มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม
มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม (University of Nottingham) เป็นสถาบันอุดมศึกษาเน้นวิจัยขนาดใหญ่มากในสหราชอาณาจักร มีชื่อเสียงด้านแพทยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ตั้งที่เมืองนอตทิงแฮม แคว้นนอตทิงแฮมเชอร์ นอกจากที่ตั้งในเมืองนอตทิงแฮมแล้ว มหาวิทยาลัยยังขยายการสอนไปยังประเทศมาเลเซียและประเทศจีนอีกด้วย มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2424 ในฐานะวิทยาลัยอุดมศึกษานอตทิงแฮม และได้รับพระบรมราชโองการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. 2491 มหาวิทยาลัยเป็นสมาชิกก่อตั้งกลุ่มรัสเซล ซึ่งเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยวิจัยขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเป็นสถาบันการศึกษาที่มีนักศึกษาทุกระดับมากที่สุดเป็นอันดับที่สอง รองจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ โดยไม่นับมหาวิทยาลัยเปิด (Open University)[1] ประวัติมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมเริ่มต้นจากโรงเรียนผู้ใหญ่ประจำอำเภอนอตทิงแฮมซึ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2341 ครั้นโรงเรียนผู้ใหญ่ดำเนินการไปได้ระยะหนึ่ง มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ขยายหลักสูตรมาสอนที่โรงเรียนเมื่อ พ.ศ. 2416[2] การดำเนินการสอนเป็นไปได้ด้วยดี ต่อมาในปี พ.ศ. 2420 วิลเลียม แกลดสตัน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์วิทยาลัยอุดมศึกษา (university college) ซึ่งเปิดดำเนินการในห้วงเวลาสี่ปีต่อมา เพื่อรองรับจำนวนสาขาวิชาที่มีมากขึ้นและวุฒิการศึกษาที่สูงขึ้นตาม[3] หลังจากการสร้างอาคารต่าง ๆ เสร็จแล้ว เจ้าชายลีโอโพลด์ พระราชโอรสของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงประกอบพิธีเปิดอาคารเรียนถนนเชคสเปียร์[3] การเรียนการสอนในขณะนั้นมีอาจารย์เพียงสี่คนในสาขาวิชาวรรณคดี เคมี ฟิสิกส์ และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ผู้สอบได้ตามหลักสูตรในขณะนั้นจะได้รับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยลอนดอน เนื่องจากวิทยาลัยฯ เป็นส่วนงานของมหาวิทยาลัยลอนดอน หลังจากที่วิทยาลัยเปิดดำเนินการไปสักระยะ มีการเพิ่มสาขาวิชาต่าง ๆ ดังนี้
ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ทรงตราพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมขึ้น โดยแปรสภาพวิทยาลัยอุดมศึกษานอตทิงแฮมที่มีอยู่เดิม ส่วนงานมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมมีคณะวิชาทั้งสิ้น 5 คณะ แต่ละคณะมีภาควิชาต่าง ๆ ปฏิบัติการสอนและวิจัยในสาขาวิชาของตน ดังนี้[4]
ที่ตั้งมหาวิทยาลัยทำการสอนเป็นหลักภายในเขตจังหวัดนอตทิงแฮมเชอร์ และมีวิทยาเขตต่างประเทศสองแห่ง แห่งหนึ่งที่ประเทศจีน อีกแห่งหนึ่งที่ประเทศมาเลเซีย วิทยาเขตยูนิเวอร์ซิตีพาร์ก![]() ![]() มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมมีที่ตั้งหลักที่ด้านตะวันตกของเมืองนอตทิงแฮม มีพื้นที่ 834 ไร่เศษ ลักษณะเป็นมหาวิทยาลัยในสวนออกแบบสวยงาม[5][6]จนได้รับรางวัลธงเขียวติดกันหลายปีซ้อน[7] วิทยาเขตเฉลิมภาญจนาภิเษกนอกจากวิทยาเขตยูนิเวอร์ซิตีพาร์กแล้ว มหาวิทยาลัยยังได้จัดสร้างวิทยาเขตจูบิลี หรือวิทยาเขตเฉลิมกาญจนาภิเษกขึ้น ออกแบบโดยไมเคิล ฮอปกินส์ (Michael Hopkins) สถาปนิกชาวอังกฤษ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2542 ใช้เป็นที่ตั้งของภาควิชาศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยผู้นำโรงเรียนแห่งชาติ (National College for School Leadership) ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และภาควิชาบริหารธุรกิจ วิทยาเขตจูบิลีได้รับรางวัลอนุรักษ์พลังงานเมื่อ พ.ศ. 2548[8] จุดเด่นในวิทยาเขตประกอบด้วยเสาแดงแอสไปร์ (Aspire) ซึ่งเป็นประติมากรรมทำด้วยเหล็กทาสีแดงสูง 60 เมตร วิทยาเขตจูบิลีได้รับการต่อเติมอาคาร โดยล่าสุดเป็นอาคารที่ออกแบบโดยเคน ชัทเทิลเวิร์ท (Ken Shuttleworth) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบอาคารเกอร์คิน (Gherkin) ในกรุงลอนดอน ด้วยหมายจะทำให้วิทยาเขตแห่งนี้ได้รับความสนใจ แต่ประชาชนกลับลงคะแนนให้เป็นอาคารที่ออกแบบได้แย่อันดับสองของประเทศ[9] ล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2557 อาคารแกล็กโซสมิทไคลน์ ขณะกำลังก่อสร้างได้ถูกไฟไหม้เสียหาย[10][11] ![]() วิทยาเขตขนาดเล็กมหาวิทยาลัยทำการเรียนการสอนสาขาแพทย์เฉพาะทาง อาทิ เวชศาสตร์ทางเดินหายใจ เวชศาสตร์โรคหัวใจล้มเหลว วิทยาเนื้องอก กายภาพบำบัด และสาธารณสุข ที่โรงพยาบาลนอตทิงแฮมเบสต์วูด ทางตอนเหนือของตัวเมือง ส่วนสาขาชีวศาสตร์ สาขาสัตวแพทยศาสตร์ ทำการสอนที่วิทยาเขตซัตตันโบนิงตัน (Sutton Bonington Campus) ในท้องที่อำเภอรัชคลิฟฟ์ (Rushcliffe) ติดกับจังหวัดเลสเตอร์เชอร์ ห่างจากใจกลางเมืองไปทางใต้ 19 กิโลเมตร วิทยาเขตคิงส์มีโดว์ (King's Meadow Campus) ตั้งไม่ห่างจากวิทยาเขตยูนิเวอร์ซิตีพาร์กมากนัก เดิมทีเป็นสถานีส่งวิทยุโทรทัศน์เซนทรัลอินดีเพนเดนซ์ ปัจจุบันใช้เป็นสถานฝึกสอนด้านการถ่ายภาพยนตร์และข่าวโทรทัศน์ วิทยาเขตต่างประเทศนอกเหนือจากที่ตั้งในอำเภอนอตทิงแฮมแล้ว มหาวิทยาลัยยังได้จัดตั้งวิทยาเขตต่างประเทศที่รัฐสลังงอ ประเทศมาเลเซีย (พ.ศ. 2542) และจังหวัดหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน (พ.ศ. 2548) วิทยาเขตมาเลเซียของมหาวิทยาลัยได้รับรางวัลพระราชทานสำหรับวิสาหกิจดีเด่น (Queen's Award for Enterprise) เมื่อ พ.ศ. 2544 และรางวัลพระราชทานสำหรับอุตสาหกรรม (ด้านการค้าต่างประเทศ) เมื่อ พ.ศ. 2549[12] ต่อมาได้ย้ายที่ตั้งจากรัฐสลังงอเข้ามายังตอนใต้ของกัวลาลัมเปอร์ วิทยาเขตจีน เปิดดำเนินการเมื่อ พ.ศ. 2548 โดยได้สร้างอาคารปลอดมลพิษแห่งแรกของจีน ต่อมาได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจีนตะวันออก จัดตั้งสถานศึกษาชั้นสูงซั่งไห่-นอตทิงแฮม (Shanghai Nottingham Advanced Academy (SNAA)) เพื่อให้การเรียนการสอนร่วมกันในทุกระดับ โดยกำหนดให้นักศึกษาต้องไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมระยะหนึ่งด้วย[13] วิชาการ![]() ![]() มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย และมีอาจารย์ได้รับรางวัลโนเบลแล้วสองท่าน[14] หนึ่งในนั้นคือปีเตอร์ แมนสฟีลด์ (Peter Mansfield) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์ประจำปี พ.ศ. 2546 งานวิจัยหลักที่เขาทำเป็นด้านการถ่ายภาพด้วยการสั่นพ้องแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging; MRI) นอกจากนี้ เฟรเดอริก คิปปิง (Frederick Kipping) ศาสตราจารย์สาขาเคมี (พ.ศ. 2440 - 2479) ได้ค้นพบโพลิเมอร์ซิลิโคน[15] ไม่เพียงเท่านั้น มหาวิทยาลัยยังได้คิดค้นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมะเขือเทศ การฝังเครื่องช่วยฟัง (Cochlear Implant) และการจัดการเหตุฉุกเฉินบนอากาศยาน ด้วยเหตุนี้เอง มหาวิทยาลัยได้จัดหาคอมพิวเตอร์กำลังสูงเทราฟลอป 16 เครื่องมาใช้งาน[16] ภาควิชา 26 ภาคของมหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับ 5 หรือ 5* (ยอดเยี่ยมระดับนานาชาติ) ในการประเมินกำลังวิจัยประจำปี พ.ศ. 2544 (Research Assessment Exercise) โดยสภาทุนวิจัยแห่งสหราชอาณาจักร[17] การประเมินครั้งถัดมาเมื่อ พ.ศ. 2551 มหาวิทยาลัยยังคงได้รับอันดับที่ดีตามเคย คือ ได้กำลังวิจัยอันดับ 7 ของสหราชอาณาจักร[18] ในปีการศึกษา 2552/2553 มหาวิทยาลัยได้รับเงินทุนวิจัยนับ 150 ล้านปอนด์[19] และนับเป็นมหาวิทยาลัยที่ประสบความสำเร็จในการสมัครขอรับทุนวิจัยเป็นอันดับสอง นำหน้ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด วิทยาลัยอิมพีเรียลลอนดอน และวิทยาลัยอุดมศึกษาลอนดอน[20] มหาวิทยาลัยมีความร่วมมือกันกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผลิตบัณฑิตหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต โดยใน 3 ปีแรก (ระดับพรีคลินิก) นิสิตจะศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม ส่วน 3 ปีหลัง จะฝึกปฏิบัติระดับคลินิกที่ศูนย์การแพทย์ มศว องครักษ์ ทั้งนี้นิสิตต้องเสียค่าเล่าเรียนให้แก่สถาบันทั้งสองเอง และจะได้รับปริญญาบัตรของสถาบันทั้งสองเมื่อสำเร็จการศึกษา[21][22] นอกจากนี้ มหาวิทยาลัย โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[23] และมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ จัดการเรียนการสอนในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต โดยกำหนดให้นักศึกษาเรียนสองปีแรกที่ มธ. และสองปีหลังที่ UoN หลังสำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญาบัตรของทั้งสองสถาบันเช่นกัน การรับเข้าศึกษาจากข้อมูลของสำนักสถิติอุดมศึกษา (Higher Education Statistics Agency; HESA) มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมมีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าหากนับตามการลงทะเบียนเรียนของนักศึกษา[24] โดยมีนักศึกษามากถึง 30,000 คน จาก 130 ประเทศทั่วโลก[25] ในปี พ.ศ. 2543 มหาวิทยาลัยได้รับใบสมัครถึง 49,000 ใบ แต่สามารถรับเข้าศึกษาได้เพียง 5,500 คนเท่านั้น จึงทำให้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีนักเรียนนิยมเลือกมากที่สุดในสหราชอาณาจักร ในจำนวนนี้ 40% เป็นนักเรียนโรงเรียนเอกชน[26] แนวโน้มเดียวกันนี้พบได้ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งได้แก่ มหาวิทยาลัยบริสตอล มหาวิทยาลัยเดอแรม และมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ซึ่งมีนักศึกษาฐานะดีจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยจึงต้องเปิดสอนภาคฤดูร้อน (ซัมเมอร์สคูล) เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกและนักศึกษาสถาบันอื่นเข้ามาเรียนได้โดยไม่ยึดฐานะ[27] มหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีจำนวนนักศึกษามาก โดยมีนักศึกษาทุกระดับมากเป็นอันดับสองรองจากมหาวิทยาลัยเปิดและมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ และมีนักศึกษาต่างชาตินอกสหภาพยุโรปมากที่สุดเป็นอันดับสาม รองจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์และมหาวิทยาลัยลอนดอน[1] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia