อินเตอร์เซกชัน ของเซตสองเซต คือเซตที่ประกอบด้วยสมาชิกที่อยู่ในเซตทั้งสองเซต ดังแสดงในแผนภาพเวนน์
ในทางคณิตศาสตร์ เซต (อังกฤษ : set ) เป็นกลุ่มหรือหมู่ของสิ่งต่าง ๆ[ 1] [ 2] ซึ่งเรียกว่า สมาชิก สมาชิกในเซตอาจเป็นวัตถุในคณิตศาสตร์ใดก็ได้ เช่น จำนวน สัญลักษณ์ จุดในปริภูมิ เส้นตรง หรือแม้กระทั่งเซตอื่น ๆ เราสามารถดำเนินการกับเซตได้ เช่น ยูเนียน ของเซตสองเซตเป็นการรวมสมาชิกของเซตสองเซตเข้าด้วยกัน อินเตอร์เซกชัน ของเซตสองเซตเลือกเอาเฉพาะสมาชิกที่ปรากฏในเซตสองเซต และยังมีความสัมพันธ์ระหว่างเซตอื่น เช่น การเป็นสับเซต เป็นพื้นฐานสำคัญของเซตทั้งสิ้น
เซตถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 พร้อมกับทฤษฎีเซต ซึ่งเป็นการศึกษาเซตโดยใช้ระบบสัจพจน์ ที่รัดกุม แนวคิดเกี่ยวกับเซตนั้นมีความสามารถพอจนทำให้วัตถุในคณิตศาสตร์ สามารถนิยามผ่านเซตได้แทบทั้งหมด และบทพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์สามารถเขียนให้อยู่ในภาษาของเซตได้อย่างรัดกุม[ 5] ดังนั้นเซตจึงพบได้ทั่วไปในคณิตศาสตร์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีเซตแซร์เมโล-แฟรงเคิล ซึ่งเป็นรากฐานของคณิตศาสตร์ แทบทุกสาขา
ต้นกำเนิดของเซต
แนวความคิดเกี่ยวกับเซตปรากฏเริ่มต้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19[ 6] แบร์นาร์ท บ็อลท์ซาโน ใช้คำว่าเซต (Menge ) ในภาษาเยอรมันเป็นคนแรกในงานชื่อ Paradoxien des Unendlichen (ปฏิทรรศน์ของอนันต์)[ 7] [ 8] [ 9]
ในส่วนเริ่มแรกของ Beiträge zur Begründung der transfiniten Mengenlehre โดย เกออร์ก คันทอร์ (Georg Cantor) ผู้สร้างทฤษฎีเซตคนสำคัญ ให้นิยามของเซตเซตหนึ่งดังต่อไปนี้[ 10]
โดย "เซต" เซตหนึ่ง เราหมายถึงการสะสมรวบรวมใด ๆ ที่ให้ชื่อว่า M เข้าเป็นหน่วยเดียวกันทั้งหมด ของวัตถุที่ให้ชื่อว่า m ที่แตกต่างกัน (ซึ่งเรียกว่า "สมาชิก" ของ M ) ตามความเข้าใจของเรา หรือตามความคิดของเรา
— เกออร์ก คันทอร์
ทฤษฎีเซตอย่างง่าย
แนวความคิดพื้นฐานคือ เซตเป็นสิ่งที่มีสมาชิก (elements หรือ members) เซตจะเท่ากันก็ต่อเมื่อมีสมาชิกเดียวกัน หรืออีกนัยหนึ่ง เซต A และ B จะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกตัวที่อยู่ในเซต A เป็นสมาชิกของเซต B และ สมาชิกทุกตัวที่อยู่ในเซต B เป็นสมาชิกของเซต A เรียกคุณสมบัติของเซตนี้ว่า extensionality นอกจากนี้เราอาจกำหนดเงื่อนไขของสมาชิกที่จะอยู่ในเซตได้
แนวคิดอย่างง่ายของเซตนี้ถึงแม้จะมีประโยชน์มากในคณิตศาสตร์ แต่นำไปสู่ปฏิทรรศน์ ทางตรรกศาสตร์หากไม่กำหนดขอบเขตของการระบุเงื่อนไข เช่น
ทฤษฎีเซตอย่างง่าย (naïve set theory) แก้ปัญหาด้วยการนิยามเซตให้เป็นกลุ่มหรือหมู่ของสมาชิกที่นิยามดี แต่คำว่า นิยามดี นั้นขอบเขตกว้างจนเกินไป
ทฤษฎีเซตเชิงสัจพจน์
เพื่อแก้ไขปฏิทรรศน์ข้างต้น จึงมีความพยายามนิยามเซตให้รัดกุมโดยใช้สัจพจน์ ในทฤษฎีเซตเชิงสัจพจน์ถือว่าเซตเป็น อนิยาม (primitive notion)[ 6]
การเขียนอธิบายเซต
ในคณิตศาสตร์นิยมแทนเซตด้วยใช้อักษรละติน ตัวพิมพ์ใหญ่แบบตัวเอียง เช่น A, B, C [ 12] นอกจากนี้แล้วอาจใช้คำว่า คอลเลกชัน วงศ์ หรือ แฟมิลี แทนเซตที่มีสมาชิกเป็นเซต
การเขียนระบุสมาชิก
วิธีการระบุเซตโดยการกำหนดสมาชิกของมันโดยเจาะจง ด้วยการใช้กฎหรือการอธิบายด้วย ภาษาทางคณิตศาสตร์ เช่น
A เป็นเซตซึ่งสมาชิกของมันเป็น เลขจำนวนเต็มบวก สี่ตัวแรก
B เป็นเซตของสีของธงชาติฝรั่งเศส
การแจกแจงสมาชิก
วิธีที่สองคือโดย การแจกแจง นั่นคือ การแจกแจกสมาชิกแต่ละตัวของเซต การนิยามเซตด้วยการแจกแจง สมาชิกจะถูกเขียนแทนด้วยการแจกแจงสมาชิกของเซตภายในวงเล็บปีกกา :
C = {4, 2, 1, 3}
D = {น้ำเงิน, ขาว, แดง}
ในตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า A = C และ B = D
ลำดับที่สมาชิกของเซตถูกเรียงในการนิยามแบบแจกแจกสมาชิกไม่มีความสำคัญ เช่นเดียวกันกับจำนวนสมาชิกที่ซ้ำกันในรายการแจกแจง ตัวอย่างเช่น
{6, 11} = {11, 6} = {11, 11, 6, 11}
เป็นเซตที่เหมือนกันทุกประการ เพราะว่าการแจกแจงสมาชิกเซตมีความหมายเพียงว่าองค์ประกอบแต่ละตัวในรายการแจกแจงเป็นสมาชิกตัวหนึ่งของเซตนั้นแค่นั้นเอง
สำหรับเซตที่มีสมาชิกจำนวนมาก การระบุของสมาชิกสามารถเขียนอย่างย่อได้ ตัวอย่างเช่น เซตของเลขจำนวนเต็มบวกหนึ่งพันตัวแรกสามารถเขียนแบบแจกแจงได้เป็น:
{1, 2, 3, ..., 1000}
ที่ซึ่ง การเว้นถ้อยคำไว้ให้เข้าใจเอาเอง (อิลิปซิส, "...") ระบุว่ารายการแจกแจงดำเนินต่อไปในทางที่เห็นได้ชัด อิลิปซิสอาจถูกใช้ในที่ซึ่งเซตมีสมาชิกไม่จำกัด ดังเช่น เซตของเลขจำนวนเต็มคู่บวก เขียนแทนได้ว่า {2, 4, 6, 8, ... }
การใช้สัญลักษณ์การสร้างเซต
เราอาจใช้สัญลักษณ์การสร้างเซต (set-builder notation) เพื่อระบุสมาชิกในเซตได้ ตัวอย่างเช่น
E = {x | x เป็นสัญลักษณ์หน้าไพ่}
เครื่องหมายขีดคั่นหมายถึง “โดยที่” และมีเงื่อนไขเขียนด้านหลัง ดังนั้นสัญลักษณ์ข้างต้นจึงหมายถึง “เซตของ x ทั้งหมดโดยที่ x เป็นสัญลักษณ์หน้าไพ่” ดังนั้น E คือเซตซึ่งสมาชิกสี่ตัวของมันคือ ♠, ♦, ♥, และ ♣ ผู้เขียนบางคนอาจใช้สัญลักษณ์โคลอน (:) แทนเครื่องหมายขีดคั่น
เราสามารถเปลี่ยนสมการด้านหน้าเครื่องหมายขีดคั่นได้ เพื่อให้ได้เซตที่เกิดจากการดำเนินการกับสมาชิกที่กำหนดโดยเงื่อนไขที่ตามหลัง ตัวอย่างเช่น เซต F ของจำนวนที่ได้จากการยกกำลังสองแล้วลบด้วยสี่ ของจำนวนเต็มบวกที่น้อยที่สุดยี่สิบตัวแรกสามารถเขียนได้เป็น:
F = {n² - 4 : n เป็นจำนวนเต็ม และ 0 ≤ n ≤ 19}
ซึ่งมีสมาชิกเป็น -4, -3, 0, 5, …, 357
คำศัพท์และสัญลักษณ์ของเซต
เซตที่เท่ากัน เซตจะแตกต่างกันหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกต่างกันหรือไม่ โดยเซตสองเซตจะเท่ากันเมื่อมีสมาชิกเหมือนกัน
เซตจำกัด และเซตอนันต์ เซตจำกัดคือเซตที่เราสามารถระบุได้ว่ามีสมาชิกกี่ตัว เซตอนันต์คือเซตที่ไม่ใช่เซตจำกัด
เซตว่าง คือเซตที่ไม่มีสมาชิกเลย
เอกภพสัมพัทธ์ คือเซตที่ใช้กำหนดขอบเขตของสิ่งที่กำลังพิจารณา แทนด้วย U
เซตของจำนวนบางชนิด เช่น
N
{\displaystyle \mathbb {N} }
= เซตของจำนวนนับ,
Z
{\displaystyle \mathbb {Z} }
= เซตของจำนวนเต็ม,
Q
{\displaystyle \mathbb {Q} }
= เซตของจำนวนตรรกยะ,
R
{\displaystyle \mathbb {R} }
= เซตของจำนวนจริง,
C
{\displaystyle \mathbb {C} }
= เซตของจำนวนเชิงซ้อน
สับเซต A เป็นสับเซตของ B หมายความว่าสมาชิกทุกตัวของ A เป็นสมาชิกของ B
เพาเวอร์เซต ของ A คือเซตที่ประกอบด้วยสับเซตทั้งหมดของ A เขียนแทนโดย P(A)
การดำเนินการของเซต
ยูเนียน ของ A และ B คือเซตที่เกิดจากการรวบรวมสมาชิกของ A และ B เข้าไว้ด้วยกัน
อินเตอร์เซกชัน ของ A และ B คือเซตที่ประกอบด้วยสมาชิกที่เหมือนกันของ A และ B
ผลต่าง A – B คือเซตที่ประกอบด้วยสมาชิกของ A ที่ไม่ใช่สมาชิกของ B
คอมพลีเมนต์ ของ A เขียนแทนด้วย A' คือสับเซตของ U ที่ประกอบด้วยสมาชิกที่ไม่อยู่ ใน A
การนับจำนวนสมาชิกของเซต
ถ้า A เป็นเซตจำกัด เราใช้สัญลักษณ์ n(A) หรือ |A| แทนจำนวนสมาชิกของ A
สูตรการนับจำนวนสมาชิกของเซตจำกัด
n
(
A
∪
B
)
=
n
(
A
)
+
n
(
B
)
−
n
(
A
∩
B
)
{\displaystyle n(A\cup B)=n(A)+n(B)-n(A\cap B)}
n
(
A
−
B
)
=
n
(
A
)
−
n
(
A
∩
B
)
{\displaystyle n(A-B)=n(A)-n(A\cap B)}
n
(
A
∪
B
)
′
=
n
(
U
)
−
n
(
A
∪
B
)
{\displaystyle n(A\cup B)'=n(U)-n(A\cup B)}
n
(
A
)
′
=
n
(
U
)
−
n
(
A
)
{\displaystyle n(A)'=n(U)-n(A)}
สมบัติของเซตที่ควรทราบ
ให้ A , B , C เป็นเซตย่อย ของเอกภพสัมพัทธ์ U สมบัติต่อไปนี้จะเป็นจริง
กฎการสลับที่
A
∪
B
=
B
∪
A
{\displaystyle A\cup B=B\cup A}
A
∩
B
=
B
∩
A
{\displaystyle A\cap B=B\cap A}
กฎการเปลี่ยนกลุ่ม
(
A
∪
B
)
∪
C
=
A
∪
(
B
∪
C
)
{\displaystyle (A\cup B)\cup C=A\cup (B\cup C)}
(
A
∩
B
)
∩
C
=
A
∩
(
B
∩
C
)
{\displaystyle (A\cap B)\cap C=A\cap (B\cap C)}
กฎการแจกแจง
A
∪
(
B
∩
C
)
=
(
A
∪
B
)
∩
(
A
∪
C
)
{\displaystyle A\cup (B\cap C)=(A\cup B)\cap (A\cup C)}
A
∩
(
B
∪
C
)
=
(
A
∩
B
)
∪
(
A
∩
C
)
{\displaystyle A\cap (B\cup C)=(A\cap B)\cup (A\cap C)}
กฎการเอกลักษณ์
∅
∪
A
=
A
{\displaystyle \emptyset \cup A=A}
∅
∩
A
=
∅
{\displaystyle \emptyset \cap A=\emptyset }
หลักการเพิ่มเข้าและตัดออก
หลักการเพิ่มเข้าและตัดออกเป็นหลักการนับที่สามารถใช้หาจำนวนสมาชิกของยูเนียนของเซตตั้งแต่สองเซตขึ้นไปได้ หากรู้จำนวนสมาชิกในอินเตอร์เซคชั่น สำหรับเซตสองเซต จะได้สมการเป็น
|
A
∪
B
|
=
|
A
|
+
|
B
|
−
|
A
∩
B
|
{\displaystyle \left\vert A\cup B\right\vert =\left\vert A\right\vert +\left\vert B\right\vert -\left\vert A\cap B\right\vert }
และสำหรับรูปแบบทั่วไปของเซตมากกว่าสามตัวจะได้ว่า
|
A
1
∪
A
2
∪
A
3
∪
…
∪
A
n
|
=
(
|
A
1
|
+
|
A
2
|
+
|
A
3
|
+
…
|
A
n
|
)
−
(
|
A
1
∩
A
2
|
+
|
A
1
∩
A
3
|
+
…
|
A
n
−
1
∩
A
n
|
)
+
…
+
(
−
1
)
n
−
1
(
|
A
1
∩
A
2
∩
A
3
∩
…
∩
A
n
|
)
{\displaystyle {\begin{aligned}\left|A_{1}\cup A_{2}\cup A_{3}\cup \ldots \cup A_{n}\right|=&\left(\left|A_{1}\right|+\left|A_{2}\right|+\left|A_{3}\right|+\ldots \left|A_{n}\right|\right)\\&{}-\left(\left|A_{1}\cap A_{2}\right|+\left|A_{1}\cap A_{3}\right|+\ldots \left|A_{n-1}\cap A_{n}\right|\right)\\&{}+\ldots \\&{}+\left(-1\right)^{n-1}\left(\left|A_{1}\cap A_{2}\cap A_{3}\cap \ldots \cap A_{n}\right|\right)\end{aligned}}}
อ้างอิง
↑ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554
↑ Goldberg, Samuel (1986). Probability : an introduction . New York: Dover Publications. p. 2. ISBN 0-486-65252-1 . OCLC 14356858 .
↑ Bagaria, Joan (2021), Zalta, Edward N. (บ.ก.), "Set Theory" , The Stanford Encyclopedia of Philosophy (Winter 2021 ed.), Metaphysics Research Lab, Stanford University, สืบค้นเมื่อ 2022-01-03
↑ 6.0 6.1 Ferreirós Domínguez, José. (2007). Labyrinth of thought : a history of set theory and its role in modern mathematics (2nd rev. ed.). Basel, Switzerland: Birkhäuser. ISBN 978-3-7643-8350-3 . OCLC 302342325 . {{cite book }}
: CS1 maint: date and year (ลิงก์ )
↑ Steve Russ (9 December 2004). The Mathematical Works of Bernard Bolzano . OUP Oxford. ISBN 978-0-19-151370-1 .
↑ William Ewald; William Bragg Ewald (1996). From Kant to Hilbert Volume 1: A Source Book in the Foundations of Mathematics . OUP Oxford. p. 249. ISBN 978-0-19-850535-8 .
↑ Paul Rusnock; Jan Sebestík (25 April 2019). Bernard Bolzano: His Life and Work . OUP Oxford. p. 430. ISBN 978-0-19-255683-7 .
↑ Quoted in Dauben, p. 170.
↑ Halmos 1960, p. 1.
บรรณานุกรม