเรื่องรางวัล เขาสังเกตว่า เมื่อชายคนหนึ่งในสองคนได้รับการสุ่มเลือกให้รับรางวัลเพื่องาน ๆ หนึ่ง ก็จะทำให้ผู้สังเกตการณ์คนอื่นประเมินชายนั้นในเชิงบวกมากกว่า แม้ในกรณีที่แจ้งผู้สังเกตการณ์ไว้แล้วว่า เป็นการให้รางวัลโดยสุ่ม[6][7] และทฤษฎีจิตวิทยาสังคมที่มีอยู่ในตอนนั้น รวมทั้งความไม่ลงรอยกันทางประชาน (cognitive dissonance) ก็ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง[7] ความต้องการจะเข้าใจกระบวนการที่ก่อปรากฏการณ์เช่นนี้ จึงจูงใจให้ ศ.เลอร์เนอร์ ทำงานศึกษาแรกเกี่ยวกับทฤษฎีที่ทุกวันนี้เรียกว่า สมมติฐานโลกยุติธรรม หลักฐานดั้งเดิมในปี ค.ศ. 1966 ศ.เลอร์เนอร์กับผู้ร่วมงานเริ่มงานที่ใช้การทดลองแบบช็อก (shock paradigm) เพื่อตรวจสอบปฏิกิริยาของผู้สังเกตการณ์ต่อผู้รับเคราะห์ ในงานแรกที่ทำที่มหาวิทยาลัยแคนซัส มีการให้ผู้ร่วมการทดลองหญิง 72 คนดู "ผู้ร่วมงาน" ถูกไฟช๊อตในสถานการณ์ต่าง ๆ ตอนแรกผู้ร่วมการทดลองไม่ชอบใจเห็นความทุกข์ทรมานที่ปรากฏ แต่เมื่อดำเนินการต่อไปที่ผู้ร่วมการทดลองไม่สามารถทำอะไรได้ ผู้ร่วมการทดลองกลับเริ่มดูถูกผู้รับเคราะห์ การดูถูกจะเพิ่มขึ้นถ้าเกิดความทุกข์ทรมานมากกว่า แต่ว่าถ้าบอกผู้ร่วมการทดลองว่า ผู้รับเคราะห์จะได้ค่าตอบแทนจากความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ผู้ร่วมการทดลองจะไม่ดูถูกผู้รับเคราะห์[4] ศ.เลอร์เนอร์และผู้ร่วมงานสามารถทำซ้ำสิ่งที่พบนี้ได้ต่อ ๆ มา และนักวิจัยคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน[6] ทฤษฎีเพื่ออธิบายผลที่พบเหล่านี้ในงานศึกษา ศ.เลอร์เนอร์ตั้งทฤษฎีว่า มีความเชื่ออย่างแพร่หลายว่า โลกยุติธรรม เป็นโลกที่การกระทำและปัจจัยอื่น ๆ มีผลที่พยากรณ์ได้และเหมาะสม การกระทำและปัจจัยปกติก็คือพฤติกรรมและลักษณะต่าง ๆ ส่วนบุคคล ปัจจัยที่ให้ผลโดยเฉพาะ จะเป็นเรื่องที่กำหนดโดยบรรทัดฐานทางสังคมและอุดมคติ (หรือคตินิยม) ศ.เลอร์เนอร์แสดงความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรมว่า มีประโยชน์ คือ มันดำรงแนวคิดว่า บุคคลสามารถมีอิทธิพลต่อโลกในรูปแบบที่พยากรณ์ได้ ความเชื่อจะทำงานเหมือนกับเป็น "สัญญา" กับโลก เกี่ยวกับผลของพฤติกรรม ซึ่งทำให้บุคคลสามารถวางแผนอนาคตและมีพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพ ที่มีเป้าหมาย เขาได้สรุปสาระสิ่งที่ค้นพบในหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ของเขาในปี ค.ศ. 1980 ชื่อว่า The Belief in a Just World: A Fundamental Delusion (ความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรม - ความหลงผิดแบบพื้นฐาน)[5] ศ.เลอร์เนอร์มีทฤษฎีว่า ความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรมสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงตนให้เป็นสุข เพราะว่า บุคคลย่อมเจอหลักฐานเป็นประจำว่า โลกไม่ยุติธรรม คือ คนอาจได้รับความทุกข์ทรมานโดยที่ไม่ปรากฏสาเหตุ ดังนั้น คนจึงต้องมีกลยุทธ์ในการกำจัดความเสี่ยงต่อความเชื่อว่าโลกยุติธรรม ซึ่งอาจจะเป็นกลยุทธ์ที่มีเหตุผล หรือไร้เหตุผล กลยุทธ์ที่มีเหตุผลรวมทั้ง การยอมรับความจริงว่าโลกไม่ยุติธรรม ความพยายามป้องกันความไม่ยุติธรรมและให้ชดใช้คืน และการยอมรับความจำกัดของตนเอง ส่วนกลยุทธ์ไร้เหตุผลรวมทั้ง การปฏิเสธความจริง การถอนตัวออกทางสังคม (เช่นการไม่คุยกับใคร) และการตีความเหตุการณ์แบบแก้ต่าง[ต้องการอ้างอิง] มีการตีความได้หลายอย่างที่จะทำให้เหตุการณ์เข้ากับความเชื่อว่าโลกยุติธรรม เช่นตีความผลที่ได้ สาเหตุ และ/หรือ ลักษณะต่าง ๆ ของผู้รับเคราะห์ และในกรณีที่เห็นความไม่ยุติธรรมที่ได้รับของคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิด วิธีการหลักในการเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ก็คือ การตีความว่าผู้รับเคราะห์ควรที่จะได้รับผลอันนั้น[1] โดยเฉพาะก็คือ ผู้สังเกตการณ์อาจจะโทษผู้รับเคราะห์ ด้วยเหตุพฤติกรรมหรือลักษณะอะไรอื่น ๆ[6] งานวิจัยทางจิตวิทยาในสมมติฐานนี้โดยมาก พุ่งความสนใจไปในปรากฏการณ์สังคมเชิงลบ คือ การโทษหรือการดูถูกผู้รับเคราะห์ในสถานการณ์ต่าง ๆ[2] ผลที่ได้อีกอย่างหนึ่งในการคิดเช่นนี้ก็คือว่า คน ๆ นั้นจะรู้สึกปลอดภัยกว่า เพราะว่าไม่เชื่อว่าตนได้ทำอะไรที่จะให้ได้รับผลลบเช่นนั้น[2] ซึ่งสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ความเอนเอียงรับใช้ตนเอง (self-serving bias) ที่นักจิตวิทยาสังคมก็ได้สังเกตพบเช่นกัน[8] มีนักวิจัยเป็นจำนวนมากที่ตีความเรื่องความเชื่อว่าโลกยุติธรรมว่า เป็นตัวอย่างในเรื่องการอธิบายเหตุ (causal attribution) ที่ผิดพลาด คือ ในเรื่องการโทษผู้รับเคราะห์ มีการอ้างเหตุของเคราะห์ร้ายว่าเป็นเพราะบุคคล แทนที่จะเป็นเพราะสถานการณ์ ดังนั้น ความเชื่อในเรื่องโลกยุติธรรม อาจจะสัมพันธ์กับ หรืออาจจะอธิบายได้โดย รูปแบบบางอย่างในทฤษฎีจิตวิทยาเรื่องการอธิบายเหตุ[9] คำอธิบายอื่นเรื่องที่ประเมินเป็นความจริงมีนักวิชาการอื่นที่เสนอคำอธิบายอื่นเกี่ยวกับการดูถูกผู้รับเคราะห์ ข้อเสนอหนึ่งก็คือว่า ปรากฏการณ์ดูถูกผู้รับเคราะห์ เป็นการประเมินลักษณะผู้รับเคราะห์ที่ถูกต้อง ตัวอย่างเฉพาะในงานศึกษาแรกของ ศ.เลอร์เนอร์ก็คือ มันสมเหตุผลที่ผู้สังเกตการณ์จะดูถูกคนที่ปล่อยให้ตัวเองถูกช็อตด้วยไฟโดยไม่มีเหตุผล[10] แต่งานศึกษาต่อมาของ ศ.เลอร์เนอร์ คัดค้านสมมติฐานอื่นนี้ โดยแสดงให้เห็นว่า จะมีการดูถูกผู้รับเคราะห์เมื่อประสบทุกข์ทรมานจริง ๆ เท่านั้น ส่วนคนที่ตกลงที่จะรับทุกข์ทรมานแต่ไม่ได้ กลับมีการมองโดยเชิงบวก[11] การลดความรู้สึกผิดคำอธิบายอื่นอีกอย่างหนึ่งของการดูถูกผู้รับเคราะห์ในยุคต้นการพัฒนาสมมติฐานนี้ก็คือ ผู้สังเกตการณ์ดูถูกผู้รับเคราะห์เพื่อลดความรู้สึกผิดของตน คือ พวกเขาอาจจะรู้สึกรับผิดชอบ หรือรู้สึกผิด ต่อความทุกข์ทรมานของผู้รับเคราะห์ ถ้าตัวเองมีส่วนร่วมในเหตุการณ์หรือในการทดลอง และเพื่อที่จะลดความรู้สึกผิดนี้ จึงอาจพยายามลดค่าของผู้รับเคราะห์เสีย[12][13][14] แต่ว่า ศ.เลอร์เนอร์และผู้ร่วมงานอ้างว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนการตีความเช่นนี้ และพวกเขาก็ได้ทำงานศึกษาหนึ่งที่พบว่า การดูถูกผู้รับเคราะห์เกิดขึ้นแม้ต่อผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรในกระบวนการทดลอง และจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรู้สึกผิด[6]
หลักฐานอื่น ๆหลังจากงานแรก ๆ ของ ศ.เลอร์เนอร์ ก็มีนักวิจัยอื่นที่ทำซ้ำผลที่พบนี้ได้ในสถานการณ์อื่น ๆ ที่มีผู้รับเคราะห์ งานประเด็นนี้ที่เริ่มตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 จนมาถึงทุกวันนี้ ตรวจสอบว่า ผู้สังเกตการณ์จะตอบสนองต่อผู้รับเคราะห์ในเหตุการณ์ทั่ว ๆ ไป เช่นอุบัติเหตุรถยนต์ การข่มขืน การกระทำทารุณกรรมต่อคนในบ้าน ความเจ็บป่วย และความยากจน อย่างไร[1] โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว นักวิจัยพบว่า ผู้สังเกตการณ์มักจะทั้งโทษและดูถูกผู้รับเคราะห์ ดังนั้น ผู้สังเกตการณ์จะดำรงความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรม โดยเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของผู้รับเคราะห์[15] ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1970s นักจิตวิทยาสังคมคู่หนึ่ง พัฒนาการวัดค่าความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรม[16] ซึ่งต่อมาปรับปรุงในปี 1975 โดยเพิ่มคำถามเพื่อใช้วัดความเชื่อในด้านต่าง ๆ[17] และงานศึกษาในทฤษฎีนี้ต่อ ๆ มาก็ได้ใช้วิธีการวัดค่านี้ การกระทำทารุณนักวิจัยได้ตรวจสอบว่า ผู้สังเกตการณ์ตอบสนองต่อผู้รับเคราะห์ในเรื่องการข่มขืนหรือทารุณกรรมอย่างอื่น ๆ อย่างไร ในงานศึกษาต้นแบบปี 1985 เรื่องการข่มขืนกับทฤษฎีนี้ นักวิจัยได้ให้บทความเล่าเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชายคู่หนึ่งกับผู้ร่วมการทดลอง 2 กลุ่ม แต่บทความต่างกันในช่วงสุดท้ายของเรื่อง กลุ่มหนึ่งเป็นการจบเรื่องแบบไม่มีอะไร อีกลุ่มหนึ่งจบโดยที่ชายคนนั้นข่มขืนผู้หญิง แต่ผู้ร่วมการทดลองกลับตัดสินว่า การจบด้วยการข่มขืนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และโทษผู้หญิงว่าถูกข่มขืนเพราะพฤติกรรมของตน แต่ไม่ใช่เพราะลักษณะนิสัย[18] เป็นผลการทดลองที่ทำซ้ำ ๆ ได้ ไม่ว่าจะจบด้วยการข่มขืน หรือจบด้วยความสุขคือการขอแต่งงาน[2][19] นักวิจัยอื่น ๆ พบปรากฏการณ์เดียวกันในการประเมินพฤติกรรมรุนแรงต่อคู่ครอง งานศึกษาหนึ่งพบว่า การติเตียนโทษผู้รับเคราะห์หญิง จะรุนแรงขึ้นเมื่อระดับความสัมพันธ์ระหว่างคู่ครองสูงขึ้น (เช่นรู้จักกัน อยู่ด้วยกัน หรือแต่งงานกัน) ยกเว้นการโทษผู้ชายในกรณีที่รุนแรงถึงกับตีผู้หญิง[20] พฤติกรรมอันธพาลนักวิจัยได้พยายามใช้สมมติฐานนี้เพื่ออธิบายพฤติกรรมระราน (Bullying คือทำตัวเป็นอันธพาล) เพราะผลงานที่ได้เรื่องความเชื่อว่าโลกยุติธรรม จึงคาดหวังกันว่า ผู้สังเกตการณ์จะดูถูกและโทษผู้รับเคราะห์จากพฤติกรรมอันธพาล แต่ผลที่พบกลับตรงกันข้าม คือผู้สังเกตการณ์ที่เชื่อเรื่องโลกยุติธรรมในระดับสูง กลับมีทัศนคติต่อต้านพฤติกรรมระรานในระดับที่สูงกว่า (แทนที่จะโทษผู้รับเคราะห์ตามที่คาดหวัง)[21] นักวิจัยอื่นพบว่า ความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรมที่มีกำลัง สัมพันธ์กับพฤติกรรมอันพาลในระดับที่ต่ำกว่า[22] ซึ่งเข้ากับแนวคิดของ ศ.เลอร์เนอร์ ว่าความเชื่อนี้มีผลเป็น "สัญญา" กับโลกที่ควบคุมความประพฤติ[5] มีหลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงว่า ความเชื่อว่าโลกยุติธรรม มีผลช่วยป้องกันความเป็นสุขของเด็ก ๆ และวัยรุ่นในโรงเรียนจากพฤติกรรมอันธพาล[23] ดังที่ได้พบได้ในชนทั่วไป ความเจ็บป่วยนักวิจัยอื่นพบว่า ผู้สังเกตการณ์โทษคนป่วยสำหรับความเจ็บป่วยของตน งานทดลองหนึ่งแสดงว่า คนที่ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ถูกดูถูก วัดโดยการให้คะแนนว่าสวยหรือหล่อ มากกว่าคนสุขภาพดี ความเจ็บป่วยที่ได้รับการศึกษารวมทั้ง อาหารไม่ย่อย ปอดบวม และมะเร็งที่ท้อง นอกจากนั้นแล้ว ระดับความดูถูกยังเพิ่มขึ้นในคนที่ป่วยหนักกว่า ยกเว้นโรคมะเร็ง[24] ระดับความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรมที่สูงกว่า ก็สัมพันธ์กับการดูถูกผู้ป่วยโรคเอดส์ในระดับที่สูงกว่าด้วย[25] ความยากจนในงานศึกษาต่อ ๆ มา นักวิจัยตรวจดูปฏิกิริยาต่อความยากจนในมุมมองของความเชื่อนี้ ความเชื่อที่มีกำลัง สัมพันธ์กับการโทษคนจน ในขณะที่ความเชื่อที่อ่อนกำลัง สัมพันธ์กับการชี้เหตุผลภายนอกของความยากจน รวมทั้ง ระบบเศรษฐกิจโลก สงคราม และการขูดรีดเอาผลประโยชน์[26][27] ถ้าตนเองเป็นผู้รับเคราะห์งานวิจัยบางงานในเรื่องนี้ ตรวจสอบปฏิกิริยาของตนเองเมื่อตนเป็นผู้รับเคราะห์ งานวิจัยในปี 1979 พบว่าผู้ถูกข่มขืนมักจะโทษพฤติกรรมของตน แต่จะไม่โทษลักษณะนิสัย[28] ซึ่งมีสมมติฐานว่า การโทษพฤติกรรมของตนทำให้เหตุการณ์ดูเหมือนจะควบคุมได้ งานศึกษาผู้รับเคราะห์ในเรื่องการกระทำทารุณ ความเจ็บป่วย ความยากจน และในเรื่องอื่น ๆ ได้ให้หลักฐานที่สม่ำเสมอสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรมกับความโน้มเอียงที่จะโทษผู้รับเคราะห์[1] และดังนั้น สมมติฐานโลกยุติธรรมได้กลายเป็นทฤษฎีที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง การปรับปรุงทฤษฎีงานศึกษาต่อมาในการวัดความเชื่อนี้ พุ่งความสนใจไปที่การกำหนดมิติต่าง ๆ ของความเชื่อ ซึ่งมีผลเป็นการพัฒนาวิธีวัดใหม่ ๆ และงานวิจัยที่ทำต่อ ๆ มา[2] มิติของความเชื่อนี้ สันนิษฐานว่ารวมทั้งความเชื่อว่าโลกไม่ยุติธรรม[29], ความเชื่อเรื่องความยุติธรรมโดยกฏสวรรค์ (immanent justice) ความยุติธรรมในที่สุด (ultimate justice)[30], ความหวังว่าโลกยุติธรรม และความเชื่อว่าตนสามารถลดระดับความไม่ยุติธรรม[31] งานวิจัยอื่น ๆ พุ่งความสนใจไปที่ขอบเขตต่าง ๆ ที่ความเชื่อนี้อาจจะมีผล คือ บุคคลอาจจะมีความเชื่อแบบต่าง ๆ กันในเรื่องส่วนตัว เรื่องการเมืองกับสังคม และเรื่องสังคมเป็นต้น[25] ขอบเขตกำหนดความต่างที่พบชัดเจนก็คือ ความเชื่อว่าโลกยุติธรรมระหว่างสิ่งที่เกิดกับตน กับสิ่งที่เกิดกับผู้อื่น ความเชื่อต่าง ๆ เหล่านี้มีผลต่างสัมพันธ์กับสุขภาพ สิ่งที่สัมพันธ์กันนักวิจัยได้ใช้การวัดความเชื่อนี้ เพื่อหาลักษณะทางจิตอื่นที่สัมพันธ์กับระดับความเชื่อที่สูง โดยมีงานศึกษาจำกัดจำนวนหนึ่ง ที่ได้ตรวจสอบอุดมคติที่สัมพันธ์กับความเชื่อ ซึ่งรวมทั้งลัทธิอำนาจนิยมแบบขวาจัด และจริยธรรมการทำงานของโปรเตสแตนต์ซึ่งเน้นการขยันทำงานและการเก็บออมรอมทรัพย์เหนือการกระทำอื่น ๆ เพื่อการศาสนา[32][33] งานวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อกับความเลื่อมใสในศาสนาบางด้าน[34][35] งานศึกษาความแตกต่างทางประชากรในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเพศ เชื้อชาติ เป็นต้น ไม่พบความแตกต่างในความเชื่ออย่างเป็นระบบ แต่ก็ปรากฏกว่าคนแอฟริกันอเมริกันมีระดับความเชื่อว่าโลกยุติธรรมน้อยที่สุด[36][37] การพัฒนาการวัดความเชื่อ ทำให้สามารถตรวจสอบความแตกต่างข้ามวัฒนธรรมในเรื่องนี้ งานวิจัยโดยมากแสดงว่า ความเชื่อแบบนี้มีในทุกวัฒนธรรม งานวิจัยหนึ่งตรวจสอบความเชื่อของนักเรียนในประเทศ 12 ประเทศ แล้วพบว่า ในประเทศที่ประชาชนส่วนมากรู้สึกว่าไร้อำนาจ ความเชื่อว่าโลกยุติธรรมจะอ่อนกว่าในประเทศอื่น[38] นี่สนับสนุนสมมติฐานนี้เพราะว่า ผู้ไร้อำนาจมักจะมีประสบการณ์ส่วนตัวและทางสังคมที่ให้หลักฐานว่า โลกไม่ได้ยุติธรรมหรือสามารถพยากรณ์ได้[39] งานวิจัยปัจจุบัน
ผลต่อสุขภาพใจที่ดีแม้ว่างานศึกษาในเบื้องต้นจะพุ่งความสนใจไปที่เรื่องลบทางสังคม งานวิจัยอื่นบอกเป็นนัยว่า ความเชื่อนี้ดี จนกระทั่งว่าเป็นเรื่องจำเป็นต่อสุขภาพทางใจ[40] ความเชื่อนี้สัมพันธ์กับความพอใจในชีวิต การอยู่เป็นสุข ที่เพิ่มขึ้น และความซึมเศร้าที่ลดลง[41][42] นักวิจัยกำลังพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมความเชื่อนี้จึงมีผลดีต่อสุขภาพใจ แต่มีข้อเสนอว่าความเชื่อนี้เป็นขุมทรัพย์ทางจิตใจหรือเป็นวิธีการรับมือ (coping) ที่ช่วยบรรเทาความเครียดที่มีในชีวิตประจำวัน และที่เกิดเพราะเหตุการณ์ร้ายในชีวิต[43] ซึ่งเป็นสมมติฐานที่แสดงว่า ความเชื่อว่าโลกยุติธรรมสามารถเข้าใจโดยเป็นการแปลสิ่งเร้าผิดเชิงบวก (positive illusion)[44] งานศึกษาต่าง ๆ แสดงว่า ความเชื่อนี้สัมพันธ์กับความเชื่อว่าตนสามารถควบคุมเหตุการณ์ได้ (locus of control)[17] ความเชื่อนี้ที่มั่นคง สัมพันธ์กับการยอมรับเหตุการณ์ร้ายในชีวิตได้ และความเศร้าโศกเสียใจที่มีน้อยกว่าเพราะเหตุการณ์ร้าย[43] นี่อาจจะเป็นวิธีอย่างหนึ่งที่ความเชื่อมีผลต่อสุขภาพใจ แต่มีนักวิชาการอื่นที่เสนอว่า ความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นจริงเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับตน ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับคนอื่น สัมพันธ์กับปรากฏการณ์สังคมเชิงลบ คือ การโทษและดูถูกผู้รับเคราะห์ดังที่เห็นในงานศึกษาอื่น ๆ[45] งานวิจัยนานาชาติแม้ว่าจะผ่านมา 40 ปีเริ่มจากงานทรงอิทธิพลของ ศ.เลอร์เนอร์ นักวิจัยก็ยังดำเนินการศึกษาปรากฏการณ์นี้อยู่ ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ยุโรป และเอเชีย[7] แต่เป็นนักวิจัยชาวเยอรมันที่ให้ความรู้เร็ว ๆ นี้โดยมาก[3] เป็นผลงานที่รวบรวมเป็นหนังสือโดยมี ศ.เลอร์เนอร์พร้อมกับผู้ร่วมงานชาวเยอรมันเป็นบรรณาธิการ ชื่อว่า Responses to Victimizations and Belief in a Just World (การตอบสนองต่อการตกเป็นเหยื่อกับความเชื่อเรื่องโลกยุติธรรม)[46] เชิงอรรถและอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
เว็บไซต์ |
Portal di Ensiklopedia Dunia