อาการเจ็บหู (อังกฤษ : ear pain, earache, otalgia ) เป็นความเจ็บปวด ในหู [ 1] [ 2] อาการเจ็บหูปฐมภูมิเป็นความเจ็บปวดซึ่งเกิดที่หู ส่วนอาการเจ็บหูทุติยภูมิเป็นรูปแบบหนึ่งของอาการปวดต่างที่ คือส่วนที่เป็นเหตุให้เจ็บจะต่างกับส่วนที่รู้สึกเจ็บ
เหตุโดยมากของการเจ็บหูจะไม่มีอันตรายต่อชีวิต[ 3] [ 4]
อาการเจ็บหูปฐมภูมิจะสามัญกว่าอาการเจ็บหูทุติยภูมิ[ 5]
และบ่อยครั้งเกิดจากการติดเชื้อ หรือการบาดเจ็บ[ 3]
ส่วนเหตุของอาการเจ็บหูทุติยภูมิค่อนข้างกว้างเริ่มตั้งแต่การทำหน้าที่ผิดปรกติของข้อต่อขากรรไกร จนกระทั่งถึงคออักเสบ [ 3]
เหตุของความเจ็บปวดโดยทั่วไปจะหาด้วยการสอบประวัติคนไข้และตรวจร่างกาย โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือสร้างภาพต่าง ๆ เช่นเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ [ 3]
อย่างไรก็ดี การตรวจเพิ่มอาจจำเป็นถ้ามีอาการน่าเป็นห่วง เช่น เสียการได้ยิน เวียนศีรษะ ได้ยินเสียงในหู หรือน้ำหนักลดโดยไม่มีเหตุ[ 6]
การรักษาจะขึ้นอยู่กับเหตุ
ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย บางครั้งก็จะใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษา และยาแก้ปวดที่ซื้อหาได้เองอาจช่วยลดความไม่สบาย[ 7]
เหตุบางอย่างจะต้องรักษาด้วยหัตถการ ไม่ว่าที่ทำในห้องตรวจหรือห้องผ่าตัด[ 7] [ 8] [ 9] งานทบทวนวรรณกรรม ปี 2015 พบว่า เด็ก 83% จะติดเชื้อในหูชั้นกลาง อย่างน้อยครั้งหนึ่งก่อนอายุจะเลย 3 ปี[ 10]
อาการ
อาการเจ็บหูอาจเกิดที่หูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
อาจเกิดร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น เป็นไข้ อาการรู้สึกหมุน คันหู หรือหูอื้อ
อาจเจ็บมากขึ้นเมื่อเคี้ยว[ 3]
และอาจเจ็บอย่างต่อเนื่องหรือเป็นหยุด ๆ หาย ๆ[ 11]
การเจ็บหูเพราะติดเชื้อ สามัญที่สุดในเด็กและเกิดในทารกได้ด้วย[ 10] ผู้ใหญ่อาจต้องตรวจเพิ่มถ้าเสียการได้ยิน เวียนศีรษะ หรือได้ยินเสียงในหู [ 6] อาการที่น่าเป็นห่วงอื่น ๆ รวมทั้งโรคเบาหวาน ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ มีอาการบวมในหูชั้นนอก หรือตามขากรรไก[ 12]
พยาธิสรีรวิทยา
เส้นประสาทสมอง ที่ทำให้รู้สึกเจ็บหู
การเจ็บหูปฐมภูมิ
หูสามารถแบ่งโดยกายวิภาคออกเป็นหูชั้นนอก ช่องหูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้นใน [ 13] แต่ความเจ็บก็ไม่ได้แตกต่างกันในส่วนเหล่านี้[ 2]
การเจ็บหูทุติยภูมิ
เส้นประสาทสมอง หลายเส้นวิ่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของหู รวมทั้งประสาทสมองเส้นที่ 5 (trigeminal) เส้นที่ 7 (facial) เส้นที่ 9 (glossopharyngeal) เส้นที่ 10 (vagus) และเส้นประสาทคอระดับ C2-C3 (great auricular nerve)[ 13] [ 14]
แต่เส้นประสาทเหล่านี้ก็ยังดำเนินไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอีกด้วยเริ่มตั้งแต่ปาก จนไปถึงหน้าอกและท้อง
ดังนั้น ความระคายเคืองต่อเส้นประสาทเหล่านี้เพราะส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอาจทำให้เจ็บหู[ 13]
ซึ่งเป็นอาการปวดต่างที่ อย่างหนึ่ง
การระคายเคืองที่ประสาทสมองเส้นที่ 5 ซึ่งทำให้สามารถรู้สึกที่ใบหน้า และควบคุมกล้ามเนื้อ ต่าง ๆ เพื่อกัดและเคี้ยวเป็นต้น เป็นเหตุสามัญที่สุดของการเจ็บหูต่างที่[ 3]
เหตุ
การเจ็บหูมีเหตุหลายอย่าง โดยมากไม่มีอันตรายต่อชีวิต[ 3] [ 4]
อาการอาจเริ่มมาจากบางส่วนของหูเอง คือเป็นการเจ็บหูปฐมภูมิ หรือจากโครงสร้างหรืออวัยวะนอกหูแต่กลับรู้สึกเจ็บที่หู คือเป็นการเจ็บหูทุติยภูมิ[ 3]
ซึ่งเป็นอาการปวดต่างที่ อย่างหนึ่ง คือส่วนที่เป็นปัญหาต่างกับส่วนที่รู้สึกเจ็บ
การเจ็บหูปฐมภูมิจะสามัญกว่าในเด็ก และการเจ็บหูทุติยภูมิจะสามัญกว่าในผู้ใหญ่[ 15]
การเจ็บหูปฐมภูมิมีเหตุมากที่สุดจากการติดเชื้อ และการบาดเจ็บที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของหู[ 3]
หูชั้นนอก
ปัญหาที่หูชั้นนอกปกติจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เพราะเป็นส่วนที่เปิดรับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดจึงบาดเจ็บได้ง่าย[ 16] การบาดเจ็บเนื่องกับวัตถุภายนอก เช่น มีอะไรมากระแทกหู อาจมีผลเป็น hematoma คือเลือดออกไปสะสมที่ระหว่างกระดูกอ่อน กับเยื่อหุ้มกระดูกอ่อน (perichondrium) ของหู
ซึ่งสามัญเป็นพิเศษในการเล่นกีฬา ที่กระทบกระทั่ง เช่น มวยปล้ำ หรือชกมวย [ 17] การบาดเจ็บเนื่องจากสิ่งแวดล้อมรวมทั้งถูกแดดเผา ถูกความเย็นจัด หรือผิวหนังอักเสบเหตุสิ่งที่แพ้หรือระคายเคือง (contact dermatitis)[ 16] เหตุที่สามัญน้อยกว่ารวมทั้ง[ 16] [ 18]
เซลล์เนื้อเยื่อในหูอักเสบ (auricular cellulitis) เป็นการติดเชื้อไม่รุนแรงของหูที่อาจเริ่มมาจากการบาดเจ็บ ถูกแมลงกัดต่อย หรือการเจาะหู
เยื่อหุ้มกระดูกอ่อนอักเสบ (perichondritis) เป็นการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มกระดูกอ่อน (perichondrium) หรือพังผืดรอบ ๆ กระดูกอ่อน ซึ่งอาจเกิดโดยเป็นภาวะแทรกซ้อนของเซลล์เนื้อเยื่อในหูอักเสบที่ไม่ได้รักษา การระบุและรักษาอาการนี้ด้วยยาปฏิชีวนะเป็นเรื่องสำคัญเพื่อไม่ให้หูเสียรูปอย่างถาวร
relapsing polychondritis เป็นการอักเสบที่กระดูกอ่อนในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งบ่อยครั้งรวมกระดูกอ่อนที่หูทั้งสอง ความรุนแรงและพยากรณ์โรค จะต่างกันมากในบุคคลต่าง ๆ[ 19]
หูชั้นนอกอักเสบ (otitis externa)
หูชั้นนอกอักเสบ ซึ่งเกิดบ่อย ๆ ในผู้ว่ายน้ำ เป็นการอักเสบของเซลล์เนื้อเยื่อที่ช่องหูชั้นนอก
ในอเมริกาเหนือ 98% เกิดจากติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อโรคที่เป็นเหตุก็คือ Pseudomonas และ Staphylococcus aureus [ 20]
ปัจจัยเสี่ยงรวมการได้รับความชื้นเกิน (เช่น จากการว่ายน้ำ หรืออยู่ในอากาศร้อน) และการขาดขี้หู ที่เป็นตัวช่วยป้องกัน ซึ่งอาจเกิดได้ถ้าทำความสะอาดมากเกินไปหรือใส่สิ่งของต่าง ๆ เข้าในหู[ 21]
หูชั้นนอกอักเสบร้ายแรง (malignant otitis externa) เกิดน้อยแต่เมื่อมีก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีภัยต่อชีวิต เพราะการติดเชื้อจะกระจายไปจากช่องหูเข้าไปยังกระดูกศีรษะรอบ ๆ คือกลายเป็นโรคกระดูกอักเสบเป็นหนอง (osteomyelitis)[ 18]
ซึ่งเกิดโดยมากในคนไข้โรคเบาหวาน [ 22]
และเกิดน้อยมากในเด็ก แต่ก็พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ผู้มีภูมิคุ้มกัน บกพร่อง[ 21]
โดยมีเชื้อโรค Pseudomonas เป็นเหตุอย่างสามัญที่สุด[ 22]
และมักจะเจ็บมากกว่าหูชั้นนอกอักเสบธรรมดา งานวิจัยได้พบตัวบ่งชี้การอักเสบที่สูงขึ้น (คือ ESR และ CRP )
เชื้ออาจจะกระจายไปถึงประสาทสมอง แต่น้อยมากที่จะไปถึงเยื่อหุ้มสมอง หรือสมอง [ 22]
การตรวจช่องหูอาจพบเนื้อเยื่อแกรนูเลชัน (เนื้อเยื่อผิวมะระ) ที่ด้านล่างของช่องหู
อาการนี้รักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่ให้ทางปากหรือทางเส้นเลือดดำ ปกติด้วยยา fluoroquinolones[ 22]
การอุดหู
ขี้หู อัดแน่น - นี่เป็นเหตุให้คนไปหาหมอ 12 ล้านครั้งต่อปีในสหรัฐ [ 23] แม้ขี้หูอาจจะทำให้หูเจ็บ แต่ความเจ็บปวดก็ยังอาจเกิดจากเหตุอื่น ๆ ซึ่งอาจไม่ตรวจเมื่อพบขี้หูอัดแน่นแล้ว
มีของแปลกปลอมอุดอยู่ในหู ที่สามัญที่สุดคือแมลงและวัสดุเล็ก ๆ เช่น ลูกปัดเล็ก ๆ[ 5]
เหตุที่มีน้อยกว่า
โรคงูสวัด ซึ่งมีเหตุจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ สามารถกำเริบเกิดขึ้นในเขตต่าง ๆ รวมทั้งหู ซึ่งทำให็เจ็บและก่อตุ่มพองภายในช่องหู และถ้าเกิดร่วมกับอัมพาตที่ใบหน้าเนื่องกับเส้นประสาทเฟเชียล นี่ก็จะเรียกว่า Ramsay Hunt syndrome (type 2)[ 24]
เนื้องอก ที่เกิดบ่อยที่สุดเป็นมะเร็งเยื่อบุ แบบ squamous cell อาการอาจคล้ายกับหูชั้นนอกอักเสบ ดังนั้น จึงควรพิจารณาว่าเป็นมะเร็งถ้าอาการไม่ดีขึ้นหลังจากรักษาอย่างถูกต้องแล้ว[ 18]
หูชั้นกลางและหูชั้นใน
หูชั้นกลางอักเสบ
หูชั้นกลางอักเสบ เกิดในเด็กเกิน 80% อย่างน้อยครั้งหนึ่งก่อนอายุจะเลย 3 ปี<[ 25] และสามัญที่สุดในเด็ก 3 ขวบและน้อยกว่า แม้ก็เกิดในเด็กที่โตกว่าเหมือนกัน[ 21]
เชื้อแบคทีเรียที่เป็นเหตุสามัญที่สุดก็คือ Streptococcus pneumoniae , Haemophilus influenzae , และ Moraxella catarrhalis [ 21]
หูชั้นกลางอักเสบมักเกิดพร้อมกับหรือเกิดหลังจากเป็นหวัด [ 16] การวินิจฉัยจะทำอาศัยอาการต่าง ๆ และการตรวจแก้วหูว่าแดง บวม และ/หรือมีน้ำสะสมอยู่ในหูชั้นกลางหรือไม่[ 5] ภาวะแทรกซ้อนรวมทั้งการเสียการได้ยิน อัมพาตเส้นประสาทเฟเชียล การติดเชื้อกระจายไปยังโครงสร้างรอบ ๆ รวมทั้ง[ 26]
การบาดเจ็บ
การบาดเจ็บจากแรงกดดัน เป็นผลของการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ ซึ่งเกิดเมื่อเครื่องบิน ลดความสูงหรือเนื่องจากการดำน้ำ ลึก คือ เพราะความดันอากาศภายนอกเพิ่มขึ้นเมื่อเครื่องบินลดความสูง ท่อหู จะแฟบเพราะความดันในหูชั้นกลางจะน้อยกว่าในหูชั้นนอก ซึ่งทำให้เจ็บ ในกรณีรุนแรง หูชั้นกลางอาจเลือดออกหรือแก้วหูอาจทะลุ[ 18]
แก้วหู ทะลุ ซึ่งอาจเกิดเพราะหูถูกกระทบอย่างรุนแรง เกิดเพราะระเบิด การบาดเจ็บจากแรงกดดัน หรือวัตถุที่เข้าไปในหูทะลุผ่านแก้วหู[ 5]
การเจ็บหูทุติยภูมิ
สภาวะโรคหลายอย่างระคายเส้นประสาทที่วิ่งไปทางหู
ภาวะที่ระคายประสาทสมองเส้นที่ 5 (trigeminal) รวมทั้ง[ 3]
การทำหน้าที่ผิดปรกติของข้อต่อขากรรไกร (temporomandibular joint dysfunction) ซึ่งเป็นการอักเสบหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติของข้อต่อขากรรไก เกิดบ่อยที่สุดในหญิงในวัยที่มีลูกได้ และไม่สามัญในเด็กอายุน้อยกว่า 10 ขวบ[ 27] [ 28] [ 16]
Myofascial pain syndrome เป็นความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อซึ่งทำการเคี้ยวอาหาร โดยอาจจะมีบางส่วนของกล้ามเนื้อ หรือเอ็น (ที่ยึดกล้ามเนื้อเข้ากับกระดูก ) ที่เจ็บเป็นพิเศษเมื่อกด[ 27]
อาการปวดประสาทไทรเจมินัล (trigeminal neuralgia) เป็นการเจ็บวิ่งลงที่ใบหน้า ซึ่งอาจเริ่มโดยแตะใบหน้าหรืออุณหภูมิ เปลี่ยนแปลง[ 29]
ปวดฟันเนื่องจากฟันผุหรือฝี
มะเร็งเยื่อบุในช่องปาก
ส่วนภาวะที่ระคายประสาทสมองเส้นที่ 7 (เส้นประสาทเฟเชียล ) หรือเส้นที่ 9 (glossopharyngeal) รวมทั้ง[ 3]
ภาวะที่ก่อความระคายเคืองให้แก่ประสาทสมองเส้นที่ 9 (vagus) รวมทั้ง[ 3]
ภาวะที่ระคายเคืองต่อเส้นประสาทคอระดับ C2-C3 รวมทั้ง[ 3] [ 16]
กระดูกสันหลัง บาดเจ็บ ข้ออักเสบ หรือเนื้องอก
หลอดเลือดแดง Temporal อักเสบ/Giant-cell arteritis - เป็นโรคภูมิต้านตนเอง ที่ทำให้เส้นเลือดแดง temporal ซึ่งเป็นหลอดเลือดขนาดใหญ่ในศีรษะ อักเสบ โดยมักเกินขึ้นในผู้มีอายุมากกว่า 50 ปี[ 18]
การวินิจฉัย
ทางเลือกการวินิจฉัยหูเจ็บแบบฉับพลัน[ 4] [ 8] [ 9]
ทางเลือกการวินิจฉัยหูเจ็บแบบเรื้อรัง[ 4] [ 8] [ 9]
ในขณะที่โรคบางอย่างอาจต้องอาศัยการทำภาพหรือการตรวจชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ ๆ แต่มูลฐานที่ทำให้หูเจ็บโดยมากแพทย์สามารถวินิจฉัยได้เลย
เพราะการวินิจฉัยแยกโรคของหูเจ็บมีมากมาย จึงไม่มีความเห็นพ้องว่าอะไรเป็นกรอบวินิจฉัยได้ดีที่สุด
วิธีการหนึ่งก็คือแยกโดยเวลาที่เกิดอาการต่าง ๆ เพราะหูเจ็บปฐมภูมิมักจะเป็นแบบฉับพลัน ในขณะที่หูเจ็บทุติยภูมิมักจะเรื้อรัง
เหตุแบบฉับพลันอาจเแยกว่ามีไข้ (ซึ่งแสดงการติดเชื้อ) หรือไม่มีไข้ (แสดงปัญหาที่อวัยวะ/โครงสร้าง เช่น การบาดเจ็บ หรือการบาดเจ็บที่หู)
สมุฏฐานที่ก่อความเจ็บเรื้อรังอาจแยกเป็นแบบมีหรือไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วง
อาการน่าเป็นห่วงอย่างหนึ่งก็คือการมีปัจจัยเสี่ยงหนึ่งอย่างหรือมากกว่านั้นรวมทั้งการสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาก (มากกว่า 3.5 แก้วต่อวัน) โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ และอายุมาก (มากกว่า 50 ปี)[ 3]
ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดเหตุร้ายแรงที่ทำให้หูเจ็บ เช่น มะเร็งหรือการติดเชื้อที่รุนแรง
โดยเฉพาะก็คือ การอยู่ร่วมกับผู้สูบบุหรี่อาจเพิ่มความเสี่ยงหูอักเสบอย่างฉับพลันในเด็ก[ 30]
อนึ่ง การว่ายน้ำ เป็นปัจจัยเสี่ยงซึ่งสำคัญที่สุดสำหรับหูชั้นนอกอักเสบ แม้ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ รวมทั้งช่องหูชื้น ผิวหนังอักเสบออกผื่น (eczema) และ/หรือการบาดเจ็บที่หู[ 31]
ถ้ามีอาการน่าเป็นห่วง ก็อาจต้องตรวจเพิ่ม เช่น ใช้เอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ หรือการตัดเนื้อออกตรวจ เพื่อกันว่ามีโรคที่ร้ายแรงกว่า
ซึ่งรวมหูชั้นนอกอักเสบร้ายแรง (malignant) หรือแบบทำให้เนื้อตาย (necrotizing), ปุ่มกกหูอักเสบ , หลอดเลือดแดง Temporal อักเสบ/Giant-cell arteritis, และมะเร็ง
ให้สังเกตว่า แม้อาการน่าเป็นห่วงอาจทำให้สงสัยโรค 4 อย่างเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้ยืนยันวินิจฉัยเพราะอาการเหล่านี้เห็นได้ในสถานการณ์อื่น ๆ อีกด้วย
เช่น อาการปวดขากรรไกรเมื่อเคี้ยวอาจมีเพราะหลอดเลือดแดง Temporal อักเสบ แต่ก็มีในการทำหน้าที่ผิดปรกติของข้อต่อขากรรไกร ด้วย[ 4]
ดั้งนั้น ถ้าไม่มีอาการน่าเป็นห่วง เหตุอื่น ๆ ของการปวดหูต่างที่ก็มีโอกาสมากขึ้นและดังนั้นจึงสมควรตรวจดู
เหตุการติดเชื้อ
วินิจฉัย
Features[ 4] [ 8] [ 9]
หูชั้นกลางอักเสบฉับพลัน
ประวัติการติดเชื้อทางเดินลมหายใจส่วนบน (URI ) ภายใน 10 วัน
เด็กดึงหู
เจ็บมากโดยอยู่ลึกในหู
เป็นไข้
เสียการได้ยิน
ความเจ็บอาจกวนการนอน
แก้วหู ทะลุ
เมื่อน้ำ/หนองไหลออก จะลดอาการเจ็บ
ปุ่มกกหูอักเสบ (mastoiditis)*
เป็นเด็ก
ประวัติมี URI มากกว่า 10 วัน
มี URI หรือติดเชื้อที่หูเร็ว ๆ นี้
เป็นไข้/หนาว
อาจเห็นอาการหูอักเสบเมื่อตรวจ
ความเจ็บอยู่หลังหู โดยส่วนหลังใบหู (postauricular) จะบวม (ใกล้กับปุ่มกกหู )*
ตรวจด้วยเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์
หูชั้นกลางอักเสบมีหนองเรื้อรัง (CSOM )
การเสียการได้ยินเหตุกระดูกสื่อ
หนองออกซึ่งบรรเทาอาการแล้วเป็นอีก หรือหนองออกอย่างเรื้อรัง
อาจเห็นแก้วหูทะลุหรือ cholesteatoma[ A] เมื่อตรวจ
หูชั้นกลางอักเสบแบบสะสมน้ำ (serous otitis mediao/titis media with effusion)
ไม่มีอาการว่าติดเชื้อ
เสียการได้ยินอย่างชัดเจน
อาจมีประวัติ URI หรือหูชั้นกลางอักเสบแบบฉับพลัน
หูชั้นนนอกอักเสบ
ว่ายน้ำ
โรคสะเก็ดเงิน
ผิวหนังที่มันอักเสบ (seborrhoeic dermatitis)[ B]
ปั่นหูด้วยไม้สำลี
เจ็บหูทั้งสองข้าง
มีเกล็ด (scaling)
คัน
เจ็บเพิ่มถ้าดึงหู
อาจเห็นเนื้อเยื่อแกรนูเลชันเมื่อตรวจช่องหู
หูชั้นนอกอักเสบร้ายแรง (malignant) หรือแบบทำให้เนื้อตาย (necrotizing)*
โรคเบาหวาน
ภูมิคุ้มกัน บกพร่อง
เจ็บอย่างต่อเนื่องโดยเจ็บมากขึ้นตอนกลางคืน*
หนองไหล*
รู้สึกเจ็บเกินอาการที่ตรวจพบ*
ตัดเนื้อเยื่อแกรนูเลชันเพื่อเพาะตรวจ
กระดูกอ่อนอักเสบ เทียบกับ เยื่อหุ้มกระดูกอ่อนอักเสบ
หูได้บาดเจ็บเร็ว ๆ นี้ (เช่น เจาะหู)
ใบหูปรากฏว่าอักเสบ
กระดูกอ่อนอักเสบมีโอกาสมากกว่าเยื่อหุ้มกระดูกอ่อนอักเสบ ถ้าหูมีรูปบิดเบือน
เหตุการเจ็บหูต่างที่
วินิจฉัย
Features[ 4] [ 8] [ 9]
โรคกรดไหลย้อน
เจ็บหูทั้งสองข้าง
อาการปวดประสาท (neuralgia)
คนไข้บอกว่าเจ็บแบบชา ๆ หรือแสบ โดยอาจเริ่มจากแตะหูเบา ๆ
แบบร้าย*
น้ำหนักลด*
ข้ออักเสบที่คอ
เจ็บมากขึ้นเมื่อขยับคอ
Eagle syndrome [ C]
เจ็บเพิ่มเมื่อกลืน
ฟันกรามซี่สุดท้าย (3) ติดเชื้อ
อาหารเย็นร้อนทำให้เจ็บเพิ่ม
หลอดเลือดแดง Temporal อักเสบ *
อายุมากกว่า 50 ปี*
การเคี้ยวทำให้เจ็บเพิ่ม*
การทำหน้าที่ผิดปรกติของข้อต่อขากรรไกร
คนไข้ขบ/บดฟัน
เจ็บหูทั้งสองข้าง
เมื่อคลำตรวจที่ข้อต่อขากรรไกร เจ็บและมีเสียงกรอบแกรบ
ขากรรไกทำเสียงกริ๊ก ๆ
*บ่งอาการที่ไม่ควรพลาด ที่น่าเป็นห่วง หรือควรระวัง
เหตุอื่น ๆ
วินิจฉัย
Features[ 4] [ 8] [ 9]
การบาดเจ็บจากแรงกดดัน
บาดเจ็บที่หูเมื่อเร็ว ๆ นี้
ขึ้นเครื่องบินหรือดำน้ำเมื่อเร็ว ๆ นี้ (+/- อาการเจ็บเกิดร่วมกับเหตุการณ์)
เสียการได้ยิน
ท่อหู ทำงานผิดปกติ
คนไข้บอกว่าเหมือนมีอะไรกดที่หูหรือมีอะไรมาปิดหู
เสียการได้ยินที่หูข้างเดียว
ได้ยินเสียงกรอบแกรบ/เสียงน้ำไหล
ประวัติโรคภูมิแพ้ ตามฤดู
รีเฟล็กซ์ปรับรูม่านตารับแสง ไม่ดีและข้อต่อขากรรไกรขยับได้ไม่ดี
เห็นเส้นน้ำที่แก้วหู (air-fluid level) / น้ำในหูชั้นกลาง
ขี้หู อัด
ใช้ไม้สำลีในช่องหู
คนไข้บอกว่าเหมือนมีอะไรกดหรือปิดหู
อาจต้องเอาขี้หูออกเพื่อกันว่านี่เป็นเหตุ
การรักษา
การรักษาหูเจ็บจะขึ้นอยู่กับเหตุ
ยาปฏิชีวนะ
แม้การเจ็บหูทุกอย่างจะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ไม่ได้ แต่ที่มีเหตุจากหูติดเชื้อแบคทีเรียทั่วไปก็จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ซึ่งรู้ว่าสามารถจัดการกลุ่มแบคทีเรียที่เป็นตัวการสามัญของการติดเชื้อในรูปแบบนั้น ๆ
การติดเชื้อแบคทีเรียหลายอย่างจะรักษาด้วยการทำความสะอาดส่วนนั้น ให้ยาปฏิชีวนะแบบทาหรือแบบทาน/ฉีด และให้ยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาความเจ็บ[ 7] [ 34] [ 9]
การประคบน้ำอุ่นอาจช่วยในการติดเชื้อหลายอย่าง[ 7]
เหตุเจ็บหูที่ปกติสามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแบบทาหรือแบบทาน/ฉีดรวมทั้ง
หูชั้นนอกอักเสบฉับพลัน (AOE ) ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน[ 7] [ 34] สำหรับอาการที่ไม่ตอบสนองภายใน 10 วัน แพทย์ก็ควรจะตรวจว่ามีหูชั้นนอกอักเสบแบบทำให้เนื้อตาย (necrotizing) หรือไม่[ 7]
หูชั้นกลางอักเสบฉับพลัน (AOM ) จะหายเองภายใน 24-48 ชม. ในกรณี 80%[ 34] ถ้าไม่หายเอง ก็จะสันนิษฐานว่ามีเหตุจากแบคทีเรียแล้วรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหลังจากทานยา 1 อาทิตย์ แพทย์ก็จะตรวจดูว่ามีปุ่มกกหูอักเสบ หรือไม่[ 34]
ปุ่มรากผมอักเสบเฉียบพลัน (acute folliculitis)[ 34]
เซลล์เนื้อเยื่อหูอักเสบ (auricular cellulitis)[ 9]
หูชั้นกลางอักเสบมีหนอง (suppurative otitis media)[ 8] ซึ่งเสี่ยงต่อแก้วหูทะลุด้วย[ 8]
Perichondritis - แพทย์หูคอจมูก ควรตรวจว่ามีวัตถุแปลกปลอมอยู่ในกระดูกอ่อน หรือไม่ ถ้ามีก็จะต้องเอาออก[ 34] [ 8] ถ้ามีปัญหาในเพราะเหตุกระดูกอ่อน อาจจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อให้รักษาได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น[ 8]
โพรงอากาศอักเสบ (sinusitis) สามารถก่อการเจ็บหูทุติยภูมิ (คือเจ็บต่างที่) การรักษาเหตุจะช่วยบรรเทาการเจ็บหู[ 34] การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดอาจต้องให้แพทย์หูคอจมูกรักษา ให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด และเข้าโรงพยาบาล
หูชั้นนอกอักเสบแบบทำให้เนื้อตาย (necrotizing external otitis) อาจมีอันตรายถึงชีวิต และดังนั้น จึงควรให้แพทย์หูคอจมูกตรวจ อาจต้องเข้าโรงพยาบาลและให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด[ 34] [ 8]
ปุ่มกกหูอักเสบฉับพลันอาจรักษาด้วยการเข้าโรงพยาบาล ให้แพทย์หูคอจมูกตรวจ และการลองให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด[ 34] [ 7] [ 8] [ 9] กรณีที่มีปัญหากระจายไปถึงกะโหลกศีรษะ จะรักษาด้วยการตัดปุ่มกกหู (mastoidectomy) และการเจาะแก้วหูเอาหนองออก (myringotomy)[ 34] [ 9]
กระดูกอ่อนอักเสบ [ 34] [ 8]
หัตถการ
เหตุบางอย่างของการเจ็บหูต้องรักษาด้วยหัตถการแพทย์อย่างเดียว หรือเพิ่มนอกเหนือจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
Keratosis obturans คือเยื่อบุผิว สะสมที่ช่องหูชั้นนอก ซึ่งรักษาด้วยการเอาเศษเคอราทินที่ลอกหลุดแล้วอัดแน่นออกจากช่องหู[ 34]
เยื่อหุ้มกระดูกอ่อนอักเสบเรื้อรัง (chronic perichondritis) และกระดูกอ่อนอักเสบ (chondritis) ที่คงยืนแม้จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่สมควรแล้วอาจจำเป็นต้องตัดเล็มออก [ 34] การเจาะใส่ท่อระบาย น้ำ/หนองก็อาจจำเป็นด้วย[ 9]
แก้วหูอักเสบแบบมีเม็ดพุพอง (bullous myringitis) ซึ่งก่อเม็ดพุพองบนแก้วหู สามารถเจาะบรรเทาความเจ็บปวด[ 34]
สิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในช่องหูอาจทำให้เจ็บ จะรักษาด้วยการเอาออกอย่างระมัดระวัง[ 8]
sebaceous cyst[ D] ที่ติดเชื้อสามารถรักษาด้วยการผ่าแล้วเอาหนองออกและให้ยาปฏิชีวนะ[ 8]
การรักษาอื่น ๆ
เพราะมีเหตุการเจ็บหูมากมาย เหตุบางอย่างจึงต้องรักษาด้วยวิธีนอกเหนือจากยาปฏิชีวนะและหัตถการ
relapsing polychondritis เป็นการอักเสบที่กระดูกอ่อนในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งบ่อยครั้งรวมกระดูกอ่อนที่หูทั้งสอง เป็นภาวะภูมิต้านตนเอง ที่รักษาด้วยยาควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน[ 34]
การทำหน้าที่ผิดปรกติของข้อต่อขากรรไกร (temporomandibular joint dysfunction) สามารถก่อการเจ็บหูทุติยภูมิ และเบื้องแรกจะรักษาด้วยการทานอาหารนิ่ม ๆ ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ การประคบด้วยความร้อน การนวดที่บริเวณนั้น และการไปหาทันตแพทย์[ 34] [ 18]
myofascial pain syndrome เป็นความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อซึ่งทำหน้าที่เคี้ยวอาหาร ซึ่งเบื้องแรกรักษาด้วยยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์และกายภาพบำบัด การฉีดยาระงับความรู้สึกเข้าไปในจุดสำคัญของกล้ามเนื้อ อาจพิจารณาใช้สำหรับคนไข้ที่อาการหนัก[ 34]
อาการปวดประสาทลิ้นคอหอย (glossopharyngeal neuralgia) สามารถรักษาด้วยยารักษาโรคเส้นประสาท คือคาร์บามาเซพีน [ 18]
การระบาด
2/3 ของคนไข้ที่เจ็บหูจะวินิจฉัยว่าเป็นการเจ็บหูปฐมภูมิและ 1/3 การเจ็บหูทุติยภูมิ[ 5]
เหตุสามัญของการเจ็บหูปฐมภูมิก็คือหูชั้นกลางอักเสบ ซึ่งหมายถึงการติดเชื้อในหูหลังแก้วหู [ 3]
เด็กที่ได้วินิจฉัยนี้มากที่สุดอยู่ในวัย 6-24 เดือน
งานทบทวนวรรณกรรม งานหนึ่งพบว่า เด็ก 83% จะมีหูชั้นกลางอักเสบฉับพลันอย่างน้อยครั้งหนึ่งก่อนอายุจะเกิน 3 ขวบ[ 10]
ทั่วโลก มีกรณีคนไข้หูชั้นกลางอักเสบ 709 ล้านคนต่อปี[ 36]
การเสียการได้ยินเนื่องจากการติดเชื้อประเมินที่ 30 คนต่อประชากร 10,000 คน[ 36]
มีคนเสียชีวิตประมาณ 21,000-28,000 คนรอบโลกเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อในหู[ 36]
ภาวะแทรกซ้อนรวมทั้งฝีในสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
หูชั้นนอกอักเสบเกิดมากที่สุดในเด็กวัย 7-12 ขวบ และคนราว ๆ 10% ทั้งหมดเคยมีโรคนี้มาก่อน[ 10]
ขี้หูอัดแน่นเกิดขึ้นในเด็ก 1 ใน 10 คน ผู้ใหญ่ 1 ใน 20 คน และผู้สูงอายุ 1 ใน 3 คน[ 10]
การบาดเจ็บจากแรงกดดันเกิดกับคนราว ๆ 1 คนทุก ๆ 1,000 คน[ 5]
ผู้ที่มาหาหมอเนื่องจากเจ็บหู เพียงแค่ 3% จะวินิจฉัยว่าท่อหู ทำงานผิดปกติ[ 3]
ศาสตราจารย์ Anton Friedrich von Tröltsch ผู้ประดิษฐ์กล้องส่องตรวจหู
ประวัติ
มีข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บหูและหูชั้นกลางอักเสบฉับพลันก่อนคริสต์ทศวรรษที่ 17 น้อยมาก
เป็นโรคที่สามัญและปกติไม่ได้รักษา[ 37]
แล้วจึงได้เปลี่ยนไปเมื่อโสตแพทย์ชาวเยอรมัน Anton von Tröltsch ได้ประดิษฐ์กล้องส่องตรวจหู (otoscope) ขึ้นในคริสต์ทศวรรษที่ 1840[ 37]
และก็เปลี่ยนไปอีกเมื่อประดิษฐ์ยาปฏิชีวนะขึ้น
เพราะก่อนจะมียา การติดเชื้อที่แพร่ไปยังกระดูกรอบ ๆ หูเกิดในอัตราสูง
แต่ปัจจุบันเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีน้อย[ 5]
สังคมและวัฒนธรรม
เมื่อก่อนแพทย์มักจะรักษาหูชั้นกลางอักเสบด้วยอะม็อกซีซิลลิน [ 5]
จนกระทั่งมีคำพูดจากคริสต์ทศวรรษ 1980 หนึ่งที่กล่าวว่า "เด็กที่หูเจ็บขาดอะม็อกซีซิลลินอย่างหนัก"[ 5]
ต่อมาจึงรู้กันว่า การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปทำให้แบคทีเรียดื้อยา [ 38]
และการดื้อยาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้ยาปฏิชีวนะมีประสิทธิผลลดลง
แล้วจึงเกิดโปรแกรมที่ทำอย่างเป็นระบบซึ่งแนะนำให้ผู้ที่สั่งยาปฏิชีวนะให้ยาเมื่อจำเป็นเท่านั้น โดยเฉพาะในเด็ก ที่การเจ็บหูโดยมากจะหายเองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร[ 36]
มีแม้แต่แนวทางการรักษาที่ช่วยกำหนดว่าเมื่อไรควรใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับอาการเจ็บหูในเด็ก[ 39]
หูมีบทบาทในการรักษาด้วยการฝังเข็ม ซึ่งเรียกในภาษาอังกฤษว่า auriculotherapy
คือการฝังเข็มที่หูเชื่อว่าแก้ความไม่สมดุลในร่างกาย
เป็นวิธีการที่มีมาตั้งแต่ยุคหิน แล้ว
ส่วนการรักษาเช่นนี้ในยุโรปมีบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในคริสต์ทศวรรษที่ 1600
คือแพทย์คนหนึ่งกล่าวถึงการกระตุ้น (โดยเอาไฟเผาหรือทำแผล) หูเพื่อรักษาอาการปวดหลังร้าวไปที่ขา ส่วนแพทย์อีกคนหนึ่งใช้เพื่อรักษาการปวดฟัน
ประสาทแพทย์ Paul Nogier รู้จักว่าเป็นบิดาของการฝังเข็มที่หู เพราะทฤษฎีของเขาว่า ส่วนต่าง ๆ ของหูสัมพันธ์กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างคงเส้นคงวา[ 40]
งานวิจัย
ปัจจุบันมีงานวิจัยหาวิธีส่งยาปฏิชีวนะเข้าไปในหูชั้นกลางโดยตรง[ 36]
เชิงอรรถ
↑ cholesteatoma เป็นการขยายตัวที่ก่อความเสียหายของเยื่อ squamous epithelium ซึ่งเปลี่ยนเป็นเคอราทินภายในหูชั้นกลางหรือปุ่มกกหู
แม้จะไม่จัดว่าเป็นเนื้องอกหรือมะเร็ง แต่ก็ยังสร้างปัญาอย่างสำคัญเพราะขยายตัวและมีฤทธิ์กร่อนทำลายกระดูกหู ในหูชั้นกลาง และสามารถกระจายเข้าไปยังศีรษะและสมอง
บ่อยครั้งเยื่อยังติดเชื้อและมีผลให้หนองออกจากหูอย่างเรื้อรัง
↑ Seborrhoeic dermatitis หรือ seborrhoeic eczema หรือ seborrhea เป็นผิวหนังอักเสบ เรื้อรังหรือกลับเกิดขึ้นอีก แต่ไม่รุนแรง
ซึ่งเป็นที่หนังศีรษะ ใบหน้า และลำตัว
ปกติจะปรากฏเป็นเกล็ด ๆ คัน และแดง
โดยเกิดมากที่สุดในบริเวณที่บริบูรณ์ด้วยต่อมไขผิวหนัง (sebaceous gland)
ในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ มันจะปรากฏเป็นเกล็ดหนังศีรษะ หรือเป็นสีแดง ๆ ที่รอยพับที่จมูกร่วมริมฝีปาก (nasolabial fold)
ขี้รังแคก็เป็นรูปแบบของโรคอย่างหนึ่งโดยไม่มีอาการอักเสบ[ 32]
↑ Eagle syndrome เป็นภาวะที่มีน้อยซึ่งมีอาการเจ็บฉับพลันคล้ายที่เกิดทางประสาท ตรงกระดูกขากรรไกรและข้อ ที่หลังคอ และที่โคนลิ้น ซึ่งจุดชนวนโดยการกลืน การขยับขากรรไกร หรือการเอี้ยวคอ[ 33]
โดยมีเหตุจากระดูกสไตลอยด์ โพรเซส ที่ขมับซึ่งยาวหรือมีรูปร่างผิดปกติ หรือเกิดจากการมีแคลเซียมเกาะที่เอ็น Stylohyoid แล้วกวนการทำงานของโครงสร้างและอวัยวะที่อยู่ใกล้ ๆ กัน
↑ sebaceous cyst เป็นคำที่อาจหมายถึง[ 35]
epidermoid cysts หรือ epidermal cysts หรือ infundibular cyst เป็นซิสต์ไม่ร้ายที่ปกติพบที่ผิวหนัง โดยงอกออกจากเนื้อเยื่อเอ็กโทเดิร์ม ทางมิชญวิทยา มันเป็นชั้นบาง ๆ ชั้นหนึ่งของเยื่อบุผิวแบบ squamous
pilar cysts หรือ trichelemmal cysts หรือ isthmus-catagen cysts เป็นซิสต์สามัญที่เกิดจากปุ่มรากผม พบมากที่สุดบนหนังศีรษะ มีลักษณะเรียบ ขยับได้ และเต็มไปด้วยเคอราทิน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในผม เล็บ ผิวหนัง และเขา
อ้างอิง
↑ "Earache: MedlinePlus Medical Encyclopedia" . medlineplus.gov (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2017-10-02 .
↑ 2.0 2.1 Gross M, Eliashar R (2008). "Chapter 6: Otolaryngological aspects of orofacial pain" . ใน Sharav Y, Benoliel R (บ.ก.). Orofacial Pain and Headache . Elsevier Health Sciences. p. 91. ISBN 9780723434122 .
↑ 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 3.12 3.13 3.14 3.15 Earwood JS, Rogers TS, Rathjen NA (January 2018). "Ear Pain: Diagnosing Common and Uncommon Causes" . American Family Physician . 97 (1): 20–27. PMID 29365233 .
↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 4.7 Sullivan, Daniel J. (2012). "Chapter 17:Ear Pain" . ใน Henderson, Mark C.; Tierney, Lawrence M.; Smetana, Gerald W. (บ.ก.). The Patient History: An Evidence-Based Approach to Differential Diagnosis (2nd ed.). New York, NY: The McGraw-Hill Companies.
↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 5.7 5.8 Conover K (May 2013). "Earache". Emergency Medicine Clinics of North America . 31 (2): 413–42. doi :10.1016/j.emc.2013.02.001 . PMID 23601480 .
↑ 6.0 6.1 "Position Statement: Red Flags-Warning of Ear Disease" (ภาษาอังกฤษ). American Academy of Otolaryngology–Head and Neck Surgery. 2014-03-20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-03-14. สืบค้นเมื่อ 2018-03-13 .
↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 Coombs, Carmen (2016). "Chapter 118: Ear and Mastoid Disorders in Infants and Children" . ใน Tintinalli, Judith E.; Stapczynski, J. Stephan; Ma, O. John; Yealy, Donald M.; Meckler, Garth D.; Cline, David M. (บ.ก.). Tintinalli’s Emergency Medicine: A Comprehensive Study Guide (8 ed.). New York, NY: McGraw-Hill Education. ISBN 978-0071794763 .
↑ 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 8.14 Stallard TC (2017). "Chapter 32: Emergency Disorders of the Ear, Nose, Sinuses, Oropharynx, & Mouth" . ใน Stone CK, Humphries RL (บ.ก.). CURRENT Diagnosis & Treatment: Emergency Medicine (8 ed.). New York, NY: McGraw-Hill Education.
↑ 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 9.10 Kasper DL, Fauci AS, Hauser SL, Longo DL, Jameson JL, Loscalzo J, บ.ก. (2016). "Chapter 58: Sore Throat, Earache, and Upper Respiratory Symptoms" . Harrison's Manual of Medicine (19th ed.). McGraw-Hill Education. ISBN 978-0071828529 .
↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 Rosa-Olivares J, Porro A, Rodriguez-Varela M, Riefkohl G, Niroomand-Rad I (November 2015). "Otitis Media: To Treat, To Refer, To Do Nothing: A Review for the Practitioner". Pediatrics in Review . 36 (11): 480–6, quiz 487–8. doi :10.1542/pir.36-11-480 . PMID 26527627 .
↑ Harrison E, Cronin M (July 2016). "Otalgia" . Australian Family Physician . 45 (7): 493–7. PMID 27610432 .
↑ David M. Kaylie, Debara L. (October 2016). "Earache" . Merck Manual, Professional Version (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ 13.0 13.1 13.2 Morton DA, Foreman KB, Albertine KH (2011). "Chapter 19. Ear" . The Big Picture: Gross Anatomy . New York, NY: The McGraw-Hill Companies. ISBN 978-0071476720 .
↑ Scarbrough TJ, Day TA, Williams TE, Hardin JH, Aguero EG, Thomas CR (October 2003). "Referred otalgia in head and neck cancer: a unifying schema". American Journal of Clinical Oncology . 26 (5): e157–62. doi :10.1097/01.coc.0000091357.08692.86 . PMID 14528091 . S2CID 35512999 .
↑ Li, John (2017-09-21). "Otalgia: Background, Pathophysiology, Epidemiology" . Medscape .
↑ 16.0 16.1 16.2 16.3 16.4 16.5 Greenes, David. "Evaluation of earache in children" . www.uptodate.com . สืบค้นเมื่อ 2018-03-14 .
↑ Leybell, Inna (2017-06-20). "Auricular Hematoma Drainage: Overview, Indications, Contraindications" . Medscape .
↑ 18.0 18.1 18.2 18.3 18.4 18.5 18.6 Lustig LR, Schindler JS (2017). "Chapter 8: Ear, Nose, & Throat Disorders" . ใน Papadakis MA, McPhee SJ, Rabow MW (บ.ก.). Current Medical Diagnosis & Treatment 2018 . New York, NY: McGraw-Hill Education.
↑ Compton, Nicholas. "Relapsing Polychondritis Clinical Presentation: History, Physical, Causes" . emedicine.medscape.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-03-14 .
↑ Rosenfeld RM, Schwartz SR, Cannon CR, Roland PS, Simon GR, Kumar KA, Huang WW, Haskell HW, Robertson PJ (February 2014). "Clinical practice guideline: acute otitis externa". Otolaryngology–Head and Neck Surgery . 150 (1 Suppl): S1–S24. doi :10.1177/0194599813517083 . PMID 24491310 . S2CID 40005605 .
↑ 21.0 21.1 21.2 21.3 21.4 Yoon PJ, Scholes MA, Friedman NR (2016). "Chapter 18: Ear, Nose, & Throat" . ใน Hay WW, Levin MJ, Deterding RR, Abzug MJ (บ.ก.). CURRENT Diagnosis & Treatment Pediatrics (23rd ed.). New York, NY: McGraw-Hill Education. ISBN 978-0071848541 .
↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 Grandis, Jennifer; และคณะ (February 2018). "Malignant (necrotizing) otitis externa" . www.uptodate.com . สืบค้นเมื่อ 2018-03-14 .
↑ Schwartz S, และคณะ (January 2017). "Clinical Practice Guideline (Update): Earwax (Cerumen Impaction) Executive Summary" . Otolaryngology–Head and Neck Surgery . 156 (1): 14–29. doi :10.1177/0194599816678832 . PMID 28045632 .
↑ Albrecht, Mary (August 2016). "Clinical manifestations of varicella-zoster virus infection: Herpes zoster" . www.uptodate.com . สืบค้นเมื่อ 2018-03-14 .
↑ Leung AK, Wong AH (2017). "Acute Otitis Media in Children". Recent Patents on Inflammation & Allergy Drug Discovery . 11 (1): 32–40. doi :10.2174/1874609810666170712145332 . PMID 28707578 .
↑ Klein, Jerome; และคณะ (September 2017). "Acute otitis media in children" . www.uptodate.com . สืบค้นเมื่อ 2018-03-14 .
↑ 27.0 27.1 Goddard, Greg (2012). "Chapter 26. Temporomandibular Disorders" . ใน Lalwani, Anil K. (บ.ก.). CURRENT Diagnosis & Treatment in Otolaryngology—Head & Neck Surgery (3 ed.). New York, NY: The McGraw-Hill Companies.
↑ Tsai, Vivian (2018-01-02). "Temporomandibular Joint Syndrome: Background, Pathophysiology, Epidemiology" . Medscape .
↑ Singh, Manish (2017-09-26). "Trigeminal Neuralgia: Practice Essentials, Background, Anatomy" . Medscape .
↑ "Ear Infections in Children" . NIDCD (ภาษาอังกฤษ). 2015-08-18. สืบค้นเมื่อ 2018-03-14 .
↑ Schaefer P, Baugh RF (December 2012). "Acute otitis externa: an update" . American Family Physician . 86 (11): 1055–61. PMID 23198673 .
↑ "Seborrhoeic dermatitis and dandruff" . www.dermnetnz.org . สืบค้นเมื่อ 2016-06-11 .
↑ Waldman, SD (2013-06-06). Atlas of Uncommon Pain Syndromes . Elsevier Health Sciences. pp. 35–36. ISBN 1-4557-0999-9 .
↑ 34.00 34.01 34.02 34.03 34.04 34.05 34.06 34.07 34.08 34.09 34.10 34.11 34.12 34.13 34.14 34.15 34.16 Neilan RE, Roland PS (September 2010). "Otalgia". The Medical Clinics of North America . 94 (5): 961–71. doi :10.1016/j.mcna.2010.05.004 . PMID 20736106 .
↑ "Epidermoid and pilar cysts (previously known as sebaceous cysts)" . British Association of Dermatologists. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2016-02-05. สืบค้นเมื่อ 2014-04-02 .
↑ 36.0 36.1 36.2 36.3 36.4 Qureishi, A; Lee, Y; Belfield, K; Birchall, JP; Daniel, M (Jan 2014). "Update on otitis media - prevention and treatment" . Infection and Drug Resistance . 7 : 15–24. doi :10.2147/IDR.S39637 . PMC 3894142 . PMID 24453496 . {{cite journal }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ 37.0 37.1 Altemeier, William A (2000-10-01). "A Brief History of Otitis Media" . Pediatric Annals (ภาษาอังกฤษ). 29 (10): 599–599. doi :10.3928/0090-4481-20001001-03 . ISSN 0090-4481 .
↑ Fleming, Alexander (25 June 1945). "The Penicillin Finder Assays its Future". The New York Times : 21.
↑ "Otitis media (Clinical recommendations)" . American Academy of Family Physicians. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2020-08-08. สืบค้นเมื่อ 2018-09-14 .
↑ Gori L, Firenzuoli F (September 2007). "Ear acupuncture in European traditional medicine" . Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine . 4 (Suppl 1): 13–6. doi :10.1093/ecam/nem106 . PMC 2206232 . PMID 18227925 .
แหล่งข้อมูลอื่น
การจำแนกโรค ทรัพยากรภายนอก