โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม
วลัชณัฏฐ์ ก้องภพตารีย์ หรือ พงษ์ศักดิ์ โสภักดี (ชื่อเดิม: สมศักดิ์ อยู่พ่วง) เป็นที่รู้จักกันในชื่อ โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม (19 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 – 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2565) เกิดที่อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี นักแสดงตลกชายและอดีตนักแสดงลิเกชาวไทยชื่อดัง ที่มีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำได้ คือ หัวโล้น พูดน้ำเสียงรุนแรง มักจะได้แสดงบทเป็นตัวร้ายในวงการตลก ขึ้นชื่อเป็นคนที่รักภรรยามากอีกด้วย เขายังเป็นน้องชายต่างมารดาของ สมศักดิ์ ภักดี[2] อดีตลิเกเงินล้านอีกด้วย ประวัติโป๊งเหน่งมีชื่อเล่นว่า ศักดิ์ มีมารดาชื่อว่า นางณัฐกนก วันเพ็ญ (ชื่อเล่น:อ้อย) และบิดามีอาชีพลิเก โป๊งเหน่งกล่าวว่ามารดาของเขานั้นได้เจอกันกับบิดาขณะที่กำลังทำการแสดงและมารดาของเขาเป็นแม่ยกชอบกับบิดาจนเกิดการได้เสียกัน แต่ภายหลังบิดาได้ย้ายวิก ในเวลาต่อมามารดาได้คลอดศักดิ์ แต่เพราะเธอไม่ทราบว่าบิดาชื่ออะไรเป็นใครหรือมาจากไหนทำให้ไม่ทราบนามสกุลของบิดา ซึ่งในสมัยก่อนเวลาจะมีการแจ้งเกิดต้องไปที่บ้านของกำนันทำให้มารดาต้องให้คนข้างบ้านที่มีนามสกุลว่า อยู่พ่วง เป็นคนช่วยเซ็นรับรองบุตรให้แทน[3] ศักดิ์ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์พนมทวนจนจบประถมศึกษาปีที่ 7 (บางแห่งกล่าวว่าจบมัธยมปีที่สาม)และเขาได้รอมารดาให้มารับและไปกรุงเทพกับแม่แต่เพราะไม่ชอบอยู่กับบิดาบุญธรรมเลยไปที่ห้วยขวางที่นั้นเข้าได้เจอกับบิดาผู้บังเกิดเกล้าอีกครั้งทำให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับลิเกกับบิดามาตลอด[4] ศักดิ์อยู่กับวงการลิเกอยู่นานพอสมควรก็ได้เข้าสู่วงการตลกจากการที่บิดาเป็นเพื่อนกับ อุดม ชวนชื่น และ จิ้ม ชวนชื่น ก็ได้ชักชวนเขามาอยู่ในคณะชวนชื่น โดยใช้ชื่อว่า ศักดิ์ ชวนชื่น และได้อยู่กับชวนชื่นนานถึง 11 ปี ก่อนที่ภายหลังสมาชิกในคณะบางคนได้ย้ายไปคณะของ แป๋ว บ้านโป่ง ทั้งศักดิ์ , หลุยส์ , ช้าง , เอนก , อุทิศ และเปี๊ยก อยุธยา และอยู่กับคณะแป๋ว บ้านโป่ง อยู่นานประมาณ 2 ปีและย้ายไปคณะ เพชร ดาราฉาย และคณะเต่า เชิญยิ้ม และ หนู คลองเตย แต่ไม่นานก็ออกจากคณะเพราะหนูไปโกนศีรษะของเจ้าตัวโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว[5] ภายหลังศักดิ์ได้เจอกับ นุ้ย เชิญยิ้ม เลยชักชวนให้มาอยู่กับคณะ ถั่วแระ/ชูศรี เชิญยิ้ม ช่วงแรกๆ เขาอยู่ในฐานะคนขับรถของคณะและใช้ชื่อว่า ศุภโชค เชิญยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ข้าวฟ่าง เชิญยิ้ม และมาเป็น โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม เพราะมาจากรูปร่างศีรษะของเขาดูเหมือนขนมโป๊งเหน่ง ช่วงเวลาที่โป๊งเหน่งอยู่ที่ คณะถั่วแระ เชิญยิ้ม ทำให้เจ้ามีโอกาสเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเล่น ก่อนบ่าย คลายเครียด ภายหลังนุ้ยสืบทอดหัวหน้าคณะต่อจากถั่วแระ เจ้าตัวมีโอกาสได้เล่นภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น เดอะโกร๋น ก๊วน กวน ผี, ผีหัวขาด, บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม, ยายสั่งมาใหญ่, ผู้ชายลั้ลล้า และ ฮาศาสตร์ ชีวิตส่วนตัวโป๊งเหน่งมีภรรยานามว่า หมู (ชื่อจริง:สมญา) โดยอยู่กันมาตั้งแต่โป๊งเหน่งอายุ 15 ปีในขณะนั้นภรรยาอายุ 17 ปีโดยเธอเป็นแม่ค้าขายขนมโดยมีบุตรด้วยกันหกคนชาย 4 คนหญิง 2 คน เขาเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่ารักภรรยามาก โป๊งเหน่งมีบ้านที่ราชบุรีและเลี้ยงฟาร์มวัวเป็นของตัวเองโดยจะรีดนมวัวส่งให้หนองโพ[6] โป๊งเหน่งเป็นลูกศิษย์ฤาษีเณร ธาตุพุทธคุณที่อยุธยาจนกลายเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาว่าถูกหวยหลายงวดแถมยังมีบ้านอยู่อาศรมอีกด้วย ผลงาน
ละครโทรทัศน์
หมายเหตุ : สายลับสะบัดช่อ เป็นผลงานละครเรื่องสุดท้าย ที่ถ่ายทำเสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ.2557 ก่อนที่จะเสียชีวิตในปี พ.ศ.2565 และไม่ได้ออกอากาศบนหน้าจอโทรทัศน์ ทาง ช่อง 3 ละครชุด
ซิทคอม
ผลงานภาพยนตร์
มิวสิกวีดีโอ
กรณีข่าวฉาวเรื่องมารดาในช่วงปลายปี 2555 มีข่าวว่ามีผู้หญิงชรารายหนึ่งอ้างว่าเป็นแม่ของ โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม ซึ่งตกเป็นข่าวตลอดที่ผ่านมา หลังระบุว่าถูกลูกชายและลูกสะใภ้ไม่ให้อยู่ที่บ้าน จนต้องมาอาศัยอยู่ที่ วัดพระยาสุเรนทร์ ย่านคลองสามวา โดยตนยอมรับว่าเธอเป็นมารดาของเจ้าตัวแต่ไม่ยอมไปพบจนโดนกล่าวหาว่าเป็นลูกอกตัญญูบ้าง เห็นภรรยาดีกว่ามารดาบ้างแต่ตนพยายามเข้าไปหาตลอด แต่นางณัฐกนกไม่เคยรับว่าเป็นลูก แต่ภายหลังก็กลับมาอีกครั้งก่อนที่จะเป็นข่าวอีกครั้งในปี 2557 ในเรื่องเดิมก่อนที่จะเคลียร์กันได้[7][8] สุขภาพและการเสียชีวิตในช่วงปลายปี พ.ศ. 2561 โป๊งเหน่งได้ป่วยปอดทะลุจากการสูบบุหรี่จัดและด้วยความที่เป็นคนชอบรับประทานน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังมากซึ่งเจ้าตัวพูดด้วยว่าดื่มแทนน้ำ รวมไปถึงเจ้าตัวได้ป่วยหลายโรคและในปี 2564 เจ้าตัวได้ป่วยหนักอีกครั้งจากโรคไตและปอดทะลุเหมือนเดิมจนต้องเข้าโรงพยาบาลก่อนที่ล่าสุดเจ้าตัวได้กลับบ้าน[9] วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 โป๊งเหน่ง ได้เสียชีวิต ณ เวลา 22:16 น. เนื่องจากภาวะไตวายและมีอาการแทรกซ้อนจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคปอดอักเสบ โรคตับอักเสบ และ โรคเบาหวาน สิริอายุ 56 ปี[10][11] มีพิธีฌาปนกิจศพเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ณ วัดช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia