หนังสือโยชูวา บทที่ 2
โยชูวา 2 (อังกฤษ : Joshua 2 ) เป็นบทที่ 2 ของหนังสือโยชูวา ในคัมภีร์ฮีบรู หรือในพันธสัญญาเดิม ของคัมภีร์ไบเบิล ในศาสนาคริสต์ ตามธรรมเนียมในศาสนายูดาห์เชื่อว่าหนังสือเขียนขึ้นโดยโยชูวา ร่วมด้วยมหาปุโรหิตเอเลอาซาร์ และฟีเนหัส [ 2] [ 3] แต่นักวิชาการยุคปัจจุบันมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เฉลยธรรมบัญญัติซึ่งครอบคลุมเรื่องราวตั้งแต่หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ถึงหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 2 เขียนโดยผู้เขียนศาสนายาห์เวห์ผู้รักชาติและศรัทธาในสมัยของโยสิยาห์ กษัตริย์ยูดาห์นักปฏิรูปในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล[ 3] บทที่ 2 ของหนังสือโยชูวาเน้นไปที่เรื่องราวของเหล่าผู้สอดแนมที่โยชูวา ส่งเข้าไปในเมืองเยรีโค และเรื่องราวการพบกับราหับ ของเหล่าผู้สอดแนม เป็นส่วนหนึ่งของตอนที่ประกอบด้วยโยชูวา 1:1–5:12 เกี่ยวกับการเข้าสู่ดินแดนคานาอัน
ต้นฉบับ
บทนี้เดิมเขียนด้วยภาษาฮีบรู แบ่งออกเป็น 24 วรรค
พยานต้นฉบับ
บางสำเนาต้นฉบับในยุคต้นที่มีข้อความของบทนี้เป็นภาษาฮีบรู มีลักษณะเป็นต้นฉบับเมโซเรติก (Masoretic Text) ได้แก่ ฉบับไคโร (Codex Cairensis; ค.ศ. 895), ฉบับอะเลปโป (Aleppo Codex; ศตวรรษที่ 10) และ ฉบับเลนินกราด (Leningrad Codex; ค.ศ. 1008) ชิ้นส่วนที่มีข้อความบางส่วนของบทนี้ในภาษาฮีบรูถูกพบในม้วนหนังสือเดดซี ได้แก่ XJoshua (XJosh, X1; 50 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งมีวรรค 4-5 หลงเหลืออยู่[ 9] และ 4Q48 (4QJoshb ; 100–50 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งมีวรรค 11-12 หลงเหลืออยู่[ 9] [ 12]
ต้นฉบับโบราณที่หลงเหลืออยู่ของคำแปลเป็นภาษากรีกคอยนี ที่รู้จักในชื่อเซปทัวจินต์ (ทำขึ้นในช่วงไม่กี่ศตวรรษสุดท้ายก่อนคริสตกาล) ได้แก่ ฉบับวาติกัน (Codex Vaticanus; B ;
G
{\displaystyle {\mathfrak {G}}}
B ; ศตวรรษที่ 4) และฉบับอะเล็กซานเดรีย (Codex Alexandrinus; A ;
G
{\displaystyle {\mathfrak {G}}}
A ; ศตวรรษที่ 5)[ a] ชิ้นส่วนของเซปทัวจินต์ ภาษากรีกที่มีบทนี้ถูกพบในต้นฉบับอย่างสำเนาต้นฉบับวอชิงตัน 1 (Washington Manuscript I; คริสต์ศตวรรษที่ 5) และพบฉบับย่อของเซปทัวจินต์ในม้วนโยชูวา ที่มีภาพประกอบ[ 15] [ 16]
การอ้างอิงในพันธสัญญาใหม่
วิเคราะห์
เรื่องเล่าการเข้าสู่ดินแดนคานาอันของชาวอิสราเอลประกอบด้วยวรรค 1:1 ถึง 5:12 ของหนังสือโยชูวา และมีโครงเรื่องดังต่อไปนี้:
A. การเตรียมเข้าแผ่นดิน (1:1–18)
1. พระบัญชาต่อโยชูวา (1:1–9)
2. บัญชาต่อเหล่าผู้นำ (1:10–11)
3. การสนทนากับเผ่าตะวันออก (1:12–18)
B. ราหับและผู้สอดแนมในเยรีโค (2:1–24)
1. คำสั่งถึงผู้สอดแนม (2:1a)
2. การลวงกษัตริย์แห่งเยรีโค (2:1b–7)
3. คำสาบานต่อราหับ (2:8–21)
4. รายงานถึงโยชูวา (2:22–24)
C. ข้ามแม่น้ำจอร์แดน (3:1–4:24)
1. การเตรียมการในช่วงต้นเพื่อข้ามแม่น้ำ (3:1–6)
2. บัญชาในการข้ามแม่น้ำ (3:7–13)
3. การข้ามแม่น้ำอย่างอัศจรรย์: ส่วนที่ 1 (3:14–17)
4. ศิลาจารีกสิบสองก้อน: ส่วนที่ 1 (4:1–10a)
5. การข้ามแม่น้ำอย่างอัศจรรย์: ส่วนที่ 2 (4:10b–18)
6. ศิลาจารีกสิบสองก้อน: ส่วนที่ 2 (4:19–24)
D. การเข้าสุหนัตและพิธีปัสกา (5:1–12)
1. ความกลัวของชาวคานาอัน (5:1)
2. การเข้าสุหนัต (5:2–9)
3. พิธีปัสกา (5:10–12)
ราหับรับผู้สอดแนม (2:1–7)
ราหับรับและซ่อนตัวผู้สอดแนม โดย Frederick Richard Pickersgill (ค.ศ. 1881)
เรื่องเล่าในบทนี้ดูมีลักษณะเป็นบทคั่น แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวนี้ให้ข้อมูลภูมิหลังสำหรับเรื่องราวการข้ามแม่น้ำจอร์แดนและยุทธการที่เยรีโค การส่งผู้สอดแนมออกไปเป็นไปตามแบบอย่างที่โมเสสเคยทำ (กันดารวิถี 13, เฉลยธรรมบัญญัติ 1:21–23; เปรียบเทียบกับโยชูวา 7:2–3) แต่ผลแตกต่างจากภารกิจก่อนหน้าซึ่งให้ผลล้มเหลวในการยึดแผ่นดินแห่งพระสัญญาเพราะความกลัว (กันดารวิถี 13–14) ครั้งนี้ผู้สอดแนมต่างสนับสนุนประชาชนให้รุดหน้าไป (วรรคที่ 24; ตรงกันข้ามกับกันดารวิถี 13:31–33) ราหับ กลายเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวโดยเป็นบุคคลที่มีชื่อเพียงคนเดียวในเรื่องราวนี้ และควบคุมทุกการกระทำในเรื่องราว โดยเธอให้ข้อมูลแก่ผู้สอดแนม ปกป้องและแนะนำที่ปลอดภัยให้ผู้สอดแนม ในขณะที่ผู้สอดแนม, กษัตริย์ของเยรีโคและเจ้าหน้าที่ของพระองค์ไม่มีการระบุชื่อ
วรรคที่ 1
ต่อมาโยชูวาบุตรนูนส่งชายสองคนจากเมืองชิทธีมเป็นการลับไปสอดแนม กล่าวว่า "จงไปตรวจดูแผ่นดินนั้น โดยเฉพาะเมืองเยรีโค" เขาทั้งสองก็ไป เข้าไปในบ้านของหญิงโสเภณีคนหนึ่งชื่อราหับ และพักอยู่ที่นั่น [ 22]
"ชิทธีม ": ถูกระบุว่าเป็น "Tell el-Ḥammām" ในปัจจุบันบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามกับเยรีโค ในที่นี้เขียนเป็นรูปแบบสั้นเช่นเดียวกับในกันดารวิถี 25:1 ไม่ใช่รูปแบบยาวว่า "อาเบลชิทธิม" อย่างในกันดารวิถี 33:49
คำสาบานต่อราหับ (2:8–24)
"ราหับปล่อยให้ผู้สอดแนมหนี" ภาพพิมพ์แกะไม้ในปี ค.ศ. 1860 โดย Julius Schnorr von Karolsfeld
การเผยความเชื่อของราหับ (วรรค 8–11) หนุนใจผู้สอดแนมในความเชื่อต่อพระสัญญาของพระเจ้า (เปรียบเทียบกับอพยพ 23:27; กันดารวิถี 22:3) ในขณะที่ราหับกล่าวย้อนให้ระลึกถึงชัยชนะในฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนในฐานะประจักษ์พยานว่าพวกเขาก็จะได้รับความสำเร็จในคานาอัน (เฉลยธรรมบัญญัติ 3:21-2) และด้วยเหตุนี้ราหับจึงร้องขอให้ชีวิตของตัวเธอและครอบครัวได้รับการ 'แสดงความเมตตา' (ภาษาฮีบรู: hesed ; วรรค 12) ด้วยการเชื่ออย่างคาดหวังในความสัมพันธ์แห่งพันธสัญญา (เปรียบเทียบกับ 1 ซามูเอล 20:8) ผู้สอดแนมตกลงแล้วสาบานโดยใช้ชีวิตของตนเป็นประกันความปลอดภัยของราหับและครอบครัว (วรรค 14,19) หากราหับไม่ 'เปิดเผยภารกิจนี้ของเรากับใคร' (วรรค 14, 20) แม้ว่าแนวคิดเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์จะเรียกร้องให้สังหารชาวเมืองเยรีโคทุกคนก็ตาม (เฉลยธรรมบัญญัติ 2:32–37; 7:1–5; 20:16–18).
วรรค 14
ชายนั้นจึงตอบนางว่า "ชีวิตของเราเพื่อชีวิตของพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าไม่เปิดเผยภารกิจนี้ของเรากับใคร เราจะมีความเมตตาและซื่อสัตย์ต่อเจ้า เมื่อพระยาห์เวห์ประทานแผ่นดินนี้แก่เรา" [ 25]
"ภารกิจนี้ของเรา": หมายถึงภารกิจของผู้สอดแนมเป็นหลัก ไม่ได้หมายถึงการพิชิตคานาอันที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะการที่ชาวอิสราเอลกำลังจะพิชิตคานาอันนั้นเป็นสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไปในหมู่ชาวคานาอันทั้งหมดอยู่แล้ว (วรรค 9–11)
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
↑ หนังสือโยชูวาทั้งเล่มขาดหายไปจากฉบับซีนาย (Codex Sinaiticus) ที่หลงเหลืออยู่[ 14]
อ้างอิง
↑ Talmud , Baba Bathra 14b-15a)
↑ 3.0 3.1 Gilad, Elon. Who Really Wrote the Biblical Books of Kings and the Prophets? Haaretz , June 25, 2015. Summary: The paean to King Josiah and exalted descriptions of the ancient Israelite empires beg the thought that he and his scribes lie behind the Deuteronomistic History.
↑ 9.0 9.1 Dead sea scrolls - Joshua
↑ 4Q48 at the Leon Levy Dead Sea Scrolls Digital Library
↑ This article incorporates text from a publication now in the public domain: Herbermann, Charles, ed. (1913). "Codex Sinaiticus". Catholic Encyclopedia. New York: Robert Appleton Company.
↑ "Discrepancies in manuscripts show how Old Testament scribes edited the Book of Joshua" . University of Helsinki . January 29, 2018.
↑ Rösel, Martin (January 1, 2002). "The septuagint-version of the book of Joshua". Scandinavian Journal of the Old Testament . 16 (1): 5–23. doi :10.1080/09018320210000329 . S2CID 161116376 – โดยทาง Taylor and Francis+NEJM.
↑ Joshua 2 , Berean Study Bible
↑ โยชูวา 2:1 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน
↑ โยชูวา 2:14 THSV11
บรรณานุกรม
Coogan, Michael David (2007). Coogan, Michael David; Brettler, Marc Zvi; Newsom, Carol Ann; Perkins, Pheme (บ.ก.). The New Oxford Annotated Bible with the Apocryphal/Deuterocanonical Books: New Revised Standard Version, Issue 48 (Augmented 3rd ed.). Oxford University Press. ISBN 978-0195288810 .
Firth, David G. (2021). Joshua: Evangelical Biblical Theology Commentary . Evangelical Biblical Theology Commentary (EBTC) (illustrated ed.). Lexham Press. ISBN 9781683594406 .
Fitzmyer, Joseph A. (2008). A Guide to the Dead Sea Scrolls and Related Literature . Grand Rapids, MI: William B. Eerdmans Publishing Company. ISBN 9780802862419 .
Halley, Henry H. (1965). Halley's Bible Handbook: an abbreviated Bible commentary (24th (revised) ed.). Zondervan Publishing House. ISBN 0-310-25720-4 .
Hayes, Christine (2015). Introduction to the Bible . Yale University Press. ISBN 978-0300188271 .
McConville, Gordon (2007). "9. Joshua". ใน Barton, John ; Muddiman, John (บ.ก.). The Oxford Bible Commentary (first (paperback) ed.). Oxford University Press. pp. 158–176. ISBN 978-0199277186 . สืบค้นเมื่อ February 6, 2019 .
Rösel, Hartmut N. (2011). Joshua . Historical commentary on the Old Testament. Vol. 6 (illustrated ed.). Peeters. ISBN 978-9042925922 .
Ulrich, Eugene, บ.ก. (2010). The Biblical Qumran Scrolls: Transcriptions and Textual Variants . Brill.
Würthwein, Ernst (1995). The Text of the Old Testament . แปลโดย Rhodes, Erroll F. Grand Rapids, MI: Wm. B. Eerdmans. ISBN 0-8028-0788-7 . สืบค้นเมื่อ January 26, 2019 .
แหล่งข้อมูลอื่น