การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศทาจิกิสถาน
การระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา พ.ศ. 2562–2563 ได้เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศทาจิกิสถาน โดยกรณีผู้ป่วยต้นปัญหาในดูชานเบและคูจานด์ได้รับการยืนยัน เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563[2] ภูมิหลังเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563 องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นสาเหตุของอาการป่วยในระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยจำนวนมากในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน ซึ่งได้มีรายงานเหตุต่อองค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562[3][4] อัตราป่วยตายของผู้ป่วยโรค COVID-19 นั้นต่ำกว่าโรคซาร์สในปี พ.ศ. 2546 มาก[5][6] แต่การแพร่เชื้อมีมากกว่า โดยมีจำนวนรวมของผู้เสียชีวิตมากอย่างมีนัยสำคัญ[7][5] เส้นเวลากุมภาพันธ์ 2563ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เที่ยวบินเช่าเหมาลำของสายการบิน ซอมอนแอร์ (ทาจิก: Сомон Эйр) บินไปยังนครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน เพื่ออพยพพลเมืองห้าสิบสี่คนของทาจิกิสถาน โดยเที่ยวบินขาไปได้ขนส่งสินค้าเพื่อมนุษยธรรมรวมทั้งเวชภัณฑ์จากทาจิกิสถานไปยังอู่ฮั่น[8] ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์มีการพิมพ์เผยแพร่แนวทางปฏิบัติและข้อเสนอแนะขององค์การอนามัยโลก 13,000 ฉบับเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสโคโรนาให้กับประชาชนทาจิกิสถาน ในเวลานั้นประชาชนกว่า 900 คนที่เดินทางมาถึงทาจิกิสถานจากประเทศจีน ได้รับการดูแลโดยแพทย์ในโรงพยาบาลของทาจิกิสถาน ไม่มีรายงานผู้ป่วยจากไวรัสโคโรนา[9] เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีเอมอมาลี ราห์มอน (ทาจิก: Эмомалӣ Раҳмон) ได้รับข้อความจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งประเทศจีน กล่าวขอบคุณ ราห์มอนที่ให้การสนับสนุนในความเกี่ยวเนื่องกับการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา[10] เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ประชาชนทาจิกิสถาน 1,066 คนที่เดินทางมาจากประเทศจีนหลังจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโรคติดเชื้อเพื่อกักกัน ซึ่ง 577 คนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่มีกรณียืนยันของผู้ป่วยไวรัสโคโรนาในการกักกัน[11] ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พลเมืองทาจิกิสถานหกสิบสามคน (นักเรียนชาวทาจิกิสถานสี่สิบหกคนจากอู่ฮั่นและลูกเรือสิบเจ็ดคนของเที่ยวบินเช่าเหมาลำของ ซอมอนแอร์ ที่ถูกส่งไปดำเนินการอพยพในวันที่ 11 กุมภาพันธ์) ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลที่ถูกกักกัน ไม่มีผู้ใดที่แสดงอาการของโรคคล้ายไข้หวัดใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ประชาชนชาวทาจิกิสถาน 1,148 คนที่เดินทางมาถึงทาจิกิสถานจากประเทศจีนถูกกักกัน ซึ่ง 955 คนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว[12] มีนาคมทาจิกิสถานในขั้นต้น ห้ามการเดินทางเข้าประเทศของประชาชนใน 35 ประเทศรวมถึงสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และแคนาดา[13] ในวันที่ 3 มีนาคม 2563 ทาจิกิสถานผ่อนปรนมาตรการห้ามลงเหลือเพียงห้าประเทศ ได้แก่ จีน อิหร่าน อัฟกานิสถาน เกาหลีใต้ และอิตาลี[14] วันที่ 4 มีนาคมมีสุเหร่าบางส่วนในเมืองหลวงดูชานเบได้ขอให้ผู้ละหมาดไม่เข้าร่วมในพิธีละหมาดวันศุกร์[15] ความเร่งรีบในการกักตุนอาหารนำไปสู่การปรับขึ้นราคาและการขาดแคลนแป้งสาลีและสินค้าหลักอื่น ๆ วันที่ 5 มีนาคมกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมกล่าวว่า มีอาหารในทาจิกิสถานเพียงพอเพื่อเลี้ยงประชากรของประเทศเป็นเวลาสองปี[16] ประธานาธิบดีเอมอมาลี ราห์มอน รับรองว่าทาจิกิสถานไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกซื้ออาหาร แต่การกักตุนยังคงดำเนินต่อไป ทาจิกิสถานขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการชุมนุมสาธารณะและการเข้าร่วมพิธีในมัสยิด[17] ณ วันที่ 10 มีนาคม พลเมืองทาจิกิสถาน 1,583 คนที่มาจากประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อิตาลี อิหร่าน และอัฟกานิสถานหลังจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ถูกกักกัน ซึ่ง 1,147 คนได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวแล้ว ไม่มีการยืนยันกรณีผู้ป่วยจากไวรัสโคโรนาในประเทศ[18] เมื่อวันที่ 18 มีนาคมไม่มีกรณีผู้ป่วยยืนยันที่มีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในทาจิกิสถาน และกำหนดที่จะเฉลิมฉลองปีใหม่หรือเทศกาลเนารูซ (ทาจิก: Наврӯз) ไม่ได้ถูกยกเลิก[19] ในช่วงปลายเดือนมีนาคมการปิดชายแดนในรัสเซียและเอเชียกลาง ทำให้แรงงานอพยพตามฤดูกาลชาวทาจิกิสถานไม่สามารถไปทำงานได้[20] ณ วันที่ 18 มีนาคมมีพลเมืองชาวทาจิกิสถานจำนวน 1,890 คนที่เดินทางมาจากต่างประเทศหลังจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ถูกกักกันซึ่ง 1,426 คนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว กระทรวงสาธารณสุขเรียกร้องให้ประชาชนของประเทศ "ไม่ต้องเชื่อเรื่องเท็จใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยืนยันกรณีผู้ป่วยไวรัสโคโรนาในทาจิกิสถาน"[21] เมื่อวันที่ 23 มีนาคม มีประชาชนเดินทางมาจากต่างประเทศจำนวน 5,038 คนที่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการกักกันและ 1,981 คนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล โดยมี 3,057 คน (รวม 107 คนที่มีสัญชาติต่างประเทศ) ถูกกักกัน ไม่มีการยืนยันกรณีผู้ป่วยจากไวรัสโคโรนาในประเทศ[22] ศูนย์สุขภาพในเมืองอิสติกลอล (ทาจิก: Истиқлол) ทางตอนเหนือของทาจิกิสถานกำลังเตรียมการกักกันชาวทาจิกิสถานที่เดินทางมาจากต่างประเทศ[23] หมายเลขสายด่วน 24 ชั่วโมง (511) ถูกเปิดใช้งานโดยศูนย์ข้อมูลป้องกันการเกิดวิกฤตภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและการคุ้มครองทางสังคม เพื่อตอบคำถามทั่วไปจากประชาชนทาจิกิสถานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาจากไวรัสโคโรนา[24] ในวันที่ 26 และ 27 มีนาคมมีการจัดประชุมที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมการเพื่อป้องกันการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา ณ วันที่ 30 มีนาคม ประชาชน 6,159 คนทาจิกิสถานที่เดินทางมาจากต่างประเทศถูกกักกัน โดย 2,146 คนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว 4,013 ราย ไม่มีการยืนยันกรณีผู้ป่วยจากไวรัสโคโรนาในประเทศ[25] ในช่วงปลายเดือนมีนาคมมีรายงานที่ประธานาธิบดี เอมอมาลี ราห์มอน เข้าร่วมในงานชุมนุมขนาดใหญ่ เมษายนณ วันที่ 2 เมษายนมีรายงานยอดผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทาจิกิสถาน 6,272 คนถูกกักกัน ซึ่ง 2,359 คนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว และ 3,913 คนยังคงถูกกักกัน ไม่มีการยืนยันกรณีผู้ป่วยจากไวรัสโคโรนาในประเทศ[26] เมื่อ 3 เมษายนแม้ว่าจะไม่มีคำสั่งตามกฎหมาย แต่การสวมใส่หน้ากากอนามัยกลายเป็นภาพที่คุ้นเคยในทาจิกิสถานรวมถึงในชนบทห่างไกล และโรงเรียนได้เปิดทำการหลังจากวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ[27] ในวันเดียวกันนั้นประธานาธิบดี ราห์มอน และประธานาธิบดีแห่งอุซเบกิสถาน ชัฟคัต มีร์ซีโยเยฟ ได้สนทนาทางโทรศัพท์รวมถึงได้พิจารณาในเรื่องการประสานงานเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา[28] ผู้ป่วยที่ถูกกักกันอายุ 60 ปีได้เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมในโรงพยาบาลกลางแห่งพื้นที่ จับบอร์ ราซุลอฟ (ทาจิก: Ҷаббор Расулов) ในแคว้นซุกด์ (ทาจิก: Вилояти Суғд) และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยได้รับการกักกัน ทำให้เกิดข่าวลือทางออนไลน์ว่าผู้ป่วยเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา แหล่งข่าวจากโรงพยาบาลกล่าวว่าก่อนเสียชีวิตผู้ป่วยมีผลทดสอบเป็นลบสำหรับไวรัสโคโรนา เมื่อวันที่ 6 เมษายน ผู้คนที่เดินทางมาถึงทาจิกิสถานจากต่างประเทศจำนวน 7,041 คนถูกกักตัว ซึ่ง 4,291 คนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหลือ 2,730 คนที่ยังถูกกักกัน เกือบ 3,000 คนได้รับการทดสอบสำหรับไวรัสโคโรนา ทุกคนมีผลตรวจเป็นลบ ไม่มีการยืนยันไวรัสโคโรนาในประเทศ[29] สิบสามคนซึ่งถูกกักตัวในพื้นที่ จับบอร์ ราซุลอฟ ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนก็มีผลทดสอบไวรัสโคโรนาเป็นลบ โรงพยาบาลหกแห่งในเมืองคูจานด์ (ทาจิก: Хуҷанд) และอีกสิบสองแห่งในพื้นที่อื่นได้ถูกเตรียมไว้สำหรับกักกัน และการทดสอบไวรัสโคโรนาซึ่งทั้งหมดจะต้องดำเนินการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย[30] ในวันที่ 9 เมษายน ประธานาธิบดี ราห์มอน ได้โทรศัพท์ถึงประธานาธิบดีแห่งคาซัคสถาน ฆาเซิม-โฌมาร์ต โตกาเยฟ โดยกล่าวถึงหัวข้อต่าง ๆ รวมถึงไวรัสโคโรนา ซึ่งคาซัคสถานระบุว่าตกลงจะส่งแป้งสาลีห้าหมื่นตันไปยังทาจิกิสถาน[28][31][32] ในวันเดียวกันนั้นประธานาธิบดี ราห์มอน และประธานาธิบดีแห่งอุซเบกิสถาน มีร์ซีโยเยฟ จัดการสนทนาทางโทรศัพท์อีกครั้งรวมถึงอภิปรายเกี่ยวกับการประสานงานในเรื่องไวรัสโคโรนา[28] เมื่อวันที่ 10 เมษายนผู้คนที่เดินทางมาถึงทาจิกิสถาน 7,367 คนจากต่างประเทศถูกกักตัวซึ่ง 5,482 ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหลือ 1,880 คนที่ยังถูกกักกันอยู่[33] เมื่อวันที่ 13 เมษายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซิราจิดิน อัซลอฟ (ทาจิก: Сироҷидин Аслов) พบกับหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศทาจิกิสถาน มาริลีน โจเซฟสัน (สวีเดน: Marilyn Josefson) ซึ่งประกาศแผนการที่จะให้ความช่วยเหลือทาจิกิสถานเป็นจำนวน 48 ล้านยูโรเพื่อบรรเทาผลกระทบของการระบาด[34] วันที่ 14 เมษายน นายนาซิม อาลิมซอดา (ทาจิก: Насим Олимзода) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและการคุ้มครองทางสังคมกล่าวว่าไม่มีการตรวจพบไวรัสโคโรนาในทาจิกิสถาน อาลิมซอดาอธิบายถึงการขาดการยืนยันผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาในทาจิกิสถานนั้น เป็นผลมาจากการกักกันอย่างต่อเนื่องกับทุกคนจากต่างประเทศที่เดินทางเข้าสู่ทาจิกิสถาน อันเนื่องมาจากอันตรายจากการแพร่เชื้อแบบไม่มีอาการ[35] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินของอุซเบกิสถานได้ส่งมอบความช่วยเหลือแก่ทาจิกิสถานซึ่งรวมถึง แป้งสาลีหนึ่งพันตัน น้ำยาฆ่าเชื้อ และยาปฏิชีวนะ ชุดป้องกันทางการแพทย์ ถุงมือ หน้ากาก รองเท้า แว่นตา และเครื่องช่วยหายใจ[36] บริษัทพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำ ทาจิกกิดราอิเล็กทรามอนทาช (ทาจิก: Тоҷикгидроэлектромонтаж) บริจาคชุดทดสอบไวรัสโคโรนา 20,000 ชุด เครื่องช่วยหายใจ 10 เครื่องและชุดป้องกันสำหรับแพทย์ 500 ชุด ให้กับหน่วยงานสาธารณสุขของดูชานเบ รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านซอมอนี (ทาจิก: Сомонӣ)[37] เมื่อวันที่ 17 เมษายน มีผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 7,871 คนได้ถูกกักกัน ซึ่ง 6,438 คนได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวแล้วและมี 1,523 คนยังคงถูกกักกัน ไม่มีการยืนยันกรณีป่วยจากไวรัสโคโรนาในบุคคลที่ถูกกักกัน โรคอื่น ๆ ที่มีการระบุในประชากรทั่วไป ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่, ปอดบวม, ARVI (acute respiratory viral infection - การติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจเฉียบพลัน), โรคหอบหืด และไทฟอยด์[38] ประธานาธิบดีราห์มอนกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาชิกสมัชชาแห่งชาติทาจิกิสถาน ที่ได้รับการเลือกตั้งและได้รับการแต่งตั้งใหม่ ถึงการเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา[39] จาลอลิดดิน อับดุลจับบาร์ซอดา (ทาจิก: Ҷалолиддин Абдуҷабборзода) หัวหน้าแผนกกิจการภายในสำนักงานอัยการของดูชานเบ ล้มป่วยเมื่อวันที่ 15 เมษายนและเสียชีวิตในวันที่ 19 เมษายน กระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่าเขาเสียชีวิตด้วยเชื้อ H1N1 และชี้ขาดอย่างชัดเจนว่าการเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จากการรายงานของสถานีวิทยุ Radio Free Europe/Radio Liberty ภาคภาษาทาจิก (ทาจิก: Радиои Озодӣ) ร่างของอับดุลจับบาร์ซอดาได้ถูกดำเนินพิธีฝังโดยบุคลากรทางการแพทย์ในชุดอุปกรณ์ป้องกันพิเศษ[40] แรงงานอพยพทาจิกิสถานในรัสเซียซึ่งปกติส่งรายได้ไปให้ครอบครัวของพวกเขาในทาจิกิสถาน จะไม่ได้รับการจ่ายค่าจ้างเนื่องจากเหตุการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาในรัสเซีย อิมาร์มุดดิน ซัตตารอฟ (ทาจิก: Имомуддин Сатторов) เอกอัครราชทูตประเทศทาจิกิสถานประจำรัสเซีย ได้ร้องขอต่อผู้นำของบริษัทต่าง ๆ ในรัสเซีย เพื่อละเว้นการเลิกจ้างพนักงานชาวทาจิกิสถาน[41] ประธานาธิบดีราห์มอน เรียกร้องให้ชาวมุสลิมในทาจิกิสถานไม่ถือศีลอดสำหรับเดือนรอมฎอน เพราะว่าการอดอาหารจะทำให้ผู้คนมีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อมากขึ้น[42][43] เมื่อวันที่ 23 เมษายนทาจิกิสถานปิดโรงเรียนเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา และห้ามส่งออกธัญพืชชั่วคราวซึ่งเป็นมาตรการที่มุ่งคงระดับอุปทานภายในประเทศ ไม่มีรายงานผู้ป่วยไวรัสโคโรนาในทาจิกิสถาน ในเวลานั้นเขตแดนและมัสยิดของทาจิกิสถานถูกปิดลง[44] ถึงวันที่ 27 เมษายนมีการทดสอบการติดเชิ้อสำหรับไวรัสโคโรนาในทาจิกิสถานแล้ว 4,100 กรณี[45] กาลินา เพอร์ฟิลเยวา (รัสเซีย: Галина Перфильева) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกในดูชานเบ ซึ่งได้เคยยืนยันสถานะในขั้นต้น ที่รัฐบาลทาจิกิสถานแสดงว่าประเทศยังคงปลอดจากไวรัสโคโรนา ได้กล่าวว่า "เป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปได้อย่างแน่นอนว่าไม่มีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในทาจิกิสถาน"[46] ทาจิกิสถานเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ดำเนินการแข่งขันกีฬาอาชีพในช่วงที่มีการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา ซึ่งในหลายประเทศถูกยกเลิก[47] อย่างไรก็ตามในวันที่ 27 เมษายน 2563 การแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดของทาจิกิสถานได้ถูกระงับ[48] วันที่ 30 เมษายน กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานว่า มีผู้ป่วยยืนยันจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 15 ราย ณ วันที่ 29 เมษายน โดย 10 คนจากคูจานด์ และ 5 คนในดูชานเบ[2][49] โดยก่อนหน้านั้น มีคำถามเกี่ยวกับการขาดรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาในทาจิกิสถาน ถูกหยิบยกขึ้นมาในสื่อมวลชน[50][51][52] พฤษภาคมในวันที่ 1 พฤษภาคมมีผู้ได้รับการยืนยันการติดเชื้อ 32 ราย โดย 17 รายอยู่ในดูชานเบ, 5 รายในเมืองในเขตการปกครองของสาธารณรัฐ (ทาจิก: Ноҳияҳои тобеи ҷумҳурӣ) และอีก 10 รายอยู่ในแคว้นซุกด์ (ทาจิก: Вилояти Суғд)[53] วันที่ 2 พฤษภาคม มีผู้ป่วยที่ยืนยันแล้ว 76 รายและผู้เสียชีวิตสองราย ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน[54] วันที่ 3 พฤษภาคม นายกเทศมนตรีเมืองดูชานเบกล่าวว่ามีแผนจะสร้างโรงพยาบาลชั่วคราวซึ่งรักษาผู้ป่วยได้ 3,000 คน[55] ในวันที่ 4 พฤษภาคม มีกรณีผู้ป่วยผู้ยืนยันเพิ่ม 102 ราย ซึ่งส่งผลให้มีผู้ป่วยยืนยันรวม 230 ราย โดยแบ่งเป็น 110 รายในดูชานเบ, 22 รายในเมืองในเขตการปกครองของสาธารณรัฐ, 7 รายในแคว้นปกครองตนเอง คูฮิสตอนี บาดัคชาน (ทาจิก: Вилояти Мухтори Кӯҳистони Бадахшон), 21 รายในแคว้นคัตลอน (ทาจิก: Вилояти Хатлон), 70 รายในแคว้นซุกด์ ทำให้มีผู้ป่วยยืนยันในทุกภูมิภาคของประเทศ[56] ในวันที่ 6 พฤษภาคม สหพันธ์ฟุตบอลทาจิกิสถาน (ทาจิก: Федеросиюни футболи Тоҷикистон) ได้ยืดเวลาหยุดการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศ ออกไปอย่างไม่มีกำหนด[57] มิถุนายนวันที่ 8 มิถุนายน โยดการ์ ไฟซอฟ (ทาจิก: Ёдгор Файзов) ผู้บริหารของเขตปกครองตนเองคูฮิสตอนี บาดัคชาน ประกาศในการแถลงข่าว ณ ที่ทำการประจำภูมิภาคว่า จนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิต 22 คนจากโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่[58] จำนวนนี้คิดเป็น 46% ของจำนวนผู้เสียชีวิตรวมทั้งประเทศทาจิกิสถาน ![]() กรกฎาคมเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมในการแถลงข่าวซึ่งจัดขึ้นที่สำนักทะเบียนราษฎรแคว้นซุกด์ มีการรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวม 203 คน และเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและโรคปอดอื่น ๆ 109 คน ในภูมิภาคในช่วงหกเดือนแรกของปี ในขณะเดียวกันมีการตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงเวลาดังกล่าว "ไม่มีบันทึกทางการแพทย์ใดระบุว่าโควิด -19 เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต"[59] การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม หน่วยงานสาธารณสุขของแคว้นซุกด์ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนานับตั้งแต่การเริ่มต้นของการแพร่ระบาดภายในแคว้นซุกด์ 1,938 ราย ซึ่งหายป่วยแล้ว 1,891 ราย กำลังได้รับการรักษา 31 ราย และมีผู้เสียชีวิต 16 ราย[60] การสงเคราะห์ด้านมนุษยธรรมความช่วยเหลือจากต่างประเทศประเทศเยอรมันตามคำร้องขออย่างเป็นทางการของกระทรวงสาธารณสุขและการคุ้มครองประชากรทางสังคมแห่งสาธารณรัฐทาจิกิสถาน (ทาจิก: Вазорати тандурустӣ ва ҳифзи иҷтимоии аҳолии Ҷумҳурии Тоҷикистон) และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก กระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมัน: BMZ) สาขาของกรรมาธิการฝ่ายสังคม ภายใต้สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งเยอรมันในทาจิกิสถาน (เยอรมัน: Caritas Deutschland) ได้มอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมูลค่าเกือบ 33,500 ยูโรแก่ 16 เมืองและเขตในประเทศทาจิกิสถาน การบริจาคประกอบด้วยชุดสวมป้องกัน 2,000 ชุด, ชุดอุปกรณ์สุขอนามัย 810 ชุด และชุดอาหาร 400 ชุดเพื่อเสริมสร้างมาตรการป้องกันโรคโควิด-19[61] ประเทศจีนจีนได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทาจิกิสถาน เพื่อสนับสนุนความพยายามของทาจิกิสถานในการบรรเทาและป้องกันโรค พิธีส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจัดขึ้นที่ชายแดนทาจิกิสถานในเขตปกครองตนเองคูฮิสตอนี บาดัคชาน ทาจิก: ВМКБ) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2563 รายงานของกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศทาจิกิสถาน ระบุว่าการให้ความช่วยเหลือนี้รวมถึงชุดน้ำยาทดสอบกรดนิวคลีอิก 2,000 ชุด เพื่อตรวจหาไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19, หน้ากากครอบป้องกันทางการแพทย์ 1,000 ชุด, เครื่องวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัส 500 เครื่อง, ถุงมือและที่คลุมรองเท้าทางการแพทย์แบบใช้ครั้งเดียวอีก 1,000 ชุด[62] ประเทศคาซัคสถานในบริบทของวิกฤตโควิด -19 คาซัคสถานได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เพื่อนบ้านในเอเชียกลางอย่างคีร์กีซสถานและทาจิกิสถาน โดยตอบรับการร้องขอจากทั้งสองประเทศ เมษายน พ.ศ. 2563 ประธานาธิบดีแห่งคาซัคสถาน ฆาเซิม-โฌมาร์ต โตกาเยฟ ได้ตัดสินใจให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งสอง ซึ่งรวมถึงมอบแป้งสาลี 5,000 ตันสำหรับแต่ละประเทศ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 3 ล้านเหรียญสหรัฐ และการจัดหาอาหาร ทั้งคีร์กีซสถานและทาจิกิสถานได้ยื่นขอสินเชื่อฉุกเฉินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ของ IMF กล่าวว่าทาจิกิสถานอาจได้รับความช่วยเหลือเทียบเท่ากับโควตาของ IMF ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 240 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อนบ้านคีร์กีซสถาน ซึ่งได้รับเงินจากกองทุนไปแล้ว 121 ล้านเหรียญสหรัฐได้ขอให้เพิ่มทุนเป็นสองเท่าให้เท่ากับโควตาของประเทศเช่นกัน[63] ประเทศอุซเบกิสถานอุซเบกิสถานให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทาจิกิสถานประมาณ 2.5 ล้านดอลลาร์ โดยส่งขบวนรถไฟสิบแปดตู้ที่บรรทุกแป้งสาลี 1,000 ตันและอุปกรณ์ป้องกันทางการแพทย์ รวมถึงน้ำยาฆ่าเชื้อ, เสื้อคลุม, ถุงมือ, แว่นตา และหน้ากากทางการแพทย์แบบใช้ครั้งเดียว เดินทางถึงกรุงดูชานเบ เมื่อวันที่ 9 เมษายน[64][65] ตามคำสั่งของประธานาธิบดี ในวันที่ 8 พฤษภาคม นักวิทยาไวรัสชาวอุซเบก 8 คนและอุปกรณ์ทางการแพทย์น้ำหนักรวม 10 ตันรวมทั้งเครื่องช่วยหายใจ 10 เครื่องถูกส่งไปยังทาจิกิสถาน[66] ในวันที่ 9 พฤษภาคม มีการส่งมอบตู้คอนเทนเนอร์สำหรับเป็นหน่วยบริบาลทางการแพทย์จำนวน 144 ตู้โดยทางรถไฟจากอุซเบกิสถาน ไปยังโรงพยาบาลชั่วคราวที่สนามกีฬาบอฟานดา (ทาจิก: Варзишгоҳи Бофанда) ในเมืองดูชานเบ[67] ความช่วยเหลือจากต่างประเทศที่เชื่อว่ามาจากในประเทศมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดในประเด็น “ความช่วยเหลือเพื่อการกุศล” กับเวชภัณฑ์จาก "กลุ่มบริษัท อาเวสโต (ทาจิก: Авесто Групп)" ซึ่งเป็นบริษัทในท้องถิ่น โดยความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของจีนสำหรับทาจิกิสถานที่ถูกจัดส่งมาเป็นตู้สินค้า ได้ถูกเผยแพร่เป็นภาพวิดีโอบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งตราสัญลักษณ์มิตรภาพทาจิกิสถาน-จีนซึ่งเป็นของกลุ่มบริษัทดังกล่าวได้ปรากฏบนกล่องบรรเทาทุกข์ ผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมตกอยู่ในความขุ่นเคืองและการวิจารณ์อย่างรุนแรงต่อกลุ่มบริษัทดังกล่าว ซึ่งในความเห็นของฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองระบุว่า ส่วนหนึ่งของการกระทำนั้นเป็นของผู้ใกล้ชิดของประธานาธิบดี และเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานของวุฒิสภาทาจิกิสถาน (ทาจิก: Маҷлиси Миллии)[68] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia