ผู้เผยพระวจนะ![]() ผู้เผยพระวจนะ (ศัพท์โปรเตสแตนต์) ประกาศก (ศัพท์คาทอลิก) หรือ ศาสดาพยากรณ์ (อังกฤษ: prophet; กรีก: προφήτης, เสียงอ่านภาษากรีก: [propʰḗtēs]: จากคำอุปสรรค προ- pro- แปลว่า เบื้องหน้า และ φημί เสียงอ่านภาษากรีก: [pʰēmí] แปลว่า พูด, กล่าวออกไป) หมายถึง ผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงเจิมตั้งไว้เพื่อการรับพระดำรัสของพระองค์มาถ่ายทอดสู่มวลมนุษย์ เป็นผู้ที่ทำนายอนาคต ผู้บอกเล่าอนาคต หรือประกาศคำสั่งสอนของพระเป็นเจ้า ปรากฏในความเชื่อของศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ภาคผนวกจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยได้อธิบายคำว่า “ผู้เผยพระวจนะ” ไว้ว่า “กระบอกเสียงของพระเจ้า คนที่ได้รับข่าวสารหรือพระดำรัสของพระเจ้าและประกาศให้แก่กลุ่มคนที่เจาะจง” บรรดาผู้เผยพระวจนะในความเชื่อของศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลามนั้น เชื่อถือในองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันคือพระยาห์เวห์ ซึ่งในอดีตกาลที่ผ่านมาหลังจากพระเจ้าทรงสร้างโลกแล้ว เพื่อให้มวลมนุษย์อยู่อย่างสงบสุขตามทางที่ถูกต้องในพระดำริของพระเจ้า พระองค์จึงตรัสสอนมวลมนุษย์ผ่านทางบุคคลต่าง ๆ ที่ทรงเห็นว่าเหมาะที่จะเรียกให้รับใช้ฝ่ายวิญญาณ เพื่อถ่ายทอดพระบัญชาจากพระดำรัสของพระองค์สู่มนุษย์ทั้งหลาย เราจึงเรียกบุคคลเหล่านี้ว่า “ผู้เผยพระวจนะ (ของพระเจ้า)” สมัยก่อนพระเจ้าทรงเลือกเพียงผู้เผยพระวจนะให้ชี้ทางแก่วงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น เพราะทรงต้องการให้ชาวยิวเท่านั้นที่รอดพ้นจากมารร้าย เหนือกว่าชนชาติใด ๆ จึงไม่ปรากฏผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าในชนชาติหรือศาสนาอื่น ๆ [ต้องการอ้างอิง] บรรดาผู้เผยพระวจนะที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิล ได้แก่
หน้าที่และลักษณะของผู้เผยพระวจนะ
ผู้เผยพระวจนะหญิง
ศาสนายูดาห์ชาวยิวเชื่อว่าพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึง มาลาคี เป็นคนสุดท้ายตามพระคัมภีร์ยิว (ภาคพันธสัญญาเดิม) จึงถือว่า มาลาคี เป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย และจัดรวมเป็น “ผู้เผยพระวจนะสมัยโบราณ” ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและออร์ทอดอกซ์เชื่อว่าประกาศกมีมาแต่ครั้งโบราณโดยเริ่มจากโมเสสเป็นคนแรก ตามพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เรื่อยมาจนถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นคนสุดท้าย[ต้องการอ้างอิง] เพราะถือว่าเป็นผู้ตระเตรียมทางให้แก่พระบุตรพระเป็นเจ้าคือพระเยซูคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์เชื่อว่าผู้เผยพระวจนะเริ่มต้นที่โมเสสมาเรื่อย ๆ แต่ยังไม่หมดมาถึงปัจจุบัน เพราะตั้งแต่โมเสสถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา นั้นเป็น “ผู้เผยพระวจนะสมัยโบราณ” แต่ผู้เผยพระวจนะไม่จำเป็นว่าต้องเป็นชชาวยิว เพราะเมื่อพระเยซูเสด็จมากระทำพระราชกิจ คือ การไถ่บาปแก่มวลมนุษย์ จึงเป็นการเปิดประตูแห่งพระสัญญานิรันดรสู่ชนชาติทั้งหลายทั่วโลกด้วย โดยนิกายโปรเตสแตนต์ ยกข้อพระคัมภีร์เรื่องพันธกรทั้งห้าของพระเจ้า มาว่า
นั่นคือการยกข้อพระคัมภีร์มากล่าวว่า เมื่องานของพระเจ้ายังไม่สำเร็จ ย่อมทรงเจิมตั้งผู้รับใช้ทั้งหลายมาเพื่อสานงานของพระองค์อย่างแน่นอน เมื่อคริสตจักรทั้งปวงยังแตกแยกและไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน งานรับใช้ก็ยังไม่สำเร็จ พันธกรทั้งห้าประการจึงยังต้องมีบทบาทในการทำงานตามพระประสงค์อยู่เสมอ ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล มาจนถึง ปัจจุบัน ศาสนาอิสลามอ้างอิง |
Portal di Ensiklopedia Dunia