เศรษฐยาธิปไตย [ 1]
หรือ ธนาธิปไตย
(กรีก : πλοῦτος , ploutos , 'ความมั่งคั่ง' + κράτος , kratos , 'ปกครอง' - อังกฤษ : plutocracy, plutarchy )
เป็นระบอบการปกครอง ที่คนมีเงินเป็นผู้ถือครองอำนาจทางการเมือง[ 2]
โดยเป็นรูปแบบหนึ่งของคณาธิปไตย และสามารถนิยามด้วยว่า เป็นสังคม ที่ปกครอง หรือควบคุมโดยประชาชนที่มั่งคั่ง ที่สุดส่วนน้อย
เป็นการเมืองเพื่ออำนาจ เพื่อผลประโยชน์ และสิทธิพิเศษ ของกลุ่มคนที่มีอำนาจทางการเมือง โดยต้องใช้เงินเป็นองค์ประกอบหลัก[ 3]
มีการใช้คำทำนองนี้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2195[ 4]
โดยไม่เหมือนกับระบบประชาธิปไตย สังคมนิยม หรืออนาธิปไตย เศรษฐยาธิปไตยไม่มีมูลฐานจากปรัชญาการเมือง
และชนมั่งคั่งในสังคมอาจสนับสนุนให้ใช้เศรษฐยาธิปไตยโดยไม่ได้ทำตรง ๆ หรือทำอย่างปกปิด คำนี้จึงมักใช้ในทางลบ[ 5]
ผู้มีอำนาจในระบอบนี้อาจก่อปัญหาหลายอย่างรวมทั้ง
การใช้
คำนี้มักใช้ในทางลบเพื่ออธิบายหรือเตือนให้สำนึกถึงสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์[ 7] [ 8]
ตลอดประวัติศาสตร์ นักคิดทางการเมืองชาวตะวันตก ทั้งหลายรวมทั้งวินสตัน เชอร์ชิล , นักสังคมวิทยา และประวัติศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส Alexis de Tocqueville (คริสต์ทศวรรษที่ 19), ผู้นิยมระบอบราชาธิปไตย ชาวสเปน Juan Donoso Cortés, และในปัจจุบัน นักปฏิบัติการผู้ชื่นชอบสังคมนิยมแบบอิสรนิยม โนม ชอมสกี
ได้ตำหนิผู้ครองอำนาจเช่นนี้เพราะ[ 6] [ 9]
ไม่ใส่ใจหน้าที่ รับผิดชอบทางสังคมของตน
ใช้อำนาจ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและดังนั้น เพิ่มความยากจน
สร้างความแบ่งแยกระหว่างชนชั้น
ทำสังคมให้เสื่อมทรามด้วยความโลภและสุขารมณ์นิยม (หรือกามสุขัลลิกานุโยค)
ธนาธิปไตยยุคใหม่ถูกสื่อความหมายในทางลบ โดยเป็นการประสานกันของอำนาจทางการเงินและทางการเมือง การใช้เงินเพื่อได้ผลทางอำนาจบริหารรัฐกิจ หรือหมายถึงการให้สินบน แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐ การมีส่วนร่วมกับพรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ตนเอง บุคคลร่ำรวย หรือธนาธิปัตย์ (plutocrat) การผลักดันให้รัฐออกนโยบาย เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจ ตัวเอง อาจส่งผลต่อนโยบายระดับต่างประเทศ เช่น นโยบายสนับสนุนสงคราม เพื่อขายอาวุธ เครื่องบิน รบ เรือรบ [ 10]
ในโฆษณาชวนเชื่อ
ในศัพท์เฉพาะ และโฆษณาชวนเชื่อ ทางการเมืองของฟาสซิสต์ อิตาลี ของนาซีเยอรมนี และขององค์การคอมมิวนิสต์สากล รัฐประชาธิปไตยแบบตะวันตกจะถูกเรียกว่า เศรษฐยาธิปไตย โดยนัยว่า คนที่ร่ำรวยสุดจะควบคุมประเทศต่าง ๆ และจับประเทศไว้เพื่อเรียกค่าไถ่[ 11] [ 12]
ในลัทธิฟาสซิสต์ คำว่า เศรษฐยาธิปไตย เป็นหลัก จะแทนคำว่า ประชาธิปไตย และ ทุนนิยม เมื่อใช้กับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 [ 12] [ 13]
สำหรับพวกนาซี คำนี้มักใช้เป็นรหัสเรียกพวกชาวยิว [ 12]
การเมืองปัจจุบัน
ตามประวัติแล้ว คนหรือองค์กรที่ร่ำรวยได้มีอิทธิพลทางการเมือง มานานแล้ว
ในยุคปัจจุบัน รัฐประชาธิปไตยหลายรัฐอนุญาตให้นักการเมืองระดมเงินทุน ผู้บ่อยครั้งอาศัยรายได้ เช่นนี้เพื่อโฆษณา การสมัครรับเลือกตั้งของตนต่อประชาชน ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง
ไม่ว่าจะผ่านบุคคล บริษัท หรือกลุ่มสนับสนุน การบริจาคเงินเพื่อการนี้บ่อยครั้งเชื่อว่า สร้างปัญหาการเล่นพรรคเล่นพวกหรือระบบอุปถัมภ์ ที่ผู้ให้เงินทุนรายใหญ่จะได้สิ่งตอบแทน
แม้ว่าการให้ทุนเลือกตั้งอาจจะไม่มีผลโดยตรงต่อการออกฎหมาย ของผู้แทน แต่ความคาดหวังตามธรรมดาของผู้บริจาคก็คือ จะได้สิ่งที่ต้องการผ่านคนที่ตนให้เงิน
ไม่เช่นนั้นแล้ว การให้เงินทุนแก่ผู้อื่นหรือองค์กรการเมืองอื่นอาจได้ประโยชน์กว่า
แม้ว่า การให้สิ่งตอบแทนตรง ๆ โดยทั่วไปจะผิดกฎหมายรัฐประชาธิปไตยโดยมาก แต่ก็เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ยาก ถ้าไม่มีเอกสารเป็นลูกโซ่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
หลักสำคัญอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย
ก็คือนักการเมือง สามารถสนับสนุนนโยบาย อันให้ประโยชน์กับประชาชนในเขตของตน ซึ่งก็ทำให้พิสูจน์ได้ยากขึ้นว่าการกระทำเยี่ยงนั้นเป็นอาชญากรรม
แม้แต่การตั้งคนที่ชัดเจนว่าให้เงินทุนขึ้นมาประจำตำแหน่งก็อาจยังไม่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะถ้าผู้ที่ได้ปรากฏว่ามีคุณสมบัติที่ดีสำหรับตำแหน่งนั้น
บางรัฐแม้แต่มีกฎหมายอนุญาตให้ใช้การอุปถัมภ์เยี่ยงนี้
ตัวอย่าง
ตัวอย่างของเศรษฐยาธิปไตยในอดีตรวมทั้งจักรวรรดิโรมัน , นครรัฐ บางรัฐในกรีซโบราณ , อารยธรรม คาร์เธจ , นครรัฐ/สาธารณรัฐวาณิชต่าง ๆ ในอิตาลี รวมทั้ง สาธารณรัฐเวนิส สาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (โดยตระกูลเมดีชี ) กับสาธารณรัฐเจนัว , และจักรวรรดิญี่ปุ่น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (โดยกลุ่มไซบัตสึ)
ตามนักปฏิบัติการทางการเมืองโนม ชอมสกี และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จิมมี คาร์เตอร์ สหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันมีการปกครอง คล้ายกับเศรษฐยาธิปไตย แม้จะมีรูปแบบของประชาธิปไตย [ 14] [ 15]
ตัวอย่างปัจจุบันที่ชัดเจนตามผู้วิพากษ์วิจารณ์บางท่านก็คือนครลอนดอน [ 16]
คือ นครลอนดอน (ซึ่งไม่ใช่กรุงลอนดอน ทั้งหมด แต่เป็นเขตนครโบราณ ใหญ่ประมาณ 2.5 ตาราง กม. ซึ่งปัจจุบันเป็นเขตการเงิน) มีระบบการเลือกตั้ง พิเศษเพื่อบริหารจัดการท้องที่
ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงกว่า 2 ใน 3 ไม่ใช่เป็นผู้อยู่อาศัยในพระนคร แต่เป็นผู้แทนธุรกิจและองค์กรอื่น ๆ ที่อยู่ในนคร โดยมีคะแนนเสียงตามจำนวนลูกจ้างที่มี
เหตุผลหลักก็คือ ธุรกิจเป็นผู้ใช้บริการของนครโดยมาก
คือ มีบุคคลที่เข้ามาทำงานในเมืองประมาณ 450,000 คน มากกว่าผู้อาศัยอยู่ในเมืองเพียงแค่ 7,000 คน[ 17]
ประเทศไทย
บล็อกประชาไท อ้างว่า ประเทศไทย ก็มีรูปแบบบางอย่างของธนาธิปไตย รวมทั้งการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ของนครเชียงใหม่ ล่าสุดก่อนบล็อก ที่อาศัยเงิน และคนชนะได้มาจากตระกูลเดียวที่มั่งคั่งของจังหวัดเชียงใหม่ [ 2]
จีนก่อนคอมมิวนิสต์
ในประเทศจีนก่อนการปฏิวัติโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ. 2492 กล่าวกันว่าอำนาจการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ อยู่ใต้อำนาจของชนสี่ตระกูล ได้แก่ ตระกูลเจียง (Jiang) ตระกูลซ่ง (Song) ตระกูลคุง (Kung) และตระกูลเชน (Chen) ทั้งนี้สามตระกูลแรกจะเกี่ยวดองกันโดยการแต่งงาน กัน และมีบทบาทอย่างสูงต่อการเมืองจีนในยุคนั้น
สหรัฐอเมริกา
นักประวัติศาสตร์ นักการเมือง และนักเศรษฐศาสตร์ ปัจจุบันบางคนอ้างว่า สหรัฐอเมริกา เท่ากับเป็นเศรษฐยาธิปไตยอย่างน้อยก็บางส่วนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 จนถึง 1900 (Gilded Age) และในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1890 ถึง 1920 (Progressive Era) ภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา จนกระทั่งถึงเริ่มภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ [ 18] [ 19] [ 20] [ 21] [ 22] [ 23]
ประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ กลายมามีชื่อเสียงฐานมือปราบผู้ผูกขาด ทางการค้า (หรือที่เรียกว่าทรัสต์) โดยใช้กฎหมายต่อต้านทรัสต์ แตกบริษัทรถไฟ (Northern Securities Company) และบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด (Standard Oil)[ 24]
ตามนักประวัติศาสตร์คนหนึ่ง "ในเรื่องการเมืองในประเทศ สิ่งที่ธีโอดอร์ โรสเวลต์ เกลียดที่สุดก็คือเศรษฐยาธิปไตย"[ 25]
ในอัตชีวประวัติ เรื่องการจัดการบริษัทผูกขาดในฐานะประธานาธิบดี โรสเวลต์เล่าว่า
…เราได้มาถึงเวลาที่เพื่อประโยชน์ประชาชน สิ่งที่จำเป็นก็คือประชาธิปไตยที่แท้จริง และในบรรดารูปแบบทรราชย์ทั้งหลาย ที่น่าพิสมัยน้อยที่สุด ที่สามานย์มากที่สุด ก็คือทรราชย์ที่อาศัยความมั่งคั่ง ระบอบทรราชย์ของเศรษฐยาธิปไตย
เมื่อกฎหมายต่อต้านทรัสต์เชอร์แมนได้ผ่านเป็นกฎหมายในปี 2433 อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ได้ถึงระดับการผูกขาดหรือใกล้การผูกขาดในเรื่องการผลิตและเงินทุน โดยรวบรวมบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมทั้งคนมั่งคั่งมากผู้เป็นประธานบริษัท ยักษ์ใหญ่ไม่กี่คน ก็เริ่มมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหนืออุตสาหกรรม มติมหาชน และการเมือง หลังสงครามการเมือง
ตามนักปฏิบัติการหัวก้าวหน้าและนักข่าวคนหนึ่งในเวลานั้น
เงินเป็น 'ปูนของตึกใหญ่นี้' โดยความแตกต่างทางคตินิยมระหว่างนักการเมืองก็กำลังเลือนไป และวงการเมืองก็กำลังกลายเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของธุรกิจที่ใหญ่กว่า ที่ผสมผสานกันดีกว่า โดยผ่านพรรคการเมืองที่ขายผลประโยชน์ให้กับบริษัทยักษ์อย่างเป็นรูปธรรม รัฐก็กลายเป็นเพียงแค่แผนกหนึ่งของบริษัท
—
Walter Weyl - นักปฏิบัติการหัวก้าวหน้าและนักข่าว[ 27]
ในหัวข้อเรื่อง การเมืองแห่งเศรษฐยาธิปไตย (The Politics of Plutocracy) นักเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ พอล ครุ๊กแมน กล่าวว่า[ 28]
เศรษฐยาธิปไตยในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นได้ในเวลานั้นอาศัยปัจจัยสามอย่าง คือ
ในเวลานั้น ผู้อาศัยอยู่ในอเมริกา 1/4 ที่ยากจนที่สุด (รวมทั้ง ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา และผู้ย้ายถิ่นที่ยังไม่แปลงสัญชาติ) ไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียง
เศรษฐีให้เงินทุนการหาเสียงแก่นักการเมืองที่ตนชอบ
และการซื้อเสียงเป็นเรื่องที่ "ทำได้ ง่าย และแพร่หลาย" ซึ่งก็เป็นจริงแม้ในการฉ้อฉลการเลือกตั้งอื่น ๆ เช่น การลงคะแนนเกินครั้งเดียว และการข่มขู่ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
แม้สหรัฐจะได้เริ่มเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าตั้งแต่ปี 2456 แล้ว แต่ตามนักสังคมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย คนหนึ่ง เริ่มตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 อภิสิทธิชนได้ใช้อำนาจทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อลดภาษีของตน และปัจจุบันได้ใช้ "อุตสาหกรรมป้องกันรายได้" เพื่อลดภาษีของตนได้อย่างมหาศาล[ 29]
ในปี 2541 นักข่าวคนหนึ่งของหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ เรียกเศรษฐีทรงอำนาจ (plutocrat) ชาวอเมริกันว่า "คนชั้นบริจาค"[ 30] [ 31]
และนิยามคนชั้นนี้เป็นครั้งแรกว่าเป็น[ 32]
คนกลุ่มเล็กมาก เพียง 1 ใน 4 ของคนเปอร์เซ็นต์ เดียว (คือ 0.25%) และเป็นกลุ่มประชากรที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนทั้งชาติที่เหลือ แต่เงินของพวกเขาสามารถซื้อการเข้าถึงผู้แทนได้อย่างสบาย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในยุคปัจจุบัน คำนี้บางครั้งใช้ในทางลบโดยหมายถึงสังคมที่มีรากในทุนนิยม ที่รัฐ ร่วมมือกับธุรกิจ หรือสังคม ที่ให้ความสำคัญกับการสั่งสมความมั่งคั่งมากกว่าประโยชน์อื่น ๆ[ 33] [ 34] [ 35] [ 36] [ 37] [ 38] [ 39] [ 40] [ 41]
ตามนักเขียนที่เป็นกุนซือทางการเมืองของริชาร์ด นิกสัน สหรัฐเป็นเศรษฐยาธิปไตยที่เป็น "การหลอมรวมของเงินและรัฐบาล"[ 42]
ส่วนนักเขียนและรัฐมนตรีของแคนาดา Chrystia Freeland[ 43]
กล่าวว่า แนวโน้มไปสู่เศรษฐยาธิปไตยในปัจจุบันเกิดขึ้นเพราะเศรษฐีรู้สึกว่าผลประโยชน์ของตนก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย[ 44] [ 45]
คือ
คุณไม่ทำอย่างนี้โดยหัวเราะอย่างถูกใจ สูบซิการ์ แล้วสมรู้ร่วมคิด คุณทำโดยกล่อมตัวเองว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ของตัวเองก็เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ ดังนั้น คุณย่อมกล่อมตัวเองว่า ในที่สุดแล้ว การบริการของรัฐบาล อะไร ๆ เช่นงบประมาณเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างสมรรถภาพการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมประการแรก ต้องตัดออกเพื่อการขาดดุลจะได้ลดลง เพื่อภาษีของคุณจะได้ไม่เพิ่มขึ้น และสิ่งที่ดิฉันเป็นห่วงมากก็คือ คนระดับสูงสุดมีเงินและมีอำนาจมากจริง ๆ และช่องว่างระหว่างชนเหล่านั้นกับคนอื่น ๆ ใหญ่โตมาก จนกระทั่งเราจะเริ่มเห็น สมรรถภาพการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมถูกบีบจนหายใจไม่ออก แล้วสังคมก็จะเปลี่ยนไป
เมื่อนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล โจเซฟ สติกลิตส์ เขียนบทความในนิตยสาร ปี 2554 ชื่อว่า "ของประชาชน 1% โดยประชาชน 1% และสำหรับประชาชน 1%" (เลียนสุนทรพจน์ที่เกตตีสเบิร์ก ปี 2406 ของอับราฮัม ลินคอล์น เกี่ยวกับรัฐบาลของประชาชนเป็นต้น) เขาได้ให้ข้อมูลว่า สหรัฐอเมริกากำลังถูกควบคุมโดยคนที่รวยที่สุด 1% เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[ 46] [ 47]
นักวิจัยบางท่านได้กล่าวว่า สหรัฐอาจจะกำลังระเหเร่ร่อนไปสู่รูปแบบหนึ่งของคณาธิปไตย เพราะประชาชนแต่ละคนมีอิทธิพลน้อยกว่าอภิสิทธิชนทางเศรษฐกิจและกลุ่มผลประโยชน์ในเรื่องนโยบายของรัฐ [ 48]
งานศึกษาทางรัฐศาสตร์ ปี 2557 ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น [ 49]
กล่าวว่า "งานวิเคราะห์แสดงว่า ประชาชนอเมริกันส่วนมากความจริงมีอิทธิพลต่อนโยบายที่รัฐออกน้อยมาก"
แม้นักวิชาการทั้งสองท่านจะไม่ได้ระบุสหรัฐว่าเป็นระบอบคณาธิปไตย หรือเศรษฐยาธิปไตย โดยตัวเอง
แต่ก็ยังเรียกสหรัฐว่า คณาธิปไตยแบบศิวิไลซ์ (civil oligarchy) ดังที่นิยามโดยนักรัฐศาสตร์อีกท่านหนึ่งที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น[ 50]
รัสเซีย
รายงานปี 2556 ของธนาคารสวิสที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (Credit Suisse) กล่าวว่า
รัสเซีย มีความไม่เสมอภาคทางทรัพย์สินระดับสูงสุดในโลก นอกเหนือจากประเทศแคริบเบียน เล็ก ๆ ที่มีผู้อยู่อาศัยเป็นอภิมหาเศรษฐี (billionaire) ทั่วโลก จะมีอภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งทุก ๆ 170,000 ล้านเหรียญสหรัฐของทรัพย์สินประชาชน (แต่) รัสเซียมีหนึ่งคนทุก ๆ 11,000 ล้านเหรียญ ทั่วโลก อภิมหาเศรษฐีรวมกันมีทรัพย์สิน 1%-2% ของทรัพย์สินประชาชนทั้งหมด (แต่) ในรัสเซียทุกวันนี้ อภิมหาเศรษฐี 110 คนมีทรัพย์สิน 35% ของประชาชนทั้งหมด
—
รายงานความมั่งคั่งทั่วโลก ของธนาคาร Credit Suisse [ 51]
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถและอ้างอิง
↑ "plutocracy", ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑ ฉบับ ๒๕๔๕ , (รัฐศาสตร์) เศรษฐยาธิปไตย
↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 ชำนาญ จันทร์เรือง (8 October 2009). "ธนาธิปไตย (Plutocracy)" . ประชาไท . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2017. อ้างว่าบทความเผยแพร่เป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับ 7 ตุลาคม 2552
↑ "การเมืองไทยในระบอบธนาธิปไตย" . มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย . 21 May 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 16 August 2009.
↑ "Plutocracy" . Merriam Webster. สืบค้นเมื่อ 13 October 2012 .
↑ Chomsky, Noam (15 August 2013). "[the transcript of a speech] delivered by Noam Chomsky in Bonn, Germany, at DW Global Media Forum" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 11 October 2017. สืบค้นเมื่อ 7 June 2017 . The study of attitudes is reasonably easy [...] it's concluded that for roughly 70% of the population - the lower 70% on the wealth/income scale - they have no influence on policy whatsoever. They're effectively disenfranchised. As you move up the wealth/income ladder, you get a little bit more influence on policy. When you get to the top, which is maybe a tenth of one percent, people essentially get what they want, i.e. they determine the policy. So the proper term for that is not democracy; it's plutocracy. {{cite web }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4
Viereck, Peter (2006). Conservative thinkers: from John Adams to Winston Churchill . New Brunswick, New Jersey: Transaction Publishers. pp. 19 -68. ISBN 1412805260 .
↑
Fiske, Edward B.; Mallison, Jane; Hatcher, David (2009). Fiske 250 words every high school freshman needs to know . Naperville, Ill.: Sourcebooks. p. 250. ISBN 1402218400 .
↑
Coates (2006). Colin, M (บ.ก.). Majesty in Canada: essays on the role of royalty . Toronto: Dundurn. p. 119. ISBN 1550025864 .
↑
Toupin, Alexis de Tocqueville; Boesche, Roger (1985). Boesche, Roger (บ.ก.). Selected letters on politics and society . Berkeley: University of California Press. pp. 197–198. ISBN 0520057511 .
↑ "ธนาธิปไตย/ประชาธิปไตย" .{{cite web }}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์ )[ลิงก์เสีย ]
↑
"The Editors: American Labor and the War (February 1941)" . marxists.org . สืบค้นเมื่อ 28 August 2015 .
↑ 12.0 12.1 12.2
Blamires, Cyprian; Jackson, Paul (2006). World fascism: a historical encyclopedia . Vol. 1. ABC-CLIO. p. 522. ISBN 978-1-57607-940-9 .
↑ Herf, Jeffrey (2006). The Jewish enemy: Nazi propaganda during World War II and the Holocaust . Harvard University Press. p. 311 . ISBN 0-674-02175-4 .
↑
Chomsky, Noam (6 October 2015). "America is a plutocracy masquerading as a democracy" . Salon . สืบค้นเมื่อ 13 February 2015 .
↑
Carter, Jimmy (15 October 2015). "Jimmy Carter on Whether He Could Be President Today: "Absolutely Not" " . supersoul.tv . สืบค้นเมื่อ 13 February 2015 .
↑ Monbiot, George (31 October 2011). "The medieval, unaccountable Corporation of London is ripe for protest" . The Guardian . สืบค้นเมื่อ 1 November 2011 .
↑ Lavanchy, René (12 February 2009). "Labour runs in City of London poll against 'get-rich' bankers" . Tribune. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2015-01-15. สืบค้นเมื่อ 2015-01-17 .
↑
Pettigrew, Richard Franklin (2010). Triumphant Plutocracy: The Story of American Public Life from 1870 to 1920 . Nabu Press. ISBN 1146542747 .
↑
Reed, John Calvin (1903). The New Plutocracy . Kessinger Publishing, LLC (2010 reprint). ISBN 1120909155 .
↑
Brinkmeyer, Robert H. (2009). The fourth ghost: white Southern writers and European fascism, 1930-1950 . Baton Rouge: Louisiana State University Press. p. 331. ISBN 0807133833 .
↑
Allitt, Patrick (2009). The conservatives: ideas and personalities throughout American history . New Haven: Yale University Press. pp. 143 . ISBN 0300118945 .
↑
Ryan, James G (2003). Schlup, Leonard (บ.ก.). Historical dictionary of the Gilded Age . Armonk, N.Y.: M.E. Sharpe. pp. 145 . ISBN 0765603314 .
↑
Viereck, Peter (2006). Conservative thinkers: from John Adams to Winston Churchill . New Brunswick, New Jersey: Transaction Publishers. pp. 103 . ISBN 1412805260 .
↑ Schweikart, Larry (2009). American Entrepreneur: The Fascinating Stories of the People Who Defined Business in the United States . AMACOM Div American Mgmt Assn.
↑ "Theodore Roosevelt, American Politician" . google.co.jp . สืบค้นเมื่อ 28 August 2015 .
↑ "Roosevelt, Theodore. 1913. An Autobiography: XII. The Big Stick and the Square Deal" . bartleby.com . สืบค้นเมื่อ 28 August 2015 .
↑ Bowman, Scott R. (1996). The modern corporation and American political thought: law, power, and ideology . University Park, Pa.: Pennsylvania State University Press. pp. 92 -103. ISBN 0271014733 .
↑ Krugman, Paul (2009). The conscience of a liberal (Pbk ed.). New York: Norton. pp. 21 -26. ISBN 0393333132 .
↑ Kahn, Shamus (18 September 2012). "The Rich Haven't Always Hated Taxes" . Time Magazine. {{cite web }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ 30.0 30.1
Herbert, Bob (19 July 1998). "The Donor Class" . The New York Times . สืบค้นเมื่อ 10 March 2016 .
↑
Confessore, Nicholas; Cohen, Sarah; Yourish, Karen (10 October 2015). "The Families Funding the 2016 Presidential Election" . The New York Times . สืบค้นเมื่อ 10 March 2016 .
↑ McCutcheon, Chuck (26 December 2014). "Why the 'donor class' matters, especially in the GOP presidential scrum" . "The Christian Science Monitor . สืบค้นเมื่อ 10 March 2016 .
↑ Lind, Michael (December 2009). "T O-Word" . The Baffler . สืบค้นเมื่อ 30 April 2014 . [ลิงก์เสีย ]
↑
Barker, Derek (2013). "Oligarchy or Elite Democracy? Aristotle and Modern Representative Government" . New Political Science . 35 (4): 547–566. doi :10.1080/07393148.2013.848701 . สืบค้นเมื่อ 30 April 2014 .
↑ Nichol, Gene (13 March 2012). "Citizens United and the Roberts Court's War on Democracy" . Georgia State University Law Review . 27 (4): 1007–1018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 30 April 2014. สืบค้นเมื่อ 30 April 2014 .
↑
Muller, A; Kinezuka, A; Kerssen, T (Summer 2013). "The Trans-Pacific Partnership: A Threat to Democracy and Food Sovereignty" (PDF ) . Food First Backgrounder . สืบค้นเมื่อ 30 April 2014 . {{cite news }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑
Etzioni, Amitai (January 2014). "Political Corruption in the United States: A Design Draft" . Political Science & Politics . 47 (1): 141–144. doi :10.1017/S1049096513001492 . สืบค้นเมื่อ 30 April 2014 .
↑
Winters, Jeffrey (March 2012). "Oligarchy" . Perspectives on Politics . 10 (1): 137–139. doi :10.1017/S1537592711004294 . สืบค้นเมื่อ 30 April 2014 .
↑
Westbrook, David (2011). "If Not a Commercial Republic - Political Economy in the United States after Citizens United" (PDF) . Lousiville Law Review . 50 (1): 35–86. สืบค้นเมื่อ 30 April 2014 .
↑
Liptak, Adam (2010-01-21). "Justices, 5-4, Reject Corporate Spending Limit" . New York Times . สืบค้นเมื่อ 30 April 2014 .
↑
"Full Show: The Long, Dark Shadows of Plutocracy" . Moyers & Company. 28 November 2014.
↑ "Transcript. Bill Moyers Interviews Kevin Phillips" . NOW with Bill Moyers, PBS. 4 September 2014.
↑ Freeland, Chrystia (2012). Plutocrats: the rise of the new global super-rich and the fall of everyone else . New York: Penguin. ISBN 9781594204098 . OCLC 780480424 .
↑
"A Startling Gap Between Us And Them In 'Plutocrats' " . National Public Radio. 15 October 2012.
↑ See also the Chrystia Freeland interview for the Moyers Book Club
"Plutocracy Rising" . Moyers & Company. 12 October 2012.
↑
Stiglitz, Joseph E (May 2011). " "Of the 1%, by the 1%, for the 1%" " . Vanity Fair. {{cite web }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑
Stiglitz, Joseph (7 April 2011). "Assault on Social Spending, Pro-Rich Tax Cuts Turning U.S. into Nation "Of the 1 Percent, by the 1 Percent, for the 1 Percent" " . Democracy Now! (Interview).
↑ Piketty, Thomas (2014). Capital in the Twenty-First Century . Belknap Press. pp. 514 . ISBN 067443000X . the risk of a drift towards oligarchy is real and gives little reason for optimism about where the United States is headed {{cite book }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ Gilens, Martin; Page, Benjamin (April 2014). "Testing Theories of American Politics: Elites, Interest Groups, and Average Citizens" (PDF ) . Perspectives on Politics . Princeton University. {{cite web }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ Winters, Jeffrey A (2011). Oligarchy . Cambridge University Press. pp. 208–254. {{cite book }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ "Global Wealth Report" . Credit Suisse. October 2013. p. 53. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 14 February 2015. สืบค้นเมื่อ 7 June 2017 .
แหล่งข้อมูลอื่น
แหล่งข้อมูลอื่น