เยือร์เกิน คล็อพ
เยือร์เกิน นอร์แบร์ท คล็อพ (เยอรมัน: Jürgen Norbert Klopp; เกิดเมื่อ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1967) เป็นผู้จัดการทีม และผู้บริหารสโมสรฟุตบอลชาวเยอรมัน และเป็นอดีตนักฟุตบอล ผลงานล่าสุดคือการเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในปัจจุบัน[2][3][4][5] คล็อพดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายฟุตบอลมหภาคให้แก่สโมสรในเครือเรดบูล ตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ. 2025 คล็อพเคยเล่นให้กับไมนทซ์ 05 เป็นระยะเวลา 12 ปี โดยรับบทผู้เล่นกองหน้าก่อนที่จะย้ายมาเล่นกองหลัง หลังจากประกาศเลิกเล่นในปี 2001 ก็ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมโดยได้รับแต่งตั้งใน ค.ศ. 2004 เพื่อนำสโมสรเลื่อนขั้นสู่บุนเดิสลีกาในปี 2004 แต่หลังจากทีมตกชั้นในฤดูกาล 2006–07 คล็อพจึงลาออกใน ค.ศ. 2008 ถือเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมนานที่สุดของสโมสร จากนั้นเขาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ และนำทีมได้แชมป์ลีกในฤดูกาล 2010–11 ก่อนที่จะนำดอร์ทมุนท์ชนะถ้วยรางวัลในประเทศสองรายการในฤดูกาล 2011–12 และนำทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2012–13 ก่อนจะออกจากสโมสรในปี 2015 และถือเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมนานที่สุดของสโมสรอีกเช่นกัน คล็อพได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลใน ค.ศ. 2015 นำทีมสู่นัดชิงชนะเลิศของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2018 และ 2019 โดยในครั้งหลังทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งที่ 6 ของสโมสร และถือเป็นครั้งแรกในฐานะผู้จัดการทีมของเขา และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งในฤดูกาล 2021–22 คล็อพพาทีมได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 ด้วยคะแนนสูงถึง 97 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่มากที่สุดสำหรับทีมรองแชมป์ ในฤดูกาลถัดมา เขาพาทีมชนะเลิศยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 เป็นสมัยแรกของสโมสร และนำทีมไม่แพ้ติดต่อกันถึง 44 นัดในลีกซึ่งยาวนานเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ก่อนจะพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกโดยทำไปถึง 99 คะแนน และทำลายสถิติอีกหลายรายการในประเทศ จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้คล็อพชนะรางวัลผู้ฝึกสอนฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่าสองสมัยติดต่อกันในปี 2019 และ 2020 ต่อมาใน ค.ศ. 2022 คล็อพพาทีมชนะเลิศฟุตบอลถ้วยสองรายการ ได้แก่ อีเอฟแอลคัพ และ เอฟเอคัพ ถือเป็นการคว้าแชมป์ภายในประเทศครบทุกรายการตั้งแต่คุมทีม เขาประกาศอำลาทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2023–24 โดยพาทีมคว้าแชมป์อีเอฟแอลคัพสมัยที่ 10 คล็อพมีชื่อเสียงจากการคุมทีมด้วยสไตล์การเล่นแบบเกเกนเพรสซิง (Gegenpressing) หรือการแย่งลูกบอลกลับมาโดยเร็วที่สุดหลังจากสูญเสียการครองบอล และจะเน้นการเปิดเกมรุกใส่คู่ต่อสู้ คล็อพเคยอธิบายว่าสไตล์ดังกล่าวเป็นเหมือนการเล่นแบบเฮฟวีเมทัลโดยมีความดุดันเร้าใจ เน้นให้ผู้เล่นเติมเกมบุกรวมทั้งการดันไลน์กองหลังขึ้นสูงแม้จะเสี่ยงต่อการเสียประตูเมื่อถูกสวนกลับซึ่งเป็นแผนการเล่นที่อดีตผู้จัดการทีมอย่างอาร์ริโก ซาคคี และ ว็อล์ฟกัง ฟรังค์เคยใช้ คล็อพยังขึ้นชื่อในการมีอารมณ์ร่วมในการแข่งขันสูง โดยมักปรากฏภาพเขาฉลองการทำประตูของทีมอย่างเต็มที่บริเวณข้างสนาม ชีวิตในช่วงแรกเยือร์เกิน นอร์แบร์ท คล็อพ เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1967[6] ในเมืองชตุทการ์ท เมืองหลักและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค มารดาของเขามีชื่อว่าเอลิซาเบธ ส่วนบิดามีชื่อว่านอร์แบร์ทเป็นอดีตผู้รักษาประตูอาชีพ[7][8] คล็อพเติบโตในหมู่บ้านแถบชานเมืองไม่ไกลจากป่าดำ เขามีพี่สาวสองคน[9] คล็อพเริ่มอาชีพนักฟุตด้วยการเป็นผู้เล่นเยาวชนให้แก่สโมสรท้องถิ่นซึ่งก็คือ SV Glatten ตามด้วยการฝึกกับสามสโมสรในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต[10] เขาได้รับการปลูกฝังให้มีใจรักฟุตบอลตามอย่างบิดา ในวัยเด็กคล็อพเคยใฝ่ฝันอยากเป็นแพทย์แต่ได้ล้มเลิกความคิดเนื่องจากไม่เชื่อว่าตนเองมีความสามารถพอ[11] เมื่อครั้งเป็นนักฟุตบอลระดับเยาวชน คล็อพเคยหารายได้พิเศษด้วยการทำงานเสริมหลายแห่ง เช่น ลูกจ้างร้านเช่าวิดีโอ ต่อมาใน ค.ศ. 1988 ในขณะที่เขาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเกอเทอแห่งแฟรงก์เฟิร์ตควบคู่ไปกับการเป็นนักฟุตบอลทีมสำรองให้แก่แฟรงก์เฟิร์ต เขารับหน้าที่พิเศษในการเป็นผู้ฝึกสอนทีมเยาวชนรุ่นเล็กที่สุดของสโมสร[12] ต่อมาในฤดูร้อน ค.ศ. 1990 คล็อพเซ็นสัญญาอาชีพกับสโมสรไมทซ์ 05 เขาใช้เวลาสิบปีในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่นั่น และจากทัศนคติที่ดีกอปรกับการวางตัวและบุคลิกภาพที่นอบน้อบ ทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนฟุตบอล[13] ในช่วงแรก คล็อพเล่นในตำแหน่งกองหน้าแต่เปลี่ยนมาเป็นกองหลังประมาณ ค.ศ. 1995[14] ในปีเดียวกันนั้นเอง คล็อพได้รับประกาศนียบัตรด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาจากมหาวิทยาลัยเกอเทอแห่งแฟรงก์เฟิร์ต (หลักสูตรเทียบเท่าปริญญาโท) โดยทำวิทยานิพนธ์หัวข้อ "การเดิน"[15] คล็อพเกษียณตนเองจากการเป็นนักฟุตบอลใน ค.ศ. 2001 ด้วยการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรจำนวน 56 ประตู ซึ่งจาก 52 ประตูเป็นการทำประตูในลีก คล็อพกล่าวว่าตลอดเวลาที่เป็นนักฟุตบอล ตนรู้สึกอยากเป็นผู้จัดการทีมอาชีพมากกว่า[16] คล็อปป์กล่าวถึงการทดลองเล่นที่ไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ตซึ่งเขาเล่นร่วมกับอันเดรียส โมลเลอร์ โดยเล่าว่าโมลเลอร์มีศักยภาพการเป็นนักฟุตบอลระดับโลกในขณะที่เขาไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ[17] ในฐานะผู้เล่น คล็อพติดตามวิธีการคุมทีมของผู้จัดการทีมในสนามฝึกซ้อมอย่างใกล้ชิด และเดินทางไปโคโลญทุกสัปดาห์เพื่อศึกษาการทำทีมกับเอริช รูท์เมิลเลอร์ อาชีพผู้จัดการทีมไมนทซ์ 05ภายหลังเกษียณตนเองจากการเป็นนักฟุตบอลให้สโมสรไมนทซ์ 05 คล็อพได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 แทนที่เอ็คฮาร์ด เคราท์ซูนที่โดนปลด[18] การคุมทีมนัดแรกของเขาจบลงด้วยชัยชนะต่อเอ็มเอสเฟา ดุ๊ยส์บวร์ก 1–0[19] เขาพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้ง โดยชนะได้ถึงหกจากเจ็ดนัดแรก และท้ายที่สุดจบในอันดับ 14 รอดพ้นการตกชั้นทั้งที่ยังไม่จบฤดูกาล[20] ในการคุมทีมเต็มฤดูกาลครั้งแรกในปี 2001–02 เขาพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องโดยจบอันดับสี่ และได้รับเสียงชื่นชมในด้านการวางแท็คติกและการครองบอลเหนือคู่ต่อสู้ และจบอันดับสี่อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา แต่พลาดการแข่งเพลย์ออกเพื่อเลื่อนชั้นอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากผลประตูได้เสียที่เป็นรองทีมอันดับสาม[21] หลังจากผิดหวังมาสองฤดูกาล คล็อพพาทีมจบอันดับสามในปีต่อมา เลื่อนชั้นได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร[22] แม้จะคุมทีมด้วยงบประมาณทำทีมจำกัด และยังมีสนามขนาดเล็กหากเทียบกับทีมอื่นในลีกสูงสุด ไมนทซ์ยังจบในอันดับ 11 สองปีติดต่อกัน และได้สิทธิ์แข่งรอบคัดเลือกยูฟาคัพ 2005–06 แม้จะตกรอบแรกโดยแพ้ทีมแชมป์ในปีนั้นซึ่งก็คือเซบิยา แต่ทีมก็ต้องตกชั้นในฤดูกาลต่อมา และแม้คล็อพจะอยู่คุมทีมต่อ แต่จากการไม่ประสบความสำเร็จในการเลื่อนชั้น เขาจึงตัดสินใจลาออกเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2007–08[23] ผลงานการคุมทีมโดยรวมคือชนะ 109 นัด, เสมอ 78 นัด และแพ้ 83 นัด โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์![]() 2008–2013: แชมป์บุนเดิสลีกาสองสมัย และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกคล็อพได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมดอร์ทมุนท์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 แม้จะได้รับการทามทามจากไบเอิร์นมิวนิก โดยเซ็นสัญญาสองปี หลังจากสโมสรมีผลงานย่ำแย่จบอันดับ 13 ภายใต้การคุมทีมของโทมัส ดอลล์[24] การคุมทีมนัดแรกของเขาคือการเอาชนะร็อต-ไวส์ เอสเซ่น 3–1 ในเดเอ็ฟเบ-โพคาล[25] คล็อพพาทีมชนะถ้วยรางวัลแรกด้วยการเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกในเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2–1[26] และพาทีมจบอันดับหก[27] ตามด้วยการจบอันดับห้าในฤดูกาล 2009–10 แม้จะมีอายุเฉลี่ยผู้เล่นที่น้อยที่สุดทีมหนึ่งในลีก[28] แม้จะเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 ด้วยความพ่ายแพ้ต่อไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซินด้วยผลประตู 0–2 คล็อพพาทีมชนะได้ถึง 14 จาก 15 นัดต่อมา และขึ้นเป็นทีมนำในช่วงวันปีใหม่ ก่อนจะประสบความสำเร็จคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาเป็นสมัยที่ 7 ของสโมสร แม้จะเหลือการแข่งขันอีกสองนัด โดยคว้าแชมป์อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 จากการเปิดบ้านเอาชนะแอร์สเทอ เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค[29] และทีมดอร์ทมุนท์ชุดนั้นยังทำสถิติเป็นทีมแชมป์ที่มีอายุเฉลี่ยของผู้เล่นน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน และยังป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลถัดมาโดยทำไปถึง 81 คะแนน[30][31] ทำสถิติเก็บคะแนนมากที่สุดในบุนเดิสลิกา และทำคะแนนในครึ่งฤดูกาลหลังได้มากที่สุดจำนวน 47 คะแนน[32] นอกจากนี้ ชัยชนะ 25 นัด จาก 34 นัด ถือเป็นสถิติเท่ากับไบเอิร์นมิวนิก ต่อมา พวกเขาแพ้คู่อริอย่างชัลเคอ 04 ในเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2011 จากการดวลลูกโทษ[33] แต่ยังคว้าแชมป์เดเอ็ฟเบโพคาล โดยเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกในรอบชิงชนะเลิศ 5–2 เป็นครั้งแรกที่คล็อพชนะเลิศสองถ้วยรางวัลในประเทศภายในฤดูกาลเดียวกัน[34] ดอร์ทมุนท์มีผลงานในลีกไม่สู้ดีนักในฤดูกาล 2012–13 แต่คล็อพยังให้สัมภาษณ์ว่าทีมต้องการเน้นไปที่การทำผลงานในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกซึ่งเขายังไม่เคยพาทีมชนะเลิศ แม้ดอร์ทมุนท์จะถูกจับอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมใหญ่อย่างเรอัลมาดริด, แมนเชสเตอร์ซิตี และ อาเอฟเซ อายักซ์ พวกเขาจบด้วยการเป็นอันดับหนึ่งโดยไม่แพ้ทีมใด[35] ดอร์ทมุนท์เข้าไปพบเรอัลมาดริดด้วยการคุมทีมของโชเซ มูรีนโย อีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ ดอร์ทมุนท์เอาชนะในบ้านนัดแรกด้วยผลประตู 4–1 และแม้จะบุกไปแพ้ที่สเปน 0–2 ทีมยังเข้าชิงชนะเลิศได้[36] ต่อมา ในดือนเมษายน ค.ศ. 2013 มารีโอ เกิทเซอ ประกาศว่าจะย้ายไปร่วมทีมคู่แข่งอย่างไบเอิร์นมิวนิกในฤดูกาลหน้า[37] ซึ่งการประกาศดังกล่าวสร้างความผิดหวังให้แก่คล็อพอย่างมาก เขากล่าวว่าสโมสรไม่มีแม้แต่โอกาสในการ "เจรจาเพื่อรั้งตัวนักเตะ"[38] ดอร์ทมุนท์แพ้ไบเอิร์นมิวนอก 1–2 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ จากประตูของอาร์เยิน โรบเบินในนาทีที่ 89[39] และจบอันดับสองในบุนเดิสลีกา[40] รวมทั้งแพ้ต่อไบเอิร์นมิวนิกอีกครั้งในเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ ด้วยผลประตู 1–2 ตามด้วยการตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเดเอ็ฟเบ-โพคาลในฤดูกาลต่อมา[41] 2013–2015: อำลาทีม![]() ก่อนเปิดฤดูกาลบุนเดิสลีกา ฤดูกาล 2013–14 คล็อพขยายสัญญากับสโมสรออกไปอีกสี่ปีสิ้นสุดใน ค.ศ. 2018 ในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2014 คล็อพถูกปรับเป็นเงินจำนวน 10,000 ยูโรจากการโดนไล่ออกในเกมลีกที่พบกับโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค[42] จากการใช้คำพูดไม่สุภาพต่อผู้ตัดสิน[43] ดอร์ทมุนท์จบฤดูกาลด้วยรองแชมป์[44] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 มีการประกาศว่ากองหน้าคนสำคัญอย่างรอแบร์ต แลวันดอฟสกี ปฏิเสธการต่อสัญญากับสโมสร และจะย้ายร่วมทีมไบเอิร์นมิวนิกโดยไม่มีค่าตัวในฤดูกาลหน้า[45] ดอร์ทมุนท์ชนะเลิศเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2013 จากการชนะไบเอิร์นมิวนิก 4–2[46] แต่ตกรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยฝีมือของทีมแชมป์ในปีนั้นซึ่งก็คือเรอัลมาดริด[47] เข้าสู่ฤดูกาล 2014–15 คล็อพพาทีมคว้าถ้วยรางวัลได้อีกครั้งในรายการเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2014 เอาชนะไบเอิร์นมิวนิกไปอีกครั้งด้วยผลประตู 2–0[48] อย่างไรก็ตาม ดอร์ทมุนท์มีผลงานย่ำแย่ในฤดูกาลนี้ โดยตกไปอยู่กลางตารางและท้ายตารางเป็นส่วนมาก ส่งผลให้คล็อพประกาศว่าเขาจะอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาล โดยเป็นที่เข้าใจกันว่าหนึ่งในสาเหตุหลักคือการไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารในการทุ่มเงินซื้อตัวผู้เล่นมาทดแทนผู้เล่นคนสำคัญที่ย้ายออกจากสโมสรตลอดสองฤดูกาลหลังสุด[49] การคุมทีมนัดสุดท้ายของคล็อพคือนัดชิงชนะเลิศเดเอ็ฟเบ-โพคาล ซึ่งดอร์ทมุนท์แพ้ต่อเฟาเอ็ฟเอ็ล ว็อลฟส์บวร์ค 1–3[50] และดอร์ทมุนท์จบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 ในตาราง และตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกโดยแพ้ยูเวนตุส[51] ผลงานโดยรวมตลอดการคุมทีมของคล็อพคือการชนะ 180 นัด, เสมอ 69 นัด และแพ้ 70 นัด[52] ลิเวอร์พูล2015–2019: รองแชมป์สามรายการ และ แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก![]() คล็อพเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2015 โดยเซ็นสัญญาสามปี มาแทนที่เบรนดัน ร็อดเจอส์ คล็อพให้สัมภาษณ์ว่านี่คือก้าวที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพผู้จัดการทีมของเขา หลังจากมีช่วงเวลาที่ดีในบุนเดิสลีกา และให้คำมั่นแก่แฟนบอลว่าจะพาลิเวอร์พูลคว้าถ้วยรางวัลใหญ่ให้ได้ภายในสี่ปี่[53] คล็อพยังตั้งฉายาตนเองอย่างติดตลกว่าจากนี้ตนจะเป็น "The Normal one" เพื่อสอดคล้องกับฉายา "Special One" ของมูรีนโยตั้งแต่ปี 2004[54] การคุมทีมนัดแรกของเขาคือการบุกไปเสมอทอตนัมฮอตสเปอร์ 0–0 วันที่ 17 ตุลาคม[55] สัปดาห์ถัดมา คล็อพคว้าชัยชนะนัดแรกกับทีมในฟุตบอลลีกคัพโดยเอาชนะบอร์นมัท 1–0[56] ตามด้วยการเอาชนะเชลซี 3–1 ในพรีเมียร์ลีกอีกสามวันถัดมา[57] คล็อพพาทีมคว้าชัยชนะนัดแรกในยูโรปาลีก 1–0 เหนือรูบินคาซัน ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ลิเวอร์พูลแพ้แมนเชสเตอร์ซิตีในฟุตบอลลีกคัพนัดชิงชนะเลิศจากการดวลลูกโทษ[58] แต่คล็อพพาทีมเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยผลประตูรวม 3–1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายรายการยูโรปาลีกได้[59] และในรอบต่อมา ในการแข่งขันนัดที่สอง ลิเวอร์พูลเอาชนะดอร์ทมุนท์สโมสรเก่าของคล็อพแม้จะตามหลังไปก่อน 1–3 แต่สามารถแซงกลับมาชนะ 4–3 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวม 5–4[60] และพาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบเก้าปีโดยเอาชนะบิยาร์เรอัล แต่พวกเขาแพ้เซบิยาในนัดชิงชนะเลิศ 1–3[61] และจบอันดับ 8 ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16[62] ถัดมา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2022 คล็อพและทีมงานผู้ฝึกสอนทุกคนขยายสัญญากับสโมสรออกไปจนถึงปี 2022[63] ลิเวอร์พูลทำอันดับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบสองฤดูกาลในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2017 จากการเปิดบ้านเอาชนะมิดเดิลส์เบรอ 3–0 จบอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016–17[64] ตามด้วยอันดับ 4 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา ผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน[65] ในช่วงเวลาดังกล่าว คล็อพเริ่มสร้างทีมตามแบบฉบับตนเองด้วยผู้เล่นดาวรุ่งชื่อดังชาวอังกฤษ ผสานกับผู้เล่นต่างชาติ เช่น แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สองผู้เล่นซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นฟูลแบคตัวหลักในเวลาอันสั้น พร้อมด้วยสองผู้เล่นกองหลังตัวกลางก็คือเฟอร์จิล ฟัน ไดก์ ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลกถึงปัจจุบัน และ เดยัน ลอวเร็น ทำให้ลิเวอร์พูลมีเกมรับที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา[66][67][68] คล็อพพาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี หลังเอาชนะคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ซิตีในรอบก่อนรองชนะเลิศขาดลอยด้วยผลประตูรวม 5–1[69] ตามด้วยการชนะโรมาด้วยผลรวม 7–6 แต่ไปแพ้เรอัลมาดริดในนัดชิงชนะเลิศ 2018 ด้วยผลประตู 1–3[70] นี่ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่หกจากเจ็ดครั้งในการคุมทีมในนัดชิงชนะเลิศการแข่งขันรายการใหญ่ของเขา[71] ส่งผลให้ทีมลงทุนในตลาดซื้อขายอีกครั้งด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นหลายราย ไม่ว่าจะเป็น นาบี เกอีตา, ฟาบิญญู, แจร์ดัน ชาชีรี และ อาลีซง แบเกร์[72][73][74][75] ![]() ในฤดูกาล 2018–19 ลิเวอร์พูลทำผลงานในช่วงต้นฤดูกาลได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ด้วยผลงานของผู้เล่นตัวหลักหน้าใหม่หลายราย พวกเขาเอาชนะในหกนัดแรก[76] ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2018 คล็อพถูกปรับเงินจากการวิ่งลงไปในสนามเพื่อฉลองประตูชัย 1–0 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขันซึ่งทีมเอาชนะคู่ปรับอย่างเอฟเวอร์ตัน[77] จากประตูของดีว็อก โอรีกี และหลังจากชัยชนะ 2–0 เหนือวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมนำในช่วงวันหยุดคริสต์มาส และมีคะแนนเหนือทีมอันดับสอง 4 คะแนน[78] ตามด้วยการเอาชนะนิวคาสเซิล 4–0 เพิ่มระยะห่างเป็น 6 คะแนน ถือเป็นชัยชนะนัดที่ 100 จากจำนวน 181 นัดของคล็อพในการคุมทีมลิเวอร์พูล[79] ทีมยังมีเกมรับที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยเสียไปเพียงเจ็ดประตูใน 19 นัดแรกและไม่เสียประตูถึง 12 นัด[80] ในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะอาร์เซนอลไปด้วยผลประตู 5–1 ทำสถิติไม่แพ้ทีมใดในบ้าน 31 นัดติดต่อกัน และเพิ่มระยะห่างในตารางคะแนนเป็น 9 คะแนน และยังชนะรวด 8 นัดรวมทุกรายการในเดือนธันวาคม[81] ส่งผลให้เขาคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน[82] อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลทำได้เพียงรองแชมป์โดยมีคะแนนน้อยกว่าแมนเชสเตอร์ซิตีเพียงคะแนนเดียว ซึ่งทีมของเขาแพ้ซิตีเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาลรวมทั้งชนะ 9 นัดติดต่อกันในช่วงสุดท้ายของการลุ้นแชมป์ คล็อพพาทีมทำคะแนนไปถึง 97 คะแนน เป็นสถิติสูงสุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ และเป็นคะแนนที่มากที่สุดสำหรับทีมรองแชมป์ และชัยชนะจำนวน 30 นัดในฤดูกาลนี้ถือเป็นสถิติร่วมที่พวกเขาเคยทำได้[83][84] ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2018 ลิเวอร์พูลตกรอบลีกคัพโดยแพ้เชลซี 1–2[85] ตามด้วยการตกรอบที่สามเอฟเอคัพด้วยการแพ้วุลเวอร์แฮมป์ตัน[86] แม้จะล้มเหลวในฟุตบอลถ้วยในประเทศ แต่ในปีนี้พวกเขามีช่วงเวลาที่ดีในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พวกเขาเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกด้วยผลประตูรวม 3–1[87] และเอาชนะปอร์ตูด้วยผลประตูรวม 6–1[88] เข้าไปพบบาร์เซโลนา ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายบุกไปแพ้ก่อนในเกมแรก 0–3 แต่พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการกลับมาชนะ 4–0 แม้จะขาดสองผู้เล่นตัวหลักในแนวรุกทั้งมุฮัมมัด เศาะลาห์ และ โรแบร์ตู ฟีร์มีนู ในนัดนี้ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในการกลับมาชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้[89][90] ในนัดชิงชนะเลิศ ณ เอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน (มาดริด) ลิเวอร์พูลเอาชนะสเปอร์สทีมจากพรีเมียร์ลีก 2–0 แม้จะครองบอลไปเพียง 39% ถือเป็นถ้วยรางวัลแรกของคล็อพกับสโมสร และเป็นถ้วยยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 6 ของทีม[91] 2019–2020: แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก![]() เข้าสู่ฤดูกาล 2019–20 ลิเวอร์พูลประเดิมด้วยการแพ้จุดโทษแมนเชสเตอร์ซิตีในเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2019[92] พวกเขาคว้าถ้วยใบแรกในฤดูกาลจากการเอาชนะจุดโทษเชลซีในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 2–2 เป็นถ้วยรางวัลใบที่สองของคล็อพกับสโมสร และเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ของสโมสร เป็นรองเพียงเอซีมิลาน และบาร์เซโลนา[93] ในส่วนของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 คล็อพพาทีมชนะรวดในหกนัดแรกได้เป็นครั้งที่สองตั้งแต่คุมสโมสรมา ขึ้นเป็นทีมนำในตารางโดยมีคะแนนมากกว่าอันดับสอง 5 คะแนน คล็อพยังได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคม[94] จากการบุกไปชนะเชลซี 2–1 สโมสรสร้างสถิติใหม่ในการชนะเกมเยือนในพรีเมียร์ลีก 7 นัดติดต่อกัน และเป็นทีมแรกในยุคพรีเมียร์ลีกที่ชนะการแข่งขัน 6 นัดแรกของฤดูกาลสองปีติดต่อกัน[95] ในวันที่ 23 กันยายน คล็อพได้รับรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมของฟีฟ่าประจำปี 2019 มีคะแนนโหวตเหนือคู่แข่งอย่างแป็ป กวาร์ดิออลา[96] ตามด้วยการชนะรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกเป็นเดือนที่สองติตด่อกัน[97] ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 หลังจากเอาชนะไบรตัน 2–1 ลิเวอร์พูลทาบสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกัน 31 นัดที่ตนเองเคยทำไว้ตั้งแต่ปี 1988[98] และทำลายสถิติได้ในสัปดาห์ต่อมาด้วยการเอาชนะเอฟเวอร์ตัน 5–2[99] และยังผ่านเข้ารอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฐานะแชมป์กลุ่มด้วยการเอาชนะซัลทซ์บวร์ค[100] คล็อพขยายสัญญากับทีมออกไปจนถึง ค.ศ. 2024[101] ในเดือนธันวาคม คล็อพชนะรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนเป็นครั้งที่สามตั้งแต่เปิดฤดูกาล หลังพาทีมเอาชนะรวดในเดือนนี้[102] ตามด้วยการพาทีมชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกสมัยแรก จากการชนะฟลาเม็งกูจากบราซิล 1–0 ในช่วงต่อเวลา[103] ลิเวอร์พูลทำสถิติเป็นสโมสรแรกในสหราชอาณาจักรที่ชนะเลิศการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกภายในปีเดียวกัน[104][105] ลิเวอร์พูลยังทำสถิติไม่แพ้ในบ้านจำนวน 50 นัดติดต่อกัน และขึ้นเป็นทีมนำด้วยคะแนนห่างจากอันดับสองถึง 13 คะแนน[106] คล็อพคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนเป็นครั้งที่ 4[107] จากการบุกไปชนะสเปอร์สในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2020 ลิเวอร์พูลขยายสถิติไม่แพ้ในลีกเพิ่มเป็น 38 เกม ทำคะแนนได้ถึง 61 คะแนนจากการแข่งขันเพียง 21 นัด เป็นสถิติมากที่สุดตลอดการในการแข่งขันห้าลีกใหญ่ของทวีปยุโรป[108] ต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ลิเวอร์พูลชนะเซาท์แธมป์ตัน 4–0 เพิ่มระยะห่างเป็น 22 คะแนน ตามด้วยรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่ 5 ของคล็อพในฤดูกาลนี้ ทำสถิติคว้ารางวัลมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล แม้จะเหลือการแข่งขันถึง 4 เดือน[109] ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ลิเวอร์พูลเอาชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ด 3–2 ทำสถิติชนะรวดในลีก 18 นัด และชนะรวดในบ้าน 21 นัด[110] และชัยชนะต่อบอร์นมัธในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2020 เป็นสถิติใหม่ในลีกสูงสุดของอังกฤษในการชนะในบ้าน 22 นัดติดต่อกัน[111] ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นสมัยแรกในวันที่ 25 มิถุนายน ทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันถึง 7 นัด และเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 19 และทำลายสถิติหลายรายการในฤดูกาลนี้ ได้แก่ การชนะในบ้านมากที่สุด (23), การทำคะแนนเหนือทีมอันดับสองประจำสัปดาห์มากที่สุด (22)[112], คว้าแชมป์เร็วที่สุด (เหลือการแข่งขัน 7 นัด) และเป็นทีมเดียวที่คว้าแชมป์ในเดือนมิถุนายน[113][114] พวกเขายังไม่แพ้ทีมใดติดต่อกัน 44 นัดนับตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาล ก่อนที่สถิติจะจบลงด้วยการแพ้ต่อวอตฟอร์ด[115] คล็อพยังได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก[116] 2020–2022: คว้าแชมป์ครบทุกรายการในอังกฤษในฤดูกาล 2020–21 สโมสรพบความยากลำบากอย่างเห็นได้ชัดและมีผลงานตกลงไป รวมถึงแพ้ต่อแอสตันวิลลาขาดลอยถึง 2–7 เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเสียถึง 7 ประตูนับตั้งแต่ ค.ศ. 1963[117] ลิเวอร์พูลยังต้องสูญเสียกองหลังคนสำคัญอย่างฟัน ไดก์ ที่ได้รับบาดเจ็บพักทั้งฤดูกาลในนัดที่เสมอเอฟเวอร์ตัน และพวกเขาเอาชนะอตาลันตาในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 5–0[118] ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2020 คล็อพทำลายสถิติในการพาลิเวอร์พูลไม่แพ้ในบ้านติดต่อกัน 64 นัด ทำลายสถิติเดิมของบ็อบ เพสลีย์ ระหว่างปี 1978 ถึง 1981[119] ถัดมา ในเดือนธันวาคม คล็อพชนะรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำปีของฟีฟ่าสองสมัยติดต่อกัน จากผลงานพาทีมชนะเลิศฟุตบอลลีกสูงสุดในรอบ 30 ปี ตามด้วยรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมจากบีบีซี[120] ทว่าลิเวอร์พูลยังมีผลงานไม่ดีในช่วงต้นปี 2021 โดยปราศจากผู้เล่นกองหลังตัวหลักถึงสามคนจนถึงช่วงท้ายฤดูกาล พวกเขาตกลงไปอยู่อันดับ 8 ในเดือนมีนาคม และแม้จะกลับมาทำผลงานดีขึ้นโดยไม่แพ้ทีมใดในช่วง 10 นัดสุดท้าย แต่ทำได้เพียงจบอันดับสาม[121] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 ลิเวอร์พูลบุกไปชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ถึงโอลด์แทรฟฟอร์ดเป็นครั้งแรกในยุคของคล็อพด้วยผลประตู 4–2 ทั้งนี้ การปราศจากกองหลังคนสำคัญ ทำให้คล็อพต้องดันผู้เล่นสำรองอย่างนาธาเนียล ฟิลลิปส์ และ รีส วิลเลียมส์ ลงเล่นในช่วงท้ายฤดูกาลซึ่งทั้งคู่ไม่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีกมาก่อน จากผลงานชนะ 5 นัดในเดือนพฤษภาคม ทำให้คล็อพได้รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนเป็นครั้งที่ 9 ลิเวอร์พูลไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วยทุกรายการ โดยแพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเอฟเอคัพ 2–3 และแพ้อาร์เซนอลในการดวลจุดโทษอีเอฟแอลคัพ รวมทั้งแพ้เรอัลมาดริดในรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยผลรวมสองนัด 1–3 ![]() ลิเวอร์พูลฤดูกาล 2021–22 พวกเขาเริ่มต้นด้วยการชนะ 5 นัดและเสมอ 3 นัดใน 8 นัดแรก ต่อมาในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2021 ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะยูไนเต็ด 5–0[122] เป็นชัยชนะนัดที่ 200 จากจำนวน 331 นัดในการคุมทีมลิเวอร์พูล ทำให้คล็อพเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสรที่ทำสถิตินี้ได้เร็วที่สุด[123] และในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2021 หลังจากชนะเอฟเวอร์ตัน 4–1 ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ทำอย่างน้อยสองประตูในการแข่งขัน 18 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ[124] ถัดมา ลิเวอร์พูลบุกไปชนะเอซี มิลาน 2–1 ทำสถิติเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ชนะครบทั้ง 6 นัดในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[125] ต่อมา ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2021 คล็อพกลายเป็นผู้จัดการทีมที่ชนะครบ 150 นัดในลีกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากเปิดบ้านชนะนิวคาสเซิล 3–1 และเป็นการชนะในฟุตบอลลีกสูงสุดครบ 2,000 นัดของสโมสร[126] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 คล็อพพาทีมชนะเลิศฟุตบอลถ้วยในประเทศได้เป็นครั้งแรกในรอบหกปี เอาชนะจุดโทษเชลซีในอีเอฟแอลคัพ 2022 นัดชิงชนะเลิศหลังเสมอกัน 0–0[127] ทำสถิติคว้าแชมป์สมัยที่ 9 และถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2012[128] หลังจากชอน ไดช์ ถูกปลดจากการเป็นผู้จัดการทีมเบิร์นลีย์ วันที่ 15 เมษายน ส่งผลให้คล็อพเป็นผู้จัดการทีมปัจจุบันที่คุมทีมในพรีเมียร์ลีกยาวนานที่สุด[129] เขาขยายสัญญากับสโมสรออกไปอีกสองปีจนสิ้นสุดในปี 2026[130][131] ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์รายการที่สองจากการเอาชนะจุดโทษเชลซีอีกครั้งในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2022 และทั้งสองทีมเสมอกัน 0–0 เช่นเดียวกับรอบชิงชนะเลิศอีเอฟแอลคัพ ส่งผลให้คล็อพเป็นผู้จัดการทีมชาวเยอรมันคนแรกที่คว้าแชมป์เอฟเอคัพ[132] ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลมีลุ้นแชมป์ถึง 4 รายการ แต่พวกเขาพลาดในพรีเมียร์ลีกด้วยการมีคะแนนน้อยกว่าแมนเชสเตอร์ซิตีเพียงคะแนนเดียว นับเป็นครั้งที่สองที่ทีมของคล็อพพลาดแชมป์โดยมีแต้มน้อยกว่าซิตีที่คุมทีมโดยกวาร์ดิออลาหนึ่งคะแนน และลิเวอร์พูลแพ้เรอัลมาดริด 0–1 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ[133] 2022–2024: ฤดูกาลสุดท้ายเข้าสู่ฤดูกาล 2022–23 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2022 เอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตี 3–1 นับเป็นแชมป์ครั้งแรกในรายการนี้ของคล็อพ[134] ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2022 ลิเวอร์พูลเอาชนะบอร์นมัทไปถึง 9–0 เป็นสถิติร่วมในการชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก[135] ในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2022 ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะเรนเจอส์ 7–1 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยมุฮัมมัด เศาะลาห์ ทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ยิงแฮตทริกได้เร็วที่สุดในรายการนี้ ต่อมา วันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2023 ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 7–0 เป็นสถิติชนะที่มากที่สุดที่มีต่อยูไนเต็ด[136][137] จากการบาดเจ็บยาวของเตียโก อัลกันตารา ทำให้เป็นโอกาสของเคอร์ติส โจนส์ในการก้าวขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่[138][139][140] ลิเวอร์พูลจบเพียงอันดับ 5 ทำมห้ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2023–24 ในปีนี้ทีมประสบปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหลายราย[141] โดยเชื่อว่าเป็นผลมาจากการลงเล่นครบทุกนัดทุกรายการในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งลิเวอร์พูลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยทุกรายการ และมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึงนัดสุดท้าย[142][143][144] ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2024 คล็อพประกาศว่าเขาจะอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาล 2023–24 โดยให้เหตุผลว่าตนเองหมดความท้าทาย และต้องการพักจากการคุมทีมโดยไม่มีกำหนด[145] คล็อพยังกล่าวว่าเขาจะไม่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมให้แก่สโมสรอื่นในอังกฤษนอกจากลิเวอร์พูล[146] ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 คล็อพพาทีมชนะเลิศอีเอฟแอลคัพ ฤดูกาล 2023–24 ด้วยการชนะเชลซี 1–0 เป็นแชมป์สมัยที่ 10 ของลิเวอร์พูล[147] ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนการแข่งขันนัดปิดฤดูกาล สกาย สปอร์ตส ได้เผยแพร่วิดีโอที่อดีตผู้เล่นรวมทั้งผู้เล่นปัจจุบันของสโมสรกล่าวความรู้สึกที่มีต่อคล็อพ ตำนานอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด ยกย่องว่าคล็อพว่าสมควรได้รับเกียรติให้สร้างรูปปั้นของเขาหน้าสนามแข่ง[148] ในขณะที่เจมี คาร์เรเกอร์ยกย่องว่าคล็อพเปรียบเสมือนบิลล์ แชงคลี ตำนานผู้จัดการทีมซึ่งประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง การคุมทีมนัดสุดท้ายของคล็อพเกิดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 โดยลิเวอร์เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 2–0 โดยลิเวอร์พูลจบอันดับสามในลีก[149] หลังจบการแข่งขัน จอห์น วิลเลียม เฮนรี เจ้าของสโมสรได้มอบรางวัลให้แก่คล็อพ, ทีมงานผู้ฝึกสอน รวมทั้งสองผู้เล่นอย่าง เตียโก อัลกันตารา และ ฌอแอล มาติป ซึ่งประกาศอำลาทีม คล็อพและทีมงานของเขาได้สวมเสื้อคลุมสีแดงพร้อมตัวอักษรว่า "I'll Never Walk Alone Again' ที่ด้านหลัง และ 'Thank You Luv' ที่ด้านหน้า ซึ่งเป็นวลีที่แสดงความผูกพันระหว่างเขาและเมืองลิเวอร์พูล[150] สโมสรได้จัดแสดงถ้วยรางวัลจำลองในการแข่งขันทุกรายการซึ่งคล็อพพาทีมชนะเลิศตลอดระยะเวลา 9 ปี ก่อนที่เขาจะกล่าวสุนทรพจน์อำลาแฟน ๆ คล็อพยังได้กระตุ้นให้แฟน ๆ สนับสนุนว่าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างอาร์เนอ สล็อต ซึ่งจะย้ายจากไฟเยอโนร์ดมาคุมทีมลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2024–25[151] ต่อมา นักฟุตบอลและผู้สนับสนุนร่วมกันร้องเพลงยูลล์เนฟเวอร์วอล์กอะโลนเพื่อเป็นเกียรติให้แก่คล็อพ[152] ในวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 คล็อพให้สัมภาษณ์กับอีเอสพีเอ็นว่าตนเองตัดสินใจเกษียณตนเองจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และจะไม่รับงานคุมทีมใดอีก[153] บทบาทหลังการเป็นผู้จัดการทีมในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2024 คล็อพตกลงรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายฟุตบอลให้แก่สโมสรในเครือเรดบูล กำหนดเริ่มงานวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2025 เซ็นสัญญาเป็นเวลาสี่ปี และมีรายงานว่าในสัญญาดังกล่าวยังระบุเงื่อนไขให้เขาสามารถลงจากตำแหน่ง เพื่อไปรับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนให้แก่ทีมชาติเยอรมนีหากผู้ฝึกสอนคนปัจจุบันอย่าง ยูลีอาน นาเกิลส์มัน อำลาทีม[154] การรับตำแหน่งดังกล่าวได้รับการวิจารณ์จากสื่อและกลุ่มผู้สนับสนุนบางส่วนในเยอรมนี เนื่องจากแนวทางการบริการของเครือเรดบูล แตกต่างจากทุกสโมสรในเยอรมนีซึ่งอยู่ภายใต้กฎ 50+1 กล่าวคือ บรรดาสมาชิกของสโมสรโดยเฉพาะแฟนบอลมีสิทธิ์ถือครองหุ้นส่วนใหญ่ในสโมสร รวมทั้งมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น รูปแบบการเล่นคล็อพได้รับการยอมรับในด้านการเล่นแบบเกเกนเพรสซิง (Gegenpressing) หรือการแย่งลูกบอลกลับมาโดยเร็วที่สุดหลังจากสูญเสียการครองบอล แนวทางการเล่นดังกล่าวต้องอาศัยความเข้าใจในเกมและพละกำลังที่สูงตลอดการแข่งขัน คล็อพเคยกล่าวว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการแย่งลูกบอลกลับมาก็คือ "ทันทีที่คุณเพิ่งสูญเสียการครองบอล" เนื่องจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะใช้เวลากับการครองบอลที่เพิ่งแย่งมาได้ และอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะส่งบอลไปทิศทางใดต่อ จึงเป็นโอกาสที่เราจะรบกวนสมาธิพวกเขาเพื่อแย่งบอลกลับมา[155] อย่างไรก็ตาม แท็คติกดังกล่าวมีข้อเสียคือต้องอาศัยพละกำลังในการวิ่งตลอด 90 นาทีและต้องมีความแข็งแกร่งทางสรีระในการเข้าปะทะ และต้องชำนาญในการเล่นเกมสวนกลับ[156] นอกจากนี้ ผู้เล่นของคล็อพยังต้องเข้าใจว่าเมื่อใดที่ควรหยุดการเพรสซิงเพื่อถนอมแรง และยังช่วยป้องกันการโดนจ่ายบอลยาวทะลุแนวกองหลังจนอาจเสียประตูได้เช่นกัน คล็อพยังขึ้นชื่อในปรัชญาฟุตบอลเกมรุกตั้งแต่ยังคุมทีมอยู่ในเยอรมนี โดยเน้นให้ทีมของเขาเปิดเกมบุกใส่คู่ต่อสู้และดันไลน์ขึ้นสูงถึงกลางสนามแทนที่จะส่งบอลคืนหลังเพื่อตั้งเกมขึ้นมาใหม่[157][158] คล็อพยังเป็นที่จดจำในฐานะผู้จัดการทีมที่มีอารมณ์ร่วมกับการแข่งขันตลอดเวลา มักปรากฏภาพเขาแสดงความดีใจเต็มที่บริเวณข้างสนามเมื่อนักฟุตบอลทำประตูได้ เขาเคยกล่าวว่า "แท็คติกเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขัน แต่อารมณ์ช่วยสร้างความแตกต่างให้ผลการแข่งขันได้" โดยหลายครั้งที่การแสดงออกดังกล่าวช่วยกระตุ้นและปลุกใจผู้เล่นของเขาให้ฮึกเหิม จากการตกเป็นรองก็สามารถกลับมาพลิกชนะได้[159] เช่น ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายบุกไปแพ้บาร์เซโลนาก่อนถึง 0–3 แต่กลับมาเอาชนะคืนได้ 4–0 ที่บ้านตนเองแม้จะปราศจากผู้เล่นตัวหลักบางราย ในสองฤดูกาลแรกที่คุมทีมลิเวอร์พูล คล็อพเน้นการวางระบบการเล่นแบบ 4–3–3 มีผู้เล่นตัวรีมเส้นอย่างซาดีโย มาเน และเศาะลาห์ และโรแบร์ตู ฟีร์มีนู เป็นผู้เล่นกองหน้าตัวหลอกหรือ False 9 และได้รับการสนับสนุนจากฟีลีปี โกชิญญูซึ่งทำหน้าที่เชื่อมเกมและพาบอลไปข้างหน้า ซึ่งทำให้เกมรุกของทีมมีประสิทธิภาพมาก แม้โกชิญญูจะอำลาทีมใน ค.ศ. 2018 แต่ด้วยผู้เล่นที่เข้าใจระบบการเล่น กอปรกับการเสริมตัวผู้เล่นใหม่ที่ปรับตัวเข้ากับระบบคล็อพได้ ลิเวอร์พูลจึงเป็นทีมที่มีเกมรุกที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในยุโรปมาถึงปัจจุบัน สองผู้เล่นคนสำคัญในเกมรุกอย่างมาเน และ เซาะลาห์คว้ารางวัลผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลสองปีติดต่อกันใน ค.ศ. 2018 และ 2019 ตามลำดับ[160] ถัดมา ในช่วงแรกของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 คล็อพใช้แผนการเล่นแบบ 4–2–3–1 ซึ่งเคยประสบความสำเร็จกับดอร์ทมุนท์มาแล้ว และยังช่วยให้เศาะลาห์มีพื้นที่ในการเล่นอย่างเป็นอิสระมากขึ้น โดยในบางครั้งคล็อพอาจถอยฟีร์มีนูลงต่ำเพื่อเชื่อมเกมและแบ่งเบาภาระของสองผู้เล่นริมเส้น[161] ก่อนที่คล็อพจะกลับไปใช้ระบบการเล่น 4–3–3 ซึ่งพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งที่สองและคว้าแชมป์ได้[162] สถิติการคุมทีม
เกียรติประวัติ![]() ผู้จัดการทีมโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์[164]
ส่วนบุคคล
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ เยือร์เกิน คล็อพ
|
Portal di Ensiklopedia Dunia