คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ชื่อเล่น แจ๊ส หรือ บิ๊กแจ๊ส (เกิด 22 สิงหาคม พ.ศ. 2497) เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 2 สมัย และอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นอกจากนี้ยังเป็นหมอฝังเข็มรักษาคนไข้ที่มูลนิธิมงคล-จงกล ธูปกระจ่าง ประวัติชีวิตส่วนตัวคำรณวิทย์ หรือ บิ๊กแจ๊ส เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2497 ที่ ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี เป็นบุตรของมงคล และจงกล ธูปกระจ่าง โดยมงคลเคยดำรงตำแหน่งครูใหญ่ โรงเรียนปทุมธานี นันทมุนีบำรุง ส่วนจงกลเคยรับราชการเป็นคุณครูประจำอยู่ที่โรงเรียนปทุมวิไล และเกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ. 2529 คำรณวิทย์สมรสกับศรีปริญญา ธูปกระจ่าง มีบุตร-ธิดา 2 คน[1] คือ
คำรณวิทย์เคยได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า "หมอแจ๊ดจัดให้" เนื่องจากเปิดคลินิกเพื่อรักษาคนไข้ด้วยวิธีการฝังเข็มและการช่วยเหลือกิจกรรมสาธารณะอื่นๆ และยังเป็นเจ้าของวลีเด็ดตำรวจประจำปี พ.ศ. 2555 “มีวันนี้เพราะพี่ให้”[2] การศึกษาคำรณวิทย์สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวัดหงส์ปทุมาวาส, โรงเรียนปทุมวิไล, และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 30 ในปี พ.ศ. 2520 และยังได้รับปริญญาการแพทย์แผนไทย ประยุกต์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (การแพทย์แผนไทยประยุกต์)[3] การทำงานตำรวจคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เริ่มเข้ารับราชการตำรวจตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 ในตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ต่อมาได้ย้ายมาเป็นสารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2530 โดยเริ่มเข้ารับราชการเพียง 6 ปี ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นสารวัตรใหญ่ครั้งแรกที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนที่จะถูกย้ายไปยังสถานีตำรวจภูธรอื่น แต่ยังคงดำรงตำแหน่งเดิม
ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการกองปราบปราม ในปี พ.ศ. 2543, ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ในปี พ.ศ. 2546 โดยได้เลื่อนขั้นเป็นพลตำรวจตรี, และกลับมาเป็นผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ปี พ.ศ. 2547 ในช่วงที่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น) เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จากนั้นก็ได้รับตำแหน่งรองผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2550 และรักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในปี พ.ศ. 2554 พร้อมกับเลื่อนขั้นเป็นพลตำรวจโท และในปี พ.ศ. 2555 คำรณวิทย์ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผลงานสำคัญของคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง มีดังต่อไปนี้
แพทย์ทางเลือกพลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เปิดคลินิกรักษาโรคด้วยการแพทย์แผนจีนสมัยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล โดยเปิดร้านที่ชมรมถ้ำเสือเมืองปทุม ถนนเลียบคลองเจ็ดฝั่งตะวันออก ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งคำรณวิทย์เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า ได้ความรู้การแพทย์แผนจีนมาในช่วงที่เป็นผู้บัญชาการกองร้อย 2 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จึงนำมาเปิดรักษาในวันหยุดของตน ซึ่งเปิดมาแล้วกว่า 3 ปี นอกจากนี้ยังเป็นหมอพื้นบ้านด้านการแพทย์แผนไทยของมูลนิธิมงคล-จงกล ธูปกระจ่าง โดยได้รับการรับรองตามระเบียบของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก[6] มีการจัดตั้งคลินิกการแพทย์แผนไทยในจังหวัดปทุมธานี และในปี พ.ศ. 2562 คำรณวิทย์ได้รับอนุญาตให้สามารถสั่งจ่ายยาที่มีกัญชาปรุงผสมให้ผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย การท่าเรือคำรณวิทย์เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555[7] การเมืองพลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เริ่มเข้าสู่การเมือง โดยการลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ในนามของกลุ่มคนรักปทุม โดยในขณะนั้นมีคำขวัญว่า "ชีวิตที่เหลือเพื่อปทุมธานี" กลุ่มคนรักปทุมเริ่มเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562[8] โดยได้รับการสนับสนุนจากร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง และสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วน และในการเลือกตั้งครั้งแรกของเขานั้น ทำคะแนนได้ 252,499 คะแนน ชนะคู่แข่งอย่าง ชาญ พวงเพ็ชร์ ไปสามหมื่นกว่าคะแนน ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 คำรณวิทย์มีความประสงค์ที่จะให้สมาชิกกลุ่มคนรักปทุมของตน ลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคเพื่อไทย ทว่ามีความขัดแย้งกับพรรค เนื่องจากทางพรรคประสงค์จะส่งผู้สมัครเดิมในพื้นที่ ส่งผลให้สมาชิกกลุ่มคนรักปทุมที่ได้ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทยมีแค่ 2 คน คือ ยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ ที่ปรึกษาพิเศษนายก อบจ.ปทุมธานี และยงยุทธ มั่นบุปผชาติ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2550 และในส่วนสมาชิกที่เหลือต้องย้ายไปลงสมัครพรรคอื่นแทน เช่น พรรคภูมิใจไทย และ พรรคพลังประชารัฐ[9] โดยสมาชิกกลุ่มคนรักปทุมทั้งหมดไม่มีใครได้รับเลือกตั้ง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 คำรณวิทย์ พร้อมกับพลตำรวจเอก สมศักดิ์ จันทะพิงค์ นายก อบจ.นครสวรรค์ และสุรเชษ นิ่มกุล นายก อบจ.อ่างทอง ลาออกจากตำแหน่งนายก อบจ. ก่อนครบวาระ โดยอ้างว่าติดกฎเลือกตั้งท้องถิ่น 180 วัน[10] คราวนี้พรรคเพื่อไทยหันไปสนับสนุนคู่แข่งเดิม (ชาญ พวงเพ็ชร์) ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ยังให้การสนับสนุน โดยในการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อเดือนมิถุนายน เขาทำคะแนนได้ 201,212 คะแนน แพ้คู่แข่งเดิมอย่าง ชาญ พวงเพ็ชร์ สองพันกว่าคะแนน จนกระทั่งคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้ใบเหลืองการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่งผลให้มีการเลือกตั้งซ่อมอีกครั้งในเดือนกันยายน โดยคำรณวิทย์กลับมาชนะอีกครั้ง[11] ผลการเลือกตั้ง
กีฬาคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 โดยให้เหตุผลว่า อดีตรับราชการตำรวจ คลุกคลีอยู่กับอาวุธปืนมาอย่างยาวนาน ต่อมาก็เคยเข้าไปบริหารงานในสมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทยในระยะสั้น ๆ ได้รู้ ได้เห็นพอสมควร แต่ระยะหลังทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่น่าจดจำ ประกอบกับพรรคพวกที่อยากเห็นสมาคมกีฬายิงปืนกลับมาดีเหมือนเดิม จึงได้มาทาบทาม โดยหากตนได้เข้าไปบริหารงานแล้วจึงจะสามารถดำเนินการให้ทุกอย่างดีขึ้นแน่นอน โดยในส่วนของนักกีฬา จะต้องส่งไปแข่งขันรายการนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งรัดพัฒนาต้องไม่ด้อยกว่านักยิงปืนระดับแชมป์โลก หรือ แชมป์เอเชีย โดยตลอด 4 ปีที่บริหารงานจะต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบและรัดกุม นักกีฬายิงปืนไทยต้องได้โควตาไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์มากกว่าวันนี้ ส่วนในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ จะต้องกลับมาเป็นเสือตัวใหญ่อีกครั้ง และสุดท้าย การบริหารงานเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยใครที่เข้ามาแล้วทำตัวเป็น มอด กัดแกะแทะเล็ม อยู่แล้วทำลาย เพื่อหวังผลประโยชน์หรือต้องการเข้ามากอบโกยจากอะไรก็ตาม คนจำพวกนี้จะต้องถูกกำจัดให้หมดไปอย่างเร็วที่สุด[12] โดยการลงมตินั้น คำรณวิทย์ชนะไปด้วยคะแนนเสียง 22 เสียง จากทั้งหมด 42 เสียง[13] ทว่า การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ หลังพบว่ามีการทำผิดข้อบังคับรวม 4 ข้อ โดยคำรณวิทย์ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ทางทีมงานได้มีการทำหนังสืออุทธรณ์ไปยังการกีฬาแห่งประเทศไทยแล้ว ก็ต้องดูว่าทีมงานจะเดินเรื่องต่อไปอย่างไรบ้าง เท่าที่รู้คือมีการปรึกษาฝ่ายกฎหมายเพื่อจะฟ้องร้องทางการกีฬาแห่งประเทศไทยที่สั่งให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะด้วย แต่โดยส่วนตัวนั้นไม่ได้กังวลใจเรื่องตำแหน่งนัก[14] ข้อวิจารณ์ และคดีความในปี พ.ศ. 2556 ครั้งหนึ่งที่คำรณวิทย์นำภาพห้องทำงานมาแสดง แล้วมีภาพที่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังติดยศให้คำรณวิทย์ตั้งอยู่ พร้อมกับมีข้อความบนภาพว่า "มีวันนี้ เพราะพี่ให้" ซึ่งทำให้ถูกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม เพราะในขณะนั้น ทักษิณยังเป็นผู้ต้องหาหนีคดี จนเป็นเหตุให้ถูกตรวจสอบเรื่องจริยธรรมตำรวจ แต่คำรณวิทย์ยืนยันว่าตนไม่ได้ผิด[15] และในปีเดียวกัน คำรณวิทย์เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศญี่ปุ่นควบคุมตัว ในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง ที่สนามบินนาริตะ โดยคำรณวิทย์ให้การรับสารภาพกับตำรวจญี่ปุ่นว่า อาวุธปืนดังกล่าวเป็นของตนจริง พร้อมแสดงเอกสารประจำตัวข้าราชการตำรวจ และเอกสารเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น อีกทั้งยังระบุอีกว่า ไม่รู้ว่าตนลืมอาวุธปืนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่[16] ในเวลาต่อมา พลตำรวจโท อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ในขณะนั้น เตรียมแจ้ง 3 ข้อหากับคำรณวิทย์ ดังนี้: ครอบครองอาวุธปืน, พกพาอาวุธปืน, และทำผิดพระราชบัญญัติท่าอากาศยาน[17] นอกจากนี้ เขายังเคยถูกนายอัมรินทร์ ยี่เฮง ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท หลังจากที่ถูกนำชื่อไปประกาศว่าเป็นบุคคลอันตราย ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ส่งผลให้ธุรกิจของครอบครัวได้รับความเสียหาย แต่คดีไม่ได้รับความคืบหน้า[18] 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ภายหลังเหตุเพลิงไหม้รถบัสบนถนนวิภาวดีรังสิต พ.ศ. 2567 คำรณวิทย์ได้จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เสริมสิริมงคลเรียกขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ประสบอุบัติเหตุ บริเวณหน้าอนุสรณ์สถาน โดยทำพิธีตั้งแต่เวลา 8 นาฬิกา จนถึง 12 นาฬิกา และได้มีการประกาศปิดถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้าตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึง 12 นาฬิกา[19] ส่งผลให้เกิดรถติดเป็นจำนวนมากในวันนั้น สร้างความไม่พอใจแก่ผู้ใช้ถนน จนเกิดการวิจารณ์อย่างเป็นวงกว้าง ทั้งในแง่ของความเหมาะสมและความจำเป็นของพิธีดังกล่าว[20] รางวัล
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia