วัดคุ้งตะเภา
วัดคุ้งตะเภา เป็นวัดโบราณในเขตการปกครองของคณะสงฆ์มหานิกาย และเป็น 1 ใน 9 วัดศักดิ์สิทธิ์สำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์[4] ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านคุ้งตะเภา ตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ใกล้กับจุดตัดสี่แยกคุ้งตะเภา บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข11 (ถนนสายเอเชีย) เป็นวัดประจำตำบลคุ้งตะเภา[5] วัดคุ้งตะเภาเป็นวัดโบราณมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับสถาปนาขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อปี 2313[6][7][8] เป็นวัดแห่งเดียวในปริมณฑลเมืองพิชัยและสวางคบุรี ที่ปรากฏหลักฐานการสถาปนาวัดในปีนั้น[9] ตำนานเล่าสืบกันมาว่า พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายคนกลับมาตั้งครัวเรือน สร้างวัดและศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ ณ ริมคุ้งสำเภา พร้อมทั้งตรัสเรียกชื่อวัดที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า "วัดคุ้งตะเภา"[10][11] ปัจจุบันทางราชการได้นำชื่อคุ้งตะเภาไปใช้ตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านและชื่อตำบลคุ้งตะเภาสืบมาจนปัจจุบัน วัดเคยเป็นที่สถิตย์ของพระครูสวางคมุนี เจ้าคณะใหญ่เมืองฝางมาตั้งแต่โบราณ[12] อีกทั้งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดอุตรดิตถ์ พระพุทธสุวรรณเภตรา และ พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี ปัจจุบันวัดคุ้งตะเภาเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่น[13] เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ แห่งที่ 3 (สำนักปฏิบัติธรรมภายใต้การกำกับของมหาเถรสมาคม)[14][15][16] และเป็นวัดประจำตำบลที่มีสถิติพระภิกษุสามเณรจำพรรษามากที่สุดในตำบลคุ้งตะเภา[3] เป็นศูนย์กลางทางด้านศาสนศึกษาในคณะสงฆ์ตำบลคุ้งตะเภา และมีอายุเก่าแก่ที่สุดในเขตปกครองคณะสงฆ์ตำบลคุ้งตะเภา เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่มูลนิธิ ๒๕๐ ปี วัดคุ้งตะเภา[17] ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ สำนักศาสนศึกษาประจำตำบล และหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลคุ้งตะเภา (อปต.) ซึ่งเป็นหน่วยอบรมฯ ที่มีผลงานดีเด่นระดับจังหวัดอุตรดิตถ์[18][19] โดยมี พระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ (แสงสิน) เป็นเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภา (จร.) [2] ประวัติการตั้งวัดวัดคุ้งตะเภาเป็นวัดโบราณ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มสร้างมาแต่สมัยใด จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในบริเวณวัด เช่น เศษกระเบื้องหลังคาตะขอดินเผาแกร่งแบบไม่เคลือบ เศษภาชนะกระเบื้องเคลือบสมัยราชวงศ์ชิง และเศษอิฐโบราณอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22–23 ในบริเวณวัด สันนิษฐานว่าพื้นที่ตั้งวัดคุ้งตะเภาน่าจะเริ่มมีพระภิกษุจำพรรษามาตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา ในชั้นเอกสารมีเพียงหลักฐานสืบค้นชั้นเก่าสุดระบุว่าได้รับอนุญาตให้ตั้งวัดในสมัยธนบุรี พ.ศ. 2313 อันเป็นปีที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จขึ้นมาปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ณ เมืองสวางคบุรี พร้อมโปรดเกล้าฯ ให้จัดการการปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือใหม่ ซึ่งในคราวนั้นพระองค์ได้ประทับอยู่จัดการคณะสงฆ์หัวเมืองฝ่ายเหนือ ณ เมืองสวางคบุรี ตลอดฤดูน้ำหลาก ซึ่งวัดคุ้งตะเภาเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในแถบย่านเมืองพิชัยและสวางคบุรี ที่ปรากฏหลักฐานการสถาปนาวัดขึ้น เมื่อคราวที่พระองค์ทรงชำระคณะสงฆ์หัวเมืองเหนือใหม่ในปีศักราชนั้น ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)[20][21] อย่างไรก็ตามจากหลักฐานตำนานของชื่อหมู่บ้านคุ้งตะเภา ทำให้ทราบว่าวัดคุ้งตะเภามีอายุมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา หากแต่เป็นวัดที่พักสงฆ์ในชุมชนขนาดเล็ก ไม่มีศาสนสถาน จึงอาจตกสำรวจการขึ้นทะเบียนของกรมการเมืองในสมัยอยุธยา หรืออาจเป็นไปได้ว่าหลักฐานได้สูญหายไปเมื่อคราวสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองแล้ว ทำให้นามวัดเพิ่งมีในทะเบียนใน พ.ศ. 2313[22] พระองค์สถาปนาวัดคุ้งตะเภา และสร้างศาลาบอกมูลฯ ขึ้นในคราวเดียวกันเพื่อให้เป็นศูนย์รวมชุมชนและเป็นที่พำนักสั่งสอนของพระสงฆ์ผู้ทรงภูมิธรรมที่ทรงอาราธนานิมนต์มาจากกรุงธนบุรี เนื่องจากความสำคัญยิ่งที่วัดคุ้งตะเภาเป็นวัดในชุมชนคนไทยดั้งเดิม ที่มีที่ตั้งอยู่เหนือสุด ท้ายพระราชอาณาเขตกรุงธนบุรีในสมัยนั้น ตามสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มาแต่โบราณ[23] วัดคุ้งตะเภาสร้างติดอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก เดิมชื่อ "วัดคุ้งสำเภา" (หรือโค้งสำเภา) จากตำนานที่เชื่อกันมาว่าในสมัยก่อนได้เคยมีเรือสำเภาอัปปางลงในบริเวณนี้ ตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าเสา ขึ้นกับเมืองพิไชย ต่อเมื่อผ่านเวลานานมาในสมัยธนบุรี จากตำนานหมู่บ้านกล่าวว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเปลี่ยนชื่อเป็น คุ้งตะเภา[24] สภาพวัดในอดีตปรากฏหลักฐานตามประวัติกรมการศาสนาว่า ในสมัยอาณาจักรธนบุรี วัดคุ้งตะเภามีศาลาการเปรียญอยู่ริมแม่น้ำหลังหนึ่ง ใช้สำหรับบำเพ็ญกุศลสำหรับหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านในย่านนี้ ต่อมาภายหลังแม่น้ำน่านเปลี่ยนทิศทางเดินออกไปไกลจากวัดมากกว่า 1 เส้น จึงเกิดแผ่นดินงอกขึ้นมาหน้าวัดซึ่งเป็นท้องน้ำเดิม ขณะเดียวกันก็มีเกาะเกิดขึ้นหน้าวัดด้วยตรงบริเวณหน้าค่ายพระยาพิชัยดาบหักปัจจุบัน ชาวบ้านย่านตำบลนี้อาศัยศาลาวัดคุ้งตะเภาเป็นสถานที่เล่าเรียนมาโดยตลอด มีพระสงฆ์เป็นอาจารย์บอกหนังสือมูลทั้งจินดามณีและมูลบทบรรพกิจรวมไปถึงเลขคณิตต่าง ๆ วัดแห่งนี้มีความเจริญมาโดยลำดับในสมัยรัตนโกสินทร์ จนในสมัยรัชกาลที่ 5 วัดคุ้งตะเภาได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาและปกครองของคณะสงฆ์ในแถบนี้ โดยปรากฏหลักฐานว่า ใน พ.ศ. 2431 เจ้าอธิการจัน เจ้าอาวาสวัดในสมัยนั้น ได้รับพระราชทานตาลปัตรพุดตาลทองแผ่ลวด ตั้งสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ พระครูสวางคมุนี ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่เมืองฝาง พร้อมได้รับพระราชทานพัดรองโหมด ย่ามสักลาด บาตรถุงสักลาด กาน้ำถ้วยกระโถนถ้วยร่มรองเท้า เป็นเครื่องยศประกอบตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่เมืองฝางอีกด้วย[25] ในปี พ.ศ. 2442 ปรากฏรายงานการศึกษามณฑลพิศณุโลก ได้ระบุว่า วัดคุ้งตะเภา มีพระ 8 รูป ศิษย์วัด 6 คน มีเจ้าอธิการรอดเป็นเจ้าอาวาส และผู้ใหญ่ชื่น เป็นมรรคนายก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของวัดคุ้งตะเภาในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี[26] จนต่อมาในปี พ.ศ. 2465 มีการจัดการศึกษาใหม่ วัดคุ้งตะเภาจึงมีครูเป็นฆราวาสสอนแทน เรียกว่าโรงเรียนวัดคุ้งตะเภา แต่ยังตั้งอยู่ในศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภาดุจเดิม โดยแบ่งเป็น 4 ชั้น ตั้งแต่ประถม 1 ถึง 4 ซึ่งโรงเรียนวัดคุ้งตะเภานี้นับเป็นโรงเรียนแห่งแรกของตำบลคุ้งตะเภาและแถบย่านแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก ในช่วงหลังมา แม่น้ำน่านในฤดูน้ำหลากได้ขึ้นกัดเซาะตลิ่งวัดพังจนเกือบถึงตัวศาลาการเปรียญ ชาวบ้านเกรงศาลาจะได้รับความเสียหาย จึงปรึกษากันย้ายศาลาการเปรียญเมื่อปี พ.ศ. 2472 อย่างไรก็ดี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แม่น้ำน่านได้เปลี่ยนทิศทางจากวัดไปมากแล้ว ทำให้วัดในช่วงหลังตั้งอยู่ไกลจากแม่น้ำ ความในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคราวเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ ทำให้ทราบว่าในสมัยนั้นหาดหน้าวัดได้งอกจากตลิ่งแม่น้ำเดิมไปมากแล้ว และคงมีสะพานไม้ทอดยาวลงไปหาแม่น้ำน่านมาก่อนหน้านั้น โดยในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2444 พระองค์ทรงสังเกตว่าวัดคุ้งตะเภาแปลกกว่าวัดอื่นตรงที่มีสะพานไม้ทอดยาวมาหาแม่น้ำน่าน ทรงมีพระบรมราชาธิบายว่า[27]
ด้วยเหตุที่แม่น้ำเปลี่ยนทิศไปไกลจากวัดในภายหลัง ทำให้แม่น้ำน่านหน้าวัดกลายเป็นที่งอก แต่ก็ยังคงสภาพเป็นตลิ่งเก่าที่กลายเป็นตลิ่งลำมาบของแม่น้ำน่านในฤดูฝน มีบุ่งน้ำขังในช่วงหน้าแล้งบ้าง พระสงฆ์และชาวบ้านคุ้งตะเภาในสมัยนั้นจึงสร้างสะพานไม้ยาวต่อจากวัดลงข้ามมาลงบุ่งคุ้งตะเภาและลงไปแม่น้ำน่านเพื่อการสัญจรและอุปโภคบริโภค สภาพวัดในปัจจุบันต่อมาในปี พ.ศ. 2493 หมู่บ้านคุ้งตะเภาประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้บ้านเรือนได้รับความเสียหายมาก ประกอบกับเส้นทางคมนาคมโดยแม่น้ำน่านได้ถูกลดความสำคัญในฐานะเส้นทางคมนาคมค้าขายสำคัญของภูมิภาคลงมาก่อนหน้านั้นแล้ว จาการตัดเส้นทางรถไฟผ่านเมืองอุตรดิตถ์ใน พ.ศ. 2459 ทำให้ชาวบ้านคุ้งตะเภาย้ายที่ตั้งหมู่บ้านขึ้นมาตั้งในที่ดอนจนถึงปัจจุบัน และหลังจากการตัดเส้นทางรถไฟผ่านเมืองอุตรดิตถ์ที่ทำให้แหล่งชุมนุมการค้าย่านท่าเสาและท่าอิฐหมดความสำคัญลงดังกล่าว ได้มาประกอบกับการที่ทางราชการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ปิดกั้นแม่น้ำน่านในเขตอำเภอท่าปลาในปี พ.ศ. 2510 ทำให้การคมนาคมทางน้ำของชาวบ้านคุ้งตะเภายุติลงสิ้นเชิง ชาวบ้านและพระสงฆ์จึงต้องเปลี่ยนมาใช้เส้นทางคมนาคมทางบกเป็นหลัก โดยใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำน่านที่ตั้งอยู่หน้าศาลาการเปรียญหลังเก่า (หลังที่ย้ายจากริมน้ำขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2472) เป็นเส้นทางสัญจร ปัจจุบันหลังจากมีการตัดทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 ผ่านหลังวัดคุ้งตะเภาในประมาณปี พ.ศ. 2522[28] ทำให้บริเวณหน้าวัดคุ้งตะเภาที่ใช้เส้นทางสัญจรมาตั้งแต่สมัยอยุธยาต้องเปลี่ยนมาเป็นหลังวัด และพื้นที่ด้านหลังวัดในสมัยก่อนกลายมาเป็นหน้าวัดดังในปัจจุบัน ปูชนียวัตถุ
วัดคุ้งตะเภามีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์จำนวน 2 องค์ และมีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 2 องค์ ได้แก่ พระพุทธสุวรรณเภตรา (หลวงพ่อสุวรรณเภตรา) เป็นหนึ่งในพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สำคัญ 9 องค์แห่งอุตรดิตถ์ องค์พระหล่อด้วยโลหะปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 47 นิ้ว สูง 62 นิ้ว (ตลอดถึงพระรัศมี) มีพุทธลักษณะสมัยสุโขทัย สถาปนาโดยพระครูธรรมกิจจาภิบาล อดีตพระครูเกจิในอดีต องค์พระได้อัญเชิญมาประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประธานในอุโบสถวัดคุ้งตะเภา และ พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี (หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์) เป็นพุทธลักษณะปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์บริสุทธิ์ หน้าตักกว้างศอกเศษ มีพุทธลักษณะงดงามตามแบบอย่างสกุลช่างสุโขทัย-เชียงแสน เดิมองค์พระถูกพอกปูนลงรักปิดทองอารักขาภัยไว้ ตัวองค์พระสำริดดังปรากฏในปัจจุบันนั้นสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยแรกก่อตั้งกรุงสุโขทัยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 พระบรมสารีริกธาตุวัดคุ้งตะเภาวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ Buddha's relics at Wat Khung Taphao
วัดคุ้งตะเภามีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานไว้ภายนอกพระมหาเจดีย์ปิด โดยได้รับมอบประทานมาจากสมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระสังฆนายกจากทั้งในและต่างประเทศ ทุกส่วนล้วนมีเอกสารและหนังสือกำกับพระบรมสารีริกธาตุแสดงว่าเป็นของพระบรมสารีริกธาตุส่วนดั้งเดิมแท้ที่รักษาสืบทอดมาแต่โบราณตั้งแต่สมัยพุทธกาล ปัจจุบันสถิตย์ภายในผอบแก้วภายในพระรัตนเจดีย์แก้ว ประดิษฐานบนพระแท่นบุษบกบรมคันธกุฎีภายในรัตนกุฎีพุทธวิหาร กลางอาคารอสีติวัสสายุมงคลมหาศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภา เปิดให้ประชาชนสักการบูชาได้ทุกวัน ส่วนที่ได้รับมาจากสมเด็จพระสังฆนายกแห่งประเทศพม่านั้น วัดได้รับมอบถวายต่อมาจากพระธรรมธีรราชมหามุนี (เที่ยง อคฺคธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร, เจ้าคณะภาค 11 (นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิ สุรินทร์) ซึ่งมีจำนวน 3 พระองค์[29] (ปัจจุบันเสด็จเพิ่มมาอีก 1 พระองค์ รวมเป็น 4 พระองค์) เป็นพระบรมสารีริกธาตุส่วนวิปปกิณณธาตุ ซึ่งเป็นของเดิมที่รัฐบาลพม่านำโดย อูนุ นายกรัฐมนตรีคนแรก ค้นพบ[30] ส่วนที่ได้รับมอบประทานมาจากพระสังฆราชไทย มีจำนวน 9 พระองค์ เป็นพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระองค์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก[31] ซึ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่รักษาสืบมาตั้งแต่เริ่มมีการเผยแผ่ศาสนาพุทธในแผ่นดินไทย พระบรมสารีริกธาตุจากประเทศสาธารณรัฐอินเดียเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ได้จากการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระโคตมพุทธเจ้า ณ มกุฏพันธนเจดีย์ กรุงกุสินารา แคว้นมัลละ โดยวัดคุ้งตะเภาได้รับมอบถวายจาก พระครูปลัดสุวัฒนพุทธิคุณ Phrakru Paladsuvatanaputthikun (Dr.Visine Vajiravungso) ประธานสงฆ์วัดไทยสิริราชคฤห์ อำเภอนาลันทา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย[32] สถาปัตยกรรมสำคัญวัดคุ้งตะเภาปรากฏหลักฐานโบราณสถานภายในวัดมีสถาปัตยกรรมแบบไทยกลาง สถาปัตยกรรมไทยภาคกลางศาลาการเปรียญไม้เครื่องสับโบราณศาลาประธานวัดคุ้งตะเภาหลังนี้เป็นอาคารทรงโรงเครื่องสับแบบภาคกลางโบราณ จากประวัติหลักฐานการสถาปนาวัดคุ้งตะเภากล่าวว่าใน พ.ศ. 2313 ระบุว่าวัดมีศาลาการเปรียญเก่าแก่อยู่หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ชาวบ้านคุ้งตะเภาได้ย้ายโครงสร้างศาลาดังกล่าว มา ณ ที่ตั้งปัจจุบันในปี พ.ศ. 2472 โดยคงรูปแบบเก่าแต่ครั้งธนบุรีไว้ด้วย ภูมิสภาปัตยกรรมมีรูปแบบศาลาโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีโครงสร้างคล้ายกับศาลาการเปรียญวัดใหญ่ท่าเสา โดยความเก่าแก่ของโครงสร้างและรูปแบบศาลาลักษณะนี้ อาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษประจำกรมศิลปากรกล่าวว่า เป็นรูปแบบโครงอาคารศาลาการเปรียญที่มีความเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอยุธยา จากที่ตั้งของตัวศาลานั้น เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณ ทำให้ทราบลักษณะการอยู่อาศัยและสัญจรของคนโบราณในแถบนี้ได้ เพราะที่ตั้งของตัวศาลาวัดในสมัยก่อนนั้นมักตั้งอยู่ริมแม่น้ำ (ปัจจุบันแม่น้ำน่านได้ตื้นเขินห่างจากตลิ่งศาลาวัดไปมากกว่า 1 กิโลเมตร) เป็นหลักฐานยืนยันถึงความเป็นวัดและหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์อัน ยาวนานกว่าวัดและหมู่บ้านอื่นในแถบนี้ เดิมนั้น ก่อนสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ตัวศาลาเดิมตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน อันเป็นทางสัญจรคมนาคมในสมัยก่อน ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าศาลาในที่ตั้งเดิมนั้นสร้างในสมัยใด (คาดว่าอาจจะสร้างมาแต่ครั้งแรกตั้งวัดในสมัยอยุธยาตอนปลาย) จากหลักฐานบ่อน้ำข้างบันไดศาลาทำให้ทราบว่าศาลาหลัง นี้ย้ายที่ตั้งขึ้นมาจากริม แนวแม่น้ำน่านเดิมบริเวณต้นโพธิ์หลังวัดมาตั้งในพื้นที่ปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2472 โดยตัวโครงศาลาประธานในปัจจุบันที่ย้ายมานี้น่าจะมีอายุเกือบร้อยปีแล้ว ศาลาการเปรียญหลังนี้ก่อนบูรณะ เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยภาคกลาง สร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง เสาทุกต้นเป็นเสาสี่เหลี่ยม เป็นอาคารทรงโรงขนาดกลาง หลังคาประดับช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ปูนปั้น หน้าบันเป็นพื้นไม้เรียบ เดิมเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน มีชายยื่นออกมารับทางขึ้นศาลาทางทิศเหนือ อักษรข้างบันไดศาลาระบุว่าสร้างในปี พ.ศ. 2483 ศาลาหลังนี้ใช้เป็นอาคารสำหรับบำเพ็ญกุศลหลักของวัด มีการบูรณะและต่อเติมจากตัวโครงศาลาเดิมมาเป็นระยะ ต่อมาได้มีการต่อเติมปิดทึบเฉพาะด้านหอพระ ห้องเก็บของของโรงครัวด้านทิศตะวันออกและตะวันตกบางส่วน และมีการสร้างบันไดใหม่ทางด้านทิศตะวันตกหลังจากมีการสร้างถนนสายเอเชีย ในยุคหลัง พ.ศ. 2500 ในปลายปี พ.ศ. 2549 ทางวัดคุ้งตะเภาได้ทำการบูรณะและต่อเติมศาลาการเปรียญครั้งใหญ่ (ปัจจุบันยังคงทำการบูรณะต่อเติมอยู่) มีการรื้ออาคารประกอบทั้งหมดออก โดยยังคงรักษาโครงไม้ตัวศาลาประธานเดิมไว้อยู่ ซึ่งหลังบูรณะเสร็จ หากมองจากภายนอกศาลาจะไม่สามารถเห็นตัวหลังคาศาลาเดิมได้อีกต่อไป เพราะการบูรณะนั้นมีการเสริมมุขและสร้างอาคารประกอบปิดรอบตัวศาลาประธานทั้งสี่ด้าน สถาปัตยกรรมล้านนาซุ้มประตูโขงวัดคุ้งตะเภาซุ้มประตูวัดคุ้งตะเภา ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดริมทางแยกคุ้งตะเภา (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 หรือ ถนนสายเอเชีย) ลักษณะซุ้มเป็นซุ้มประตูทรงไทยประยุกต์ศิลปะล้านนาขนาดใหญ่ ออกแบบโดยสล่าเมืองเหนือ ประยุกต์จากรูปแบบเจดีย์ล้านนาผสมรูปแบบซุ้มประตูโขงแบบล้านนา บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจำนวน 3 องค์บนองค์เจดีย์บนยอดซุ้ม ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ซุ้มจรนัมทั้ง 4 ด้าน ประดับเสาและตัวซุ้มด้วยลวดลายปูนปั้นสัตว์หิมพานต์และลายเครือเถาศิลปะล้าน นาสวยงาม โครงซุ้มประตูทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งซุ้ม ฐานเสาเข็มเทปูนแท่งเสริมเหล็กลึก 5 เมตร ขนาดกว้าง 5 เมตร สูง 19 เมตร ซุ้มประตูนี้สร้างแล้วเสร็จบริบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2545 พระธรรมเจดีย์วัดคุ้งตะเภามีเจดีย์ก่ออิฐถือปูนเก่าแก่อยู่องค์หนึ่ง มีสัณฐานแบบเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองประยุกต์ องค์เจดีย์มีซุ้มจรนัมทั้ง 4 ทิศ ยอดปล้องไฉนนพศูรย์ ล้วนทำด้วยปูนปั้นทั้งสิ้น สัณฐานสูง 3 เมตรโดยประมาณ ซุ้มจรนัมเจาะช่องเล็ก ๆ สำหรับไว้ช้างไม้และเครื่องบูชาปิดหน้าซุ้มด้วยแผ่นกระจก ปัจจุบันคงเหลือสมบูรณ์เพียงด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ บริเวณคอองค์เจดีย์มีกรอบอักษรทำด้วยปูนมีอักษรจารึกว่า "เดือนมิถุนายน ๒๔๙๓ นายบุตร นางไฝ ก่อพระธรรมเจดีย์อุทิศให้เจ้าอธิการกอง" เจดีย์นี้ชาวบ้านคุ้งตะเภาคนรุ่นก่อนเรียกว่าพระธรรมเจดีย์ หรือธรรมเจดีย์ ไว้สำหรับบรรจุใบลานธรรมสำหรับบูชา ผู้ที่ยังทันมาเห็นขณะสร้างเจดีย์กล่าวว่าผู้สร้างเจาะช่องบริเวณองค์เจดีย์ สำหรับไว้บรรจุพระธรรมใบลาน ปัจจุบันคาดว่าใบลานคงเปื่อยยุ่ยหมดแล้ว เนื่องจากความชำรุดและความชื้นขององค์เจดีย์ นอกจากนี้บริเวณทิศตะวันออกของพระธรรมเจดีย์ยังมีผู้มาสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิบรรพบุรุษด้วยโดยลอกแบบพระธรรมเจดีย์ไปสร้าง โดยเรียงจากทิศเหนือไปทิศใต้ ท่านเล่าว่าเจดีย์องค์แรกเป็นเจดีย์รวมสำหรับบรรจุอัฐิของบรรพบุรุษชาวบ้านคุ้งตะเภา โดยเคยมีซุ้มไม้กระดานเล็ก ๆ เขียนไล่สายบรรพบุรุษบ้านคุ้งตะเภาอยู่ แต่ปัจจุบันนี้ได้สูญหายไปหมดแล้ว[33] สถาปัตยกรรมแบบผสมอุโบสถวัดคุ้งตะเภาอุโบสถวัดคุ้งตะเภา เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2492 และสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2498 อาคารอุโบสถนี้เป็นอาคารปูนหลังแรกของหมู่บ้านคุ้งตะเภา สถาปัตยกรรมเดิมเป็นรูปแบบอุโบสถทรงไทยประยุกต์ช่างฝีมือพื้นบ้าน ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปประธานมีนามว่า "พระพุทธสุวรรณเภตรา" ผู้ดำริให้จัดสร้างคือ พระครูธรรมกิจจาภิบาล (กลม สุวณฺโณ) อธิบดีสงฆ์วัดดอยท่าเสา และเกจิอาจารย์รูปสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ในสมัยนั้น อุโบสถหลังนี้ได้รับการบูรณะใหญ่ใน ปี พ.ศ. 2537 โดยดำริของพระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ (เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภารูปปัจจุบัน) โดยทำการบูรณะเสร็จในปี พ.ศ. 2539 มีการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมไปจากเดิมมาก โดยการบูรณะครั้งหลังสุด ได้มีการก่อสร้างเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมทั้งไทยกลางและล้านนา เพื่อแสดงให้เห็นถึงบริบทวัฒนธรรมของจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่เป็นแหล่งศูนย์รวมของกลุ่มชาติพันธ์ไทที่หลากหลาย ทั้งไทยและล้านนาที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข อาคารศาลาการเปรียญเฉลิมพระเกียรติ"อาคารศาลาการเปรียญเฉลิมพระเกียรติ" หรือ "อาคารเฉลิมพระเกียรติอสีติวัสสายุมงคล" เป็นโครงการก่อสร้างอาคารใหม่ล้อมรอบศาลาการเปรียญทรงโรงไม้เครื่องสับโบราณของวัด บนพื้นที่ตั้งรอบศาลาการเปรียญหลังเก่า โดยอาคารใหม่ได้เริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2550 เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ ผสมผสานสถาปัตยกรรมทั้งสมัยโบราณและใหม่ มีซุ้มหน้าบันปูนปั้น พื้นปูด้วยไม้เนื้อแข็งทั้งอาคาร นับเป็นอาคารศาลาการเปรียญปูพื้นด้วยไม้เนื้อแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดอุตรดิตถ์ ปัจจุบันโครงการในส่วนอาคารคืบหน้าไปได้ร้อยละ 90 (พ.ศ. 2553) เมื่อโครงการนี้เสร็จสิ้น จะสามารถรองรับประชาชนได้ถึง 1,500 คน และพื้นที่ในอาคารจะถูกใช้เป็นสำนักงานวัดคุ้งตะเภา, ศูนย์สารสนเทศ, สำนักงานสำนักศาสนศึกษาวัดคุ้งตะเภา, หอสุวรรณเภตรามหาสังฆสมาคม (ห้องประชุมสงฆ์ปรับอากาศ), หอสังฆกิตติคุณาณุสรณ์, หอสมุดวัดคุ้งตะเภา และห้องพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดคุ้งตะเภา สถาปัตยกรรมร่วมสมัยหมู่กุฎิไม้วัดคุ้งตะเภาหมู่กุฎิไม้วัดคุ้งตะเภา สร้างขึ้นในที่ตั้งปัจจุบันในช่วง พ.ศ. 2500 โดยย้ายมาจากที่ตั้งเดิมบริเวณหลังวัดริมแม่น้ำน่านเก่า เพื่อปรับทิศทางให้ต้องตามหลักทักษาวัดโบราณ หลังการสร้างอุโบสถของวัดในปี พ.ศ. 2498 เป็นอาคารกลุ่มกุฎิสงฆ์หลังคาทรงปั้นหยาไม้เนื้อแข็ง 2 ชั้น ที่ได้รับอิทธิพลต่อเนื่องมาจากยุคเปลี่ยนแปลงการก่อสร้างสถาปัตยกรรมบ้านในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่มีการสร้างชานนั่งลดระดับแบบอาคารบ้านทรงไทยโบราณ ซึ่งเคยเป็นรูปแบบหมู่กุฎิสงฆ์ฝาไม้ประกนแบบภาคกลางโบราณอายุนับร้อยปีของวัดที่ถูกรื้อทิ้งเพราะความทรุดโทรม หมู่กุฎิสงฆ์วัดคุ้งตะเภาเก่า มีการต่อเติมและสร้างมาโดยตลอด โดยอาคารหลังแรกคือกุฎิเก่าที่สร้างโดยกำนันหลง ฟักสด และมีการก่อสร้างหอสวดมนต์ และกุฎิเจ้าอาวาส มาตามลำดับ ทุกอาคารมีทางเดิมเชื่อมถึงกันหมด ทุกอาคารยังคงอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดี ปัจจุบันกุฎิเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภายังได้เป็นที่ตั้งของตู้จัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดคุ้งตะเภาอีกด้วย อาณาเขตที่ตั้งวัดวัดคุ้งตะเภาได้รับอนุญาตให้สร้างวัดในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2313[34] ไม่มีหลักฐานระบุว่ามีพื้นที่วัดเท่าใด สันนิษฐานว่าพื้นที่ตั้งวัดเก่าอยู่ติดริมแม่น้ำน่าเก่า ปัจจุบันตัววัดที่จำพรรษาของพระสงฆ์ตั้งอยู่บนพื้นที่ดอน ห่างจากริมแม่น้ำน่านเก่าประมาณ 20 เมตร เขตติจีวราวิปวาสปัจจุบันตัววัดตั้งอยู่บนพื้นที่ดอน ห่างจากริมแม่น้ำน่านเก่าประมาณ 20 เมตร มีอาณาเขตสมมุติติจีวราวิปวาส หรือเขตที่ตั้งภายในกำแพงวัด เนื้อที่ 10 ไร่เศษ เมื่อรวมกับพื้นที่อาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ตั้งวัดด้านศาลาหลังเก่านอกกำแพงทางทิศเหนือลงไปพื้นที่ท้องแม่น้ำน่านโบราณ จะมีพื้นที่กรรมสิทธิ์รวม 14 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา เป็นพื้นที่หลักของวัด สำหรับพระสงฆ์สามเณรจำพรรษาและเป็นสถานที่ประกอบสังฆกรรมและกิจกรรมทางศาสนาของพระสงฆ์และชาวบ้าน เขตติจีวราวิปวาสวัดคุ้งตะเภา มีอุโบสถเป็นจุดศูนย์กลาง มีพื้นที่ติดต่อกับที่ดินข้างเคียง ดังต่อไปนี้
เขตวิสุงคามสีมาวัดคุ้งตะเภาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา หรือพื้นที่ตั้งสำหรับทำอุโบสถสังฆกรรม เมื่อวันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2490[35] เนื้อที่กว้าง 10 เมตร ยาว 29 เมตร มีเนื้อที่กว้าง 10 เมตร ยาว 29 เมตร ตั้งอยู่ภายในเขตติจีวราวิปวาสของวัด ตัวอาคารที่ตั้งบนวิสุงคามสีมาหรืออุโบสถนั้น เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2492 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2498 โดยอาคารอุโบสถนี้เป็นอาคารปูนหลังแรกของหมู่บ้านคุ้งตะเภา ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปประธานมีนามว่า "พระพุทธสุวรรณเภตรา" ผู้ดำริให้จัดสร้างคือ พระครูธรรมกิจจาภิบาล (กลม สุวณฺโณ) อธิบดีสงฆ์วัดดอยท่าเสา และเกจิอาจารย์รูปสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ในสมัยนั้น อุโบสถหลังนี้ได้รับการบูรณะใหญ่ใน ปี พ.ศ. 2537 โดยดำริของพระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ (เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภารูปปัจจุบัน) โดยทำการบูรณะเสร็จในปี 2539 ใช้เงินบูรณะจำนวน 1.6 ล้านบาท ที่ธรณีสงฆ์วัดคุ้งตะเภามีที่ธรณีสงฆ์เป็นกรรมสิทธิ์จำนวน 2 แปลง ธรณีสงฆ์แปลงที่หนึ่ง มีเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 58 ตารางวา (โฉนดที่ดิน เลขที่ 5014 เล่ม 51 หน้า 14) และที่ธรณีสงฆ์แปลงที่สอง มีเนื้อที่ - ไร่ 1 งาน 24 ตารางวา (โฉนดที่ดิน เลขที่ 76233 เล่ม 763 หน้า 33) ที่ธรณีสงฆ์ทั้งสองแปลง ตั้งอยู่ห่างจากตัววัดคุ้งตะเภาประมาณ 100 เมตรไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พื้นที่ธรณีสงฆ์นี้ เดิมเป็นพื้นที่สุสานของหมู่คุ้งตะเภาที่มีการกันเขตแน่นอน ต่อมาในประมาณปี พ.ศ. 2510 ชาวบ้านจึงได้ยกที่ธรณีสงฆ์นี้เป็นพื้นที่ฌาปนสถานวัดคุ้งตะเภา สำหรับใช้ประโยชน์หลักในการตั้งเมรุและศาลาธรรมสังเวช ต่อมาช่วงปี พ.ศ. 2539 มีการแบ่งพื้นที่ด้านติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 สำหรับตั้งร้านค้าชุมชน ธนาคารหมู่บ้าน ที่ธรณีสงฆ์วัดคุ้งตะเภา ปัจจุบันตั้งอยู่ติด ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 (พิษณุโลก-เด่นชัย) ขาขึ้น มีซุ้มประตูวัดคุ้งตะเภาเป็นจุดสังเกต พระภิกษุสงฆ์สามเณรในสังกัดปัจจุบันวัดคุ้งตะเภามีจำนวนพระภิกษุสามเณรจำพรรษาในพรรษากาลพ.ศ. 2553 ตามทะเบียนวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนา รวมทั้งสิ้น 68 รูป แบ่งเป็นพระสังฆาธิการ 2 รูป และพระลูกวัดในสังกัดวัดคุ้งตะเภาตามพฤตินัยและตามทะเบียนสุทธิสงฆ์อีก 15 รูป โดยเป็นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ชั้นพระครูสัญญาบัตร 1 รูป, พระฐานานุกรม 1 รูป, พระเปรียญ 1 รูป, สามเณรเปรียญ 1 รูป, พระวิปัสสนาจารย์ 3 รูป ในจำนวนนี้เป็นพระกรรมวาจาจารย์จำนวน 5 รูป, ครูสอนพระปริยัติธรรม 8 รูป, ครูสอนศีลธรรมในโรงเรียนในสังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 3 รูป และครูสอนศีลธรรมในโรงเรียนในสังกัดมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยจำนวน 7 รูป จบนักธรรมชั้นเอกจำนวน 9 รูป, นักธรรมชั้นโท 2 รูป และนักธรรมชั้นตรี 2 รูป มีพระนักศึกษาในระดับนักธรรมชั้นตรีจำนวน 5 รูป สามเณรนักเรียนที่เข้าสอบนักธรรมชั้นตรีในสังกัดวัดคุ้งตะเภา 52 รูป นักธรรมชั้นโท จำนวน 2 รูป และนักธรรมชั้นเอกจำนวน 2 รูป มีพระสงฆ์ที่สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญารวมทั้งที่กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาบัณฑิต (ปริญญาตรี) และปริญญามหาบัณฑิต (ปริญญาโท) ทั้งสิ้น 7 รูป ลำดับเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภาแม้วัดคุ้งตะเภาจะมีอายุมากกว่าสองร้อยปี แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกหลักฐานลำดับเจ้าอาวาสไว้ ทำให้ไม่สามารถพบรายชื่อลำดับเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภาตั้งแต่แรกสร้างวัด อย่างไรก็ดีในปี พ.ศ. 2535 มีการจัดทำบัญชีลำดับเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภา โดยอาศัยคำบอกเล่าจากคนรุ่นเก่าในหมู่บ้านที่ยังจำได้ สามารถสืบได้ 11 ลำดับด้วยกัน โดยไม่สามารถสันนิษฐานช่วงระยะเวลาดำรงตำแหน่งของเจ้าอาวาสแต่ละรูปได้ชัดเจน ลำดับเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภาเท่าที่สามารถสืบค้นได้มีดังต่อไปนี้ (ประมาณ พ.ศ. 2450 ถึง ปัจจุบัน)
ลำดับพระอุปัชฌาย์วัดคุ้งตะเภานับแต่องค์ปฐมเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภา ตามความในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) คือ พระพิมลธรรม (พระราชาคณะในสมัยกรุงธนบุรี) ที่ได้รับอาราธนาจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโดยทางราชการ ให้ขึ้นมาอยู่ประจำสั่งสอนพระธรรมวินัยในเมืองสวางคบุรี ในปี พ.ศ. 2313 พร้อมกับการสถาปนาวัดคุ้งตะเภาขึ้นในปีนั้น ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นนับตั้งแต่นั้น ก่อนที่จะมีกฎหมายระบุการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์โดยอนุมัติจากทางราชการไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5-6 วัดคุ้งตะเภาคงมีพระอุปัชฌาย์ไปตามพระธรรมวินัย อย่างไรก็ดีการกำหนดให้มีการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์โดยฝ่ายบ้านเมืองพึ่งเริ่มมีในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีประกาศเรื่องผู้จะบวชเป็นพระภิกษุให้มีประกันและการตั้งอุปัชฌาย์ จุลศักราช 1237 (พ.ศ. 2419) และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ. 2445) ประกอบกับประกาศกระทรวงธรรมการ เรื่อง ตั้งอุปัชฌายะ พ.ศ. 2456 ในสมัยรัชกาลที่ 6 วัดคุ้งตะเภาก็ไม่เคยมีพระภิกษุรูปใดได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์โดยถูกต้องจากทางราชการอีกเลย ดังนั้นในส่วนนี้จึงเป็นการแสดงลำดับพระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งโดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และตามความในข้อ 9 แห่ง กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 17 ( พ.ศ. 2536 ) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ ซึ่งมีเพียงจำนวน 3 รูป ดังต่อไปนี้ ลำดับพระอุปัชฌาย์วัดคุ้งตะเภา เท่าที่สามารถสืบค้นได้มีดังต่อไปนี้ (พ.ศ. 2313 ถึง ปัจจุบัน)
การปกครองวัดคณะ (กลุ่มกุฎิ)เนื่องจากวัดคุ้งตะเภามีพระสงฆ์จำพรรษามาก ประกอบกับพื้นที่วัดมีขนาดใหญ่ มีกลุ่มกุฎิหลายหลังตั้งอยู่ในทิศต่าง ๆ กระจายทั่วบริเวณวัด ลำบากแก่การปกครองดูแล เพื่อให้สะดวกแก่การปกครอง เพื่อแบ่งพื้นที่ในการดูแลรักษาวัด เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภาจึงได้ออกคำสั่งเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภา เรื่อง ตั้งคณะในวัดคุ้งตะเภา พ.ศ. 2553 [50] โดยมีการกำหนดเจ้าคณะ อำนาจหน้าที่ และพื้นที่ปกครองดูแล โดยมีการแบ่งคณะออกเป็น 7 คณะ เรียงตามทิศวนเข็มนาฬิกา โดยเริ่มจากกุฎิอธิบดีสงฆ์ (เจ้าอาวาส) เป็นต้นไป มีนามคณะคล้องจองสัมผัสกัน ดังนี้ คณะ 1 นามว่า คณะสถิตย์อธิบดี, คณะ 2 นามว่า คณะวสีพุทธมนต์, คณะ 3 นามว่า คณะอนันตเภสัช, คณะ 4 นามว่า คณะวิเวกวาสี, คณะ 5 นามว่า คณะมหาศาลาวิหาร, คณะ 6 นามว่า คณะอัษฏางคกุฎิ และ คณะ 7 นามว่า คณะสันติสถาน และหากนำศัพท์แรกของนามคณะทั้ง 7 มาเข้าสนธิศัพท์ในภาษาบาลีแล้ว จะได้เป็นคำสมาสบาลีดังนี้ "ฐิตวสิยานนฺตวิเวกมหนฺตฏฺฐมสนฺติ" (อ่านว่า: ฐิ-ตะ-วะ-สิ-ยา-นัน-ตะ-วิ-เว-กะ-มะ-หัน-ตัฏ-ฐ-มะ-สัน-ติ) แปลความว่า ความสงบอันยิ่งใหญ่ทั้ง 8 (อริยมรรคมีองค์แปด) อันเกิดจากสภาวะสงัด (สงัดจากกิเลสคือนิพพาน) อันไม่มีที่สิ้นสุดอันตั้งอยู่แล้ว โดยทั้ง 7 คณะ มีพื้นที่และสภาพด้านกายภาพภายในคณะต่าง ๆ ดังนี้ คณะ 1 (คณะสถิตย์อธิบดี)คณะ 1 มีเขตอุปจารคณะครอบคลุมกุฎิเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภาทั้งสองชั้น อาคารห้องน้ำสงฆ์ 2 ชั้น หอระฆัง 2 ชั้นแรก บริเวณพื้นที่ใต้ทางเดินเชื่อมระหว่างคณะ 1 และคณะ 2 ซุ้มป้ายประชาสัมพันธ์ มีพื้นที่อุปจารโดยรอบ จรดบริเวณพื้นที่กุฎิทิศเหนือนับจากชายคา 2 เมตร บริเวณพื้นที่หน้ากุฎิทิศตะวันออกนับจากชายคา 6 เมตร จรดขอบถนนหลักของวัด บริเวณพื้นที่กุฎิทิศใต้นับจากชายคาห้องน้ำสงฆ์ 2 เมตร และบริเวณป้ายประชาสัมพันธ์โดยรอบนับจากชายคา 2 เมตร คณะ 2 (คณะวสีพุทธมนต์)คณะ 2 คณะวสีพุทธมนต์ มีเขตอุปจารคณะครอบคลุมอาคารหอสวดมนต์วัดคุ้งตะเภาทั้งสองชั้น ห้องน้ำห้องสมุด 1 ห้อง หอระฆังชั้นที่ 3 บริเวณบนทางเดินเชื่อมระหว่างคณะ 1 และ 2 แทงค์น้ำ ถนนลาดปูนเข้าคณะ 1 เส้น มีพื้นที่อุปจารโดยรอบ จรดบริเวณพื้นที่รอบอาคารหอสวดมนต์วัดคุ้งตะเภาทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือ 5 เมตร เว้นทิศตะวันออก ให้มีพื้นที่นับจากชายคาออกไปอีก 12 เมตร จนสุดขอบถนนหลักของวัด คณะ 3 (คณะอนันตเภสัช)คณะ 3 คณะอนันตเภสัช ประกอบด้วย ห้องกุฎิสงฆ์ 7 ห้อง ห้องน้ำประจำคณะ 3 ห้อง มีเขตอุปจารคณะครอบคลุมอาคารกุฎิเก่ากำนันหลงทรงปั้นหยาทั้งสองชั้น บริเวณทางเดินเชื่อมระหว่างคณะ 2 และ 3 ทั้งสองชั้น ทางเดินลาดปูนเข้าคณะ 1 เส้น ถนนลาดปูนเข้าคณะ 1 เส้น มีพื้นที่อุปจารโดยรอบ จรดบริเวณพื้นที่รอบอาคารกุฎิเก่ากำนันหลงทรงปั้นหยาทิศใต้ 8 เมตร ทิศตะวันตกนับจากชายคาทางเดินเชื่อมระหว่างคณะ 2 และ 3 จนจรดสุดกำแพงวัดทิศตะวันตก ทิศเหนือ 3 เมตร สุดที่ต้นมะขามป้อมใหญ่ ทิศตะวันออก มีพื้นที่นับจากชายคากุฎิเก่ากำนันหลงทรงปั้นหยาออกไปอีก 7 เมตร ครอบคลุมป่าสมุนไพร จนสุดทางเดินเท้าเข้าคณะ 4 และนับจากทางเดินเชื่อมระหว่างคณะ 2 และ 3 ไปอีก 23 เมตร จนสุดขอบถนนหลักของวัด คณะ 4 (คณะวิเวกวาสี)คณะ 4 คณะวิเวกวาสี มีเขตอุปจารคณะครอบคลุมอาคารกุฎิกรรมฐานกลางป่าสมุนไพรทั้งสองชั้น มีพื้นที่อุปจารโดยรอบ จรดบริเวณพื้นที่รอบอาคารกุฎิกรรมฐานทิศใต้ 5 เมตร ทิศตะวันตก จรดสุดกำแพงวัดทิศตะวันตก และทิศเหนือ 42 เมตร จรดสุดกำแพงวัดทิศเหนือ ครอบคลุมป่าสมุนไพรทั้งหมด ทิศตะวันออก มีพื้นที่นับจากอาคารกุฎิกรรมฐาน 15 เมตร สุดที่แทงค์เครื่องกรองน้ำประจำวัด และมีอุปจารครอบคลุมพื้นที่ลานดินหน้าอาคาร และทางเดินเท้าเข้าคณะจากถนนหลักและจากถนนลาดปูนเข้าคณะ 3 ยาว 30 เมตร คณะ 5 (คณะมหาศาลาวิหาร)คณะ 5 คณะมหาศาลาวิหาร มีเขตอุปจารคณะครอบคลุมอาคารมหาศาลาการเปรียญของวัดคุ้งตะเภาทั้งอาคาร รวมถึงอาคารหอฉัน ห้องน้ำประจำคณะ 20 ห้อง มีพื้นที่อุปจารโดยรอบ ทิศใต้นับจากชายคาอาคาร 11 เมตร จรดถนนรอบอุโบสถ ทิศตะวันตกนับจากชายคาอาคารหอฉัน 8 เมตร ทิศเหนือนับจากชายคาจนสุดเขตกำแพงวัด และพื้นที่นอกกำแพง 1 เมตร ทิศตะวันออก นับจากชายคาอาคาร 30 เมตรจนสุดกำแพงวัดทิศตะวันออก คณะ 6 (คณะอัษฏางคกุฎิ)คณะ 6 คณะอัษฏางคกุฎิ มีเขตอุปจารคณะประกอบด้วย พระธรรมเจดีย์ กลุ่มกุฎิเดี่ยว 8 หลัง ห้องน้ำ 8 ห้อง ถนนลาดปูนภายในคณะ 55 เมตร ป่าสมุนไพร และป้ายประชาสัมพันธ์ ที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของวัด ทิศตะวันตกนับจากถนนหลักของวัดเข้ามา ทิศตะวันออกนับจากกำแพงวัดเข้ามา ทิศใต้นับจากกำแพงวัดเข้ามา ทิศเหนือนับจากถนนจุฑามาศวิถีเข้ามา รวมถึงบริเวณพื้นที่นับจากชายคาหน้าอุโบสถจนสุดกำแพงวัด ถนนหลักของวัดเส้นเหนือโบสถ์เข้ามาจนสุดกำแพงทิศใต้ และพื้นที่รอบต้นไทรใหญ่หลังอุโบสถ คณะ 7 (คณะสันติสถาน)คณะ 7 คณะสันติสถาน ประกอบด้วย กุฎิสงฆ์ 1 หลัง ห้องรับรองพระมหาเถระปรับอากาศ 1 หลัง ห้องน้ำประจำคณะ 2 ห้อง มีเขตอุปจารคณะดังนี้ ทิศตะวันออก จากกำแพงวัดทิศตะวันตกจรดถนนหลักของวัด ทิศเหนือจากกำแพงวัดทิศใต้จรดชายคาคณะ 1 และ 2 การบริหารวัดเนื่องด้วยวัดคุ้งตะเภา จัดตั้งขึ้นโดยเป็นวัดพุทธศาสนานิกายเถรวาท ฝ่ายมหานิกาย จึงอยู่ในการปกครองของมหาเถรสมาคม อันเป็นองค์กรปกครองหลักของคณะสงฆ์เถรวาทในประเทศไทย วัดคุ้งตะเภาในปัจจุบันจึงดำเนินการศาสนกิจอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย[51] แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535[52] โดยปัจจุบันมีบุคลากรที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการกิจการภายในวัดที่ได้รับการแต่งตั้งโดยถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของมหาเถรสมาคมจำนวน 4 คน แบ่งเป็นพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส (ซึ่งตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 เจ้าอาวาสถือเป็นผู้ปกครองวัดตามมาตรา 36 เป็นผู้แทนของวัดตามมาตรา 31 วรรค 3 เป็นเจ้าพนักงานวัดตามมาตรา 45) จำนวน 1 รูป และคฤหัสถ์ผู้ทำหน้าที่ไวยาวัจกรจำนวน 3 คน อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันวัดคุ้งตะเภามีพระสงฆ์ผู้ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจำนวน 3 รูป แบ่งเป็นพระฐานานุกรมจำนวน 1 รูป และพระเปรียญจำนวน 2 รูป ตำแหน่งสมณศักดิ์ดังกล่าวเป็นเพียงการยกย่องเชิดชูเช่นเดียวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการบริหารจัดการวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์แต่อย่างใด พระสังฆาธิการวัดคุ้งตะเภา
ไวยาวัจกรวัดคุ้งตะเภาปัจจุบันวัดคุ้งตะเภามีไวยาวัจกร ทำหน้าที่ช่วยเหลือพระสงฆ์ที่ได้รับการแต่งตั้งในเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภารูปปัจจุบัน ตามความในข้อ 10 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2536) โดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ 7 วรรคแรก แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2536) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505[54] แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535[55] จำนวน 6 ตำแหน่ง แบ่งเป็นไวยาวัจกรคนที่ 1 รับผิดชอบงานฝ่ายบัญชี (บัญชีและการบริหารงบดุลภายในวัด) ไวยาวัจกรคนที่ 2 รับผิดชอบงานฝ่ายศาสนพิธี ไวยาวัจกรคนที่ 3 รับผิดชอบงานฝ่ายพุทธสาธารณสถาน ไวยาวัจกรคนที่ 4 รับผิดชอบงานฝ่ายพุทธศาสนศึกษา ไวยาวัจกรคนที่ 5 รับผิดชอบงานฝ่ายพุทธศาสนสงเคราะห์ และไวยาวัจกรคนที่ 6 รับผิดชอบงานส่งเสริมการปฏิบัติธรรม รวมเป็น 6 คน
กิจกรรมหลักของวัดปัจุจบันวัดคุ้งตะเภา เป็นที่ตั้งของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลคุ้งตะเภา ซึ่งได้รับรางวัลเกียรติยศพัดและประกาศเกียรติคุณหน่วย อปต.ดีเด่น ระดับประเทศ[59] ดังนั้นวัดคุ้งตะเภา นอกจากจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การจัดสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่ประชาชนแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่เยาวชน (กิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน) เป็นที่ตั้งศูนย์การศึกษาของคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาสำหรับคฤหัสถ์ในเขตตำบลคุ้งตะเภา (สำนักศาสนศึกษาประจำตำบล) มีห้องสมุดทางพระพุทธศาสนาที่มีหนังสือเอกสารและตำราทางพระพุทธศาสนา กว่า 5000 เล่ม (สุวรรณเภตราบรรณาคาร) เป็นศูนย์กลางอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมของท้องถิ่น และเป็นศูนย์รวมการจัดกิจกรรมของฝ่ายปกครองและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ทั่วไปของชุมชนคุ้งตะเภา รวมทั้งเป็นศูนย์ศึกษาสมุนไพรในวัดประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ (ตามโครงการของทางคณะสงฆ์) ซึ่งมีสมุนไพรหายากหลากชนิดกว่า 500 ชนิด งานบุญประเพณีเนื่องด้วยวัดคุ้งตะเภา ตั้งอยู่ในชุมชนโบราณอายุกว่าสามร้อยปี ที่มีความสืบเนื่องมาจากวัฒนธรรมอยุธยา ดังนั้นประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมส่วนใหญ่ของหมู่บ้านคุ้งตะเภาจึงคล้ายกับหมู่บ้านในแถบภาคกลางตอนบน เพราะโดยพื้นเพของคนคุ้งตะเภานั้นเป็น “คนไทยเหนือ” ตามคำปากของคนในสมัยอยุธยา คือเป็นคนไทยเดิมที่ตั้งถิ่นฐานแถบเมืองพิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย ฯ โดยคนคุ้งตะเภานั้นมีสำเนียงการพูดคล้ายคนสุโขทัย,เมืองฝางสวางคบุรีและทุ่งยั้ง มีประเพณีและวัฒนธรรมไม่แตกต่างจากชาวพุทธเถรวาทในแถบภาคกลางตอนบนของประเทศไทย โดยส่วนใหญ่การจัดประเพณีหรือกิจกรรมของหมู่บ้านมักจะจัดที่วัดประจำหมู่บ้าน ปัจจุบัน วัดคุ้งตะเภา เป็นศูนย์กลางของชุมชนบ้านคุ้งตะเภา ในการจัดงานกิจกรรมประเพณีตลอดทั้งปี เรียกว่า ประเพณี 9 เดือน ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน 2 ไปจนสิ้นสุดเดือน 11 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย คือในเดือน 2 มีประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือก เดือน 3 ประเพณีวันมาฆบูชา เดือน 4 ประเพณีวันตรุษไทย เดือน 5 ประเพณีวันสงกรานต์ เดือน 6 ประเพณีวันวิสาขบูชา เดือน 7 ประเพณีสลากภัต เดือน 8 ประเพณีวันวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา เดือน 10 งานบุญมหาชาติ และประเพณีวันสารทไทย เดือน 11 ประเพณีวันออกพรรษาตักบาตรเทโว และประเพณีกฐินสามัคคี ดูเพิ่มได้ที่ หมู่บ้านคุ้งตะเภา#วัฒนธรรมประเพณี การจัดสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่ประชาชนวัดคุ้งตะเภา เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ แห่งที่ 3 (สำนักปฏิบัติธรรมภายใต้การกำกับของมหาเถรสมาคม)[15][16] มีพระภิกษุผู้ได้รับการฝึกอบรมและผ่านหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์ (หลักสูตรของมหาเถรสมาคม) จำนวน 3 รูป[60] คือ พระทองเพียร อุปสนฺโต (สำเร็จหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์ รุ่น 1) และพระเที่ยง นิติสาโร (สำเร็จหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์ ปี 2553) พระนพรัตน์ สุธีโร (สำเร็จหลักสูตรกัมมัฏฐานสายภัตทันตะธรรมาจาริยะ) นอกจากนี้เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภารูปปัจจุบัน คือหลวงพ่อพระสมุห์สมชาย ท่านเป็นศิษย์สายธุดงค์พระกัมมัฏฐาน ที่เคยออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์สายหลวงปู่มั่น และเคยเป็นศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อพุทธทาส หรือ พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ) วัดคุ้งตะเภาจึงมีศักยภาพสูงในการจัดการสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่ประชาชนในท้องถิ่น ปัจจุบันวัดคุ้งตะเภามีการจัดกิจกรรมสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่ประชาชนในวันหยุด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนวัดคุ้งตะเภาวัดคุ้งตะเภาได้จัดกิจกรรมบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนติดต่อกันมาทุกปีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ซึ่งนับเป็นวัดแรก ๆ ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ได้จัดให้มีโครงการนี้ขึ้น ปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 15 (พ.ศ. 2555) ซึ่งทางวัดจะมีการจัดการอบรมศาสนศึกษาระยะสั้นให้แก่กุลบุตร กุลธิดา ตลอดระยะเวลาการบรรพชา 30 วันรวมทั้งมีการจัดให้มีการนำคณะสามเณรศีลจาริณีไปทัศนศึกษาตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัด อีกทั้งเมื่อสิ้นสุดโครงการยังมีการจัดธุดงค์วัตร นำคณะสามเณรผู้สนใจไปธุดงค์ตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์ ฝึกความอดทนและความมีน้ำใจให้แก่เยาวชนอีกด้วย ในการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งผู้เข้าร่วมโครงการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทุนปัจจัยทั้งหมดอาศัยแรงศรัทธาความสามัคคีร่วมใจของชาวบ้านคุ้งตะเภาและใกล้เคียงที่เล็งเห็นถึงผลของการพัฒนาลูกหลานเยาวชนให้กลายเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพต่อไป[60] สำนักศาสนศึกษาวัดคุ้งตะเภาการจัดให้การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมศึกษาหรือการศึกษาวิชาธรรมของคฤหัสถ์ (ผู้ไม่ใช่นักบวช) ของวัดคุ้งตะเภา หรือ สำนักศาสนศึกษาวัดคุ้งตะเภานั้น เริ่มจัดการเรียนการสอนในปี พ.ศ. 2540 อันเป็นช่วงแรก ๆ ที่แม่กองธรรมสนามหลวงเปิดโอกาสให้มีการสอบไล่ธรรมศึกษาสำหรับคฤหัสถ์ในต่างจังหวัดขึ้น โดยในช่วงแรก พระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ (แสงสิน) เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภา ได้ดำเนินการประสานงานไปยังโรงเรียนในเขตตำบลคุ้งตะเภาขอนำพระสงฆ์เข้าสอนจริยธรรมและธรรมศึกษาในโรงเรียน ซึ่งการจัดการเรียนการสอนในครั้งนั้นประสบผลสำเร็จไปด้วยดี มีนักเรียนและผู้สนใจสอบไล่ได้ธรรมศึกษาเป็นจำนวนมาก ต่อมาเจ้าคณะตำบลในขณะนั้นได้เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาธรรมของคฤหัสถ์ดังกล่าว จึงได้ดำเนินการขอจัดตั้งสำนักศาสนศึกษาประจำตำบลคุ้งตะเภา ขึ้นที่วัดคุ้งตะเภาเป็นต้นมา และยังคงมีการดำเนินการต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน จนในปี พ.ศ. 2554 นายโยธินศร์ สมุทรคีรีจ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ลงนามในประกาศจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ 1/2554 จัดตั้งศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ขึ้นในวัดคุ้งตะเภาอย่างเป็นทางการ สำนักศาสนศึกษาวัดคุ้งตะเภาจึงมีภารกิจด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ในวัดเพิ่มเติมจากการทำการเรียนการสอนตามปกติในสถานศึกษาระดับพื้นฐาน โดยในส่วนของศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดคุ้งตะเภานั้นอยู่ภายใต้ความอุปถัมภ์ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม[61][60] ห้องสมุดพระพุทธศาสนาสุวรรณเภตราบรรณาคารปัจจุบันวัดคุ้งตะเภามีห้องสมุดจำนวน 2 ห้อง[60] โดยไม่มีอาคารแยกจำเพาะเป็นเอกเทศ หนังสือส่วนใหญ่ได้มาจากการรวบรวมของเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภารูปปัจจุบัน และจากการได้รับบริจาค โดยวัดคุ้งตะเภาได้ใช้แนวคิดการปรับปรุงอาคารศาสนสถานที่มีอยู่เดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อเป็นตัวอย่างแก่วัดอื่น ๆ โดยวัดคุ้งตะเภาได้ใช้พื้นที่อาคารหอสวดมนต์ จัดเป็นมุมหนังสือเก่า มีตู้หนังสือพระไตรปิฎก หนังสือธรรมะ หนังสือเรียนนักธรรม-บาลี เทปคาสเซตธรรมะ และเอกสารอื่น ๆ และได้จัดพื้นที่ด้านทิศเหนือของอาคารศาลาการเปรียญเป็นห้องสมุดของวัด เรียกว่า “สุวรรณเภตราบรรณาคาร” ประกอบไปด้วยหนังสือทั้งหนังสือธรรมะทั่วไป พระไตรปิฎก อรรถกถา ธรรมะประยุกต์ หนังสือเรียนธรรม หนังสือเชิงวิชาการ ทั้งด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และวิทยานิพนธ์พระพุทธศาสนา รวมไปถึงหนังสือเชิงปกิณกะอื่น ๆ กว่า 5,000 เล่ม ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และง่ายต่อการเข้าถึงแหล่งความรู้ทางธรรมะของสาธุชนผู้เข้ามาใช้สถานที่ในวัดคุ้งตะเภาในโอกาสต่าง ๆ [33] พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดคุ้งตะเภาพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดคุ้งตะเภา หรือ พิพิธภัณฑ์สุวรรณเภตราภัณฑาคาร (อังกฤษ: Wat Kungtapao Local Museum ) เป็นแหล่งการเรียนรู้ท้องถิ่นขนาดเล็กของวัด จัดแสดงเอกสารโบราณและวัตถุโบราณของวัดและชุมชนหมู่บ้านคุ้งตะเภา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2549 โดยพระอาจารย์อู๋ วชิรญาโณ (แสงสิน) และพระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ (แสงสิน) รองเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภาในสมัยนั้น เพื่อเป็นสถานที่สำหรับรวบรวมเอกสารโบราณและวัตถุโบราณของวัดและที่ทางวัดได้รับบริจาคจากชาวบ้าน เช่น พระพุทธรูปโบราณ สมุดไทย สมุดข่อย ใบลาน นำมาจัดแสดงให้คนในท้องถิ่นได้ศึกษาขนบวัฒนธรรมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในอดีต ของบรรพบุรุษ และเพื่อให้คนในท้องถิ่นได้รับรู้และเกิดความภาคภูมิใจในมรดกและความเป็นมา ของชุมชนบ้านคุ้งตะเภาที่มีอายุความเป็นมายาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย[60] ศูนย์กลางในการจัดและเผยแพร่กิจกรรมสำคัญของชุมชนวัดคุ้งตะเภา ในฐานะศูนย์กลางของชุมชนคุ้งตะเภา ได้มีการจัดกิจกรรมแก่ประชาชนในวัดในหลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นสถานที่ประชาชนผู้สนใจได้เข้ามาศึกษาเพื่อเพิ่มพูนพัฒนาศักยภาพในการประกอบอาชีพ เช่น การพัฒนาทักษะด้านสมุนไพรไทย รวมถึงเคยเป็นที่ตั้งของศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนตำบลคุ้งตะเภาอีกด้วย ผลของการมีบทบาทดังกล่าวทำให้วัดคุ้งตะเภาเป็นที่ตั้งของสำนักงานสหกรณ์สมาพันธ์เกษตรกรเพื่อการพัฒนา ภาคเหนือตอนล่าง หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลคุ้งตะเภา (อปต.) รวมทั้งอาคารธนาคารหมู่บ้านคุ้งตะเภา ซึ่งมีที่ตั้งอาคารทำการอยู่ที่บริเวณวัดคุ้งตะเภา[33] นอกจากนี้วัดคุ้งตะเภายังมีหอติดตั้งเครื่องกระจายเสียงจำนวน 1 เสา มีรัศมีการกระจายเสียงประมาณ 5 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ หมู่บ้านคุ้งตะเภาทั้งหมู่บ้าน และบางส่วนของหมู่บ้านหัวหาด หมู่บ้านป่าขนุน รวมทั้งบางส่วนของตำบลท่าเสา โดยใช้เป็นเครื่องประกาศกิจกรรมและการเผยแพร่ธรรมของวัด และใช้เป็นเครื่องประชาสัมพันธ์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของหมู่บ้าน โดยวัดคุ้งตะเภามีกองทุนเครื่องกระจายเสียงเพื่อนำเงินบูรณะซ่อมแซมให้หอกระจายข่าวใช้งานได้ตลอดเวลา[60] ศูนย์ศึกษาสมุนไพรในวัดประจำจังหวัดอุตรดิตถ์สวนป่ารุกขชาติวัดคุ้งตะะเภาวัดคุ้งตะเภาได้จัดพื้นที่ตั้งวัดด้านทิศเหนือ และบางส่วนของพื้นที่ตั้งวัด สำหรับเป็นพื้นที่สวนรุกขชาติ สระน้ำ แปลงสวนป่าปลูกพรรณไม้เนื้อแข็ง อาคารเพาะชำ บรรยากาศโดยทั่วไปมีพื้นที่ร่มรื่น เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางวัดใช้พื้นที่ส่วนนี้ยางส่วนสำหรับปลูกพรรณไม้ชนิดล้มลุก หรือพืชลงหัว ซึ่งจะแตกใบสวยงามในช่วงฤดูฝน ส่วนในช่วงฤดูแล้ง จะเป็นพื้นที่ลานโล่งใต้ต้นไม้ สลับกับพื้นที่เนินดินไหล่เขาขนาดเล็กสวยงามเหมาะกับการปฏิบัติธรรมและหย่อนใจ บริเวณติดกันนั้นเป็นพื้นที่ทำการเกษตรของประชาชน[60] สวนพฤกษศาสตร์สมุนไพรวัดคุ้งตะเภาสวนพฤกษศาสตร์สมุนไพรวัดคุ้งตะเภา หรือ สวนสมุนไพรวัดคุ้งตะเภา ได้รับการจัดตั้งให้เป็น ศูนย์ศึกษาสมุนไพรในวัดประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ในปี พ.ศ. 2547 เนื่องจากวัดคุ้งตะเภามีพระภิกษุผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรแผนโบราณ ได้เป็นผู้รวบรวมสมุนไพรหายากจากสถานที่ต่าง ๆ มารวมไว้ในวัด (ในปัจจุบันในวัดมีต้นยาสมุนไพรทั้งสิ้นกว่า 500 ชนิด) เพื่อให้ความรู้แก่ผู้สนใจและเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้านในด้านการอนุรักษ์สมุนไพร[33] ทางวัดได้แบ่งเขตสังฆาวาสส่วนหนึ่งให้เป็นพื้นที่ปลูกสมุนไพรที่รวบรวมมาได้จากที่ต่าง ๆ นำมาปลูกไว้ ทั้งชนิดต้นและชนิดไม้ลงหัว ไปจนกระทั่งไม้เลื้อยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รวบรวมพืชสมุนไพรไทยที่หาชมได้ยากนำมาปลูกในเขตพื้นที่บริเวณวัดหลายร้อยชนิด โดยเริ่มทำการจัดหาสมุนไพรมาอนุรักษ์เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 ซึ่งผู้มีส่วนสำคัญในการริเริ่มการปลูกอนุรักษ์สมุนไพรในวัดคุ้งตะเภาก็คือ พระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภา พระอู๋ ปญฺญาวชิโร และพระธง ฐิติธมฺโม ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในการจำแนกพืชสมุนไพรไทย ปัจจุบันสวนสมุนไพรวัดคุ้งตะเภาเป็นสถานที่ศึกษาของสถานศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย โดยมีร่วมมือกับบุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เช่น กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข[62] โครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[63] สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ฯลฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลทางพฤษศาสตร์เพื่อการศึกษาต่อยอดทางวิชาการพืชสมุนไพรในระดับประเทศ[60] ในปัจจุบัน สวนป่าสมุนไพรวัดคุ้งตะเภา ยังคงปล่อยให้เป็นบรรยากาศธรรมชาติอันร่มรื่นเหมาะแก่การเจริญเติบโตของสมุนไพร ซ่อนเร้นสมุนไพรไทยหายากอันมีคุณประโยชน์ยิ่งในบริเวณป่า เป็นพื้นที่ป่าปลูกที่เงียบสงบเหมาะแก่การเจริญจิตตภาวนาห่างไกลจากสิ่งรบกวน สมกับคำว่า "สวนป่า" โดยแท้จริง[64] สำนักงานเลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ปัจจุบันวัดคุ้งตะเภาเป็นที่ตั้งสำนักงานเลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ในความดูแลของพระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภารูปปัจจุบัน รับผิดชอบงานทะเบียนครูสอนพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ และงานการศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกนักธรรมของพระสงฆ์และธรรมศึกษาของทุกโรงเรียนและสำนักเรียนในสังกัดอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ทั้งอำเภออีกด้วย[33] เกียรติคุณและรางวัลที่ได้รับวัดคุ้งตะเภา โดยพระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภารูปปัจจุบัน มีผลงานการพัฒนาจนเป็นที่ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับ ทำให้วัดคุ้งตะเภา ได้รับพระราชทานรางวัลและถวายรางวัลเกียรติยศต่าง ๆ ในฐานะที่เป็นวัดพัฒนาที่ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและสังคมในด้านต่าง ๆ จากพระบรมวงศานุวงศ์ และจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในวาระโอกาสต่าง ๆ หลายครั้งด้วยกัน ตามลำดับดังนี้
อื่น ๆพระเครื่องที่จัดสร้างโดยวัดคุ้งตะเภาวัดคุ้งตะเภาจัดสร้างพระเครื่องนับแต่ พ.ศ. 2538 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 3 รุ่น ดังนี้[33]
ดูเพิ่มอ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ วัดคุ้งตะเภา วิกิคำคมมีคำคมเกี่ยวกับ วัดคุ้งตะเภา วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
|
Portal di Ensiklopedia Dunia