เหี้ย
เหี้ย หรือ ตัวเงินตัวทอง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Varanus salvator) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ประเทศบังกลาเทศ ศรีลังกา และอินเดีย จนถึงอินโดจีน และเกาะต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย (แบ่งออกเป็นชนิดย่อยต่าง ๆ ได้ 5 ชนิด ดูในตาราง[2]) โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ อนุกรมวิธานเหี้ย มีชื่อวิทยาศาสตร์เดิมคือ Stellio salvator โดยโยเซฟูส นิโคเลาส์ เลาเรนที (Josephus Nicolaus Laurenti) ใช้ในปี ค.ศ. 1768 จากตัวอย่างที่ได้จากศรีลังกา[4] วงศ์เหี้ย (Varanidae) มีเกือบ 80 ชนิด ทั้งหมดอยู่ในสกุล Varanus[5] ทั้งนี้การจัดอนุกรมวิธานยังมีความไม่แน่นอน แม้การวิเคราะห์ทางสัณฐานวิทยามีส่วนอย่างมากในการจำแนกชนิด แต่จำเป็นต้องมีการศึกษาระดับโมเลกุลเพื่อทดสอบและยืนยันความถูกต้องของการจัดอนุกรมวิธานการแบ่งกลุ่มภายในสกุลนี้ ซึ่งมีความสำคัญมากในการประเมินการเปลี่ยนแปลงและการประเมินเพื่อการอนุรักษ์ ชนิดย่อย
เหี้ยดำจากประเทศไทย (สถานที่พบเป็นครั้งแรกคือ อำเภอละงู จังหวัดสตูล และบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย) เดิมจัดเป็นชนิดย่อย V. s. komaini แต่ในปี พ.ศ. 2551 ถูกยุบรวมเป็นชื่อพ้องและเป็นประชากรเหี้ยที่มีภาวะการมีเม็ดสีเมลานินสีดำมากเกินไป (melanism) ของชนิดย่อย V. s. macromaculatus[7] ลักษณะเป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ ความยาว 2.5–3 เมตร เป็นสัตว์ในตระกูลนี้ที่มีความใหญ่เป็นอันดับสองรองจากมังกรโกโมโด (V. komodoensis) ที่พบบนเกาะโกโมโด ในอินโดนีเซีย[8] โครงสร้างลำตัวประกอบไปด้วยกระดูกเล็กภายใต้ผิวหนังที่เต็มไปด้วยเกล็ดที่เป็นปุ่มนูนขึ้นมา เกล็ดมีการเชื่อมต่อกันตลอดทั้งตัว ไม่มีต่อมเหงื่อแต่มีต่อมน้ำมันใช้สำหรับการป้องกันการสูญเสียน้ำ ช่วยให้อยู่บนบกได้ยาวนานมากขึ้น มีลิ้นแยกเป็นสองแฉกคล้ายงู ใช้สำหรับรับกลิ่นซึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงอาหารเป็นระยะทางไกลหลายเมตร โดยสัมผัสกับโมเลกุลของกลิ่น ปลายลิ้นจะสัมผัสกับประสาทที่ปลายปากเพื่อส่งต่อข้อมูลไปยังสมอง หางยาวมีขนาดพอ ๆ กับความยาวลำตัว เป็นอวัยวะสำคัญสำหรับการทรงตัวและคลื่อนที่ มีฟันที่มีลักษณะที่คล้ายใบเลื่อยเหมาะสำหรับการบดกินอาหารที่มีความอ่อนนุ่มโดยเฉพาะ มีลายดอกสีเหลืองพาดขวางทางยาว ชอบอาศัยอยู่บริเวณใกล้แหล่งน้ำ ว่ายน้ำเก่งและ ดำน้ำนาน อุปนิสัยเป็นสัตว์ที่หากินอย่างสงบตามลำพัง จะมารวมตัวกันก็ต่อเมื่อพบกับอาหาร และมีนิสัยตื่นคน เมื่อพบเจอมักจะวิ่งหนี ในช่วงที่ยังเป็นวัยอ่อน จะมีจุดสีเหลืองตลอดทั้งลำตัวและจะจางหายเมื่อโตขึ้น มีมุมมองการมองเห็นแคบกว่ามนุษย์ มีเล็บที่แหลมคมสำหรับการปีนป่าย โดยปีนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว[9] การหากินชอบหากินของเน่าเปื่อย เศษซากอาหาร บางครั้งก็จะกินสัตว์เป็น ๆ เช่น ไก่, เป็ด, ปู, หอย, งู, หนู, นกอื่นๆขนาดเล็กถึงกลาง และไข่ของสัตว์ต่าง ๆ รวมทั้งปลา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหี้ยมิใช่สัตว์นักล่า แต่เป็นสัตว์กินซากโดยธรรมชาติ บางครั้งอาจกินเหี้ยขนาดเล็กกว่าเป็นอาหารได้ ในตัวที่ยังเล็กอาจขุดดินหาแมลงหรือไส้เดือนดินกินเป็นอาหารได้ มีระบบการย่อยอาหารที่ดีเยี่ยม ในกระเพาะมีน้ำย่อยที่มีความเป็นกรดรุนแรงและแบคทีเรียสำหรับย่อยสลายซากเน่าโดยเฉพาะ [9] พิษสัตว์สกุลกิ้งก่ามอนิเตอร์ (Varanus) รวมทั้งเหี้ยนั้นมีพิษ (venom) หรือไม่ยังเป็นเรื่องยังไม่ยุติ แต่เดิมเชื่อกันว่า พิษมีอยู่เฉพาะในสัตว์จำพวกงูและกิล่ามอนสเตอร์ (กิ้งก่าพิษ) ผลลบที่เกิดเมื่อถูกกัดเชื่อกันว่า มาจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปากสัตว์เท่านั้น แต่งานศึกษาหลังปี ค.ศ. 2009 กลับแสดงว่า ต่อมพิษน่าจะมีอยู่ในกิ้งก่ามอนิเตอร์หลายสกุล โดยอาจใช้เพื่อป้องกันสัตว์ล่าเหยื่ออื่น ๆ เพื่อรักษาอนามัยปาก เพื่อฆ่าเชื้อในปาก หรือเพื่อช่วยจับและฆ่าเหยื่อ[10][11] ![]() ถิ่นที่อยู่เป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำเก่ง สามารถดำน้ำได้ และชอบที่จะลงน้ำ สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี รวมถึงพบได้ทั่วไปในชุมชนเมืองใหญ่ เช่น หลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร เช่น สวนลุมพินี, สวนสัตว์ดุสิต, ทำเนียบรัฐบาลและรอบ ๆ, รอบคลองผดุงกรุงเกษม เป็นต้น มักจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ ๆ มีแหล่งน้ำ อาศัยอยู่ได้ทั้งแหล่งน้ำดีและน้ำเน่าเสียที่มีสภาพเป็นมลพิษ[9] การผสมพันธุ์ออกลูกเป็นไข่คราวละ 15–20 ฟอง และใช้เวลาฟัก 45–50 วัน ทั้งนี้ตัวเหี้ยจะวางไข่ในปลายฤดูร้อนต่อเนื่องฤดูฝน และอาจยาวไปถึงฤดูหนาว จะจับคู่กันโดยไม่เลือกว่าคู่จะต้องเป็นตัวเดิม บางครั้งอาจมีการต่อสู้รุนแรงระหว่างตัวผู้เพื่อแย่งชิงตัวเมีย สามารถผสมพันธุ์ได้ทั้งบนบกและในน้ำ อาจผสมพันธุ์ได้มากกว่าปีละหนึ่งครั้ง ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของอาหารและความสมบูรณ์เพศของตัวเมีย การผสมพันธุ์ครั้งหนึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ![]() ![]() ไข่จะมีลักษณะรียาว บางครั้งจะสีขาวขุ่น วางไข่ประมาณ 6–50 ฟอง ในแต่ละปีจะสามารถวางไข่ได้ 2–3 ครั้ง หรืออาจมากกว่านั้นในพื้นที่ซึ่งสภาพในฤดูแล้งและฤดูฝนไม่แตกต่างกัน ไข่จะถูกกลบเป็นเนินดินหรือรังปลวก เวลาในการฟักขึ้นกับชนิดและสภาพแวดล้อม สัตว์เศรษฐกิจปัจจุบัน เหี้ยถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจอย่างหนึ่ง ที่มีการส่งเสริมให้มีการเพาะเลี้ยงกัน เพื่อนำเนื้อไปใช้ในการบริโภค โดยเฉพาะเนื้อบริเวณส่วนโคนหางที่เรียกว่า "บ้องตัน" และหนังไปทำเครื่องหนัง เช่น กระเป๋า, เข็มขัด เช่นเดียวกับจระเข้[12] และในทางวิชาการยังมีการเก็บและตรวจสอบดีเอ็นเอของเหี้ย โดยภาควิชาพันธุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อศึกษาถึงความหลากหลายทางพันธุกรรม เพื่อจะพัฒนาให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจต่อไปในอนาคตอีกด้วย[13] วัฒนธรรมคำว่า "เหี้ย" นั้นมักใช้เป็นคำด่าและเป็นคำหยาบคายที่หรือภาษาที่ไม่สุภาพสำหรับสามัญชนทั่วไปในภาษาไทย บางครั้งจึงเลี่ยงไปใช้คำว่า ตัวเงินตัวทอง หรือ ตัวกินไก่ หรือ น้องจระเข้ แทน[14] หรือบางครั้งก็ใช้คำว่า ตะกวด (ซึ่งในเชิงอนุกรมวิธานแล้วตะกวดเป็นสัตว์คนละชนิดกับเหี้ย) และบางครั้งยังใช้คำว่า วรนุช (มาจากคำว่า Varanus ซึ่งเป็นสกุลของเหี้ย) สันนิษฐานว่าคำว่า "เหี้ย" มาจากภาษาบาลี "หีน" ที่แปลว่าต่ำช้า กร่อนเหลือ "หี" แล้วแผลงเป็นเหี้ย [15] นอกจากนี้แล้ว ไข่เหี้ยยังสามารถนำมารับประทานได้ โดยนำมาต้มให้สุก แล้วใช้เข็มจิ้มให้เป็นรู แล้วแช่น้ำเกลือให้ความเค็มซึมเข้าไป แล้วจึงนำไปย่างไฟ มีรสชาติเค็ม ๆ มัน ๆ ใช้รับประทานคู่กับมังคุดจะได้รสชาติดี จึงเป็นที่มาของคำพังเพยที่ว่า "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดการเสวยไข่เหี้ยมาก ครั้งหนึ่งมีโปรดจะเสวยไข่เหี้ยกับมังคุด แต่หาไม่ได้ เนื่องจากขณะนั้นไม่ใช่ฤดูกาลเหี้ยวางไข่ เจ้าจอมแว่นจึงได้ประดิษฐ์ขนมชนิดหนึ่งขึ้นมา โดยให้มีความใกล้เคียงกับไข่เหี้ยมากที่สุด คือ "ขนมไข่เหี้ย" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ขนมไข่หงส์" ในช่วงรัชกาลที่ 4[16] เชื่อว่าคำว่าเหี้ยเริ่มกลายมาเป็นคำหยาบและคำด่าทอในสมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องจากก่อนหน้านั้น เหี้ย ก็ยังถูกบันทึกไว้ในวรรณกรรมของเจ้าฟ้ากุ้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาในฐานะเป็นแค่ชื่อเรียกสัตว์เลื้อยคลานชนิดนี้เท่านั้น โดยเป็นการเรียกเพี้ยนมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วคำว่า "ตั่วเฮีย" (จีน: 大哥) ซึ่งหมายถึง พี่ชายคนโต หรือพี่ใหญ่ เนื่องจากในสมัยนั้นมีการปราบปรามฝิ่น และชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศสยามขณะนั้นถือได้ว่าเป็นผู้เสียผลประโยชน์จากการปราบปรามฝิ่น จึงออกล้างแค้นโดยฆ่าฟันชาวสยามล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นชาวสยามในเวลานั้นจึงได้ใช้คำว่า ตั่วเฮีย เป็นคำด่าทอและเพี้ยนมาเป็น "ตัวเหี้ย" หรือ "เหี้ย" ในที่สุด[17] ชาวบูกิต ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองบนเกาะซูลาเวซี ในอินโดนีเซีย ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม เชื่อว่าเหี้ยเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่กลับมาเกิดใหม่ในร่างของสัตว์เลื้อยคลาน มีตำนานเล่าว่ากษัตริย์โกอา ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวบูกิตมีโอรสฝาแฝดสององค์ที่เพิ่งกำเนิดมา โอรสผู้ที่เป็นมนุษย์ได้ตายไป แต่อีกองค์หนึ่งเป็นเหี้ย พระองค์จึงรักเหี้ยมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานเหี้ยก็ไม่ยอมกินอะไรจนเป็นที่กลัวว่าอาจจะตาย พระองค์จึงนำไปปล่อยที่ปากแม่น้ำ จึงทำให้ชาวบูกิตจะรักและเลี้ยงดูเหี้ยเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหลานของตนเอง มีการเลี้ยงดูและอาบน้ำให้เป็นอย่างดี และเมื่อถึงเวลาจะมีพิธีแห่นำเหี้ยไปปล่อยที่แม่น้ำ ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งเหี้ยจะกลับหามาตนและครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งน้ำที่เหี้ยลงไปว่ายถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถนำไปดื่มกินหรืออาบได้ ซึ่งความเชื่อนี้แม้ถูกมองว่าแปลกสำหรับสายตาคนนอก เพราะไม่มีอยู่ในหลักศาสนาอิสลาม แต่นี่เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามาเผยแผ่ และชาวบูกิตก็นำเอาความเชื่อนี้มาผนวกเข้ากับศาสนา โดยเชื่อว่าผู้ที่เข้าร่วมพิธีปล่อยเหี้ยลงแม่น้ำ จะได้บุญเสมอเหมือนกับการได้ไปจาริกแสวงบุญที่นครเมกกะ[18] แนวคิดเปลี่ยนชื่อครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพูดกันเป็นวงในว่า จะเปลี่ยนชื่อจากตัวเหี้ยเป็น "วรนัส" หรือ "วรนุส" หรือ "วรนุช"[19] (สกุล Varanus อ่านเป็นภาษาละตินว่า วารานุส ซึ่งคล้ายกับคำว่า วรนุช) จนเกิดเป็นกระแสข่าวอยู่ช่วงหนึ่งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งหลังจากที่มีกระแสข่าวนี้ออกมา คำว่าวรนุชนั้นก็ถูกนำไปใช้ในการสื่อความหมายไปในทางเสื่อมเสียบนอินเทอร์เน็ต และส่งผลกระทบต่อบุคคลที่ชื่อวรนุชไปโดยปริยาย[20] อ้างอิง
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ เหี้ย แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia