เฉียว ฉือ
เฉียว ฉือ (จีนตัวย่อ: 乔石; จีนตัวเต็ม: 喬石; พินอิน: Qiáo Shí; 24 ธันวาคม พ.ศ. 2467 – 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558) ชื่อเดิม เจี่ยง จื้อถง (蒋志彤) เป็นนักการเมืองชาวจีนและเป็นหนึ่งในผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2530–2540 เขาเป็นคู่แข่งกับเจียง เจ๋อหมินในการชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจีน แต่ประสบความพ่ายแพ้ เขาจึงได้รับตำแหน่งประธานสภาประชาชนแห่งชาติแทน และถูกนับเป็นผู้ที่มีอำนาจมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 จนกระทั่งเกษียณอายุในปี 2541[1] เมื่อเปรียบเทียบกับกับเจียง เฉียวมีจุดยืนในนโยบายการเมืองและเศรษฐกิจที่เสรีมากกว่า ส่งเสริมหลักนิติธรรมและการปฏิรูปที่มุ่งเน้นตลาดของรัฐวิสาหกิจ[2] ชีวิตช่วงต้นเฉียว ฉือ เกิดเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2467 ชื่อเดิมของเขาคือ เจี่ยง จื้อถง (蔣志彤; Jiǎng Zhìtóng) ที่เซี่ยงไฮ้ บิดาของเขาเป็นชาวติงไห่ มณฑลเจ้อเจียง ทำงานเป็นนักบัญชีในเซี่ยงไฮ้ ส่วนมารดาเป็นกรรมกรที่โรงงานทอผ้าหมายเลข 1 ของเซี่ยงไฮ้[3] เขาศึกษาเอกวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยอีสต์ไชน่า แต่ไม่ได้จบการศึกษา เขาใช้ชื่อในการทำกิจกรรมปฏิวัติใต้ดินว่า เจี่ยง เฉียวฉือ ตั้งแต่ตอนอายุเพียง 16 ปี ตามธรรมเนียมในยุคนั้นสำหรับเยาวชนที่ใฝ่ฝันจะเป็นคอมมิวนิสต์ ต่อมาเขาได้ละทิ้งนามสกุลเจี่ยงไปโดยสิ้นเชิงและเรียกตนเองว่า "เฉียว ฉือ"[4][5] ยุคเหมาหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2492 เฉียวได้ดำรงตำแหน่งผู้นำสันนิบาติเยาวชนคอมมิวนิสต์ประจำเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง จนถึงปี 2497 ระหว่างปี 2497–2505 เขาทำงานที่บริษัทเหล็กกล้าอันชาน ในมณฑลเหลียวหนิง จากนั้นจึงย้ายไปทำงานที่บริษัทเหล็กกล้าจิ่วชวน ในมณฑลกานซู่[6] ในปี พ.ศ. 2506 เฉียวได้รับการโยกย้ายไปทำงานที่กองการต่างประเทศของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาระหว่างประเทศ และได้เดินทางไปเยือนประเทศคอมมิวนิสต์อื่น ๆ อย่างกว้างขวาง[4] ถึงกระนั้น ชีวิตของเฉียวก็พลิกผันอย่างเลวร้าย เมื่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรมปะทุขึ้นในปี 2509 เนื่องจากภรรยาของเขา ยฺหวี เหวิน (于文) เป็นหลานสาวของเฉิน ปู้เหลย์ (陈布雷) ที่ปรึกษาคนสำคัญของเจียง ไคเชก หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง เฉียวต้องเผชิญกับการประณามซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงการต่อสู้กับพวกหัวเก่า (struggle sessions) ส่งผลให้เขาต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการแผลกะเทาะที่ลำไส้เล็กส่วนต้นและเลือดออก ในปี 2512 ทั้งเฉียวและภรรยาถูกส่งไปทำงานในฟาร์มแรงงานชนบท ก่อนแรกในมณฑลเฮย์หลงเจียง และต่อมาในมณฑลเหอหนาน เขาสามารถกลับมาทำงานที่กองการต่างประเทศได้อีกครั้งในปี 2514 เมื่อเกิ่ง เปียว เข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการ[3] ขึ้นสู่อำนาจหลังสิ้นสุดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เฉียวได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการกรมการต่างประเทศในปี 2521 และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการในปี 2525 โดยรับผิดชอบการบริหารความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ต่างประเทศ นอกจากนี้ เขายังได้รับเลือกเป็นสมาชิกสำรองของคณะเลขาธิการกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารประจำวันของพรรค ต่อมาเขายังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไปของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งดูแลการบริหารงานประจำวันของพรรค และผู้อำนวยการกรมองค์การพรรค ซึ่งดูแลทรัพยากรบุคคล[4] ในช่วงที่เฉียวดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไปของพรรค ได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานจากเดิมที่มุ่งเน้นการต่อสู้ทางชนชั้น มาเป็นการมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการปฏิรูปและเปิดประเทศ ในปี 2528 หัวหน้าสายลับจีน ยฺหวี เฉียงเชิง ได้แปรพักตร์ไปยังสหรัฐ ส่งผลให้ เฉิน พีเสี่ยน สมาชิกคณะกรมการเมืองและเลขาธิการคณะกรรมาธิการกิจการการเมืองและกฎหมายส่วนกลาง ถูกปลดจากตำแหน่ง เฉียวจึงได้รับเลือกให้เข้ามาแทนที่ อีกเหตุผลหนึ่งคือเขามีความใกล้ชิดกับเลขาธิการใหญ่ หู เย่าปัง และได้รับความไว้วางใจจากจากเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดของจีน[7] ด้วยผลงานและความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย ในปีเดียวกัน เฉียวก็ได้รับเลือกเป็นสมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งถือเป็นอันดับสองของอำนาจในพรรค และในปี 2529 เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี[2][5] ระหว่างปี 2530–2540 เฉียวได้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ สมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการตัดสินใจสูงสุดของจีน โดยเขารับผิดชอบงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลาย ได้แก่ ความมั่นคงภายใน หน่วยสืบราชการลับ กระบวนการยุติธรรม และวินัยของพรรค[7] ระหว่างปี 2530–2535 นอกจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมืองแล้ว เฉียวยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการสอบวินัยส่วนกลาง (Central Commission for Discipline Inspection) ซึ่งเป็นหน่วยงานปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันภายในพรรค[5] จัตุรัสเทียนอันเหมินและผลพวงเฉียวถูกมองว่ามีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 2532 แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเขาสนับสนุนหรือต่อต้านการปราบปรามนักศึกษาผู้ประท้วง[1] แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่รวมถึงอัตชีวประวัติของอดีตเลขาธิการพรรค จ้าว จื่อหยาง ระบุว่า เฉียวมีจุดยืนที่คลุมเครือเกี่ยวกับวิธีจัดการกับผู้ประท้วง เขาถูกกล่าวว่ามีความอดทนต่อขบวนการนักศึกษา และงดออกเสียงในการลงคะแนนของคณะกรมการเมืองเกี่ยวกับเรื่องการส่งกองทัพไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน[2] เฉียวสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำของเขาไว้ได้ ในขณะที่เพื่อนร่วมคณะกรมการเมืองอย่าง จ้าว จื่อหยาง และหู ฉี่ลี่ ซึ่งคัดค้านการปราบปรามผู้ประท้วง ถูกปลดจากตำแหน่งและถูกขับออกจากพรรค อย่างไรก็ตาม การที่เฉียวสามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้นั้นก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์อยู่เช่นกัน บางคนมองว่าเขาเป็นนักการเมืองที่เห็นแก่ตัวและไร้หลักการ เนื่องจากไม่กล้าแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในช่วงเวลาสำคัญ[2] ภายหลังเหตุการณ์ทางการเมืองที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เฉียว และนายกรัฐมนตรี หลี่ เผิง ได้ถูกยกขึ้นมาเป็นสองตัวเต็งที่จะชิงตำแหน่งผู้นำพรรค แต่เติ้ง เสี่ยวผิง และเหล่าผู้อาวุโสหลายคนในพรรค รู้สึกว่าหลี่ เผิง มีแนวคิดแบบซ้ายเกินไป และไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนผ่านจีนออกจากระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน ดังนั้นเฉียวจึงกลายเป็นตัวเลือก 'จำยอม' เนื่องจากประสบการณ์และความอาวุโสของเขาในเวลานั้น[4] แม้เติ้ง เสี่ยวผิง จะจัดการประชุมกับเฉียวเป็นการส่วนตัว เพื่อพูดคุยถึงเรื่องการสืบทอดอำนาจ[7] แต่สุดท้าย เฉียวก็พ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งของเขา เจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคในปี 2532 และประธานาธิบดีในปี 2536[4] ไม่เคยมีคำอธิบายอย่างชัดเจนว่าเหตุใดเฉียวถึงไม่ได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรค นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเนื่องจากเขามีประสบการณ์ด้านการบังคับใช้กฎหมายมากเกินไป จึงมีแนวโน้มที่จะใช้กลยุทธ์ที่แข็งกร้าวและรุนแรงในการแก้ไขปัญหา หรืออาจจะสูญเสียความนิยมจาก "ผู้อาวุโสในพรรค" คนสำคัญ ซึ่งเป็นผู้นำที่เกษียณอายุแล้วแต่ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในกระบวนการสืบทอดอำนาจ[1][5] ในเดือนมีนาคม 2536 เฉียวได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่งโดยทางการถือว่าเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่สูงเป็นอันดับ 3 ในประเทศ รองจากเลขาธิการพรรคและนายกรัฐมนตรี ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศ เขาพยายามที่จะเสริมสร้างระบบกฎหมายของจีนและปฏิรูปสภาประชาชนแห่งชาติ จากองค์กรที่ทำหน้าที่ให้ความเห็นชอบตามคำสั่ง (rubber-stamp body) ให้กลายเป็นสถาบันที่มีอำนาจแท้จริงในการกำหนดและส่งเสริมนิติธรรม[1] ผู้นำที่ไม่เห็นด้วยและผู้นำนักศึกษาที่เทียนอันเหมิน หวัง ตัน เคยแสดงความคิดเห็นว่า "แม้ว่าเฉียว ฉือ จะขึ้นชื่อเรื่องกลวิธีการสร้างภาพลักษณ์ แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถนำพาจีนไปสู่การปกครองที่เปิดกว้างและโปร่งใสมากขึ้น"[4] เกษียณ
ความเสื่อมอำนาจและการเสียชีวิต
ครอบครัว
เกียรติยศ
อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia