พระเจ้าการอลที่ 1 แห่งโรมาเนีย
พระเจ้าการอลที่ 1 แห่งโรมาเนีย (20 เมษายน ค.ศ. 1839 - 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914) เมื่อแรกพระราชสมภพมีพระอิสริยยศเป็น เจ้าชายคาร์ลแห่งโฮเอินท์ซ็อลเลิร์น-ซีคมาริงเงิน ทรงครองราชย์เป็นเจ้าผู้ครองสหราชรัฐ ตั้งแต่ ค.ศ. 1866 - 1881 และต่อมาทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรโรมาเนียตั้งแต่ ค.ศ. 1881 - 1914 พระองค์ทรงได้รับการเลือกให้เป็นเจ้าผู้ครองสหราชรัฐมอลเดเวียและวอลเลเกียในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1886 หลังจากอาเล็กซันดรู โยอัน กูซาทรงถูกรัฐประหารยึดพระราชอำนาจ จากการที่จักรวรรดิออตโตมันพ่ายแพ้ในสงครามรัสเซีย-ตุรกี (1877 - 1878) พระองค์ได้ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งโรมาเนียในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1881 พระองค์เป็นพระประมุขพระองค์แรกแห่งราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น-ซีคมาริงเงินซึ่งปกครองประเทศจนกระทั่งการประกาศให้โรมาเนียเป็นสาธารณรัฐในปีค.ศ. 1947 ในช่วงรัชกาลของพระองค์ พระองค์ทรงบัญชาการรบกองทัพโรมาเนียด้วยพระองค์เองในช่วงสงครามรัสเซีย-ตุรกีและทรงร่วมบัญชาการกองทัพโรมาเนียและรัสเซียระหว่างการปิดล้อมที่เปลฟนา โรมาเนียได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์จากจักรวรรดิออตโตมัน (สนธิสัญญาเบอร์ลิน (1878)) และได้รับแคว้นคาเดรียเลเทอร์จากบัลแกเรียในปีค.ศ. 1913 ในบทบาททางด้านการเมือง พระองค์ยังคงปกครองประเทศท่ามกลางการแข่งขันของพรรคเสรีภาพแห่งชาติกับพรรคอนุรักษนิยม ที่ซึ่งก่อให้เกิดการลุกฮือของชาวนาในวัลลาเซียเดือนเมษายน ค.ศ. 1888 และในมอลเดเวียเดือนมีนาคม ค.ศ. 1907 พระองค์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลีซาเบ็ทแห่งวีท ณ เมืองน็อยวีท ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1869 ทั้งสองพระองค์มีพระธิดาเพียง 1 พระองค์คือ เจ้าหญิงมารีอาแห่งโรมาเนียซึ่งสิ้นพระชนม์ขณะมีพระชนมายุเพียง 3 ชันษา การที่พระราชาธิบดีการอลทรงไร้รัชทายาททำให้พระเชษฐาของพระองค์คือ เจ้าชายเลออพ็อลท์แห่งโฮเอินท์ซ็อลเลิร์นเป็นรัชทายาทลำดับถัดไปแห่งโรมาเนีย ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1880 เจ้าชายเลออพ็อลท์ทรงสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์แก่พระโอรสคือ เจ้าชายวิลเฮ็ล์มแห่งโฮเอินท์ซ็อลเลิร์นซึ่งเจ้าชายวิลเฮ็ล์มทรงสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์แก่พระอนุชาซึ่งต่อมาได้ครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าแฟร์ดีนันท์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย ช่วงต้นพระชนม์ชีพ![]() เจ้าชายคาร์ล ไอเทิล ฟรีดริช เซฟือร์อีนูส ลูทวิชแห่งโฮเอินท์ซ็อลเลิร์น-ซีคมาริงเงิน ประสูติ ณ เมืองซีคมาริงเงิน เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองของคาร์ล อันโทน เจ้าผู้ครองโฮเอินท์ซ็อลเลิร์นกับเจ้าหญิงโยเซฟีเนอแห่งบาเดิน หลังจากสำเร็จการศึกษาในระดับประถมศึกษา เจ้าชายคาร์ลทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนคาเด็ทในเมืองมึนสเตอร์ ในปีค.ศ. 1857 ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนวิชาการทหารปืนใหญ่ที่กรุงเบอร์ลิน ในปีค.ศ. 1866 (เมื่อพระองค์ได้ตอบรับราชบัลลังก์โรมาเนียแล้ว) เจ้าชายทรงรับราชการในทหารปรัสเซียและทรงร่วมรบในสงครามชเลสวิชครั้งที่สอง โดยทรงร่วมกับฝ่ายปรัสเซียในการรบกับเดนมาร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการโจมตีเมืองเฟรเดอริเซียและดิบโบล์ของเดนมาร์ก พระองค์ได้สะสมประสบการณ์จากการรบในสมรภูมิเหล่านี้ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพระองค์ในการบัญชาการรบในสงครามรัสเซีย-ตุรกี(1877 - 1878) ถึงแม้ว่าพระวรกายของพระองค์จะค่อนข้างผอมและไม่สูงมาก พระองค์กลับได้รับการสรรเสริญว่าทรงเป็นชายชาติทหาร, สุขภาพดีเยี่ยม, มีระเบียบวินัยและเป็นนักการเมืองที่ดีโดยมีแนวคิดในทางเสรี พระองค์สามารถตรัสภาษายุโรปได้หลายภาษา พระราชวงศ์ของพระองค์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราชวงศ์โบนาปาร์ต (พระอัยยิกาผ่ายพระชนนีของพระองค์ทรงมาจากราชสกุลโบอาร์แนคือ สเตฟานี เดอ โบอาร์แนซึ่งเป็นพระขนิษฐาในโฌเซฟีน เดอ โบอาร์แน และพระอัยยิกาฝ่ายพระชนกของพระองค์ทรงมาจากตระกูลมูว์ราคือ เจ้าหญิงมารี อังตัวแนตต์ มูว์ราซึ่งเป็นพระนัดดาในฌออากีม มูว์รา กษัตริย์แห่งเนเปิลส์) พระราชวงศ์ของพระองค์จึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 โรมาเนียในตอนนั้นอยู่ภายใต้วัฒนธรรมฝรั่งเศสและคำแนะนำของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เกี่ยวกับเจ้าชายคาร์ลแห่งโฮเฮนโซลเลิร์น-ซิกมาริงเง็น ซึ่งทรงถูกจับตามองโดยนักการเมืองโรมาเนียในสายพระโลหิตจากปรัสเซีย เอียน ซี. บราเทียนูนักการเมืองชาวโรมาเนียได้ส่งข้อความไปยังเจ้าชายคาร์ลและะพระราชวงศ์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะสถาปนาพระองค์ในราชบัลลังก์องค์อธิปัตย์แห่งโรมาเนีย เส้นทางสู่โรมาเนียอาเล็กซันดรู โยอัน กูซา เจ้าผู้ครองสหราชรัฐ พระประมุของค์ก่อนได้ถูกเนรเทศออกจากโรมาเนียโดยเหล่าขุนนางและทำให้โรมาเนียเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรง คูซาได้รับการเลือกให้เป็นประมุข (ในวัลลาเซียและมอลเดเวีย) ของประเทศที่ซึ่งทำให้เกิดการรวมชาติโรมาเนียจากการสนับสนุนของชาติมหาอำนาจในยุโรป จากการที่พระองค์ได้ถูกเนรเทศ ทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตจากการสิ้นสภาพความเป็นรัฐ ![]() เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรปรัสเซียกับจักรวรรดิออสเตรีย เจ้าชายคาร์ลทรงออกเดินทางโดยใช้พระนามแฝงด้วยรถไฟจากดึสเซลดอร์ฟไปยังบูดาเปสต์ พระองค์ทรงใช้พระนามแฝงว่า นายคาร์ล เฮ็ททินเง็น จากบูดาเปสต์ทรงประทับรถม้าไปยังโรมาเนีย เนื่องจากทรงไปโรมาเนียนั้นไมมีรถไฟ และพระองค์ทรงเดินทางด้วยพระบาทเข้าไปยังเขตชายแดนแผ่นดินโรมาเนีย ซึ่งพระองค์ทรงพบกับบราเทียนู ผู้ซึ่งเชื้อเชิญให้พระองค์ประทับรถม้าไปด้วยกัน ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1866 (22 พฤษภาคม ค.ศ. 1866 ตามปฏิทินฉบับใหม่) เจ้าชายคาร์ลเสด็จเข้ากรุงบูคาเรสต์ ข่าวการมาถึงของพระองค์ได้ถูกส่งผ่านด้วยโทรเลขและพระองค์ทรงได้รับการต้อนรับจากประชาชนชาวโรมาเนียจำนวนมากที่ต้องการพบพระประมุของค์ใหม่ของพวกเขา ในเขตบานีอาซาพระองค์ทรงได้รับกุญแจเมืองตามธรรมเนียม ในวันนั้นฝนตกหนักและสิ้นสุดฤดูแล้งที่ยาวนาน ในวันที่พระองค์ประกอบพิธีราชาภิเษกเป็นองค์อธิปัตย์แห่งโรมาเนีย พระองค์ทรงกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะพิทักษ์ปกป้องกฎหมายโรมาเนีย,จะคุ้มครองรักษาสิทธิและความบริบูรณ์ของแผ่นดินนี้" พระองค์ทรงกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณเป็นภาษาฝรั่งเศสและพระองค์ไม่ตรัสภาษาโรมาเนีย รัฐธรรมนูญในทันทีหลังจากพระองค์เสด็จถึงโรมาเนีย รัฐสภาโรมาเนียได้มีมติยอมรับรัฐธรรมนูญโรมาเนียฉบับปีค.ศ. 1866 ในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1866 เป็นหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่พัฒนาอย่างทันสมัยที่สุดในช่วงเวลานั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้มีการพัฒนาและการทำให้รัฐโรมาเนียทันสมัยต่อประชาคมโลก ในการย้ายอำนาจอย่างท้าทายของรัฐธรรมนูญนี้ได้เลือกที่จะปฏิเสธการอยู่ใต้อำนาจของจักรวรรดิออตโตมัน ที่ซึ่งเป็นการปูทางสู่เอกราชแห่งโรมาเนีย ในมาตราที่ 82 ได้ระบุว่า "อำนาจของพระประมุขจะสืบตามพระราชสันตติวงศ์ เริ่มต้นโดยตรงจากสายพระราชสันตติวงศ์ของเจ้าผู้ครองแผ่นดิน การอลที่ 1 แห่งราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น-ซีคมาริงเงินและสิทธิในการสืบราชบัลลังก์จะผ่านไปทางสายบุรุษที่กำเนิดถูกต้องตามกฎหมาย โดยยกเลิกสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ทางสายสตรีและเหล่าทายาทของสตรีนั้น พระราชสันตติวงศ์ของเจ้าผู้ครองแผ่นดินจะต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โทดอกซ์" หลังจากการประกาศอิสรภาพ (ค.ศ. 1877) โรมาเนียมีสถานภาพเป็นพระราชอาณาจักรอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ปีค.ศ. 1878 องค์อธิปัตย์การอลทรงดำรงพระอิสริยยศ Alteţă Regală (Royal Highness) ในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1881 รัฐธรรมนูญได้ถูกเปลี่ยนสถานะที่ว่าพระประมุขแห่งรัฐจะต้องดำรงพระอิศริยยศเป็น "พระมหากษัตริย์แห่งโรมาเนีย" ในขณะที่รัชทายาทจะต้องดำรงพระอิศริยยศเป็นพระราชกุมาร ในปีเดียวกันองค์อธิปัตย์การอลได้ราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งโรมาเนียในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1881 ![]() ตามพื้นฐานของรัฐธรรมนูญแบบนิยมระบอบกษัตริย์ในโรมาเนียได้กำหนดว่าพระมหากษัตริย์จะต้องเป็นพระประมุขโดยปราศจากการปกครองทางการเมือง พระมหากษัตริย์ผู้ทรงอุทิศพระองค์สมเด็จพระเจ้าการอลทรงได้รับการกล่าวถึงพระอุปนิสัยที่เยือกเย็น พระองค์ทรงยึดมั่นอย่างถาวรในเกียรติยศของพระราชวงศ์ที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้น สมเด็จพระราชินีเอลีซาเบ็ท ผู้เป็นพระมเหสีของพระองค์ทรงกล่าวว่า "พระองค์ทรงสวมมงกุฎแม้กระทั่งทรงพระบรรทม" พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ละเอียดมากและทรงพยายามสงวนท่าทีของพระองค์ต่อหน้าข้าราชบริพารทุกๆคน อย่างไรก็ตามแม้พระองค์จะอุทิศพระองค์แก่พระราชกรณียกิจในฐานะองค์อธิปัตย์หรือกษัตริย์แห่งโรมาเนียแต่พระองค์ก็ไม่ทรงลืมเลือนเชื้อชาติเยอรมันที่เป็นรากเหง้าของพระองค์ ตลอดระยะเวลา 48 ปีของรัชกาล (เป็นพระประมุขที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โรมาเนีย) พระองค์ทรงช่วยให้โรมาเนียได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ พระองค์ทรงเพิ่มพูนชื่อเสียงแก่โรมาเนีย ทรงช่วยปรับปรุงเศรษฐกิจของโรมาเนียและสถาปนาพระราชวงศ์ขึ้น บนเทือกเขาคาร์เปเทียน พระองค์ทรงสร้างปราสาทเปเรสซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในโรมาเนีย ปราสาทสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบเยอรมัน เพื่อให้ระลึกถึงสถานที่ที่พระองค์ประสูติ หลังจากสงครามรัสเซีย-ตุรกี พระองค์ทรงรวมแคว้นโดบรูยามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรและมีพระบัญชาให้สร้างสะพานแห่งแรกคือ "สะพานสมเด็จพระเจ้าการอลที่ 1" ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำดานูบระหว่างเมืองเฟเตสติและเมืองเซอร์นาโวดา เมื่อสร้างเสร็จเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในยุโรปและยาวเป็นอันดับสามของโลก หลังจากล้มล้างระบอบกษัตริย์โรมาเนียได้มีการเปลี่ยนชื่สะพานแห่งนี้เป็นสะพานแองเจล ซาลิกนี ซึ่งสะพานนี้เป็นประโยชน์ต่อพสกนิกรมากในการติดต่อกันระหว่างเมือง สิ้นสุดรัชกาลในรัชสมัยที่ยาวนานของสมเด็จพระเจ้าการอลได้นำไปสู่การพัฒนารัฐโรมาเนียอย่างรวดเร็ว แต่การสิ้นสุดรัชกาลของพระองค์และเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในเวลาต่อมา พระองค์ซึ่งเป็นชาวเยอรมันทางสายพระโลหิตมีพระราชประสงค์ให้โรมาเนียเข้าร่วมสงครามโดยอยู่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง ในขณะที่ชาวโรมาเนียต้องการเข้าร่วมฝ่ายไตรภาคี พระเจ้าการอลทรงลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาลับปีค.ศ. 1883 โดยเชื่อมสัมพันธไมตรีกับฝ่ายไตรพันธมิตร (ค.ศ. 1882) แม้ว่าสนธิสัญญาได้ถูกบังคับใช้ในการป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิรัสเซียของหนึ่งในประเทศสมาชิกผู้ลงนาม พระองค์ทรงถูกโน้มน้าวใจที่ซึ่งเป็นเกียรติอย่างมากที่โรมาเนียจะสนับสนุนจักรวรรดิเยอรมัน ได้มีการประชุมฉุกเฉินของสมาชิกในรัฐบาลซึ่งพระองค์ทรงเสนอรัฐบาลเกี่ยวกับสนธิสัญญาลับและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน พระองค์ต้องยอมรับกับข้อขัดแย้งของรัฐบาลที่มีน้ำหนักมากกว่า ส่งผลให้พระองค์เสียพระทัยอย่างมากและเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914 (27 กันยายน ค.ศ. 1914 ตามปฏิทินฉบับเก่า) พระราชนัดดาได้สืบราชสมบัติต่อโดยมีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าแฟร์ดีนันท์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย พระองค์ทรงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ พระมเหสีซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์อังกฤษ พระราชาธิบดีเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีทรงรับฟังความเห็นของสาธารณะมากกว่าและทรงนำประเทศเข้าฝ่ายไตรภาคี ซึ่งไม่ตรงตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระราชาธิบดีการอล พระชนม์ชีพและพระราชวงศ์![]() ![]() เมื่อเจ้าชายการอลได้ดำรงเป็นเจ้าผู้ครองแห่งโรมาเนีย โดยพระองค์มิได้ทรงอภิเษกสมรสและตามรัฐธรรมนูญโรมาเนียได้ยินยอมที่จะให้พระองค์มีสิทธิไม่อภิเษกสมรสได้ ถ้าอภิเษกสมรสจะต้องไม่อภิเษกกับสตรีที่มีกำเนิดเป็นชาวโรมาเนีย ในปีค.ศ. 1869 องค์อธิปัตย์ได้เสด็จเยือนประเทศต่างๆในยุโรปแต่โดยหลักคือที่เยอรมนีเพื่อค้นหาสตรีเพื่ออภิเษกสมรส ในระหว่างการเดินทางทรงพบกับ เจ้าหญิงเอลีซาเบ็ทแห่งวีท พระธิดาพระองค์โตในแฮร์มัน เจ้าชายแห่งวีทกับเจ้าหญิงมารีแห่งนัสเซา โดยทรงพบกันที่เมืองน็อยวีทในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1869 การอภิเษกสมรสครั้งนี้เป็นหนึ่งในการอภิเษกสมรสที่ไม่เหมาะสมที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยที่เจ้าชายการอลมีพระบุคลิกที่สุขุม เยือกเย็นและรอบคอบ ในขณะที่เจ้าหญิงเอลีซาเบ็ทมีพระบุคลิกช่างฝันและทรงแสดงออกอย่างเปิดเผย ทั้งสองพระองค์มีพระราชธิดาร่วมกันหนึ่งพระองค์คือ เจ้าหญิงมารีอาแห่งโรมาเนีย ซึ่งประสูติในปีค.ศ. 1870 และเจ้าหญิงทรงเป็นผู้มีสิทธิในการสืบราชบัลลังก์โรมาเนียต่อจากพระราชบิดา แต่เจ้าหญิงมาเรียสิ้นพระชนม์ในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1874 ขณะมีพระชนมายุเพียง 3 ชันษา ส่งผลให้ทั้งสองพระองค์ทรงห่างเหินกันมากขึ้น เจ้าหญิงเอลีซาเบ็ทเสียพระทัยอย่างหนักในการสูญเสียพระราชธิดาทรงผลให้เกิดแผลในจิตใจตลอดพระชนม์ชีพ หลังจากที่โรมาเนียได้ประกาศสถาปนาเป็นราชอาณาจักรในปีค.ศ. 1881 ส่งผลให้การมีรัชทายาทสืบราชบัลลังก์สำคัญอย่างมาก นับตั้งแต่พระเชษฐาของพระองค์คือเจ้าชายเลออพ็อลท์แห่งโฮเอินท์ซ็อลเลิร์นเป็นรัชทายาทลำดับถัดไปแห่งโรมาเนีย ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1880 เจ้าชายเลออพ็อลท์ทรงสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์แก่พระโอรสคือ เจ้าชายวิลเฮ็ล์มแห่งโฮเอินท์ซ็อลเลิร์นซึ่งเจ้าชายวิลเฮ็ล์มทรงสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์แก่พระอนุชาคือ เจ้าชายแฟร์ดีนันท์ ทรงได้รับพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งโรมาเนียและเป็นรัชทายาทสืบพระราชบัลลังก์ต่อไป พระราชินีเอลีซาเบ็ททรงพยายามใช้อิทธิพลของพระองค์ในการให้เจ้าชายอภิเษกสมรสกับอีลีนา วาคาเรสคูนางสนองพระโอษฐ์ของพระนางเอง ตามรัฐธรรมนูญโรมาเนียได้ห้ามองค์รัชทายาทอภิเษกสมรสกับชาวโรมาเนีย จากเรื่องอื้อฉาวครั้งนี้ส่งผลให้พระนางเอลีซาเบ็ทต้องเสด็จลี้ภัยไปยังน็อยวีท จนกระทั่งเจ้าชายแฟร์ดีนันท์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ พระนางจึงได้รับอนุญาตให้เสด็จกลับโรมาเนีย ในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ พระราชาธิบดีการอลและพระราชินีเอลิซาเบธได้พยายามปรับความสัมพันธ์กันโดยทรงเข้าพระทัยซึ่งกันและกันและเป็นมิตรที่ดีต่อกัน พระธิดา
พระราชตระกูลอ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia