สถานที่
|
ภาพ
|
ที่ตั้ง
|
ประเภท
|
พื้นที่ ha (acre)
|
ปี (พ.ศ./ค.ศ.)
|
หมายเหตุ
|
อ้างอิง
|
ชังกย็องพันจ็อนแห่งวัดแฮอินซา สถานที่เก็บแม่พิมพ์ไม้ของพระไตรปิฎกฉบับเกาหลี
|
|
South Korea !จังหวัดคย็องซังใต้ เกาหลีใต้ 35°48′0″N 128°6′0″E / 35.80000°N 128.10000°E / 35.80000; 128.10000 (Haeinsa Temple Janggyeong Panjeon, the Depositories for the Tripitaka Koreana Woodblocks)
|
วัฒนธรรม: (iv), (vi)
|
|
2538/1995
|
สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าแอจางแห่งราชวงศ์ซิลลาในปี ค.ศ.802 และถือเป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในกลุ่มผู้แสวงบุญศาสนาพุทธ เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมพระไตรปิฎกที่มีการบันทึกมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยใช้พิมพ์แกะไม้จำนวนกว่า 81,000 แผ่น เขียนหลักคำสอนเป็นตัวอักษรฮันจา โดยมีการเก็บรักษาอย่างดีและถือเป็นพระไตรปิฎกที่เก่าแก่ที่สุดในเกาหลีใต้
|
[2]
|
ศาลเจ้าชงมโย
|
|
South Korea !โซล เกาหลีใต้ 37°33′0″N 126°59′0″E / 37.55000°N 126.98333°E / 37.55000; 126.98333 (Jongmyo Shrine)
|
วัฒนธรรม: (iv)
|
19 (47)
|
2538/1995
|
ศาลเจ้าลัทธิขงจื๊อที่ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าแทโจและตระกูลราชวงศ์โซซ็อนในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ภายในศาลเจ้ามีอาคารตั้งป้ายบรรพบุรุษเพื่อกราบไหว้ราชวงศ์ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกทำลายจากการรุกรานของญี่ปุ่น แต่ได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในในการประกอบพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านฤดูกาลที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,400 ปี
|
[3]
|
ถ้ำซ็อกกูรัมและวัดพุลกุกซา
|
|
South Korea !จังหวัดคย็องซังเหนือ และโซล เกาหลีใต้ 35°47′0″N 129°21′0″E / 35.78333°N 129.35000°E / 35.78333; 129.35000 (Seokguram Grotto and Bulguksa Temple)
|
วัฒนธรรม: (i), (iv)
|
|
2538/1995
|
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 อันเป็นช่วงยุคสมัยชิลลา ศาสนาพุทธได้เจริญรุ่งเรืองในคาบสมุทรเกาหลี ถ้ำซ็อกกูรัมและวัดพุลกุกซาเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงศาสนาพุทธที่มีการทำนุบำรุงเป็นอย่างดี จากประติมากรรมพระพุทธรูปที่ได้อิทธิพลมาจากวัดถ้ำในจีนและอินเดียที่ถ้ำซ็อกกูรัม และเจดีย์หินโบราณกับศิลปะ-สถาปัตยกรรมพระพุทธศาสนาอันเก่าแก่ในวัดพุลกุกซาที่ก่อสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 6 และมีการต่อเติมในยุคชิลลาช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8
|
[4]
|
กลุ่มพระราชวังชังด็อกกุง
|
|
South Korea !โซล เกาหลีใต้ 37°34′46″N 126°59′28″E / 37.57944°N 126.99111°E / 37.57944; 126.99111 (Changdeokgung Palace Complex)
|
วัฒนธรรม: (ii), (iii), (iv)
|
|
2540/1997
|
พระราชวังชังด็อกถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแทจงแห่งราชวงศ์โชซ็อนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 ก่อนจะถูกทำลายจากการรุกรานของญี่ปุ่นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่ก็ถูกบูรณะอีกครั้งโดยพระเจ้าซ็อนโจ ซึ่งมีการออกแบบโดยอิงความเชื่อลัทธิขงจื๊อในการออกแบบประตูวัง สวน และตำหนักเพื่อเป็นที่ประทับของจักรพรรดิเกาหลี รวมไปถึงเป็นที่ทำการของเหล่าขุนนาง
|
[5]
|
ป้อมฮวาซ็อง
|
|
South Korea !จังหวัดคย็องกี เกาหลีใต้ 37°16′20″N 127°0′30″E / 37.27222°N 127.00833°E / 37.27222; 127.00833 (Hwaseong Fortress)
|
วัฒนธรรม: (ii), (iii)
|
|
2540/1997
|
ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าช็องโจแห่งราชวงศ์โชซ็อนช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อันเป็นช่วงเวลาที่มีแผนจะย้ายเมืองหลวงจากฮันยางมาเป็นซูว็อน จึงมีการสร้างป้อมปราการและกำแพงเมืองล้อมเมืองซึ่งสร้างจากอิฐดินเผาและหินแกรนิต อีกทั้งยังมีการสร้างประตูใหญ่ 4 ทิศ ประตูลับ ประตูน้ำ ป้อมปราการ และป้อมอาวุธสำหรับโจมตีข้าศึก นับว่าเป็นการพัฒนาระบบป้องกันข้าศึกที่ล้ำสมัยมากในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19
|
[6]
|
แหล่งดอลเมนแห่งโคชัง ฮวาซุน และคังฮวา
|
|
South Korea !จังหวัดชุงช็องใต้ ช็อลลาเหนือ และอินช็อน เกาหลีใต้ 34°58′0″N 126°55′45″E / 34.96667°N 126.92917°E / 34.96667; 126.92917 (Gochang, Hwasun and Ganghwa Dolmen Sites)
|
วัฒนธรรม: (iii)
|
52 (130); พื้นที่กันชน 315 (780)
|
2543/2000
|
ดอลเมนเป็นที่เก็บศพที่เกิดจากการตั้งหินสามก้อนเพื่อทำเป็นห้องสำหรับเก็บศพ สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคหินใหม่เมื่อราว 4,000-3,000 ปีก่อนคริสตกาล มาจนถึงยุคสำริด โดย 40% ของดอลเมนทั่วโลกถูกพบมากที่คาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้และเกาะคังฮวา โดยดอลเมนในสถานที่ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเมื่อ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ภายในโพรงหินมีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผา ลูกปัดโบราณ เครื่องสำริดและเครื่องมือหิน สะท้อนให้เห็นถึงพิธีกรรมงานศพของคนเกาหลีในยุคสำริด
|
[7]
|
พื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งคย็องจู
|
|
South Korea !จังหวัดคย็องซังเหนือ เกาหลีใต้ 35°47′20″N 129°13′36″E / 35.78889°N 129.22667°E / 35.78889; 129.22667 (Gyeongju Historic Areas)
|
วัฒนธรรม: (ii), (iii)
|
2,880 (7,100); พื้นที่กันชน 350 (860)
|
2543/2000
|
พื้นที่บริเวณรอบนอกของเมืองคย็องจูยังคงเหลือร่องรอยประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคสมัยชิลลา หรือราวช่วง 57 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ.935 ในฐานะราชธานีเก่า ประกอบด้วยซากวังเก่า หอดูดาวช็อมซ็องแด ป่ากเยริม ภาพแกะสลักพระพุทธรูปเขานัมซาน ซากวัดโบราณและสุสานอาชาสวรรค์ สะท้อนให้เห็นถึงถึงงานศิลปะและสถาปัตยกรรมในยุคสมัยชิลลาที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
|
[8]
|
สุสานหลวงราชวงศ์โชซ็อน
|
|
South Korea !จังหวัดคย็องกี และโซล เกาหลีใต้ 37°11′50″N 128°27′10″E / 37.19722°N 128.45278°E / 37.19722; 128.45278 (Royal Tombs of the Joseon Dynasty)
|
วัฒนธรรม: (iii), (iv), (vi)
|
1,891 (4,670); พื้นที่กันชน 4,660 (11,500)
|
2552/2009
|
ประกอบไปด้วยหลุมฝังศพของกษัตริย์ พระมเหสี และพระบรมราชานุวงศ์ตระกูลอีในราชวงศ์โชซ็อนตั้งแต่ปี ค.ศ.1408-1966 จำนวน 40 แห่งซึ่งกระจายตัวอยู่ในภาคกลางของเกาหลีใต้ ตัวสุสานมีการออกแบบผังการวางตำแหน่งของหลุมฝังศพรวมไปถึงภูมิทัศน์โดยรอบตามหลักขงจื๊อ โดยเน้นไปที่หลักความเชื่อโลกหลังความตายอันเป็นวัฒนธรรมความเชื่อที่มีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
|
[9]
|
หมู่บ้านประวัติศาสตร์ฮาฮเวและยังดง
|
|
South Korea !จังหวัดคย็องซังเหนือ เกาหลีใต้ 36°32′21″N 128°31′0″E / 36.53917°N 128.51667°E / 36.53917; 128.51667 (Historic Villages of Korea: Hahoe and Yangdong)
|
วัฒนธรรม: (iii), (iv)
|
600 (1,500); พื้นที่กันชน 885 (2,190)
|
2553/2010
|
หมู่บ้านฮาฮเวและหมู่บ้านยังดงเป็นหลักฐานที่แสดงถึงวัฒนธรรมสมัยโชซ็อนทั้งในด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบเนื่องมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14-15 รวมไปถึงสิ่งก่อสร้างเก่าแก่หลายแห่ง เช่น บ้านหลังคามุงฟางของชาวบ้านในพื้นที่ ศาลา ตำหนักเรียน สถาบันขงจื๊อ เป็นต้น รวมไปถึงเป็นสถานที่ที่ถูกอ้างอิงในบทประพันธ์ต่างๆ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-18
|
[10]
|
นัมฮันซันซ็อง
|
|
South Korea !จังหวัดคย็องกี เกาหลีใต้
|
วัฒนธรรม: (ii), (iv)
|
|
2557/2014
|
นัมฮันซันซ็องถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเมืองหลวงสำหรับกรณีฉุกเฉินในราชวงศ์โชซ็อนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 สามารถรองรับคนได้ถึง 4,000 คนสำหรับจัดการการบริหารบ้านเมืองและการทหาร เมืองแห่งนี้จึงเป็นการรวมแนวคิดด้านวิศวกรรมกองทัพที่ได้อิทธิพลมาจากจีนและญี่ปุ่น รวมถึงการพัฒนาการทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าจนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอธิปไตยของเกาหลีใต้|[11]
|
พื้นที่ประวัติศาสตร์แพ็กเจ
|
|
South Korea !จังหวัดชุงช็องใต้ และ
ช็อลลาเหนือ เกาหลีใต้
|
วัฒนธรรม: (ii), (iii)
|
|
2558/2015
|
พื้นที่บริเวณภาคตะวันตกของประเทศมีการพบโบราณสถานในช่วงยุคปลายของอาณาจักรแพ็กเจอันเป็นหนึ่งในอาณาจักรสำคัญของคาบสมุทรเกาหลีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-7 ประกอบด้วยโบราณสถาน 8 แห่งในเขตพื้นที่ซึ่งในอดีตเป็นที่ตั้งของอดีตเมืองหลวงสมัยอาณาจักรแพ็กเจ ทั้งป้อมปราการ กำแพงเมืองโบราณ ซากวังเก่า หลุมพระบรมศพ และวัดพุทธ แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของศิลปะ ศาสนาและวัฒนธรรมที่สืบเนื่องมาจนถึงยุครวมแผ่นดิน
|
[12]
|
ซันซา พุทธอารามบนภูเขาในเกาหลี
|
|
South Korea ! เกาหลีใต้
|
วัฒนธรรม: (iii)
|
|
2561/2018
|
คำว่า “ซันซา“ เกิดจากคำสองคำรวมกันระหว่าง “ซัน“ (ภูเขา) และ “ซา“ (วัด) จึงมีความหมายว่า “วัดภูเขา“ ประกอบด้วยวัดพุทธมหายานที่ก่อสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 7-9 จำนวน 7 แห่ง โดยวัดหลายแห่งถูกทำลายจากการรุกรานของญี่ปุ่นแต่ก็ได้มีการบูรณะสร้างใหม่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-19 ภายในตัววัดยังคงหลงเหลือศิลปะพระพุทธศาสนาอันเก่าแก่แต่ได้รับการทำนุบำรุงอย่างดีทั้งพระพุทธรูป เจดีย์หิน ภาพจิตรกรรม และสถาปัตยกรรมท้องถิ่น
|
[13]
|
ซอว็อน สถานศึกษาลัทธิขงจื๊อใหม่แห่งเกาหลี
|
|
South Korea ! เกาหลีใต้
|
วัฒนธรรม: (iii)
|
102.49; พื้นที่กันชน 796.74
|
2562/2019
|
ซอว็อนเป็นชื่อเรียกสถานศึกษาในยุคสมัยโชซ็อนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ประกอบด้วยโรงเรียนและศาลเจ้าลัทธิขงจื๊อรวมเข้าด้วยกัน โดยส่วนที่เป็นโรงเรียนถูกใช้เป็นสถานศึกษาสำหรับชายหนุ่มที่ต้องการสอบเข้าราชสำนัก ซอว็อนถือได้ว่าเป็นสถานศึกษาที่มีอิทธิพลในคาบสมุทรเกาหลีจากการผลิตบัณฑิตอันทรงปัญญาและพัฒนาระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับลัทธิขงจื๊อ โดยซอว็อนที่ถูกขึ้นทะเบียนมีทั้งหมด 9 แห่งซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในเขตภูเขาทางตอนใต้ของประเทศ
|
[14]
|
มูนดินฝังศพคายา
|
|
South Korea !จังหวัดคย็องซังใต้ จังหวัดคย็องซังเหนือ จังหวัดช็อลลาเหนือ เกาหลีใต้
|
วัฒนธรรม: (iii)
|
189
|
2566/2023
|
ภายในสุสานสมัยอาณาจักรคายา 7 แห่งที่ถูกค้นพบในภาคใต้ของประเทศมีการทำเนินดินครอบหลุมศพขึ้นมา โดยตัวสุสานทั้งเจ็ดตั้งอยู่ในหัวเมืองคนละเขตแม้จะอยู่ภายใต้อาณาจักรเดียวกัน ภายในหลุมศพมีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรวมไปถึงอาวุธเหล็กจากหัวเมืองอื่น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางการค้ากับอาณาจักรใกล้เคียงและเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของอารยธรรมโบราณในเอเชียตะวันออก
|
[15]
|