ซัมเมอร์ วอร์ส
ซัมเมอร์ วอร์ส (ญี่ปุ่น: サマーウォーズ; โรมาจิ: Samā Wōzu; อังกฤษ: Summer Wars; ราชบัณฑิตยสถาน: ซัมเมอร์วอส์) เป็นอนิเมะบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์และวีรคติซึ่งมะโมะรุ โฮะโซะดะ (Mamoru Hosoda) กำกับ ซะโตะโกะ โอะกุเดะระ (Satoko Okudera) เขียนเรื่อง บริษัทแมดเฮาส์ (Madhouse) ผลิต และบริษัทวอร์เนอร์ บราเธอร์ส พิกเจอร์ส (Warner Bros. Pictures) เผยแพร่ในปี 2552 มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคนหนึ่งซึ่งเดินทางกับนักเรียนหญิงรุ่นพี่ร่วมโรงเรียนไปฉลองวันครบรอบวันเกิดปีที่เก้าสิบของย่าทวดของเธอในฤดูร้อน แต่ต้องร่วมกับครอบครัวของเธอต่อต้านนักเลงคอมพิวเตอร์ในโลกออนไลน์ อนิเมะเรื่องนี้ แมดเฮาส์สร้างสรรค์ขึ้นถัดจาก กระโดดจั๊มพ์ทะลุข้ามเวลา (The Girl Who Leapt Through Time) ซึ่งเป็นผลงานของโฮะโซะดะและโอะกุดะระเช่นกัน โดยเริ่มกระบวนการในปี 2549 และโยจิ ทะเกะชิเงะ (Yōji Takeshige) กำกับฝ่ายศิลป์ ในช่วงแรก ข่าวคราวเกี่ยวกับอนิเมะเป็นแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างปากต่อปากและทางอินเทอร์เน็ต กระนั้น ก็กระตุ้นความสนใจของสาธารณชนอย่างยิ่ง ต่อมาอีกสองปีจึงแถลงข่าวเปิดโครงการที่เทศกาลอนิเมะนานาชาติโตเกียว (Tokyo International Anime Fair) และเผยแพร่ตัวอย่างภาพยนตร์ครั้งแรกในเดือนเมษายน 2552[3] ในปีนั้นเอง จิตรกรอิกุระ ซุงิโมะโตะ (Iqura Sugimoto) ได้ดัดแปลงอนิเมะเป็นมังงะลงพิมพ์เป็นตอน ๆ ด้วย หลังจากฉายในโรงภาพยนตร์หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2552 อนิเมะเรื่องนี้ทำรายได้มากกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อสิ้นสัปดาห์แรก นับเป็นอนิเมะที่สร้างรายได้มากที่สุดเป็นอันดับที่เจ็ดในประเทศสำหรับสัปดาห์นั้น อนึ่ง ในภาพรวม อนิเมะนี้เป็นชื่นชอบของผู้ชมทั่วกัน ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางดี ได้รับรางวัลใหญ่หลายรางวัล และประสบความสำเร็จด้านรายได้ โดยรายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่สิบแปดล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทย บริษัทดรีม เอกซ์เพรส (เดกซ์) นำอนิเมะนี้เข้ามาฉายในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555 วันเดียว และ ณ กรุงเทพมหานครแห่งเดียว นับเป็นอนิเมะโรงเรื่องที่ห้าที่บริษัทนี้เผยแพร่ในราชอาณาจักร ต่อมา ได้ผลิตเป็นบลูเรย์และดีวีดีขายตั้งแต่เดือนเมษายน ปีนั้น[4] เนื้อเรื่องณ เวลาที่เรื่องดำเนินไปนั้น สังคมโลกทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนต่างพึ่งพาอาศัยระบบอินเทอร์เน็ตที่เรียก "อ็อซ" (OZ) เป็นอันมาก ครั้งนั้น เค็นจิ โคอิโสะ อายุสิบเจ็ดปี เป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์เกือบจะเป็นตัวแทนแข่งขันโอลิมปิกของประเทศญี่ปุ่น และทำงานนอกเวลาเป็นผู้ดูแลระบบอ็อซดังกล่าวพร้อมกับทาคาชิ ซาคุมะ เพื่อนสนิทของเขา วันหนึ่ง นัตสึกิ ชิโนะฮาระ หญิงสาวอายุสิบแปดปี ซึ่งเป็นนักเรียนรุ่นพี่ของเค็นจิ ชักชวนให้เขาไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันครบรอบวันเกิดปีที่เก้าสิบของซากาเอะ จินโนะอุจิ ย่าทวดของเธอ โดยว่า ให้ถือเป็นการจ้างทำงานพิเศษ เค็นจิซึ่งหลงรักเธออยู่แล้วจึงรับคำ และพร้อมกันเดินทางไปยังที่พำนักของนางซากาเอะ ณ ชานเมืองอุเอะดะ จังหวัดนะงะโนะ เมื่อถึงแล้ว เขาพบว่า บ้านตระกูลจินโนะอุจิเป็นหมู่คฤหาสน์เก่าแก่ใหญ่โต ตั้งอยู่บนเขาทั้งลูกซึ่งเป็นของตระกูล และตระกูลนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของซามูไรซึ่งประจัญบานกับตระกูลโทะกุงะวะในปี 2158 จึงเป็นที่เคารพศรัทธาของคนในสังคมนับแต่นั้นจนบัดนี้ นัตสึกิแนะนำเขาต่อย่าทวดว่า เขาเป็นคนรักของเธอ และตกลงใจจะสมรสกันในไม่ช้านี้ ซึ่งทำให้เขาตกใจเป็นอันมาก แต่นัตสึกิได้ร้องขอให้เขาเออออด้วย เพราะต้องการให้ย่าทวดเบาใจเรื่องความมั่นคงในชีวิตของเธอ ระหว่างอาศัยอยู่ ณ บ้านตระกูลจินโนะอุจิ เค็นจิได้พบสมาชิกมากหน้าหลายตาของตระกูลนี้ หนึ่งในนั้นคือ วาบิสึเกะ จินโนะอุจิ ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งนางซากาเอะเก็บมาเลี้ยงเป็นหลานตั้งแต่ยังเล็ก แต่ภายหลังได้ละทิ้งนางไปอาศัยในสหรัฐอเมริกานานกว่าสิบปี คืนนั้น เค็นจิได้รับไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ส่งรหัสคณิตศาสตร์มาให้ทางโทรศัพท์มือถือ เขาจึงคำนวณจนแก้รหัสนั้นเป็นผลสำเร็จ ปรากฏว่า เขาถูกเลิฟแมชชีน (Love Machine) ปัญญาประดิษฐ์ตัวหนึ่งซึ่งอาศัยในระบบอ๊อซ ล่อลวงให้เผยรหัสผ่านสำหรับผู้ดูแลระบบอ๊อซของเขา เลิฟแมชชีนอาศัยชื่อบัญชีและอวตารของเขาเข้าสู่ระบบอ๊อซเพื่อบ่อนทำลาย ทำให้เจ้าพนักงานออกหมายจับเขาเป็นข่าวเกรียวกราว เค็นจิ ทาคาชิ และคาซึมะ อิเคซาว่า เด็กชายวัยสิบเก้าปีซึ่งเป็นญาติของนัตสึกิและเป็นสมาชิกระบบอ๊อซเช่นกันโดยใช้อวตารนามว่า คิงคาซม่า[5] (King Kazma) จึงพร้อมกันเผชิญหน้ากับเลิฟแมชชีน แต่หาอาจเอาชนะได้ไม่ เลิฟแมชชีนก่อกวนระบบต่อไปโดยอาศัยชื่อบัญชีของผู้อื่นที่ตนลักมา จนสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในโลกจริง ทั้งการประปา การคมนาคม การสื่อสาร และการไฟฟ้า เป็นต้น ขณะนั้น โชตะ จินโนะอุจิ ญาติของนัตสึกิซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มาพบเค็นจิ จึงแสดงตัวเข้าจับกุมและนำพาเขาไปยังสถานีตำรวจ แต่เพราะการจราจรยุ่งเหยิงอยู่ โชตะจึงจำต้องพาเขากลับคฤหาสน์ตระกูลจินโจะอุชิดังเดิม นางซากาเอะทราบเรื่องแล้วเห็นว่า สถานการณ์เป็นประหนึ่งสงคราม จึงอาศัยเส้นสายที่นางมีอยู่กับบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในวงสังคม เป็นต้นว่า รัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เจ้าพนักงานหน่วยฉุกเฉินต่าง ๆ ทั้งในฐานะที่นางเป็นครูบาอาจารย์และเป็นญาติของพวกเขา และในฐานะที่ตระกูลนางเคยเป็นมูลนายของตระกูลพวกเขา สั่งการและกระตุ้นให้เขาเหล่านั้นทำหน้าที่อย่างแข็งขันที่สุดเพื่อป้องกันมนุษยชาติจากมหันตภัยครั้งนี้ เวลานั้น นางพบว่า เป็นวาบิสึเกะเองที่สร้างปัญญาประดิษฐ์เลิฟแมชชีนขึ้น นางเห็นว่า เป็นการทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจที่สังคมมีให้แก่ตระกูล ทั้งคู่มีปากเสียงกัน และวาบิสึเกะหนีออกคฤหาสน์ไปอีกครั้ง คืนนั้น นางซากาเอะชวนเค็นจิเล่นไพ่โคะอิโคะอิ (Koi-Koi) และบอกเขาว่า นางทราบดีว่าเขามิใช่คนรักของนัตสึกิ แต่ก็เห็นว่า เขามีความจริงใจและรับผิดชอบเพียงพอที่จะดูแลนัตสึกิได้ จึงฝากฝังนัตสึกิไว้กับเขา เช้ารุ่งขึ้น นางซากาเอะสิ้นลม เพราะเลิฟแมชชีนทำลายระบบซึ่งแพทย์ใช้ควบคุมการทำงานของหัวใจนาง มันซะกุ จินโนะอุจิ บุตรสุดท้องของนาง เผยว่า มารดามีอาการปวดเค้นหัวใจ (angina pectoris) และแพทย์ได้พึ่งพาระบบดังกล่าวเพื่อบำบัดรักษา เหล่าชายชาวจินโนะอุจิตกลงร่วมกับเค็นจิสยบเลิฟแมชชีน ฝ่ายนัตสึกิและคนอื่น ๆ นั้นเตรียมงานศพนางซากาเอะ ตระกูลจินโนะอุจิวางแผนจัดการกับเลิฟแมชชีนโดยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของตระกูล แต่เนื่องจากเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์ จึงต้องอาศัยน้ำแข็งจำนวนมากทำความเย็นให้ ระหว่างที่ตระกูลจินโนะอุจิสามารถจับกุมเลิฟแมชชีนได้นั้น โชตะขนน้ำแข็งออกไปแช่ร่างของนางซากาเอะ เป็นเหตุให้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ร้อนขึ้นจนทำงานผิดปรกติ เลิฟแมชชีนพ้นจากพันธนาการ และบังคับวิถีดาวเทียมอะระวะชิ (Arawashi) ให้มุ่งสู่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์บนพื้นโลก เวลานั้นเอง นัตสึกิพบพินัยกรรมของนางซากาเอะ จึงติดตามวาบิสึเกะกลับบ้านเป็นผลสำเร็จ มาริโกะ จินโนะอุจิ ธิดาคนโตของนางซากาเอะซึ่งสืบทอดหน้าที่ดูแลตระกูลต่อ เรียกประชุมและอ่านพินัยกรรมต่อหน้าคนทั้งปวง นางซากาเอะว่า อย่าได้ตื่นตระหนกกับความตาย นางไม่มีสมบัติอันใดจะให้เป็นแก่นสาร แต่ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตและทำหน้าที่อย่างดีที่สุด นางหวังว่า วาบิสึเกะจะกลับบ้านบ้าง ถ้าเขากลับมาสักวันก็ให้ชวนรับประทานอาหารพร้อมหน้ากัน และไม่ว่าเผชิญความทุกข์ใจหรือกายประการใดก็ขอให้คงล้อมวงรับประทานอาหารกันฉันครอบครัว เพราะความเลวร้ายที่สุดในโลกนี้ คือ ความหิว และความอ้างว้าง วาบิสึเกะได้ฟังพินัยกรรมแล้วก็เข้าใจได้ว่า ย่ารักและให้อภัยตนเสมอ จึงร่วมมือกับคนอื่น ๆ กำราบเลิฟแมชชีน เมื่อพบว่า เลิฟแมชชีนเห็นทุกสิ่งเป็นการละเล่น ตระกูลจินโนะอุจิจึงท้าทายให้เลิฟแมชชีนแข่งไพ่โคะอิโคะอิด้วยกัน แลกกับบัญชีผู้ใช้ที่เลิฟแมชชีนขโมยไป นัตสึกิลงแข่งและชนะเลิฟแมชชีนหลายรอบ แต่ในรอบหลังไขว้เขวจึงเสียแต้มเกือบสิ้น ผู้ใช้คนอื่น ๆ ทั่วโลกที่ได้รับบัญชีคืนแล้วจึงเข้าสู่ระบบอ๊อซและลงพนันข้างนัตสึกิ ทำให้เธอได้รับพลังใจจนเล่นไพ่ชนะเลิฟแมชชีน และเพื่อให้เลิฟแมชชีนสละการควบคุมดาวเทียมอะระวะชิ คิงคาซม่าเบี่ยงเบนความสนใจของเลิฟแมนชีน ขณะที่นัตสึกิพร้อมด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลช่วยกันปลดระบบป้องกันตนของเลิฟแมชชีน และทำลายองค์ของปัญญาประดิษฐ์เลิฟแมชชีนได้อย่างราบคาบ ฝ่ายเค็นจินั้นทะลวงเข้าระบบควบคุมดาวเทียมและผันวิถีไปทางอื่นที่ไม่ก่อความเสียหายแก่โลก ดาวเทียมอะระวะชิตกกระทบผิวโลกหน้าคฤหาสน์ตระกูลจินโนะอุจิแทน และยังให้ซุ้มประตูเข้าสู่คฤหาสน์ถึงแก่ความพินาศโดยสิ้นเชิง ตระกูลจินโนะอุจิจัดงานฉลองชัยชนะและวันครบรอบวันเกิดของนางซากาเอะพร้อม ๆ กับพิธีศพของนาง มีแขกเหรื่อมาเป็นอันมาก ในโอกาสนี้ นัตสึกิจุมพิตเค็นจิหลังจากทั้งคู่บอกรักกัน คนทั้งสองจึงกลายเป็นคู่รักกันจริง ๆ ผังครอบครัว
ตัวละคร
การผลิต
หลังจากที่ กระโดดจั๊มพ์ทะลุข้ามเวลา ประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งความสำเร็จเชิงพาณิชย์และเชิงวิพากษ์ จึงมีการเสนอให้บริษัทแม็ดเฮาส์ผลิตอนิเมะโรงอีกเรื่อง[11] โดยโฮะโซะดะ ผู้กำกับ กำหนดให้เป็นเรื่องสำหรับทั้งผู้มีครอบครัวและผู้ไม่มีครอบครัว[3][11] โครงการผลิต ซัมเมอร์ วอร์ส นั้นตั้งต้นขึ้นในปี 2549 ต่อมา จึงประกาศความคืบหน้าในเทศกาลอนิเมะนานาชาติโตเกียว (Tokyo International Anime Fair) ประจำปี 2551[12] ครั้นชุมนุมโอตาคอน (Otakon) ในปีถัดมา มะซะโอะ มะรุยะมะ (Masao Maruyama) ประธานแม็ดเฮาส์ แถลงว่า ครั้งหนึ่งที่สนทนากัน โฮะโซะดะกำชับเขาว่า ตัวละครหลักของอนิเมะเรื่องนี้ต้องเป็นสมาชิกจำนวนแปดสิบคนของตระกูลตระกูลหนึ่ง เขาจึงตีฝีปากกลับว่า เรื่องหน้าขอตัวละครหลักสองตัวก็พอ[13] ฉากหลักของเรื่องนั้น เลือกใช้เมืองอุเอะดะ จังหวัดนะงะโนะ เพราะเมืองนี้เคยอยู่ในความปกครองของตระกูลซะนะดะ (Sanada clan) ซึ่งเป็นตระกูลที่นำมาเป็นต้นแบบตระกูลจินโนะอุจิ กับทั้งเมืองนี้ยังอยู่ติดเมืองโทะยะมะ จังหวัดโทะยะมะ บ้านเกิดของโฮะโซะดะด้วย[11] ส่วนอ็อซ โลกออนไลน์เสมือนจริงนั้น โฮะโซะดะเอานามห้างสรรพสินค้า "อ็อซ" (OZ) ที่เขาเคยไปสมัยทำงานอยู่กับบริษัทโทเอแอนิเมชัน (Toei Animation) มาตั้ง[11] เขายังว่า ในการกำหนดรายละเอียดระบบอ็อซ เว็บไซต์มิกุชี (mixi) เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นและเขาเคยเป็นสมาชิก มีอิทธิพลต่อเขาเป็นอันมาก ส่วนสีสันและรูปลักษณ์ของระบบนั้น เขาได้แรงบันดาลใจมาจากเกมนินเทนโด (Nintendo)[14] เขากล่าวเสริมว่า แม้เขานิยมชมชอบศิลปกรรมของทาคาชิ มุระกะมิ (Takashi Murakami) ซึ่งขึ้นชื่อว่า "วิบวับและลายพร้อยจนหลอนประสาท" แต่เขาพอใจออกแบบให้ระบบอ็อซมี "ลักษณะสะอาดปราศจากความรกรุงรัง" มากกว่า นอกจากนี้ ระหว่างผลิตอนิเมะ เขาได้ท่องเที่ยวไปในเทศกาลภาพยนตร์หลายแห่ง ทั้งได้ไปมาหาสู่ครอบครัวของหญิงสาวซึ่งต่อมาได้หมั้นหมายและครองรักกัน เขาจึงนำประสบการณ์จากเทศกาลเหล่านั้น ตลอดจนความทรงจำจากครอบครัวดังกล่าวและชีวิตสมรส มาเป็นพื้นเรื่องอนิเมะ[11][14][15] นอกจากโฮะโซะดะแล้ว ผู้ร่วมโครงการนี้ยังได้แก่ โอะกุเดะระ เขียนบท และโยะชิยุกิ ซะดะโมะโตะ (Yoshiyuki Sadamoto) ออกแบบตัวละคร คนทั้งสองนี้เคยร่วมงานกับโฮะโซะดะในเรื่อง กระโดดจั๊มพ์ทะลุข้ามเวลา มาก่อน[16] ซะดะโมะโตะนั้นใช้อากัปกิริยาของยุซะกุ มะสึดะ (Yusaku Matsuda) นักแสดงผู้ล่วงลับแล้ว มาเป็นต้นแบบตัวละครวาบิสึเกะ[11] อนึ่ง ยังมีฮิโระยุกิ อะโอะยะมะ (Hiroyuki Aoyama) กำกับการเคลื่อนไหวของตัวละครในฉากโลกจริง และทะสึโซะ นิชิดะ (Tatsuzo Nishida) กำกับการเคลื่อนไหวทางต่อสู้ประจัญบานในฉากโลกออนไลน์[3][14] ทั้งคู่ทำงานโดยใช้ความสามารถพิเศษของแอนิเมชันดั้งเดิมและคอมพิวเตอร์แอนิเมชันประสมกัน[11] ขณะที่ห้องศิลป์ดิจิทัลฟรอนเทียร์ (Digital Frontier) รับหน้าที่สร้างสรรค์องค์ประกอบระบบอ็อซและอวตารในระบบ[14] และทะเกะชิเงะ อดีตสมาชิกสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) คอยกำกับฝ่ายศิลป์โดยรวม[16] นอกจากหน้าที่นี้แล้ว ทะเกะชิเงะยังได้รับมอบหมายจากโฮะโซะดะขณะเยือนเมืองอุเอะดะให้ร่างภาพอาคารบ้านเรือนญี่ปุ่นดั้งเดิมสำหรับใช้ในเรื่องด้วย[14] อนึ่ง ในอนิเมะ จะได้เห็นยานอวกาศญี่ปุ่นนามว่า "ฮะยะบุซะ" (Hayabusa) ซึ่งมีศูนย์ควบคุมอยู่แถวเมืองซะกุ จังหวัดนะงะโนะ โฮะโซะดะให้เพิ่มยานอวกาศลำนี้เข้าไปเพราะเขามีใจสนับสนุนกิจการของรัฐในการสำรวจอวกาศ[3] เพลงเพลงประกอบอนิเมะ
อะกิฮิโกะ มะสึโมะโตะ (Akihiko Matsumoto) ประพันธ์เพลงประกอบอนิเมะเรื่องนี้ทุกเพลง ต่อมา บริษัทแว็ป (VAP) ทำเป็นอัลบัมชื่อ "'ซัมเมอร์ วอร์ส' ออริจินัลซาวด์แทร็ก" (「サマーウォーズ」 オリジナル・サウンドトラック, "Summer Wars Original Soundtrack") ออกวางขายตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2552 อัลบัมนี้ได้ขึ้นผังดนตรีของออริคอน (Oricon) ว่าขายดีเป็นอันดับที่หนึ่งร้อยสิบสองตลอดระยะเวลาสี่สัปดาห์แรกด้วย[17]
โบะกุระโนะนะสึโนะยุเมะ
ทะสึโร ยะมะชิตะ (Tatsurō Yamashita) เขียนและขับร้องเพลงหลักของอนิเมะนี้ คือ เพลง "โบะกุระโนะนะสึโนะยุเมะ" (僕らの夏の夢) แปลว่า "ความฝันของเราในหน้าร้อน" (Our Summer Dream) ต่อมา วอร์เนอร์มิวสิกญี่ปุ่น (Warner Music Japan) ทำเป็นแม็กซีซิงเกิลขายตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2552 และได้ขึ้นผังออริคอนว่า ขายดีเป็นอันดับที่แปด[18] ซิงเกิลนี้ประกอบด้วยเพลง "โบะกุระโนะนะสึโนะยุเมะ" ดังกล่าว และเพลงแถมอีกสองเพลงซึ่งแต่งและร้องโดยยะมะชิตะเหมือนกันแต่ไม่เกี่ยวข้องกับอนิเมะ ในจำนวนเพลงแถมนี้ เพลงหนึ่งอัดจากการแสดงสดของยะมะชิตะ
การตลาดอนิเมะ ซัมเมอร์ วอร์ส นี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของแม็ดเฮาส์ในอันที่จะกวาดรายได้จากโรงภาพยนตร์โดยออกอนิเมะฤดูละเรื่องจนครบสี่ฤดู ฉะนั้น เมื่อเผยแพร่ ซัมเมอร์ วอร์ส ซึ่งว่าด้วยฤดูร้อนแล้ว จึงออกอนิเมะ ไมไมมิราเคิล (マイマイ新子と千年の魔法; Mai Mai Miracle) ซึ่งว่าด้วยฤดูใบไม้ผลิ ในฤดูนั้นของปี 2552, โยะนะโยะนะเพนกวิน (よなよなペンギン; Yona Yona Penguin) ซึ่งว่าด้วยฤดูหนาว ในฤดูนั้นของปี 2552, และ เรดไลน์ (レッドライン; Redline) ซึ่งว่าด้วยฤดูฝน ในฤดูนั้นของปี 2553 ตามลำดับ[13] ด้วยเหตุที่ กระโดดจั๊มพ์ทะลุข้ามเวลา ประสบความสำเร็จเป็นอันมาก สาธารณชนจึงตั้งความคาดหวังต่อ ซัมเมอร์ วอร์ส ไว้ค่อนข้างสูงเป็นเวลานานก่อนฉาย[13] สำนักพิมพ์คะโดะกะวะ (Kadokawa Shoten) เผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์อนิเมะนี้ผ่านทางช่องทางการของตนบนเว็บไซต์ยูทูบ (YouTube) เพื่อกระตุ้นความสนใจทั้งในระดับท้องถิ่นและต่างประเทศ โดยวันที่ 8 เมษายน 2552 ได้เผยแพร่ตัวอย่างอนิเมะแบบคุณภาพสูงมีความยาวหนึ่งนาที[19] และวันที่ 16 มิถุนายน 2552 ได้เผยแพร่ตัวอย่างอนิเมะอีกฉบับซึ่งมีความยาวมากขึ้นเล็กน้อย[20] ต่อมา วันที่ 29 มิถุนายน 2552 ได้เผยแพร่เนื้อหาห้านาทีแรกของอนิเมะลงเว็บไซต์ยาฮู! มูวีส์ (Yahoo! Movies) ญี่ปุ่น[21] และอีกไม่กี่วันให้หลังได้เผยแพร่ภาพตัวอย่างจากอนิเมะลงช่องในยูทูบดังกล่าว[22] ในโอกาสเดียวกัน คะโดะกะวะยังเผยแพร่โฆษณาอนิเมะนี้สองฉบับลงในเว็บไซต์ต่าง ๆ โฆษณาทั้งสองฉบับเคยแพร่ภาพทางโทรทัศน์ และแต่ละฉบับมีความยาวสิบห้าวินาที[23] เมื่อสร้างกระแสความสนใจเช่นนี้แล้ว มะรุยะมะ ประธานแมดเฮาส์ จึงแสดงความมั่นอกมั่นใจว่า "ภาพยนตร์นี้คงได้รับความนิยมชมชอบพอสมควร เพราะขายตั๋วล่วงหน้าได้มากทีเดียว"[13] ในเดือนมิถุนายน 2552 คะโดะวะกะได้เปิดตัวนิตยสารมังงะชื่อ ยังเอซ (Young Ace) ซึ่งลงตอนแรกของมังงะที่ดัดแปลงมาจากอนิเมะนี้ ใช้ชื่อเดียวกัน และเป็นผลงานของจิตรกรอิกุระ ซุงิโมะโตะ[24] ต่อมา จึงรวมตอนต่าง ๆ เข้าเป็นสองเล่มใหญ่ เล่มแรกวางขายในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2552 สิ้นสัปดาห์แรกขายได้ 51,645 ฉบับ ผังการ์ตูนของออริคอนจัดไว้ว่าขายดีเป็นอันดับที่ยี่สิบสาม[25][26] ส่วนเล่มสองนั้น วางขายตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2553 เมื่อพ้นสัปดาห์แรก ยอดขายอยู่ที่ 53,333 ฉบับ ชื่อว่าขายดีเป็นอันดับที่สิบสอง[27][28] นอกจากนี้ ซุงิโมะโตะยังทำมังงะตอนพิเศษอีกตอนหนึ่ง ดำเนินเนื้อหาคู่ขนานกับมังงะข้างต้น และลงพิมพ์ในนิตยสาร คอมป์เอซ (Comp Ace) ฉบับเดือนมิถุนายน 2553 ด้วย[29] การเผยแพร่ทวีปเอเชียในประเทศญี่ปุ่น อนิเมะนี้ฉายครั้งแรก ณ โรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2552[22] ต่อมาวันที่ 3 มีนาคม 2553 จึงวางขายในรูปแบบดีวีดีและบลูเรย์[30][31] ในสัปดาห์แรก บลูเรย์ขายได้ห้าหมื่นสี่พันชุด นับว่าขายดีเป็นอันดับหนึ่งในประเทศ และทำลายสถิติที่อนิเมะ อีวานเกเลียน: 1.0 กำเนิดใหม่วันพิพากษา (Evangelion: 1.0 You Are (Not) Alone) สร้างเอาไว้[30][31] ทุกวันนี้ ซัมเมอร์ วอร์ส ฉบับบลูเรย์เป็นสื่อบันเทิงที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับสองในประเทศญี่ปุ่น รองจากบลูเรย์ภาพยนตร์ ไมเคิลแจ็กสันส์ดิสอิสอิต (Michael Jackson's This Is It)[32] ทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลกลุ่มสื่อบันเทิงดิจิทัลแห่งญี่ปุ่น (Digital Entertainment Group of Japan) สาขาปฏิสัมพันธ์ยอดเยี่ยม (Best Interactivity) ด้วย แต่พลาดรางวัล[33] ส่วนฉบับดีวีดีนั้น ในสัปดาห์แรกขายได้ห้าหมื่นห้าพันสามร้อยเจ็ดสิบห้าแผ่น ชื่อว่าขายดีที่สุดในประเทศตามผังดีวีดีอนิเมะของออริคอน[34] ในประเทศเกาหลีใต้ บริษัทซีเจเอนเตอร์เทนเมนต์ (CJ Entertainment) นำอนิเมะไปฉายตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2552[35] ในประเทศสิงคโปร์ บริษัทแคเธย์ออร์แกไนเซชัน (Cathay Organisation) นำไปฉายตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 และในประเทศไต้หวัน บริษัทไมตีมีเดีย (Mighty Media) นำไปฉายตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2553[36] สำหรับประเทศไทยนั้น บริษัทดรีม เอกซ์เพรส (เดกซ์) นำอนิเมะนี้เข้ามาฉายในวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555 วันเดียว สองรอบ คือ รอบ 13:00 นาฬิกา และรอบ 15:15 นาฬิกา ณ โรงภาพยนตร์เอสเอฟเวิลด์ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร เพียงแห่งเดียว และฉายแบบพากย์ญี่ปุ่นบรรยายไทย นับเป็นอนิเมะโรงเรื่องที่ห้าที่บริษัทนี้เผยแพร่ในราชอาณาจักร ในโอกาสเดียวกับที่เปิดให้จองตั๋ว ยังเปิดให้จองบลูเรย์และดีวีดีอนิเมะดังกล่าวด้วย สื่อทั้งสองประเภทนี้มีพากย์ญี่ปุ่น พากย์ไทย และบรรยายไทยในฉบับเดียวกัน ออกจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2555[4][37] ทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปในทวีปอเมริกาเหนือ อนิเมะนี้ฉายครั้งแรกเป็นฉบับพากย์ญี่ปุ่นบรรยายอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ณ เทศกาลภาพยนตร์เด็กนานาชาตินิวยอร์ก (New York International Children's Film Festival) โดยโฮะโซะดะ ผู้กำกับ ได้ร่วมเทศกาล และเมื่อฉายเสร็จแล้ว ก็ได้พบปะสนทนากับสาธารณชนผ่านล่ามด้วย[38] ต่อมา วันที่ 1 มีนาคม 2553 โฮะโซะดะได้ร่วมรายการศึกษาสื่อบันเทิงเปรียบเทียบ (Comparative Media Studies Program) ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซ็ตส์ (Massachusetts Institute of Technology) ซึ่งจัดฉายอนิเมะเรื่องนี้แก่สาธารณชนโดยไม่คิดค่าตอบแทน และจัดวงสนทนาระหว่างโฮะโซะดะกับสาธารณชนผู้มาชม[39] ส่วนฉบับพากย์อังกฤษนั้น ฉายหนแรกเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2553 ณ เทศกาลภาพยนตร์เด็กนานาชาตินิวยอร์ก[40] ต่อมา ในคราวชุมนุมโอตาคอนประจำปี 2553 ที่ศูนย์ภาพยนตร์เจนซิสเกล (Gene Siskel Film Center) บริษัทฟันนิเมชันเอนเตอร์เทนเมนต์ (Funimation Entertainment) ได้แถลงว่า จะเริ่มฉายอนิเมะนี้ในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป[41][42] วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 ฟันนิเมชันเอนเตอร์เทนเมนต์ได้เริ่มเผยแพร่ดีวีดีและบลูเรย์อนิเมะนี้[43] โดยฉบับเผยแพร่ครั้งแรกนั้นแถมบัตรภาพด้วย แต่เมื่อบัตรดังกล่าวเป็นที่ต้องการมากขึ้นและมีไม่พอ ฟันนิเมชันเอนเตอร์เทนเมนต์จึงขายแผ่นก่อนแล้วตกลงว่า ภายหลังจะส่งให้ผู้ซื้อที่กรอกข้อมูลไว้บนเว็บไซต์บริษัท[44] ในประเทศออสเตรเลีย อนิเมะนี้ฉายเป็นครั้งแรกที่เทศกาลภาพยนตร์ซิดนีย์ (Sydney Film Festival) วันที่ 14 มิถุนายน 2553 ต่อมา จึงฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมลเบิร์น (Melbourne International Film Festival) วันที่ 8 สิงหาคม 2553 ในประเทศฝรั่งเศส บริษัทยูโรซูม (Eurozoom) ได้นำอนิเมะนี้ออกฉายตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2553 และบริษัทกาเซ (Kazé) ได้เริ่มขายดีวีดีและบลูเรย์ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2553[45] ในสหราชอาณาจักร บริษัทมังงะเอนเตอร์เทนเมนต์ (Manga Entertainment) ประกาศในเดือนมกราคม 2553 ว่า ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่อนิเมะนี้ ต่อมาในเดือนมีนาคม 2554 จึงจำหน่ายเป็นดีวีดีและบลูเรย์[46] การตอบรับการตอบสนองเชิงวิพากษ์นับแต่เผยแพร่ในปี 2552 เป็นต้นมา อนิเมะนี้ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางบวกเป็นการทั่วไป เว็บไซต์รอตเทนโทเมโทส์ (Rotten Tomatoes) กล่าวว่า นักวิจารณ์ร้อยละเจ็ดสิบหกวิจารณ์อนิเมะเรื่องนี้ในทางชื่นชมสรรเสริญ และคะแนนเต็มสิบให้เจ็ด[47] ขณะที่เว็บไซต์เมตาคริติก (Metacritic) ซึ่งจัดให้มีการวิจารณ์โดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน ระบุว่า มีนักวิจารณ์กระแสหลักสิบสองคนร่วมวิจารณ์ และให้อนิเมะนี้ได้คะแนนหกสิบจากคะแนนเต็มหนึ่งร้อย จึงจัดว่า อนิเมะนี้ "เป็นที่พึงพอใจโดยทั่วกัน"[48] มาร์ก ชิลลิง (Mark Schilling) จากเดอะเจแปนไทมส์ (The Japan Times) เขียนบทความชื่อ "เราอาจจะได้ราชาอนิเมะคนใหม่แล้ว โฮะโซะดะก้าวพ้นจากความครอบงำของมิยะซะกิพร้อมภาพยนตร์เรื่องใหม่อันชวนอัศจรรย์ใจ" ("The future king of Japanese animation may be with us; Hosoda steps out of Miyazaki's shadow with dazzling new film") โดยวิพากษ์วิจารณ์ว่า อนิเมะนี้ "มีองค์ประกอบอันชินตา กล่าวคือ เริ่มเรื่องด้วยวีรบุรุษอ่อนวัยมีอุปนิสัยช่างประหม่าและทะเล่อทะล่า แต่ได้ใช้องค์ประกอบเช่นว่านั้นไปในวิถีทางอันแปลกใหม่ ร่วมสมัย และชวนฝันใฝ่อย่างน่าพิศวง" เขายังว่า อนิเมะได้แฝงไว้ซึ่งข้อคิดเห็นของสังคมเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง "โลกเสมือน" กับ "โลกแห่งเครื่องมือทางดิจิทัล" และสดุดีซะดะโมะโตะ อะโอะยะมะ กับนิชิดะที่สร้างสรรค์ "ฉากเคลื่อนไหวอันวิจิตรตระการตา อาการที่ฉากเหล่านี้เคลื่อนไหวต่อเนื่องอย่างงามเลิศเลอ และได้รับการประดิดประดอยอย่างวิเศษโดยไร้ขีดจำกัดนั้น ยังให้อนิเมะแนวไซไฟ/จินตนิมิตบ้าน ๆ กลายเป็นมีลักษณะอย่างเด็กไม่ประสีประสาขึ้นมา" ในการนี้ จากคะแนนเต็มห้า เขาให้อนิเมะนี้ห้าเต็ม[49] กิลเลม รอสเซ็ต (Guillem Rosset) เขียนบทวิจารณ์ซึ่งทวิตช์ฟิล์ม (Twitch Film) เผยแพร่ ชื่นชมโฮะโซะดะว่าเป็น "ราชาองค์ใหม่ผู้เล่าขานเรื่องราวโดยอาศัยการทำงานภายใต้สื่อเคลื่อนไหวได้อย่างเอกอุในประเทศญี่ปุ่น และจะรวมถึงในโลกก็ได้" กับทั้งสรรเสริญอนิเมะว่า "ลงรายละเอียดได้ดีและเขียนเรื่องได้อย่างงดงาม...จึงเจริญตาน่าชมดู" และ "มากไปด้วยตัวละครกลุ่มใหญ่ซึ่งมีรายละเอียดแสนพิสดารและบริสุทธิ์" รอสเซ็ตสรุปว่า "โฮะโซะดะถ่วงดุลความต้องการสร้างความบันเทิงผ่านทัศนียภาพ กับงานสร้างตัวละครอันมากหลายและเป็นที่น่าพึงพอใจ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นเหตุให้เขาไม่ถูกกลืนไปด้วยเหล่านักเทคนิคผู้มากฝีมือที่มีอยู่เป็นจำนวนมหึมา ส่งผลให้เขาได้เป็นนักบอกเล่าเรื่องราวผู้เป็นเลิศโดยแท้จริง"[50] รอสเซ็ตยังว่า "ข้อดีเด่นยิ่งนักข้อหนึ่งของอนิเมะนี้ คือ กลุ่มตัวละครที่เลอเลิศ" และเน้นย้ำเกี่ยวกับอ็อซ นครเสมือน ว่า "ณ นครนี้ เหล่าผู้มีจิตใจสร้างสรรค์ในบริษัทแมดเฮาส์สามารถปล่อยปละให้จินตนาการของพวกเขาโลดแล่นไปโดยมิต้องควบคุม" ส่วนในประเด็นทางวิชาการนั้น เขาว่า อนิเมะนี้เป็น "รายการโสตทัศน์ชั้นสูงสุด" และว่า "มะโมะรุ โฮะโซะดะ สมควรจะเป็นที่หนึ่งในบรรดาชาวญี่ปุ่นนักสร้างภาพเคลื่อนไหวร่วมสมัยแถวหน้าได้ และเป็นการดียิ่งนักที่ได้ตระหนักทราบว่า เมื่อถึงคราวซึ่งมิยะซะกิต้องแขวนนวม (หวังว่ามิใช่เร็ว ๆ นี้!) ก็ยังมีคนที่สามารถเจริญรอยตามเขาได้อยู่"[50] หนังสือพิมพ์เฮรอลด์บีซีเนส (Herald Business) ของสาธารณรัฐเกาหลีมองว่า แก่นเรื่องแนวจินตนิมิตและภาพเคลื่อนไหวอันบรรเจิดของอนิเมะนี้ยังให้อนิเมะมีความแตกต่างจากผลงานของเหล่าสตูดิโอในฮอลลิวูด[35] แพทริก ดับเบิลยู. กัลเบรธ (Patrick W. Galbraith) แห่งโอะตะกุ2.คอม (Otaku2.com) ว่า รูปลักษณ์ของอ็อซ นครเสมือนจริง มีส่วนคล้ายคลึงกับงานศิลป์ของจิตรกรมุระกะมิ ส่วนเนื้อเรื่องและตัวละครนั้น กัลเบรธว่า "ฉากเช่นครอบครัวใหญ่มาพร้อมหน้าและโอภาปราศรัยกันหลังมื้อเย็นนั้นช่างยังให้ใจชื้นและครื้นเครงดี" โดยเปรียบอนิเมะนี้ว่าเป็นประหนึ่ง "สมุดภาพอันเคลื่อนไหวได้ สมุดที่เก็บภาพครอบครัวย้อนหลังไปหลายทศวรรษ" เขายังอ้างว่า หลายคนชมอนิเมะแล้วก็ตัดสินใจย้ายไปตั้งถิ่นฐานในเมืองนะงะโนะถึงเพียงนั้น และกล่าวว่า "งานชิ้นนี้มีความบริสุทธิ์และหมดจดอันชวนให้หวนคำนึงถึงฮะยะโอะ มิยะซะกิ (Hayao Miyazaki) และสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ขึ้นมา กับทั้งฉากหลังอันระยิบระยับนั้นก็นำพาให้ใคร่ครวญถึงมะโกะโตะ ชินไก (Makoto Shinkai)"[51] จัสติน เซวาคิส (Justin Sevakis) จากเครือข่ายข่าวอนิเมะ (Anime News Network) ให้คะแนน 'ก' ('A') แก่อนิเมะนี้ และเขียนว่า "ในอีกหลายสิบปีจากนี้ไป ซัมเมอร์ วอร์ส จะเป็นเครื่องสำแดงว่า มะโมะรุ โฮะโซะดะ ได้ก้าวย่างมาถึงดินแดนแห่งบรรดาผู้กำกับอนิเมะที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้วอย่างเป็นทางการ" เซวาคิสยังว่า อนิเมะนี้ "เกลี่ยการแดกดันสังคมและบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ให้กลืนกันได้เกือบดีเยี่ยมโดยสอดคล้องกับกาลสมัยแต่ไม่จำกัดอยู่กับวารโอกาสใด ๆ เป็นเชิงเย้ยหยันอยู่ในทีและก็ตั้งอยู่บนทัศนคติที่ดี" และชมเชยตัวละครอันเป็นผลงานการออกแบบของซะดะโมะโตะกับเน้นย้ำทัศนียภาพทั้งหลายว่า "หลักแหลมและเยี่ยมยอดอย่างสอดรับกัน" เซวาคิสกล่าวตอนท้ายว่า อนิเมะนี้ "สนุกสนานอย่างเหลือเชื่อ และประเทืองปัญญาน่าใฝ่ใจ สามารถเข้าใจได้และดำเนินเรื่องเร็วดี หาที่ติไม่ค่อยจะได้"[52] ราเชล ซอลซ์ (Rachel Saltz) แห่งเดอะนิวยอร์กไทมส์ (The New York Times) เป็นนักวิจารณ์อีกหนึ่งคนที่ยกย่องอนิเมะนี้ ซอลซ์ว่า โฮะโซะดะกำกับได้ดี และว่า การกำกับของเขานั้น "ลงรอยกับภาพลักษณ์ในชีวิตภายนอกของเขาที่มีความสะอาดและสงบตามแบบฉบับ" เธอยังสดุดีทัศนียภาพและแก่นของเรื่อง กับทั้งเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับบรรดาที่ผู้กำกับยะซุจิโร โอะซุ (Yasujirō Ozu) สร้างสรรค์ด้วย[53] ปีเตอร์ เดบรูจ (Peter Debruge) เขียนบทความให้แก่นิตยสารวาไรอิตี (Variety) ว่า ผลงานนี้ของโฮะโซะดะ "จะเป็นที่สนใจของเหล่าวัยรุ่นซึ่งเอาใจยาก โดยจะช่วยลบคติที่มีผลกระทบต่อจิตใจและช่วยให้พวกเขาเจริญวัยอยู่ภายในสภาพแวดล้อมร่วมสมัยที่เกี่ยวข้อง" เขายังชื่นชมการสร้างภาพเคลื่อนไหวด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกและฉากในอ็อซด้วย[54] ปีเตอร์ ฮาร์ตโลบ (Peter Hartlaub) จาก ซานฟรานซิสโกโครนิเคิล (San Francisco Chronicle) ว่า รูปแบบของโฮะโซะดะ "เพิ่มมิติให้แก่ตัวละครของเขาและฉากโรมรันพันพัวได้ถึงขนาดที่โลกจริงอันสงบราบคาบนั้นดูคล้ายดินแดนความฝัน" แต่เห็นว่า บุคลิกลักษณะของตัวละครเค็นจินั้น "ตอนต้นเหมือนพวกติดยาลงแดงไปสักนิด" ฮาร์ตโลปสรุปว่า อนิเมะนี้เป็น "ภาพยนตร์ประเภทสนุกและแปลกประหลาดซึ่งคุณจะไม่เจอบ่อยในสำนักศิลปะไหน ๆ ในช่วงปีนี้"[55] ขณะที่ไท เบอร์ (Ty Burr) แห่งเดอะบอสตันโกลบ (The Boston Globe) ให้อนิเมะนี้สามคะแนนจากคะแนนเต็มสี่[56] รายได้ในประเทศญี่ปุ่น หลังฉายได้หนึ่งสัปดาห์ อนิเมะเรื่องนี้ทำรายได้ 1,338,772 ดอลลาร์สหรัฐ นับว่ามากเป็นอันดับที่เจ็ด[22][57] เมื่อลาโรงแล้ว รายได้สุทธิอยู่ที่ 4,742,592 ดอลลาร์สหรัฐ[2] ในประเทศเกาหลีใต้ อนิเมะได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 118 แห่ง ในสัปดาห์แรกทำรายได้ทั้งสิ้น 369,156 ดอลลาร์สหรัฐ จัดว่ามากเป็นอันดับที่แปด[58] เมื่อฉายแล้วสิ้น สร้างรายได้รวม 783,850 ดอลลาร์สหรัฐ[2] ในประเทศสิงคโปร์ อนิเมะนี้เข้าฉาย ณ โรงภาพยนตร์สามแห่ง และรายได้ในสัปดาห์แรกอยู่ที่ 14,660 ดอลลาร์สหรัฐ ชื่อว่ามากเป็นอันดับที่สิบเจ็ด[59] และรายได้รวมอยู่ที่ 29,785 ดอลลาร์สหรัฐ[2] ส่วนในสหรัฐอเมริกา อนิเมะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เพียงบางแห่ง รายได้สัปดาห์แรกคือ 1,412 ดอลลาร์สหรัฐ ถือว่ามากเป็นอันดับที่เจ็ดสิบหก ครั้นพ้นกำหนดฉายแล้ว ทำรายได้รวม 86,708 ดอลลาร์สหรัฐ[1] ในการนี้ รายได้ทั่วโลกคำนวณเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ได้ 18,353,560 ดอลลาร์สหรัฐ[2] รางวัลซัมเมอร์ วอร์ส เป็นอนิเมะเรื่องแรกที่ได้เข้าชิงรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโลการ์โน (Locarno International Film Festival) ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์[60][61] โดยได้รับการเสนอให้ได้รางวัลเสือดาวทองคำ (Golden Leopard award) ประจำปี 2552[62] แต่ไม่ชนะ กระนั้น หนังสือพิมพ์ ตรีบูนเดอเฌแนฟ (Tribune de Genève) ของสวิตเซอร์แลนด์ว่า "เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่สุดที่มีอยู่ [ในบรรดาซึ่งเข้าร่วมชิงรางวัลนั้น]"[63] อนิเมะนี้ยังเปิดตัวต่อนานาชาติ ณ งานฉลองมังงะ (celebration of manga) ในเทศกาลดังกล่าว เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงบทบาทของมังงะในโลกอุตสาหกรรมแอนิเมชันด้วย[61] ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม 2552 กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (Ministry of Economy, Trade and Industry) ของญี่ปุ่นมอบรางวัลสื่อใหม่ (award for new media) ให้แก่อนิเมะเรื่องนี้ในการประชุมประจำปีของสมาคมสาระดิจิทัลแห่งญี่ปุ่น (Digital Content Association of Japan)[64] ในปลายปี 2552 อนิเมะนี้ได้รับรางวัลเกอร์ตีว่าด้วยภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม (Gertie Award for Best Animated Feature Film) ณ เทศกาลภาพยนตร์ซิตเจส (Sitges Film Festival) ประเทศสเปน[65][66] ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอเชียแปซิฟิกสกรีน (Asia Pacific Screen Awards) สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม แต่ชวด[67][68] กับทั้งได้รับรางวัลสาขาแอนิเมชันยอดเยี่ยม (Animation Division Grand Prize) ณ เทศกาลศิลปะสื่อญี่ปุ่น ครั้งที่ 13 (13th Japan Media Arts Festival) ซึ่งโฮะโซะดะเคยได้รับสำหรับอนิเมะ กระโดดจั๊มพ์ทะลุข้ามเวลา เมื่อปี 2543 ครั้งหนึ่งแล้ว ตามลำดับ[69][70] ครั้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 อนิเมะเรื่องนี้ได้รับการฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน ครั้งที่ 60 (60th Berlin International Film Festival) โดยเป็นส่วนหนึ่งของรายการสำหรับ วัยสิบสี่ปีขึ้นไป (Generation 14plus)[71][72] ต่อมา อนิเมะนี้ได้รับรางวัลแห่งความเป็นเลิศในแอนิเมชัน (Award of Excellence in Animation) ณ งานประกาศผลรางวัลอะแคเดมีญี่ปุ่น ครั้งที่ 33 (33rd Japan Academy Prizes) ที่บ้านเกิดเมืองนอน เป็นเหตุให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแอนิเมชันแห่งปี (Animation of the Year Prize) และชนะเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2553[73][74] อนิเมะนี้ยังได้รับรางวัลผู้ชม (Audience Award) สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติแอนะไฮม์ (Anaheim International Film Festival) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดในเดือนตุลาคม 2553 และอีกสองเดือนให้หลัง โฮะโซะดะก็ได้รับรางวัลแอนนี (Annie Award) สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม นับเป็นชาวญี่ปุ่นคนที่สามที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแอนนีในสาขาดังกล่าว ทั้งนี้ สองคนก่อนหน้า คือ ฮะยะโอะ มิยะซะกิ และโจ ฮิไซชิ (Joe Hisaishi)[75] อนึ่ง ฟันนิเมชันและจีคิดส์ (GKIDS) ได้ร่วมกันส่งอนิเมะนี้เข้าชิงรางวัลแอนิเมชันยอดเยี่ยมในงานประกาศผลรางวัลอะแคเดมี ครั้งที่ 83 (83rd Academy Awards) ด้วย แต่พ่าย[43][76][77] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia