ภาษาไทยถิ่นใต้ (โดยย่อว่า ภาษาใต้ ) หรือ ภาษาตามโพร (อังกฤษ : Dambro ) หรือ ภาษาปักษ์ใต้ เป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท จัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ [ 3] กลุ่มย่อยภาษาเชียงแสน ที่ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากภาษาสุโขทัย ภาษาไทย ดั้งเดิมแบบภาคกลาง จนกลายมาเป็นภาษาไทยถิ่นใต้ หรือภาษาใต้ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันตามลำดับ ภาษาไทยถิ่นใต้มีผู้ใช้ภาษาหนาแน่นบริเวณสิบสี่จังหวัดภาคใต้ ของประเทศไทย มีบางส่วนกระจายตัวไปในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขตตะนาวศรี ในประเทศพม่า และบริเวณรัฐเกอดะฮ์ รัฐปะลิส รัฐปีนัง และรัฐเปรัก ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย มีผู้พูดเป็นภาษาแม่ราวห้าล้านคน และอีกราว 1.5 ล้านคนใช้เป็นภาษาที่สอง ได้แก่กลุ่มชนเชื้อสายจีน เปอรานากัน มลายู อูรักลาโวยจ และมานิ [ 4]
นอกจากนี้ในภาคใต้ยังมีกลุ่มภาษาไทที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มย่อยของภาษาไทยถิ่นใต้ ได้แก่ ภาษาตากใบ ภาษาสะกอม และภาษาพิเทน เพราะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่แตกต่างไปจากภาษาไทยถิ่นใต้หรือภาษามลายู [ 5]
สัทอักษร
วรรณยุกต์
ภาษาไทยถิ่นใต้ส่วนใหญ่ในพยางค์เดียวมี 5 ระดับเสียง ซึ่งเป็นจริงสำหรับสำเนียงที่อยู่ในระดับละติจูด ประมาณ 10° เหนือถึง 7° เหนือกับภาษาถิ่น ในเมืองทั่วภาคใต้ ในบางพื้นที่มีวรรณยุกต์หกถึงเจ็ดเสียง โดยสำเนียงจังหวัดนครศรีธรรมราช (ประมาณละติจูด 8° เหนือ) มีวรรณยุกต์ 7 เสียง[ 6]
ต้น
ริมฝีปาก
ปุ่มเหงือก
เพดานแข็ง
เพดานอ่อน
เสียง Sj
เส้นเสียง
เสียงนาสิก
[m] ม
[n] ณ, น
[ɲ] ญ*
เสียงหยุด
ไม่พ่นลม
[p] ป
[t] ฏ, ต
[c] จ
[k] ก
[ʔ] อ**
พ่นลม
[pʰ] ผ, พ, ภ
[tʰ] ฐ, ฑ, ฒ, ถ, ท, ธ
[cʰ] ฉ, ช, ฌ
[kʰ] ข, ฃ, ค, ฅ, ฆ
ก้อง
[b] บ
[d] ฎ, ด
เสียงเสียดแทรก
[v] ฝ, ฟ
[s] ซ, ศ, ษ, ส
[ɧ] ง
[ɦ] ห, ฮ
เสียงเปิด
[l] ล, ฬ
[j] ย
[w] ว
เสียงลิ้นรัว
[r] ร
* พบในบางสำเนียง
** ตั้งก่อนหน้าสระใด ๆ โดยไม่มีตัวหน้าและหลังสระสั้นโดยไม่มีตัวท้าย
*** ปัจจุบันไม่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ ทำให้เหลือพยัญชนะ 42 ตัว
กลุ่มพยัญชนะ (พยัญชนะควบ)
ในภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะ 11 แบบ ดังนี้:
/kr/ (กร), /kl/ (กล), /kw/ (กว)
/kʰr/ (ขร, คร), /kʰl/ (ขล, คล), /kʰw/ (ขว, คว)
/pr/ (ปร), /pl/ (ปล)
/pʰr/ (ผร, พร), /pʰl/ (ผล, พล)
/tr/ (ตร)
นอกจากนี้ยังมีคำควบกล้ำที่ไม่ได้อยู่ในหลักภาษาไทยมาตรฐานด้วย เช่น
หฺมฺร เช่น หมฺรับ อ่านว่า "หฺมฺรับ" (ห เป็นอักษรนำ ตามด้วย ม ควบกล้ำด้วย ร) แปลว่า สำรับ ไม่ได้ อ่านว่า หม-รับ หรือ หมับ ให้ออกเสียง "หมฺ" ควบ "ร") เช่น การจัดหฺมฺรับประเพณีสารทเดือนสิบ
ท้าย
เสียงหยุด ทั้งหมดไม่มีการออกเสียง ดังนั้น เสียงท้ายของ /p/ , /t/ และ /k/ ออกเสียงเป็น [p̚] , [t̚] และ [k̚] ตามลำดับ
ริมฝีปาก
ปุ่มเหงือก
เพดานแข็ง
เพดานอ่อน
เส้นเสียง
เสียงนาสิก
[m] ม
[n] ญ, ณ, น, ร, ล, ฬ
[ŋ] ง
เสียงหยุด
[p] บ, ป, พ, ฟ, ภ
[t] จ, ช, ซ, ฌ, ฎ, ฏ, ฐ, ฑ, ฒ, ด, ต, ถ, ท, ธ, ศ, ษ, ส
[k] ก, ข, ค, ฆ
[ʔ] *
เสียงเปิด
[w] ว
[j] ย
* ตรงท้ายออกเสียงเป็นเส้นเสียงหยุด (glottal stop) เมื่อไม่มีตัวท้ายหลังสระสั้น
สระ
สระในภาษาไทยถิ่นใต้มีความคล้ายกับภาษาไทยถิ่นกลาง โดยเป็นไปตามตารางนี้
หน้า
หลัง
ปากเหยียด
ปากห่อ
สั้น
ยาว
สั้น
ยาว
สั้น
ยาว
สูง
/i/ -ิ
/iː/ -ี
/ɯ/ -ึ
/ɯː/ -ือ, -ื-
/u/ -ุ
/uː/ -ู
กลาง
/e/ เ-ะ
/eː/ เ-
/ɤ/ เ-อะ
/ɤː/ เ-อ
/o/ โ-ะ
/oː/ โ-
ต่ำ
/ɛ/ แ-ะ
/ɛː/ แ-
/a/ -ะ, -ั-
/aː/ -า
/ɔ/ เ-าะ
/ɔː/ -อ
สระมักมาเป็นคู่ยาว-สั้น โดยแบ่งไปตามนี้:
ยาว
สั้น
ไทย
IPA
ไทย
IPA
–า
/aː/
–ะ
/a/
–ี
/iː/
–ิ
/i/
–ู
/uː/
–ุ
/u/
เ–
/eː/
เ–ะ
/e/
แ–
/ɛː/
แ–ะ
/ɛ/
–ือ
/ɯː/
–ึ
/ɯ/
เ–อ
/ɤː/
เ–อะ
/ɤ/
โ–
/oː/
โ–ะ
/o/
–อ
/ɔː/
เ–าะ
/ɔ/
สระพื้นฐานสามารถรวมกันเป็นสระประสมสองเสียง ที่ใช้ในการกำหนดเสียงวรรณยุกต์ สระที่มีสัญลักษณ์ดอกจันในบางครั้งอาจถือเป็นสระยาว:
ยาว
สั้น
อักษรไทย
IPA
อักษรไทย
IPA
–าย
/aːj/
ไ–* , ใ–* , ไ–ย, -ัย
/aj/
–าว
/aːw/
เ–า*
/aw/
เ–ีย
/iːə/
เ–ียะ
/iə/
–
–
–ิว
/iw/
–ัว
/uːə/
–ัวะ
/uə/
–ูย
/uːj/
–ุย
/uj/
เ–ว
/eːw/
เ–็ว
/ew/
แ–ว
/ɛːw/
–
–
เ–ือ
/ɯːə/
เ–ือะ
/ɯə/
เ–ย
/ɤːj/
–
–
–อย
/ɔːj/
–
–
โ–ย
/oːj/
–
–
นอกจากนี้ ยังมีสระประสมสามเสียง 3 แบบที่ใช้ในการกำหนดเสียงวรรณยุกต์ สระที่มีสัญลักษณ์ดอกจันในบางครั้งอาจถือเป็นสระยาว:
อักษรไทย
IPA
เ–ียว*
/iəw/
–วย*
/uəj/
เ–ือย*
/ɯəj/
สำเนียง
ภาษาไทยถิ่นใต้มีภาษาย่อยแตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่นต่าง ๆ บางแห่งมีการใช้คำศัพท์หรือมีการออกเสียงแตกต่างกันออกไป
รัชฎาภรณ์ ผลยะฤทธิ์ (2561)
Phonyarit (2018)[ 7] แบ่งสำเนียงหลักของภาษาไทยถิ่นใต้ออกเป็น 9 สำเนียง โดยอิงจากการแยกเสียงวรรณยุกต์และการควบรวมประโยค ได้ดังนี้
ตามใจ อวิรุทธิโยธิน (2559)
ส่วนตามใจ อวิรุทธิโยธิน (2559) แบ่งภาษาไทยถิ่นใต้ออกเป็นสามสำเนียงใหญ่ ได้แก่
ภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มตะวันออก เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณทางตะวันออกของคาบสมุทร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี , นครศรีธรรมราช , พัทลุง , สงขลา เรื่อยไปจนถึงรัฐเกอดะฮ์ และปะลิส ของประเทศมาเลเซีย
ภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มตะวันตก เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณทางตะวันตกของคาบสมุทร ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี , นครศรีธรรมราช , ชุมพร , พังงา , ภูเก็ต , กระบี่ , ตรัง และเขตตะนาวศรี ของประเทศพม่า
ภาษาไทยถิ่นใต้ตอนล่าง เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีผู้ใช้หนาแน่นในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี , ยะลา และนราธิวาส โดยสำเนียงปัตตานีและยะลามีความเชื่อมโยงกันมาก และใกล้ชิดกับสำเนียงนราธิวาสเป็นลำดับถัดมา[ 8] มีการยืมคำมลายูค่อนข้างหนาแน่น เพราะตั้งชุมชนอยู่ท่ามกลางชาวไทยเชื้อสายมลายู ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะในอำเภอทุ่งยางแดง อำเภอสายบุรี อำเภอปะนาเระ และอำเภอตากใบ [ 9]
คำยืม
ภาษาไทยถิ่นใต้มีความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติอย่างหลากหลาย จนเกิดการยืมคำมาใช้ ทั้งนี้พบว่าภาษาไทยถิ่นใต้มีการยืมคำจากภาษาเขมร มากที่สุดถึง 1,320 คำ บางส่วนเป็นคำยืมที่พบได้เพียงแต่ในภาษาไทยถิ่นใต้เท่านั้น ไม่พบในภาษาไทยกลาง เข้าใจว่าคงยืมผ่านภาษาเขมรโบราณ โดยตรง[ 9] ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ พบว่าสำเนาพระราชกฤษฎีกาสมัยสมเด็จพระเพทราชา เรื่องกัลปนาวัดในแขวงเมืองพัทลุงล้วนใช้ภาษาและอักษรเขมรเก่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า อาจมาจากการกวาดต้อนเชลยเขมรเข้าสู่หัวเมืองภาคใต้[ 10] [ 11] นอกจากนี้ยังมีคำยืมภาษาจีน โดยเฉพาะภาษาฮกเกี้ยน หนาแน่นในสำเนียงภูเก็ต (1,239 คำ) และภาษาจีนอื่น ๆ ในสำเนียงสงขลา (396 คำ) และคำยืมภาษามลายู หนาแน่นในสำเนียงปัตตานี ยะลา นราธิวาส (400 คำ) และสตูล (375 คำ) แต่อย่างไรก็ตามคำยืมเหล่านี้มีผู้ใช้น้อยลง และแทนที่ด้วยภาษาไทยมาตรฐาน[ 9]
ระบบการเขียน
ในอดีตภาษาไทยถิ่นใต้จะใช้อักษรขอมไทย ในการจดจารตำรับตำราสำคัญทางศาสนา นับถือว่าหนังสือและอักษรเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใครเหยียบหรือข้ามหนังสือจะทำให้วิชาความรู้เสื่อมถอย[ 12] อักษรขอมนี้พัฒนามาจากอักษรหลังปัลลาวะเริ่มใช้เขียนหลัง พ.ศ. 1726 เป็นต้นมา พบหลักฐานที่ฐานพระพุทธรูปวัดหัวเวียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จนกระทั่ง พ.ศ. 1773 อักษรขอมนี้มีพัฒนาการในรูปแบบท้องถิ่นภาคใต้โดยเฉพาะ แต่ระยะหลังมีการรับอักษรขอมไทยอย่างภาคกลางมากขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ [ 13]
ส่วนอักษรไทยอยุธยา ปรากฏครั้งแรกในศิลาจารึกวัดแวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่มีอักขรวิธีอย่างคนเมืองเหนือ ในช่วงหลังมีการบันทึกวรรณกรรมเป็นอักษรไทยลงสมุดไทย และใบลาน ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมา พ.ศ. 2357 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการใช้อักษรไทยอยุธยาเขียนตามสำเนียงใต้โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบที่ถูกต้อง หรือมีอักขรวิธีตามความพอใจของผู้เขียนเอง[ 13] ครั้นเมื่อมีการพัฒนาด้านการศึกษาในประเทศไทย ภาษาไทยถิ่นใต้จึงพัฒนามาเขียนด้วยอักษรไทย อย่างกรุงเทพมหานคร จนถึงปัจจุบัน[ 13]
ภาษาทองแดง
ในการแสดงหนังตะลุง ตัวละครที่เป็นเจ้านายจะพากย์ด้วยการแหลงข้าหลวง ส่วนตัวละครที่เป็นชาวบ้านจะพากย์ด้วยภาษาถิ่นใต้
ภาษาทองแดง ใน พจนานุกรมภาษาถิ่นใต้ พุทธศักราช 2525 ให้ความหมายไว้ว่า "การพูดภาษากลางปนภาษาใต้หรือพูดเพี้ยน" ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ใช้ภาษาไทยผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานกำหนด ไม่ได้จำกัดว่าเป็นคนภาคใดหรือจังหวัดใด ๆ[ 14] อย่างเช่น เมื่อผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นใต้เป็นภาษาแม่ไปพูดภาษาไทยมาตรฐาน ก็ย่อมจะนำลักษณะบางประการของภาษาถิ่นของตนปะปนเข้ากับภาษาไทยมาตรฐานจนผิดเพี้ยน เรียกว่า "ทองแดง"[ 14] และชาวไทยเชื้อสายมลายู ในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่พูดภาษาไทยมาตรฐานไม่ชัด เพราะติดสำเนียงมลายู ก็จะถูกเรียกว่า "ทองแดง" เช่นกัน[ 15]
แต่เดิมชาวไทยในแถบภาคใต้จะไม่นิยมใช้ภาษาไทยมาตรฐาน เพราะเป็นภาษาของเจ้านายหรือราชสำนัก เมื่อมีชนชั้นนำหรือเจ้านายพูดภาษาไทยมาตรฐาน ชาวบ้านจึงต้องออกเสียงให้ตรงกับภาษาของนาย เรียกว่า "แหลงข้าหลวง" ซึ่งเป็นความพยายามอย่างหนึ่งของคนใต้ ที่ต้องการให้ส่วนกลางเข้าใจเนื้อหาคำพูดของตน แม้จะออกเสียงผิดเพี้ยนไปบ้าง[ 16] และหากชาวใต้คนใดพูดภาษาไทยกลางหรือ "แหลงบางกอก" ก็จะถูกคนใต้ด้วยกันมองด้วยเชิงตำหนิว่า "ลืมถิ่น" หรือ "ดัดจริต" เพราะแม้จะพูดภาษาไทยมาตรฐานแต่ยังคงติดสำเนียงใต้อยู่ จึงถูกล้อเลียนว่า "พูดทองแดง"[ 12] [ 14] เพราะมีการออกเสียงพยัญชนะและสระต่างกัน มีการตัดคำหน้าของสระเสียงสั้นออกไป เพื่อความสะดวกในการออกเสียง เช่น "เงาะ" เป็น "เฮาะ", "ลอยกระทง" เป็น "ลอยกระตง", "สังขยา" เป็น "สังหยา" นอกจากนี้ยังมีการใช้คำต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน แต่มีความหมายเดียวกัน เช่น "ปวดท้อง" ว่า "เจ็บพุง", "ปวดหัว" ว่า "เจ็บเบ็ดหัว", "ชักช้า" ว่า "ลำลาบ"[ 16]
ปัจจุบันภาษาไทยมาตรฐานมีอิทธิพลเหนือภาษาไทยถิ่นใต้มาขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะจากการศึกษาในระบบ และผ่านการสื่อสารมวลชน ทำให้ภาษาไทยถิ่นใต้เกิดความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกขณะ[ 17]
อ้างอิง
↑ ดาริกา ธนะศักดิ์ศิริ (2555). รักษ์วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ (PDF) . ปทุมธานี: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก. p. 12.
↑ ภาษาไทยถิ่นใต้ ที่ Ethnologue (18th ed., 2015) (ต้องสมัครสมาชิก)
↑ International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination; landforms a growing larger by the second Reports submitted by States parties under article 9 of the Convention: Thailand (PDF) (ภาษาอังกฤษ และ ไทย). United Nations Committee on the Elimination of Racial Discrimination. 28 กรกฎาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 9 ตุลาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 8 ตุลาคม 2016 .
↑ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (2016). ภาษา : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ (PDF) . กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์. p. 62. ISBN 978-616-543-381-5 . เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 16 เมษายน 2022. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2021 .
↑ ตามใจ อวิรุทธิโยธิน (2559). "ภาพรวมการศึกษาภาษาไทยถิ่นใต้ ". วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ . มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี. 13 (1), หน้า 9. ISSN 2697-5971 .
↑ Diller, Anthony (1979). Nguyen, Dang Liem (บ.ก.). "How Many Tones For Southern Thai?" (PDF) . South-east Asian Linguistic Studies . Pacific Linguistics, the Australian National University. 4 : 122. ISBN 0-85883-201-1 .
↑ Phonyarit, Ratchadaporn (2018). Tonal Geography of the Southern Thai Dialects . Paper presented at the 28th Annual Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society, held May 17–19, 2018 in Kaohsiung, Taiwan.
↑ ตามใจ อวิรุทธิโยธิน (2559). "ภาพรวมการศึกษาภาษาไทยถิ่นใต้ ". วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ . มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี. 13 (1), หน้า 18. ISSN 2697-5971 .
↑ 9.0 9.1 9.2 ตามใจ อวิรุทธิโยธิน (2559). "ภาพรวมการศึกษาภาษาไทยถิ่นใต้ ". วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ . มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี. 13 (1), หน้า 21. ISSN 2697-5971 .
↑ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา . "สาส์นสมเด็จ (15 มิถุนายน พ.ศ. 2478 ดร)" . วชิรญาณ . สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2565 .
↑ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา . "สาส์นสมเด็จ (18 มิถุนายน พ.ศ. 2478 น)" . วชิรญาณ . สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2565 .
↑ 12.0 12.1 เฉลิมชัย ส่งศรี (ตุลาคม 2541–มีนาคม 2542). "ภาษาไทยถิ่นใต้ในบริบททางวัฒนธรรม [ลิงก์เสีย ] ". วารสารปาริชาด . มหาวิทยาลัยทักษิณ. 11 (2). หน้า 48. ISSN 0857-0884 .
↑ 13.0 13.1 13.2 ชะเอม แก้วคล้าย (17 ตุลาคม 2018). "พัฒนาการอักษรที่ใช้บันทึกวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้" . สถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย . สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน 2021 .
↑ 14.0 14.1 14.2 ปรีชา ทิชินพงศ์ (เมษายน–กันยายน 2006). "ลักษณะทางภาษาทองแดงของชาวไทยภาคใต้" (PDF) . วารสารมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ . มหาวิทยาลัยทักษิณ. 1 (1). ISSN 1905-3959 . สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน 2021 . [ลิงก์เสีย ]
↑ นิยามาล อาแย (2009). ตัวตนคนมลายูมุสลิมในเขตเมืองยะลา (PDF) (M.A.). สาขาวิชาพัฒนามนุษย์และสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. p. 124.
↑ 16.0 16.1 ประพนธ์ เรืองณรงค์ (2007). เล่าเรื่องเมืองใต้: ภาษา วรรณกรรม ความเชื่อ . กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์. p. 8. ISBN 978-974-9967-82-9 .
↑ ประพนธ์ เรืองณรงค์ (2007). เล่าเรื่องเมืองใต้: ภาษา วรรณกรรม ความเชื่อ . p. 9.
บรรณานุกรม
Bradley, David. (1992). "Southwestern Dai as a lingua franca." Atlas of Languages of Intercultural Communication in the Pacific, Asia, and the Americas. Vol. II.I:13, pp. 780–781. ISBN 978-3-11-013417-9
Levinson, David. Ethnic Groups Worldwide: A Ready Reference Handbook. Greenwood Publishing Group. ISBN 1-573-56019-7 .
Miyaoka, Osahito. (2007). The Vanishing Languages of the Pacific Rim. Oxford University Press. ISBN 0-19-926662-X .
Taher, Mohamed. (1998). Encylopaedic Survey of Islamic Culture. Anmol Publications Pvt. Ltd. ISBN 81-261-0403-1 .
Yegar, Moshe. Between Integration and Secession: The Muslim Communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma/Myanmar. Lexington Books. ISBN 0-7391-0356-3 .
Diller, A. Van Nostrand. (1976). Toward a Model of Southern Thai Diglossic Speech Variation. Cornell University Publishers. OCLC 3956175 .
Li, Fang Kuei. (1977). A Handbook of Comparative Tai. University of Hawaii Press. ISBN 0-8248-0540-2 .
พจนานุกรมภาษาถิ่นใต้ พุทธศักราช 2550 พิมพ์ครั้งที่ 5. สงขลา: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, มูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ และสถาบันทักษิณคดีศึกษา, 2551. OCLC 538022818 .
แหล่งข้อมูลอื่น
ภาษาราชการ กลุ่มภาษาไท
เชียงแสน ตะวันตกเฉียงเหนือ ลาว–ผู้ไท สุโขทัย กลุ่มอื่น ๆ
ชนกลุ่มน้อย ตามตระกูลภาษา
ไม่ใช่ภาษาพื้นเมือง
ภาษามือ