อาการปวดต่างที่
อาการปวดต่างที่[1] (อังกฤษ: Referred pain, reflective pain)[2] เป็นความเจ็บปวดต่างที่จากส่วนร่างกายซึ่งได้รับสิ่งเร้าอันก่อความเจ็บปวด ตัวอย่างหนึ่งก็คือ อาการปวดเค้นหัวใจ (angina pectoris) ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด (หัวใจวาย) แต่มักจะทำให้รู้สึกปวดคอ ไหล่ และหลัง ไม่ใช่ที่อกซึ่งเป็นแหล่งปัญหา แต่องค์การมาตรฐานนานาชาติ (รวมทั้ง International Association for the Study of Pain) ก็ยังไม่ได้นิยามคำนี้ ดังนั้น ผู้เขียนต่าง ๆ อาจใช้คำโดยความหมายที่ไม่เหมือนกัน มีการกล่าวถึงอาการเช่นนี้ตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1880 แล้ว แม้จะมีวรรณกรรมในเรื่องนี้เขียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลไกการทำงานของมันก็ยังไม่ชัดเจน ถึงจะมีสมมติฐานต่าง ๆ อาการ
กลไกมีกลไกทางสรีรภาพหลายอย่างที่เสนอสำหรับอาการปวดต่างที่ แม้จะยังไม่มีมติร่วมกันว่า สมมติฐานไหนถูกต้อง ใยประสาทรับความรู้สึกประเภทต่าง ๆ (รวมทั้ง Aβ Aδ และ C) จากผิวหนังที่เดอร์มาโทมเดียวกัน ส่งสัญญาณไปยังนิวรอนในชั้น 2 (lamina II) ที่ปีกหลังของไขสันหลังในระดับเดียวกัน แต่นิวรอนชั้นนี้ก็ได้รับสัญญาณโนซิเซ็ปเตอร์ (ความเจ็บปวด) จากอวัยวะภายในร่างกายรวมทั้งหัวใจด้วย การส่งสัญญาณไปที่นิวรอนเดียวกันในไขสันหลังอาจเป็นเหตุให้ความรู้สึกเจ็บที่หัวใจ รู้สึกเหมือนกับเป็นความเจ็บปวดในบริเวณผิวหนังที่มีจุดเชื่อมใยประสาทร่วมกัน[4] เช่น จากในอก จากแขนหรือมือซ้าย หรือจากกระดูกกราม ส่วนอีกสมมติฐานหนึ่งก็คือ เซลล์ประสาทรับความเจ็บปวดคือโนซิเซ็ปเตอร์ มีปลายประสาทแยกไปที่ทั้งผิวหนังและที่อวัยวะภายในต่าง ๆ รวมทั้งหัวใจ[4] ตามปกติแล้ว ความเจ็บปวดเหตุหัวใจวายจะอยู่ที่หน้าอกตรงกลางหรือด้านซ้ายในซีกที่มีหัวใจ แต่สามารถกระจายเจ็บไปถึงขากรรไกด้านซ้ายและแขนข้างซ้าย โดยอาจปรากฏเป็นความเจ็บปวดต่างที่บ้างแม้น้อยมาก และปกติจะเกิดกับคนไข้โรคเบาหวานหรือสูงอายุ[5] การส่งใยประสาทไปที่เดียวกัน (Convergent projection)นี่เป็นทฤษฎีแรก ๆ สุดเกี่ยวกับอาการนี้ ที่อาศัยงานของ W.A. Sturge และ J. Ross ในปี พ.ศ. 2431 และของ TC Ruch ต่อมาในปี พ.ศ. 2504 ทฤษฎีการส่งใยประสาทไปที่เดียวกัน (Convergent projection) เสนอว่าใยประสาทนำเข้าจากเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมตัวเข้าที่นิวรอนในไขสันหลังเดียวกัน และอธิบายว่า ทำไมอาการปวดต่างที่จึงจัดเป็นส่วน ๆ ไปตามไขสันหลัง นอกจากนั้นแล้ว หลักฐานทางการทดลองได้แสดงว่า เมื่ออวัยวะส่วนที่เจ็บจริง ๆ ถูกกระตุ้นมากขึ้น อาการปวดต่างที่ก็จะมากขึ้นด้วย ข้อคัดค้านของแบบจำลองนี้ก็คือว่า มันไม่สามารถอธิบายว่าทำไมอาการปวดต่างที่จึงเกิดช้ากว่าจุดที่เกิดสิ่งเร้าซึ่งทำให้ปวดจริง ๆ หลักฐานทางการทดลองยังแสดงด้วยว่า อาการปวดต่างที่บ่อยครั้งเป็นไปในทิศทางเดียว ยกตัวอย่างเช่น การเร้าให้กล้ามเนื้อส่วน anterior tibial เจ็บ จะทำให้ปวดที่ด้านหน้า (ventral) ของข้อเท้า แต่การเร้าด้านหน้าของข้อเท้าไม่ปรากฏกว่าทำให้กล้ามเนื้อเจ็บ และท้ายสุดคือ ระดับการกระตุ้นที่ทำให้เจ็บเฉพาะที่และที่ทำให้ปวดต่างที่ จะมีขีดเริ่มเปลี่ยนต่างกัน แม้แบบจำลองนี้จะแสดงว่า ควรเท่ากัน[2] Convergence-facilitation และ central sensitizationในปี พ.ศ. 2436 J MacKenzie ได้ตั้งแบบจำลอง Convergence facilitation อาศัยแนวความคิดของ Sturge และ Ross เขาเชื่อว่า อวัยวะภายในไม่ไวความรู้สึกที่เกิดจากสิ่งเร้า นอกจากนั้น เขายังเชื่อว่า ใยประสาทจะส่งความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวกับความเจ็บปวด (non-nociceptive) ทำให้เกิดสถานการณ์ที่เขาเรียกว่า "irritable focus" (จุดโฟกัสไวเกินต่อการกระตุ้น) จุดโฟกัสเช่นนี้ทำให้สิ่งเร้าบางอย่างรู้สึกว่าเจ็บ แต่ไอเดียนี้ไม่ได้การยอมรับอย่างกว้างขวาง เพราะไม่อธิบายความเจ็บปวดที่อวัยวะภายใน แต่ไอเดียนี้ในเร็ว ๆ นี้ได้ความสนใจมากขึ้นโดยใช้คำใหม่คือ การไวเจ็บเหตุประสาทส่วนกลาง (central sensitization) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อนิวรอนในปีกหลังของไขสันหลังหรือก้านสมอง ตอบสนองมากขึ้นหลังจากได้การกระตุ้นซ้ำ ๆ จากนิวรอนปลายประสาท คือมีขีดเริ่มเปลี่ยนในการตอบสนองที่ลดลง ส่วนความชักช้าของอาการปวดต่างที่อธิบายได้ว่า ต้องใช้เวลาเพื่อจะเกิดสถานภาพในระบบประสาทส่วนกลางที่ทำให้ไวความรู้สึก[2] Axon-reflexแบบจำลอง Axon reflex แสดงว่า ใยประสาทนำเข้าจะแยกเป็นสองสาขา (หรือมากกว่านั้น) ก่อนเชื่อมกับปีกหลังของไขสันหลัง และตัวกระตุ้นที่ทำให้เจ็บที่ปลายประสาทสาขาหนึ่ง อาจทำให้รู้สึกเจ็บที่ปลายประสาทสาขาอื่น ๆ ด้วย ใยประสาทที่แบ่งเป็นสาขาต่าง ๆ พบได้ในทั้งกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และหมอนกระดูกสันหลัง แต่นิวรอนเช่นนี้ก็มีน้อย และก็ไม่ได้มีทั่วร่างกาย แบบจำลองนี้ยังไม่สามารถอธิบาย
การไวต่อการกระตุ้น (Hyperexcitability)แม้แบบจำลอง Hyperexcitability (การไวต่อการกระตุ้น) โดยทั่วไปจะสมมติว่า อาการปวดต่างที่ไม่มีกลไกแบบรวมศูนย์ แต่ก็ลักษณะรวมศูนย์อย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลมาก งานทดลองที่ใช้ตัวกระตุ้นอันตรายและการบันทึกกระแสไฟฟ้าที่ปีกหลังของไขสันหลังในสัตว์แสดงว่า อาการปวดต่างที่จะเริ่มหลังจากได้เร้ากล้ามเนื้อเป็นนาที ๆ และความรู้สึกปวดจะอยู่ในลานรับสัญญาณที่ห่างจากสิ่งเร้าเป็นช่วงระยะหนึ่ง ตามแบบจำลองนี้ ลานรับสัญญาณใหม่ได้เกิดขึ้นโดยเป็นผลจากการทำงานของใยประสาทนำเข้าแฝง (latent) ซึ่งไปสุดที่ปีกหลังของไขสันหลังบริเวณเดียวกัน การทำงานที่ว่านี้จะทำให้ปวดต่างที่ ลักษณะหลาย ๆ อย่างสนับสนุนแบบจำลองนี้ เช่น การต้องอาศัยสิ่งเร้า และช่วงชักช้าก่อนที่อาการปวดต่างที่จะปรากฏเทียบกับอาการปวดเฉพาะที่ แต่การปรากฏของลานรับสัญญาณใหม่ ซึ่งตีความว่าทำให้เกิดอาการปวดต่างที่ ไม่เข้ากับหลักฐานการทดลองส่วนมากรวมทั้งงานในบุคคลที่มีสุขภาพปกติ นอกจากนั้นแล้ว อาการปวดต่างที่โดยทั่วไปจะปรากฏภายในไม่กี่วินาทีในมนุษย์ เทียบกับเป็นนาที ๆ ในสัตว์ทดลอง นักวิทยาศาสตร์บางพวกอธิบายว่า นี่เกิดจากกลไกหรือจากอิทธิพลของระบบอื่น ๆ นอกเหนือไปจากไขสันหลัง เทคนิคการสร้างภาพสมอง เช่น PET หรือ fMRI อาจช่วยให้เห็นกระบวนการทางประสาทที่เป็นเหตุสำหรับการทดลองในอนาคต[2] การรวมตัวที่ทาลามัส (Thalamic-convergence)แบบจำลองการรวมตัวที่ทาลามัสเสนอว่า อาการปวดต่างที่มีเหตุจากการรวมสัญญาณประสาท (summation) ในสมอง ไม่ใช่ที่ไขสันหลัง หรือบริเวณที่เกิดสิ่งเร้า หรือบริเวณที่เจ็บปวดต่างที่ แต่หลักฐานการทดลองของสมมติฐานนี้ไม่ค่อยมี อย่างไรก็ดี งานศึกษาเกี่ยวกับความเจ็บปวดที่ทำในลิงพบการรวมตัวกันของวิถีประสาทต่าง ๆ ที่นิวรอนทั้งในคอร์เทกซ์และใต้คอร์เทกซ์ ตัวอย่าง
วิธีการทดสอบในแล็บการศึกษาเกี่ยวกับความเจ็บปวดมักจะทำในห้องแล็บเพราะสามารถควบคุมตัวแปรได้ดีกว่า ยกตัวอย่างเช่น รูปแบบสิ่งเร้า (ความร้อนเย็น สารเคมีเป็นต้น) ระดับความรุนแรง และช่วงเวลาต่าง ๆ ของสิ่งเร้า จะสามารถควบคุมได้อย่างแม่นยำกว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ มีวิธีหลัก ๆ 2 อย่างในการศึกษาอาการปวดต่างที่ สารก่อความเจ็บในปัจจุบัน มีการใช้สารเคมีหลายอย่างเพื่อกระตุ้นให้เกิดอาการปวดต่างที่ สารรวมทั้ง bradykinin, substance P, แคปไซซิน[11] และเซโรโทนิน แต่ก่อนหน้าสารพวกนี้ งานวิจัยได้ใช้น้ำเกลือไฮเพอร์ทอนิก โดยการทดลองต่าง ๆ พบว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่สัมพันธ์กับการกระตุ้นด้วยน้ำเกลือรวมทั้งอัตราการฉีด ความเข้มข้นของน้ำเกลือ แรงดัน และปริมาณที่ใช้ แต่กลไกที่น้ำเกลือทำให้เจ็บเฉพาะที่หรือต่างที่ซึ่งคู่กันก็ยังไม่ชัดเจน นักวิชาการบางพวกให้ความเห็นว่า อาจเกิดจากความแตกต่างของความดันออสโมซิส แต่นี่ก็ยังไม่ได้พิสูจน์[2] การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าการกระตุ้นในกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า (IMES) เป็นวิธีที่ใช้ทั้งในการทดลองและในการรักษา ข้อดีหลัก (เทียบกับการใช้น้ำเกลือ) ก็คือ สามารถเปิดปิดตามกำหนด ซึ่งทำให้ควบคุมได้ดีกว่าและแม่นยำกว่า ทั้งโดยสิ่งเร้าและการวัดการตอบสนอง เป็นวิธีที่ง่ายกว่าการฉีด เพราะไม่จำเป็นต้องฝึกเป็นพิเศษ ความถี่ของพัลส์ไฟฟ้ายังสามารถควบคุมได้อีกด้วย ในงานศึกษาส่วนมาก ความถี่พัลส์ไฟฟ้าที่ใช้อยู่ที่ 10 เฮิรตซ์ เพื่อให้เจ็บทั้งเฉพาะที่และต่างที่[12] โดยวิธีนี้ นักวิจัยได้พบว่า สิ่งเร้าจะต้องมีกำลังมากกว่าเพื่อจะให้เจ็บต่างที่ เทียบกับเจ็บเฉพาะที่ ระดับสิ่งเร้ากับระดับความเจ็บทั้งเฉพาะที่และต่างที่ ยังสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนอีกด้วย เชื่อกันว่า วิธีนี้จะกระตุ้นให้โนซิเซ็ปเตอร์จำนวนมากทำงาน จึงมีผลเป็นการรวมสัญญาณเชิงพื้นที่ (spatial summation) แล้วทำให้โนซิเซ็ปเตอร์ส่งสัญญาณที่ถี่สูงกว่าไปยังนิวรอนในปีกหลังของไขสันหลังและก้านสมอง[2] เพื่อการวินิจฉัยและรักษาอาการปวดต่างที่อาจแสดงว่ามีความเสียหายทางประสาท ในงานศึกษาชายอายุ 63 ปี ผู้มีความบาดเจ็บที่ไม่หายในช่วงวัยเด็ก และมีอาการปวดต่างที่เมื่อถูกใบหน้าหรือที่หลัง และแม้จะถูกอย่างเบา ๆ ก็จะเจ็บวิ่งไปตามแขน งานสรุปว่า เหตุอาจคือการจัดระเบียบทางประสาทใหม่ (neural reorganization)[13] ซึ่งทำให้ใบหน้าและหลังไวความรู้สึกหลังจากที่ประสาทเสียหาย และให้ความเห็นว่า เป็นกรณีที่คล้ายกับ อาการเหมือนแขนขายังคงอยู่ ที่คนไข้คนอื่น ๆ มีปัญหา ข้อสรุปมีพื้นฐานจากหลักฐานการทดลองที่เก็บโดย ศ. ดร. วิลยนอร์ สุพรหมัณยัม รามจันทรัน ในปี พ.ศ. 2536[14] โดยแตกต่างตรงที่ว่า แขนที่เจ็บยังมีอยู่จริง ๆ การวินิจฉัยทางออร์โทรพีดิกส์จากตัวอย่างที่ผ่านมา เราจึงสามารถเห็นได้ว่า ความเข้าใจในอาการปวดต่างที่จะช่วยให้สามารถวินิจฉัยอาการและโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ในปี พ.ศ. 2524 นักกายภาพบำบัดรอบิน แม็คเค็นซี กล่าวถึงอาการที่เขาเรียกว่า centralization ซึ่งเขาสรุปว่า เกิดขึ้นเมื่ออาการปวดต่างที่ย้ายที่จากปลายอวัยวะมาสู่ต้น ๆ อวัยวะ สังเกตการณ์ที่สนับสนุนไอเดียนี้จะเห็นเมื่อคนไข้ก้มและแอ่นตัวเมื่อกำลังตรวจ งานศึกษารายงานว่า คนไข้โดยมากที่มีอาการเช่นนี้ สามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดไขสันหลังโดยกำหนดแยกจุดที่ทำให้เจ็บเฉพาะที่ แต่คนไข้ที่อาการปวดต่างที่ไม่ย้ายที่ อาจต้องผ่าตัดเพื่อวินิจฉัยและแก้ปัญหา เนื่องจากผลการศึกษาของงานนี้ จึงได้มีงานวิจัยเกี่ยวกับการกำจัดความเจ็บปวดโดยเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะต่าง ๆ ตัวอย่างของอาการเช่นนี้ก็คือการปวดต่างที่ที่น่อง แม็คเค็นซีได้แสดงว่า อาการปวดต่างที่จะย้ายที่ขึ้นเมื่อคนไข้แอ่นตัวก้มตัวโดยยืดตัวเต็มที่หลาย ๆ ครั้ง ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ อาการปวดจะหายไปหลังจากหยุดแอ่นตัวแล้ว[15] การวินิจฉัยทั่วไปเหมือนกับการขาดเลือดของกล้ามเนื้อหัวใจ (myocardial ischaemia) อาการปวดต่างที่ตรงบางส่วนของร่างกายสามารถทำให้วินิจฉัยส่วนที่เจ็บจริง ๆ ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างจุดปวดต่างที่และจุดปวดจริง ๆ ทำให้พัฒนาแผนที่ร่างกายหลายอย่างเพื่อช่วยกำหนดจุดที่เจ็บจริง ๆ อาศัยอาการปวดต่างที่ ตัวอย่างเช่น อาการปวดที่หลอดอาหาร สามารถทำให้ปวดต่างที่ตรงท้องด้านบน ตรงกล้ามเนื้อท้อง (oblique muscle) และตรงคอ อาการเจ็บที่ต่อมลูกหมากอาจทำให้ปวดต่างที่ตรงท้อง ตรงหลังส่วนล่าง และตรงกล้ามเนื้อน่อง นิ่วที่ไตซึ่งเคลื่อนไปตามท่อไตอย่างช้า ๆ อาจทำให้ปวดต่างที่ตรงท้องส่วนล่าง[6] ยังมีงานวิจัยที่พบว่า ketamine ซึ่งเป็นยาระงับประสาท สามารถระงับอาการปวดต่างที่ได้ เป็นงานที่ทำกับคนไข้โรคไฟโบรไมอัลเจีย ซึ่งมีอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ และล้า งานศึกษาได้เลือกคนไข้กลุ่มนี้เพราะไวต่อสิ่งเร้าแล้วทำให้เจ็บเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นแล้ว อาการปวดต่างที่ยังเกิดในที่ต่าง ๆ สำหรับคนไข้กลุ่มนี้แปลกจากคนไข้ที่ไม่มีไฟโบรไมอัลเจีย ซึ่งมักปรากฏอาการปวดที่ตรงส่วนที่ต่างกัน (เช่น ส่วนปลาย ส่วนต้น) คู่กับส่วนที่ปวดจริง ๆ บริเวณที่ปวดยังใหญ่ขึ้นด้วยเพราะไวปวดยิ่งขึ้น[16] อ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia