วรเจตน์ ภาคีรัตน์
ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ (เกิด 23 สิงหาคม พ.ศ. 2512) เป็นนักกฎหมายชาวไทย อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[1] [2] และเป็นอาจารย์พิเศษในสถาบันการศึกษาอื่นอีกหลายแห่ง[3][4] มีชื่อเสียงจากการร่วมก่อตั้งคณะนิติราษฎร์[5] แต่เนื่องจากมีผู้ไม่เห็นด้วย จึงมีการต่อต้านวรเจตน์กับเพื่อนหลายครั้ง คราวร้ายแรงที่สุด มีผู้ทำร้ายร่างกายเขาจนบาดเจ็บ[6] มติชนออนไลน์ ให้วรเจตน์กับเพื่อนคณะนิติราษฎร์เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี 2553 ในสาขาวิชาการ[7] และสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีมติให้เขาเป็นศาสตราจารย์ในเดือนสิงหาคม 2557[8] ประวัติวรเจตน์เกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพี่น้องสี่คน[9] บิดาเป็นอดีตนายสถานีรถไฟบ้านม้า[9] เขาสนใจศึกษาการเมืองการปกครอง ด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็ก จึงมีแนวคิดที่จะศึกษาในสาขารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์[9] วรเจตน์จบการศึกษาชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา[10] จากนั้นเข้าศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนหอวังในกรุงเทพมหานคร[10] ระหว่างนั้น เขานั่งรถไฟไปโรงเรียนและกลับบ้านที่พระนครศรีอยุธยาทุกวัน โดยลงที่สถานีบางเขนแล้วต่อรถประจำทางไปยังโรงเรียน ต่อมา สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา[9], นิติศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2533[10] และรับทุนมูลนิธิอานันทมหิดลไปศึกษาต่อจนสำเร็จปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน (University of Göttingen) ประเทศเยอรมนี ด้วยคะแนนสูงสุดของรุ่น[10] และปริญญาเอก Doctor der Rechte (Summa cum Laude) จาก มหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน วรเจตน์ชื่นชอบนวนิยายจีน เช่น มังกรหยก, ฤทธิ์มีดสั้น[9] การทำงาน
การถูกทำร้ายร่างกายเหตุการณ์ในระยะหลัง วรเจตน์มีบทบาทแสดงความคิดเห็นทางกฎหมายต่อการเมืองในเชิงวิพากษ์ซึ่งไม่เป็นที่ชอบใจของบุคคลบางกลุ่ม วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 เวลาประมาณ 15:40 นาฬิกา มีชายสองคนเข้าทำร้ายร่างกายเขาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์[18] วรเจตน์ว่า ตนขับรถยนต์เก๋งเข้าไปจอดในคณะเพื่อเตรียมสอนในเวลาเย็น เมื่อลงจากรถ มีชายสองคนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง คนหนึ่งตะโกนว่า "กูรอมึงมานานแล้ว" และชกเข้าที่หน้าขวาเขาไม่ยั้ง จนแว่นตาที่เขาสวมอยู่กระเด็นตกพื้นเลนส์แตกเสียหาย เขาได้แต่ใช้มือปัดป้อง และเห็นหน้าชายทั้งสองไม่ชัด เนื่องจากสายตาสั้น เวลานั้น มีชายสองคนวิ่งเข้ามาช่วย ทราบภายหลังว่า เป็นเพื่อนอาจารย์ แต่ก็ถูกผู้ก่อเหตุทั้งคู่ผลักล้มลง จากนั้น คนทั้งสองวิ่งไปขึ้นจักรยานยนต์ แล้วพากันขับหลบหนีไป ระหว่างนั้นตะโกนไล่หลังว่า "ถ้ามึงอยากรู้ว่ากูเป็นใคร ให้ไปดูกล้องวงจรปิดดู เดี๋ยวก็รู้ว่ากูเอง"[18] ต่อมา เขาได้รับการนำส่งโรงพยาบาลธนบุรี แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย แพทย์ตรวจแล้วแถลงว่า มีบาดแผลฟกช้ำ และรอยขีดข่วนทั่วใบหน้าขวา ตั้งแต่โหนกแก้ม กรามขวา ไปจนถึงหน้าผาก กับทั้งมีเลือดไหลออกจากจมูก[18] การดำเนินคดีในวันนั้นเอง พลตำรวจโท วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และพลตำรวจตรี วิชัย สังข์ประไพ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมทั้งพนักงานสอบสวน เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่า กล้องวงจรปิดบันทึกภาพชายคู่ผู้ก่อเหตุและทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนีไว้ได้ชัดเจน[18] พลตำรวจตรี วิชัย ว่า พวกตนได้รับมอบหมายจากพลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้รับผิดชอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะประชาชนให้ความสนใจ เวลานี้ ทราบตัวชายสองคนดังกล่าวแล้ว และจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด[18] จากนั้น จึงนำกำลังไปจับกุมผู้ต้องสงสัยที่บ้านพักแต่ไม่พบ[6] สุธน เข็มเพ็ชร์ พนักงานรักษาความปลอดภัยของคณะ และแม่บ้านของคณะ ว่า จำหน้าคนร้ายได้อย่างแม่นยำ เพราะเคยร่วมงานเผาหุ่นวรเจตน์ประท้วงที่หน้าคณะเมื่อเดือนก่อน[19] และปิยบุตร แสงกนกกุล เพื่อนอาจารย์ของวรเจตน์ ว่า ก่อนหน้านี้ วรเจตน์ และสมาชิกคนอื่น ๆ ของคณะนิติราษฎร์ เคยรับทั้งโทรศัพท์และจดหมายข่มขู่ ซ้ำยังมีคนแปลกหน้าบุกมาหา ถึงคณะหลายครั้งด้วย แต่คาดไม่ถึงว่า จะเกิดเหตุร้ายขึ้นจริง[20] รุ่งขึ้น เวลา 11:30 นาฬิกา มีพี่น้องฝาแฝดเข้าแสดงตัวที่สถานีตำรวจชนะสงครามว่า เป็นผู้กระทำความ โดยแจ้งว่า คนหนึ่งชื่อ สุพจน์ ศิลารัตน์ อีกคนชื่อ สุพัฒน์ ทั้งสองอายุ 30 ปีเท่ากัน อาศัยอยู่และประกอบอาชีพค้าขายที่บ้านเลขที่ 12/382 หมู่ 4 ตำบลบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ทั้งคู่ให้การภาคเสธว่า ทำไปเพราะไม่เห็นด้วยที่คณะนิติราษฎร์เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่มิได้เตรียมการมา ในวันเกิดเหตุ ตั้งใจจะไปสักการะพระแก้วมรกตที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงแวะไปก่อเหตุเสียก่อน[21] ตำรวจสอบสวนแล้วเชื่อว่า เป็นบุคคลเดียวกับในภาพจากกล้องวงจรปิด แต่ไม่เชื่อว่า มิได้เตรียมการมา พันตำรวจโท ณัฐกร คุ้มทรัพย์ รองผู้กำกับการฝ่ายสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจชนะสงคราม ซึ่งร่วมเป็นพนักงานสอบสวน กล่าวว่า "จากพฤติกรรมเข้าใจว่า น่าจะติดตามความเคลื่อนไหวของนายวรเจตน์มานานพอสมควร ถึงรู้ว่า ขับรถยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร และจอดบริเวณไหนของมหาวิทยาลัย"[21] จากนั้น ตำรวจแถลงข่าวว่า แจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และ 296 ประกอบมาตรา 289 และ 83[6][21][22] พลตำรวจโท วินัย ยังกล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งสองมีประวัติกระทำความผิดลักษณะเดียวกันในหลายท้องที่[6] นอกจากนี้ ขณะที่นักข่าวขอสัมภาษณ์ สุพัฒน์ตอบว่า "อยากเตะนักข่าว"[6][21] ต่อมาวันที่ 8 มีนาคม 2555 เวลาเช้า พนักงานอัยการฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองเป็นจำเลยต่อศาลแขวงดุสิต ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งคู่ตามประมวลกฎหมายอาญาข้างต้น และสุพจน์ จำเลยที่ 1 เคยกระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1336/2553 ของศาลอาญา ซึ่งศาลอาญาพิพากษาจำคุกเจ็ดเดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ จึงขอให้นับโทษดังกล่าวต่อจากโทษในคดีนี้ด้วย[23][24] จำเลยทั้งสอง ให้การรับสารภาพ[24] บ่ายวันเดียวกัน ศาลแขวงดุสิตพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ให้จำคุกคนละหกเดือน คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ให้ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เป็นจำคุกคนละสามเดือน ให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 1336/2553 ของศาลอาญา รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 สิบเดือน และจำคุกจำเลยที่ 2 สามเดือน ไม่รอลงอาญา[24] จำเลยทั้งคู่อุทธรณ์[24] ญาติจำเลยขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ วางประกันคนละ 22,000 บาท ศาลอนุญาต[25] ปฏิกิริยาหลังทราบเหตุ สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กตนว่า ขอประณามความรุนแรงทุกประเภท ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้เหตุผล และแม้ว่าทางมหาวิทยาลัยจะรักษาความปลอดภัยดีแล้ว แต่ก็จะวางเวรยามเพิ่มต่อไป[18] อนึ่ง มีรายงานว่า "บรรดาเพื่อนอาจารย์...และลูกศิษย์ รวมทั้งประชาชนผู้สนับสนุนอาจารย์วรเจตน์ ต่างออกมาประณามการกระทำอันป่าเถื่อนครั้งนี้" และคณะนิติราษฎร์แถลงว่า "บอกได้เลยว่า พวกคุณคิดผิด หากคิดว่าเรากลัว...ขอยืนยัน เราจะสู้ด้วยเหตุผลต่อไป แม้พวกคุณจะใช้กำลัง"[6] ขณะที่ สมยศ เชื้อไทย อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า "การทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์...มิใช่เรื่องการทำร้ายร่างกายบุคคลธรรมดา...แต่ยังเป็นการทำร้ายและทำลายหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของฝ่ายข้างน้อยอย่างร้ายแรง หากสังคมไม่เกิดความสำนึกร่วมที่จะแสวงหาหลักประกันสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่าง ความพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยก็เป็นสิ่งที่ไร้ค่า จึงขอประณามการกระทำดังกล่าว"[21] และสมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า การกระทำของชายทั้งสองนั้น "ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ แต่จงใจมุ่งให้เกิดความแตกแยก และให้สังคมเกิดความโกลาหลวุ่นวาย ยากต่อการประนีประนอม หรือปรองดองสามัคคีระหว่างคนในสังคม"[26] ส่วนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เองออกแถลงการณ์ซึ่งมีเนื้อหาทำนองเดียวกัน กับทั้งวิงวอนให้สังคมใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง มหาวิทยาลัยยังได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย[27] เย็นวันที่ 1 มีนาคม 2555 มีบุคคลจำนวนมาก เข้าให้กำลังใจแก่วรเจตน์ โดยถือป้ายว่า "คิดต่าง แต่ไม่คิดต่อย" [26] การรายงานตัวต่อคณะรัฐประหารวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 หลังรัฐประหาร คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองซึ่งเรียกตนเองว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกคำสั่งฉบับที่ 5/2557 เพื่อให้วรเจตน์มารายงานตัว แต่ครั้งนั้นเขาไม่ไป และยังมีคำสั่งฉบับที่ 57/2557 เพื่อให้เขาไปรายงานตัวอีกครั้ง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานว่า วรเจตน์มอบหมายให้พัชรินทร์ ภริยา เข้ารายงานตัวแทน และให้เหตุผลว่า เขาป่วย จึงไม่สามารถเข้ารายงานตัวด้วยตนเอง[28] เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 สำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่า กำลังทหารตามคำสั่งคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองเข้าควบคุมตัววรเจตน์ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังเดินทางกลับจากเขตปกครองพิเศษฮ่องกง บางสำนักรายงานว่า เขาถูกกักตัวอยู่ก่อนแล้วเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ทว่า ในวันที่ 18 มิถุนายน 2557 ธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการในคณะนิติราษฎร์ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กตนว่า "ดร.วรเจตน์ ไม่ได้ถูกควบคุมตัว แต่ตัดสินใจเข้ารายงานตัวด้วยตัวเอง"[29] เช้าวันที่ 18 มิถุนายน 2557 ทหารควบคุมวรเจตน์มายังกองบังคับการกองปราบปราม เพื่อให้ตำรวจถามปากคำ และแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคณะผู้ยึดอำนาจการปกครอง วรเจตน์ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์แก้ผู้สื่อข่าว ครั้นเวลาประมาณ 12:30 นาฬิกา พนักงานสอบสวนกองปราบปรามและทหารนำเขาไปยังศาลทหารกรุงเทพฯ เพื่อขอฝากขังจนถึงวันที่ 27 มิถุนายน ศาลทหารอนุมัติ และให้นำวรเจตน์ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ครอบครัวของวรเจตน์ยื่นหลักทรัพย์เงินสด 20,000 บาท เพื่อขอประกันตัว ในเวลาประมาณ 16:00 นาฬิกา ศาลทหารอนุญาตให้ประกันตัว โดยมีเงื่อนไขห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องขออนุญาตก่อนออกนอกราชอาณาจักร และให้มารายงานตัวตามวันที่นัดหมาย มีผู้มาคอยต้อนรับและให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง[30] ต่อมาคดีดังกล่าวได้ถูกโอนจากศาลทหารกรุงเทพ ไปยังศาลแขวงดุสิต ซึ่งจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลแขวงดุสิตขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 30/2563 วินิจฉัยว่าประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 29/2557 และฉบับที่ 41/2557 เฉพาะในส่วนโทษทางอาญาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ[31] ต่อมาศาลแขวงดุสิตพิพากษายกฟ้องในคดีดังกล่าว[32] ผลงานหนังสือ
เกียรติประวัติ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |
Portal di Ensiklopedia Dunia