สถาบันวิทยาไวรัสอู่ฮั่น
สถาบันวิทยาไวรัสอู่ฮั่น, สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (WIV; จีน: 中国科学院武汉病毒研究所) เป็นสถาบันวิจัยที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการวิจัยวิทยาไวรัสพื้นฐานและนวัตกรรมเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการโดยสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS; จีน: 中国科学院) ตั้งอยู่ในเขตอู่ชาง นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ได้เปิดดำเนินการห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 4 (BSL–4) เป็นแห่งแรกของจีนในปี พ.ศ. 2558[2] สถาบันมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับห้องปฏิบัติการแห่งชาติกัลเวสตัน (GNL; Galveston National Laboratory) ในสหรัฐ, ศูนย์วิจัยโรคติดเชื้อนานาชาติ (CIRI; Centre International de Recherche en Infectiologie) ในฝรั่งเศส และห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาแห่งชาติในแคนาดา สถาบันแห่งนี้เป็นศูนย์การวิจัยเชิงรุกสำหรับการศึกษาไวรัสโคโรนา จากการระบาดของโรคโควิด-19 มีเรื่องของทฤษฎีสมคบคิดหลายประการอ้างถึงสถาบันเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส[3][4] อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานสนับสนุนการกล่าวอ้างดังกล่าว[5] ประวัติสถาบันก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2499 ในฐานะห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาอู่ฮั่น ภายใต้สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น (武汉大学) และวิทยาลัยการเกษตรหฺวาจง (华中农学院) ในปี พ.ศ. 2504 ได้จัดตั้งเป็นสถาบันจุลชีววิทยาของจีนตอนใต้ และในปีต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันจุลชีววิทยาอู่ฮั่น ในปี พ.ศ. 2513 เมื่อคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมณฑลหูเป่ย์เข้ามาบริหาร จึงได้ปรับเปลี่ยนเป็นสถาบันจุลชีววิทยาของมณฑลหูเป่ย์ ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2521 สถาบันได้ถูกโอนคืนไปยัง CAS และเปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันวิทยาไวรัสอู่ฮั่น[6] ในปี พ.ศ. 2558 ห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพแห่งชาติของสถาบันได้เสร็จสมบูรณ์ในงบประมาณก่อสร้าง 300 ล้านหยวน (44 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการ CIRI ของรัฐบาลฝรั่งเศส และเป็นห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 4 (BSL–4) แห่งแรกที่สร้างขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่[2][7] การจัดตั้งห้องปฏิบัติการได้รับเงินทุนบางส่วนจากรัฐบาลสหรัฐ และใช้เวลากว่าทศวรรษกว่าจะเสร็จสมบูรณ์หลังจากการริเริ่มแนวคิดในปี พ.ศ. 2546[2] ห้องปฏิบัติการมีความผูกพันกับห้องทดลองแห่งชาติกัลเวสตัน (GNL) ในสังกัดมหาวิทยาลัยเท็กซัส ของสหรัฐ[8] นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาแห่งชาติ (NML; National Microbiology Laboratory) ของแคนาดา สถาบันเป็นหัวข้อของความขัดแย้งในช่วงเวลาเริ่มมีรายงานการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี พ.ศ. 2563 มีการกล่าวอ้างจากนักชีววิทยาในสหรัฐ ว่าสถาบันเป็น "สถาบันวิจัยระดับโลกที่ทำการวิจัยระดับโลกในด้านวิทยาไวรัสและภูมิคุ้มกันวิทยา" และเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า สถาบันเป็นผู้นำในการศึกษาไวรัสโคโรนาในค้างคาว[8] การวิจัยไวรัสโคโรนาในปี พ.ศ. 2548 กลุ่มวิจัยซึ่งนักวิจัยจากสถาบันวิทยาไวรัสอู่ฮั่นมีส่วนร่วม ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัสโคโรนาโรคซาร์ส ซึ่งค้นพบว่าค้างคาวสกุล ค้างคาวมงกุฎ ในจีนนั้นเป็นแหล่งรังโรคตามธรรมชาติของไวรัสโคโรนาที่คล้ายคลึงกับโรคซาร์ส (SARS-like)[9] งานวิจัยได้ทำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี โดยนักวิจัยจากสถาบันได้เก็บตัวอย่างค้างคาวมงกุฎ นับพันตัวอย่างในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศจีน โดยแยกลำดับของสารพันธุกรรมของไวรัสจากค้างคาวได้มากกว่า 300 ลำดับ[10] ในปี พ.ศ. 2558 ทีมงานนานาชาติซึ่งรวมถึงนักวิทยาศาสตร์สองคนจากสถาบันได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยว่า ประสบความสำเร็จสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสโคโรนาจากค้างคาว (SHC014-CoV) ในเซลล์เฮลา (HeLa) ได้ ทีมวิจัยอ้างว่าได้สร้างไวรัสลูกผสม ซึ่งประกอบไปด้วยไวรัสโคโรนาจากค้างคาวกับไวรัสโรคซาร์ส ซึ่งได้รับการดัดแปลงให้ก่อโรคที่เกิดในมนุษย์ ขึ้นในหนูและเซลล์เลียนแบบระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ (MIMIC) และไวรัสไฮบริดนั้นสามารถติดเชื้อในเซลล์ของมนุษย์ได้[11][12] ในปี พ.ศ. 2560 ทีมจากสถาบันประกาศว่าไวรัสโคโรนาที่พบในค้างคาวมงกุฎในถ้ำในมณฑลยูนนานนั้น มีชิ้นส่วนทั้งหมดของรหัสพันธุกรรมของไวรัสโรคซาร์ส ทีมที่ใช้เวลาห้าปีเก็บตัวอย่างค้างคาวในถ้ำได้สังเกตเห็น การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านแห่งหนึ่งห่างออกไปเพียงหนึ่งกิโลเมตร และได้เตือนว่า "มีความเสี่ยงของการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปสู่ผู้คนและอุบัติการณ์ของโรคที่คล้ายกับโรคซาร์ส"[10][13] ในปี พ.ศ. 2561 เอกสารจากทีมสถาบันรายงานผลการศึกษาทางวิทยาเซรุ่มของตัวอย่างจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ถ้ำที่อาศัยของค้างคาวเหล่านี้ (ใกล้กับตำบลซีหยาง (夕阳乡) ในเขตจินหนิง เมืองคุนหมิง ยูนนาน) จากรายงานนี้พบว่าจากผู้อาศัยในพื้นที่ทั้งหมด 218 คน มี 6 คนที่มีแอนติบอดีต่อไวรัสโคโรนาจากค้างคาวในตัวอย่างเลือดของพวกเขา ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ในการแพร่เชื้อจากค้างคาวสู่คน[14] การระบาดทั่วของโควิด-19ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 มีการรายงานผู้ป่วยโรคปอดบวมที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนาต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในนครอู่ฮั่น สถาบันได้ทำการตรวจสอบฐานข้อมูลของไวรัสโคโรนา และพบว่าไวรัสตัวใหม่นั้นมีสารพันธุกรรม 96 เปอร์เซ็นต์ที่เหมือนกับตัวอย่างที่นักวิจัยได้นำมาจากค้างคาวมงกุฎจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน[15] เมื่อไวรัสแพร่กระจายไปทั่วโลกสถาบันได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่าทีมที่นำโดยฉือ เจิ้งลี่ (石正丽) จากสถาบันเป็นคณะแรกที่วิเคราะห์และระบุลำดับทางพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (ขณะนั้นเรียกว่า 2019-nCoV) และอัปโหลดไปยังฐานข้อมูลสาธารณะสำหรับการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก[16][17] และเผยแพร่เป็นบทความในนิตยสารเนเจอร์[18] ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ห้องปฏิบัติการเผยแพร่จดหมายข่าวบนเว็บไซต์อธิบายว่า พวกเขาประสบความสำเร็จในการถอดรหัสจีโนมของไวรัสทั้งหมดได้อย่างไร: "ในตอนเย็นของวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2562 หลังจากได้รับตัวอย่างจากโรคปอดบวมที่ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมมาจากโรงพยาบาลอู่ฮั่นจินอินถาน (武汉市金银潭医院) สถาบันดำเนินการด้วยความเข้มแข็งตลอดคืนและทำงานต่อเนื่องเป็นเวลา 72 ชั่วโมงเพื่อแก้ปัญหา ในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2563 ลำดับจีโนมทั้งหมดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ถูกระบุ"[19] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 สถาบันได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรในประเทศจีนเพื่อใช้ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ซึ่งเป็นยาทดลองที่เป็นของบริษัทกิลเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences) ซึ่งสถาบันพบว่ามีการยับยั้งไวรัสในหลอดทดลอง[20] เป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา.[21] สถาบันกล่าวว่าจะไม่บังคับใช้สิทธิ์ในสิทธิบัตรใหม่ในประเทศจีน "หากบริษัทต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ตั้งใจจะมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคในจีน"[22] ข้อกังวลในฐานะการเป็นแหล่งกำเนิดในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 ทฤษฎีสมคบคิดแพร่หลายในวงสังคมว่าโควิด-19 เป็นโรคระบาดที่เกิดจากไวรัสที่ได้รับการออกแบบโดยสถาบัน WIV ซึ่งได้ถูกหักล้างบนพื้นฐานของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าไวรัสมีต้นกำเนิดจากธรรมชาติ[23][24] ในช่วงกลางเดือนมกราคมสำนักข่าวกรองของสหรัฐรายงานต่อเจ้าหน้าที่ว่า พวกเขาไม่ได้ตรวจพบสัญญาณเตือนใด ๆ ภายในรัฐบาลจีนที่จะชี้นำให้เกิดการระบาดขึ้นจากห้องปฏิบัติการของรัฐบาล[25] จอช โรกิน (Josh Rogin) เขียนในคอลัมน์ความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์ว่า จดหมายข่าวของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐในปี พ.ศ. 2561 ได้หยิบยกประเด็นด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับงานวิจัยของสถาบัน WIV เกี่ยวกับการตรวจไวรัสโคโรนาในค้างคาว[26] ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2563 ตามคำร้องขอของเจ้าหน้าที่บริหารของประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐเริ่มตรวจสอบว่า การระบาดเกิดจากอุบัติเหตุรั่วไหลโดยไม่ตั้งใจโดยนักวิทยาศาสตร์ของสถาบัน WIV ที่ศึกษาไวรัสโคโรนาตามธรรมชาติในค้างคาวหรือไม่[27][25] หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลทรัมป์ กำลังกดดันหน่วยงานข่าวกรองเพื่อให้หาหลักฐานสำหรับทฤษฎีที่ไม่ยืนยันว่าไวรัสรั่วจากห้องปฏิบัติการ ซึ่งนำไปสู่ความกังวลในหมู่นักวิเคราะห์ข่าวกรองบางส่วนว่า การประเมินข่าวกรองจะถูกบิดเบือนเพื่อใช้ในการรณรงค์ทางการเมือง เพื่อตำหนิประเทศจีนสำหรับการระบาดของโรค[28] ประธานาธิบดี ทรัมป์ และรัฐมนตรีต่างประเทศ ไมเคิล พอมเพโอ อ้างว่ามีหลักฐานของทฤษฎีแล็บ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม[29][30] นักวิทยาไวรัสชั้นนำได้โต้แย้งความคิดที่ว่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 รั่วไหลออกมาจากสถาบัน[31][32] นักวิทยาไวรัส ปีเตอร์ ดาสซัค (Peter Daszak) ประธานองค์กร EcoHealth Alliance (ซึ่งศึกษาโรคติดเชื้อที่เกิดขึ้นใหม่และมีความร่วมมือกับนักวิทยาไวรัสชั้นนำของ WIV เพื่อศึกษาไวรัสโคโรนาในค้างคาว)[33] ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในแต่ละปีมีผู้คนหลายล้านคนที่อาศัยหรือทำงานในบริเวณใกล้เคียงกับค้างคาว ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา[31] ในการให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ข่าว Vox ดาสซัคให้ความเห็นว่า "อาจมี 6 คนที่ทำงานในห้องปฏิบัติการเหล่านั้นดังนั้นลองเปรียบเทียบจำนวน 1 ถึง 7 ล้านคนต่อปี กับคน 6 คน มันไม่สมเหตุสมผล"[32] จานนา แมเซต์ (Jonna Mazet) ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส และผู้อำนวยการโครงการ PREDICT ซึ่งเป็นโครงการเฝ้าระวังไวรัสที่เกิดขึ้นใหม่ได้แสดงความคิดเห็นว่า เจ้าหน้าที่ของสถาบันวิทยาไวรัสอู่ฮั่นได้รับการฝึกอบรมจากนักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ PREDICT และมีการปฏิบัติงานตามมาตรฐานที่มีความปลอดภัยสูง เธอกล่าวว่า "หลักฐานทั้งหมดชี้ให้เห็นว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการ"[31] ศูนย์วิจัยสถาบันประกอบด้วยศูนย์วิจัยดังต่อไปนี้:[34]
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia