พระบรมนิพพานบท
พระบรมนิพพานบท (เขมร: និព្វានបាទ, 1834-1888) หรือ พระบาทสมเด็จพระศรีสุริโยพันธ์ุที่ 2 กษัตริย์แห่งเขมร ครองสิริราชสมบัติจาก พ.ศ. 1883-1888 เป็นเวลาทั้งสิ้น 5 ปี ศึกสงครามกับเมืองเชียงทองเจ้าเมืองเชียงทอง (ปัจจุบัน คือ หลวงพระบาง) ทรงแข็งเมืองไม่ส่งราชบรรณาการให้กรุงพระนครหลวงอีกด้วยทรงเห็นว่าเมืองพระนครหลวง (อินทปัตนคร) ไม่ได้มีความยิ่งใหญ่เหมือนแต่ก่อนและมีศึกสงครามภายในและภายนอก เมืองภายใต้การปกครองได้ทยอยประกาศแยกตัวเป็นอิสระ อาณาจักรพระนครเริ่มเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากปัญการแยกตัวของอาณาจักรละโว้ที่แข็งเมืองในสมัยพระบาทศรีสุริโยพันธุ์ที่ 1 (พระเจ้าตรอซ็อกผแอม) ต่อมาเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาอาณาจักรละโว้ได้ส่งราชฑูตมาเจริญไมตรีกับเมืองพระนครหลวงอีกครั้ง ด้วยพระองค์มิไว้วางพระทัยคณะฑูตจากเมืองละโว้จึงสั่งให้ประหารคณะทูตทำให้ขาดทางไมตรีกับละโว้[1] ดังนั้น การแข็งเมืองของเจ้าเชียงทอง จึงมีผลกระทบที่สั่นคลอนพระราชอำนาจของพระองค์อย่างมาก พระบรมนิพพานบทจึงตัดสินพระทัยให้ พระเจ้าฟ้างุ้ม เชื้อสายกษัตริย์เมืองเชียงทองที่ให้การชุบเลี้ยงนำกองทัพจากพระนครหลวงยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าเมืองเชียงทอง เมื่อเจ้าฟ้างุ้มปราบปรามจลาจลในเมืองเชียงทองจนสงบลงแล้ว จึงโปรดให้ครองเมืองเชียงทองและโปรดให้อภิเษกกับพระนางแก้วกัญญา พระราชธิดาของพระองค์ และมอบพระบาง เป็นของขวัญในการอภิเษกสมรส[2] พระราชประวัติพระบรมนิพพานบท (เขมร: ព្រះបាទនិព្វានបាទ, อักษรโรมัน: Nippean Bat) ครองราชย์: ค.ศ. 1340 - ค.ศ. 1346 พระบรมนิพพานบท หรือ พระบรมนิพันทบท หรือ พระบรมนิภาร พระมหากษัตริย์แห่งกรุงพระนครหลวงพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสใน พระศรีสุริโยพันธุ์ที่ 1 หรือ พระบาทองค์ชัย กับพระนางจันทรวรเทวี พระองค์ทรงสืบเชื้อสายมาจากสองราชสกุล ฝ่ายทางพระราชบิดา (จามปา) และฝ่ายทางพระราชมารดา (ขะแมร์) เมื่อพระอัยกาเจ้า (พระเจ้าชัยวรมันที่ 9) เสด็จสวรรคตพระราชบิดาของพระองค์ (พระบาทองค์ชัย) จึงได้ขึ้นสืบราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงพระนครหลวง และโปรดสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระอุปราชขณะมีพระชนมายุได้ 44 พรรษาเมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1883 พระองค์จึงขึ้นสืบราชบัลลังก์เมื่อพระชนมายุได้ 49 พรรษา เฉลิมพระนาม "พระบาทสมเด็จพระศรีสุริโยพันธุ์ บรมราชาธิราช ธรรมิกราชบรมนาถบพิตร" เมื่อพระองค์ครองราชสมบัติได้เพียง 5 ปีทรงประชวรเสด็จสวรรคต สิริพระชนมายุได้ 54 พรรษาภายหลังเสด็จสวรรคตได้รับการเฉลิมพระนาม "พระบรมนิพพานบท" อันแปลว่าผู้เสด็จไปแล้วโดยสุคติสุข ตลอดรัชสมัยของพระองค์มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างแพร่หลาย มีการสร้างพระพุทธรูป และสร้างวัดวาอารามทั่วพระราชอาณาจักร พระองค์ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาไม่เหมือนกษัตริย์องค์ก่อน ๆ ที่นับถือฮินดู ช่วงปลายรัชกาลเกิดศึกสงครามและเกิดการจลาจลไปทั่ว เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1888 จึงเป็นการสิ้นสุดตำนานภาคแรกของ เอกสารมหาบุรุษเขมร ตามพระราชพงศาวดารกัมพูชาที่ได้บันทึกพระราชวงศ์วรมัน ส่วนพระราชอนุชาของพระองค์จึงขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อมาเป็น พระสิทธานราชา พระสิทธานราชาครองราชสมบัติได้เพียง 1 ปีจึงมอบราชสมบัติให้ พระบรมลำพงษ์ราชา พระราชโอรสในพระบรมนิพพานบท สวรรคตพระบรมนิพพานบททรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงยโศธรปุระ ต่อจากพระราชบิดาในปี ค.ศ. 1340 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทางกรุงศรีอยุธยาได้ส่งเจ้าใส้เทวดาเข้ามาเป็นราชทูตเพื่อเจริญพระราชสัมพันธไมตรีกับกรุงพระนครหลวงแต่พระบรมนิพพานบทมิไว้วางพระทัยสั่งให้จับเจ้าใส้เทวดาสังหารเสีย โดยพระราชพงศาวดารฉบับนักองค์เอง[3] ระบุว่า
เหตุการณ์นี้ได้สร้างความบาดหมางระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพระนครหลวงเป็นเหตุให้กรุงศรีอยุธยายกทัพเข้าโจมตีเมืองพระนครหลวงในเวลาต่อมา เมื่อพระบรมนิพพานบทครองราชสมบัติได้เพียง 4 ปีกรุงศรีอยุธยายกทัพมาล้อมเมืองพระนครหลวงได้ 1 ปีแต่ยังโจมตีเอาเมืองมิได้ ภายในเมืองเกิดการจราจลไปทั่วพระนครเนื่องจากขาดแคลนเสบียงอาหาร พระบรมนิพพานบททรงตรอมพระทัยประชวรเสด็จทิวงคตในปี ค.ศ. 1346 สิริพระชนมายุ 54 พรรษา อยู่ในราชสมบัติ 5 ปี พระสิทธานราชาพระอนุชาจึงขึ้นสืบราชสมบัติเพื่อรักษาพระนครกรุงศรีอยุทธยาจึงยกทัพกลับ และยกทัพกลับมาอีกครั้งในรัชสมัยพระบรมลำพงษ์ราชา อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia