โซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี
เจ้าหญิงโซรยาแห่งอิหร่าน พระนามเดิม โซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี (เปอร์เซีย: ثریا اسفندیاری بختیاری, UniPers: Sorayâ Asfandiyâri-Bakhtiyâri; 22 มิถุนายน ค.ศ. 1932 – 26 มิถุนายน ค.ศ. 2001) พระมเหสีองค์ที่สอง และอดีตพระมเหสีในพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ชาห์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ปาห์ลาวี และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในอิหร่าน แม้อดีตพระสวามีของพระองค์จะมีพระอิสริยยศเป็นชาฮันชาห์ (ราชันย์ของราชา) เทียบเท่าสมเด็จพระจักรพรรดิ ใน ปี ค.ศ. 1967 ส่วนพระมเหสีจะมีพระอิสริยยศเป็น ชาห์บานู หรือเทียบเท่าสมเด็จพระจักรพรรดินี แต่การเปลี่ยนแปลงพระอิสริยยศนั้น เป็นไปภายหลังจากการหย่าของพระราชินีโซรยา กับพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวีแล้ว พระยศเดิมของโซรยาจึงเป็นเพียงสมเด็จพระราชินี และภายหลังการหย่าพระราชินีโซรยาจึงมีพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงโซรยา โดยดำรงพระอิสริยยศนี้ตราบจนพระองค์สิ้นพระชนม์ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีผู้ออกพระนามของพระองค์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีซึ่งไม่ถูกต้องเท่าใดนักตามหลักความเป็นจริง พระประวัติเจ้าหญิงโซรยามีพระนามเดิมว่า โซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ภายในครอบครัวว่า รยา ('Raya)[2] เป็นธิดาของนายคาลิล อัสฟานดิยารี-บักติยารี เป็นบุตรของนายอัสฟานเดียร์ คาน และนางบีบี มัรยัม[2] โดยนายคาลิลได้ดำรงตำแหน่งเป็นอดีตเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำประเทศเยอรมันตะวันตก ในปี ค.ศ. 1950 ส่วนพระมารดาคือนางอีวา คาร์ล ชาวเยอรมันที่เกิดในรัสเซีย ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายฟรานซ์ คาร์ล ซึ่งมีพี่น้องอีกสองคนคือ บาร์บารา และฟรานซ์[2] โดยทั้งพระบิดาและพระมารดาได้พบรักกันขณะที่ศึกษาในสาขารัฐศาสตร์ และได้สมรสกันเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1926[2] ต่อมาอีก 2 ปีภายหลังจากการแต่งงาน ทั้งคู่ก็มุ่งหน้าเข้าสู่อิสฟาฮาน ประเทศอิหร่าน เจ้าหญิงโซรยาประสูติเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1932 ณ โรงพยาบาลมิชชันนารีอังกฤษ (English Missionary Hospital)[2] โดยพระองค์เป็นบุตรคนแรกของครอบครัว เมื่อแรกเกิดนั้นถือเป็นเด็กที่น่าตาน่ารัก และสุขภาพแข็งแรง และนอกจากนี้ยังมีพระอนุชาคือ บิจาน (Bijan)[3] โดยพระอนุชาเกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1937 ที่เมืองอิสฟานฮานเช่นเดียวกัน[2] ต่อมาเมื่อโซรยามีอายุได้ 8 เดือน ครอบครัวก็ย้ายเธอไปอาศัยในประเทศเยอรมันโดยอาศัยอยู่ร่วมกับตาและยาย ต่อมาเมื่อเธอมีอายุได้ 5 ขวบ ครอบครัวก็ย้ายกลับมายังเมืองอิสฟานฮานอีกครั้งพร้อมกับการกำเนิดน้องชายของเธอ ส่วนคำว่าบักติยารีที่ต่อท้ายนามสกุล เป็นชื่อของชนเผ่าทางภาคใต้ของอิหร่านซึ่งพระบิดาของพระองค์ได้สืบเชื้อสายมาจากเผ่านี้ โดยครอบครัวของพระองค์มีบทบาทเกี่ยวกับการปกครอง และการทูตของประเทศอิหร่านมาอย่างยาวนาน อย่างเช่น พระปิตุลา (ลุง) ของพระองค์ คือ ซาดาร์ อาซาด (เปอร์เซีย: سردار اسعد بختیاری Sardar As'ad Bakhtiari) ซึ่งเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวในรัฐธรรมนูญอิหร่านแห่งศตวรรษที่ 20[4] อภิเษกสมรสโซรยาได้รู้จักกับพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี จากการแนะนำของนางฟารุฆ ซาฟาร์ บักติยารี[2] ขณะที่โซรยายังศึกษาอยู่ในโรงเรียนฟินนิชิง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์[4] โดยทั้งคู่ได้ทำการหมั้นกัน โดยของหมั้นในงานนี้คือแหวนเพชร 22.37 กะรัต[5] พระเจ้าชาห์และโซรยาได้อภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 ณ พระราชวังโกเลสตาน (Golestan Palace) กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน[1] ซึ่งเดิมทั้งสองมีแผนที่จะจัดงานอภิเษกสมรสในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1950 แต่พิธีได้ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากโซรยาได้ล้มป่วยลง[6] แม้พระเจ้าชาห์จะประกาศขอความช่วยเหลือให้เงินเพื่อการกุศลสำหรับประเทศอิหร่านซึ่งยากจน แต่ของขวัญในงานอภิเษกสมรสนี้มีจำนวนมากมายหลายชิ้น และมีราคาสูง เช่น เพชรสีดำ ของนายโจเซฟ สตาลิน ถ้วยแก้ว Bowl of Legends ที่ออกแบบโดยซิดนีย์ วอ (Sidney Waugh) ของนายแฮร์รี เอส. ทรูแมน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น และนางเบสส์ ทรูแมน สตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น และของขวัญที่สำคัญอีกชั้นคือ Silver Georgian candlesticks ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ[7] และของขวัญจากบุคคลอื่นๆอีกกว่า 2,000 ชิ้น รวมไปถึงของขวัญของสุลต่านอกา ข่านที่ 3 ในงานอภิเษกสมรสถูกประดับตกแต่งไปด้วยกล้วยไม้ ดอกทิวลิป และดอกคาร์เนชั่น กว่า 1.5 ตัน โดยนำเข้ามาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ รวมไปถึงมหรสพจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี[8] ฉลองพระองค์ของเจ้าสาวประกอบไปด้วยชุดครุยประดับไข่มุก และตกแต่งกับขนนกมาราบู (marabou stork)[9] ที่ออกแบบโดยคริสเตียน ดิออร์ นอกจากนี้โซรยายังสวมฉลองพระองค์สีขาวยาวอีกชุดหนึ่งในงานนี้ด้วย ทรงหย่าแม้ว่าการอภิเษกสมรสของทั้งสองพระองค์จะจัดขึ้นในช่วงหิมะตกหนัก แต่เข้าใจกันว่าเป็นเรื่องที่ดี และในที่สุดชีวิตสมรสของทั้งสองพระองค์ก็สิ้นสุดลงในราวก่อนปี ค.ศ. 1958 เนื่องจากสมเด็จพระราชินีโซรยาทรงมีบุตรยาก และได้พยายามหาทางรักษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประเทศฝรั่งเศส โดยพระเจ้าชาห์เองก็ทรงพูดเป็นนัยเกี่ยวกับพระราชินีโซรยาเกี่ยวกับการมีบุตรยาก[10] โซรยาได้ออกจากประเทศอิหร่านในราวเดือนกุมภาพันธ์โดยไปอาศัยอยู่ร่วมกับบิดามารดาที่เมืองโคโลญจ์ ประเทศเยอรมัน เมื่อพระเจ้าชาห์ติดต่อโซรยาผ่านทางลุงของพระองค์คือซาดาร์ อาซาด ราวเดือนมีนาคม ค.ศ. 1958 เพื่อที่จะพยายามโน้มน้าวให้โซรยากลับมาพำนักในประเทศอิหร่านต่อไป[11] ในวันที่ 10 มีนาคม มีการประชุมเพื่อหารือสนทนาเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสที่ไร้รัชทายาท 4 วันต่อมาได้มีการประกาศทรงหย่าอย่างเป็นทางการ หลังจากเหตุการณ์นี้อดีตราชินีโซรยาได้กล่าวว่า "บูชายัญความสุขของฉัน"[12] โดยโซรยาให้ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าพระสวามีของเธอไม่มีทางเลือกที่ต้องหย่ากับเธอ[13] ในวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1958 ซึ่งเป็นวันปีใหม่ของอิหร่าน พระเจ้าชาห์ได้ประกาศเกี่ยวกับการหย่าร้างสู่สาธารณชนชาวอิหร่านออกรายการต่างๆทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ และพระเจ้าชาห์ได้กล่าวว่าจะยังไม่รีบเร่งที่จะอภิเษกสมรสอีกครั้ง ฟร็องซัว มัลเลต์-ชอร์ริส ได้นำเรื่องราวของโซรยามาแต่งเป็นเพลงป็อป Je veux pleurer comme Soraya โดยทั้งคู่ได้หย่ากันอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1958 มีการรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์เกี่ยวกับการเจรจาต่อรองโดยโน้มน้าวให้ราชินีโซรยาอนุญาตในการหย่ากับพระเจ้าชาห์ และการที่จะมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น แต่อย่างไรก็ตามเธอก็เรียกการแต่งงานของพระองค์ว่า "การแต่งงานที่ศักดิ์สิทธิ์" และเธอก็ไม่ยอมรับเกี่ยวกับการสมรสใหม่กับหญิงอื่นของพระเจ้าชาห์ โซรยาได้กล่าวว่า "ฉันไม่สามารถที่จะรับความคิดของพระสวามีที่จะมีความสัมพันธ์รักกับหญิงคนอื่น"[10] มีการมอบสิ่งจำเป็นให้แก่ชาวอิหร่านที่บ้านของพ่อแม่โซรยาในเยอรมัน โซรยาได้กล่าวว่า "ตั้งแต่ชาห์ เรซา ปาห์ลาวี มีอำนาจสูงสุด เขาคิดว่าสิ่งที่จำเป็นที่ต้องมีผู้สืบเชื้อสายกษัตริย์ไปจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง ส่วนฉันเองก็จะมีแต่ความโศกเศร้าเสียใจอยู่ตรงส่วนลึกของอนาคตสภาพ และความสุขของประชาชนทุกคนตามความปรารถนาของพระเจ้าชาห์ที่ต้องบูชายัญความสุขของตัวฉันเอง"[12] หลังจากการหย่า พระเจ้าชาห์ได้กล่าวเกี่ยวกับความความโศกเศร้าเสียใจของอดีตพระราชินีโซรยาโดยกล่าวเป็นโดยนัยว่า "ไม่มีใครที่จะสามารถถือไฟได้นานกว่าฉัน" และพระเจ้าชาห์ได้ให้ความสนพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับกับเจ้าหญิงมารีอา กาเบรียลลาแห่งซาวอย และพระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 2 แห่งอิตาลี ซึ่งเรื่องราวของชาห์ที่พยายามจะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอิตาลีได้ถูกนำมาเรียกกันว่า "กษัตริย์มุสลิมกับเจ้าหญิงคาทอลิก" ส่วนหนังสือพิมพ์ L'Osservatore Romano ของสำนักวาติกันก็ได้เขียนล้อเลียนอีกเช่นกันว่า "องุ่นพิษ"[14] การผันตัวมาเป็นนักแสดงหลังจากการหย่าสมเด็จพระราชินีโซรยา ได้ลดตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงโซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี และได้เสด็จไปประทับ ณ ประเทศฝรั่งเศสเป็นการถาวร เจ้าหญิงโซรยาได้เริ่มการอาชีพเป็นนักแสดง[3] โดยพระองค์ใช้พระนามจริงของพระองค์เป็นชื่อแรกในการแสดง โดยชื่อนี้ถูกประกาศในภาพยนตร์เรื่องแรกของพระองค์คือเรื่อง Catherine the Great ซึ่งเป็นเรื่องราวอัตชีวประวัติของสมเด็จพระจักรพรรดินีเยกาเจรีนาที่ 2 แห่งรัสเซีย ซึ่งกำกับโดยดิโน เดอ ลอเรนติส แต่ภายหลังโครงการนี้ก็ล้มลง[15] ต่อมาในปี ค.ศ. 1950 เจ้าหญิงได้เริ่มการเป็นนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง I tre volti (The Three Faces)[16] และกลับมาร่วมงานกับผู้สร้างหนังชาวอิตาลีฟรันโก อินโดวีนา (Franco Indovina)[17] โดยในปี ค.ศ. 1965 พระองค์ได้เล่นในบทของโซรยา ในภาพยนตร์เรื่อง She[18] หลังจากการเสียชีวิตของนายฟรานโก อินโดวีนา เจ้าหญิงโซรยาได้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่เป็นรายได้ที่เป็นส่วนที่เหลือไว้ใช้ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในยุโรป โดยเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจแก่เจ้าหญิงมาก โดยเจ้าหญิงได้นิพนธ์อัตชีวประวัติ le palais des solitudes (the palace of loneliness "ปราสาทเดียวดาย") ในปี ค.ศ. 1991 สิ้นพระชนม์เจ้าหญิงโซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2001 ภายในอพาร์ตเม้นต์ของพระองค์ โดยไม่เปิดเผยข้อมูลการสิ้นพระชนม์ พระอนุชาของเจ้าหญิงโซรยาคือบิจานได้เศร้าโศกเสียใจ ซึ่งต่อมาบิจานได้เสียชีวิตลงหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าหญิงเพียงสัปดาห์เดียวในปารีส โดยก่อนบิจานเสียชีวิต เขาได้รำพึงรำพันว่า
โดยพระศพของเจ้าหญิงโซรยาได้ทำการปลงพระศพ ณ มหาวิหารอเมริกัน ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001 ซึ่งมีผู้ร่วมงาน ได้แก่ เจ้าหญิงอัชราฟ ปาห์ลาวี, เจ้าชายโฆลาม เรซา ปาห์ลาวี, เคานต์และเคาน์เตสแห่งปารีส, เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเนเปิลส์, เจ้าชายมิเชลแห่งออร์เลอองส์ และเจ้าหญิงอีราแห่งเฟือร์เทินแบร์ก โดยท้ายที่สุดพระศพของเจ้าหญิงโซรยาได้ทำการฝัง ณ สุสานเวสต์ฟรีดฮอฟ (Westfriedhof) ในเขตมิวนิก ประเทศเยอรมัน โดยฝังร่วมกันกับพระบิดา พระมารดา และพระอนุชา[21] ในปี ค.ศ. 2002 สุสานของพระองค์ได้ถูกคนมือดีเขียนว่า "ทนทุกข์กับปรสิต" (miserable parasite) และตามด้วยคำว่า "ไม่ทำงานตั้งแต่อายุ 25-60 ปี" (Didn't work from the ages of 25 to 60) ภายหลังถ้อยคำเหล่านี้ได้ถูกลบออก แต่ก็เป็นข่าวพาดหัวใหญ่ทั่วยุโรป เมื่อเจ้าหญิงโซรยาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว มีผู้หญิงจำนวนมากอ้างการเป็นบุตรสาวตามกฎหมายของเจ้าหญิง โดยตามรายงานอ้างว่าเกิดในปี ค.ศ. 1962 หนังสือพิมพ์ภาษาเปอร์เซียรายสัปดาห์ที่ชื่อนิมรูซ (Nimrooz) ก็มิได้ทำการยืนยันแต่อย่างใด[22] โดยในหนังสือพิมพ์ได้ลงหัวข้อข่าวในปี ค.ศ. 2001 กล่าวว่าเจ้าหญิงโซรยาและพระอนุชาได้ถูกลอบปลงพระชนม์[23] หลังจากการสิ้นพระชนม์ได้มีการประมูลสิ่งของ ของอดีตพระราชินีโซรยา ซึ่งมูลค่ารวม 8.3 ล้านดอลลาร์ และชุดแต่งงานของพระองค์ที่ถูกออกแบบโดยคริสเตียน ดิออร์ มีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ พระอิสริยยศ
พระนิพนธ์เจ้าหญิงโซรยาทรงพระนิพนธ์หนังสืออกมา 2 เล่ม โดยเล่มแรกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1964 และตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาโดยดับเบิลเดย์ (Doubleday) ในชื่อ Princess Soraya: Autobiography of Her Imperial Highness และในช่วงทศวรรษก่อนการสิ้นพระชนม์ พระองค์และหลุยส์ วาเลนแตง (Louis Valentin) ได้ร่วมกันเขียนหนังสือเป็นภาษาฝรั่งเศส โดยมีชื่อว่า Le Palais des Solitudes และต่อมาได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในชื่อ Palace of Solitude (London: Quartet Books Ltd, 1992); ISBN 0-7043-7020-4. ผลงานการแสดง
สู่บทละครพระชีวประวัติของพระองค์ได้ถูกถ่ายทอดมาใน โดยนายฟรองซัวส์ แมลแลงด์ (François Meilland) ได้ทำออกมาในชื่อเรื่อง Empress Soraya[24] ต่อมาช่องโทรทัศน์ของประเทศเยอรมันและอิตาลี ได้ผลิตออกมาในรูปแบบละครโดยกล่าวชีวิตชีวิตของเจ้าหญิงโซรยา ในชื่อเรื่อง Soraya (หรือ Sad Princess) โดยออกอากาศใน ค.ศ. 2003 นำแสดงโดยอันนา วอลล์ (Anna Valle) นางงามอิตาลีปี ค.ศ. 1995 รับบทเป็นโซรยา ประชันบทบาทกับดาราฝรั่งเศส มาทิลดา เม (Mathilda May) ซึ่งรับบทเป็นเจ้าหญิงชามส์ ปาห์ลาวี พระเชษฐภคินีในพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี[25] พงศาวลี
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ โซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี
|
Portal di Ensiklopedia Dunia