มินะทอร์
![]() ในเทพปกรณัมกรีก มิโนทอร์ (อังกฤษ: Minotaur) เป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีศีรษะเป็นโค มีกายเป็นคน[1] หรือที่โอวิด (Ovid) กวีโรมัน พรรณนาว่า "กึ่งคนกึ่งโค"[2] มิโนทอร์พำนักอยู่ในวงกตซึ่งเป็นหมู่อาคารมีทางเดินคดเคี้ยว ณ กลางเกาะครีต[3] และเป็นผลงานที่สถาปนิกเดดาลัส (Daedalus) กับอีคารัส (Icarus) บุตร ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นตามพระราชโองการพระเจ้าไมนอส (Minos) แห่งเกาะครีต ภายหลัง มิโนทอร์ถูกธีซีอุส (Theseus) วีรบุรุษชาวเอเธนส์ ประหารในวงกตนั้นเอง คำ "มิโนทอร์" ในภาษาอังกฤษมาจากคำ "Μῑνώταυρος" (Mīnṓtauros,) ในภาษากรีกโบราณ แปลว่า โคแห่งพระเจ้าไมนอส โดยในภาษาอังกฤษนั้น คำ "มิโนทอร์" เป็นทั้งวิสามานยนามใช้เรียกสิ่งมีชีวิตตามตำนานข้างต้น และเป็นสามานยนามใช้เรียกสิ่งมีชีวิตกึ่งโคกึ่งคนตัวอื่น ๆ โดยทั่วไป ส่วนชาวครีตเองเรียกสัตว์นี้ด้วยวิสามานยนามว่า "แอสเตเรียน (Asterion)[4] ซึ่งเป็นนามของปู่มิโนทอร์ (พระบิดาบุญธรรมของพระเจ้าไมนอส) เช่นกัน[5] ประวัติกำเนิด![]() เมื่อเสวยราชย์ในเกาะครีตแล้ว พระเจ้าไมนอสต้องทรงแย่งชิงอำนาจการปกครองกับพระเชษฐาและพระอนุชาเนือง ๆ จึงทรงวอนขอให้โพไซดอน (Poseidon) ประทานโคเผือกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเทพยดาสนับสนุนพระองค์ แล้วพระเจ้าไมนอสจะได้ทรงสังหารโคนั้นเซ่นสรวงโพไซดอนต่อไป แต่เมื่อได้ทรงรับโคนั้นมาแล้ว ทรงเห็นแก่ความงดงามผ่าเผยของโค จึงหักพระทัยฆ่าโคไม่ลง และเก็บรักษาโคนั้นไว้ แล้วประหารโคเผือกตัวอื่นสังเวยแทน โพไซดอนเมื่อทราบก็โกรธ สั่งแอโฟรไดที (Aphrodite) กามเทวี บันดาลให้พาซีฟาอี (Pasiphaë) ชายาพระเจ้าไมนอส หลงรักโคเผือกดังกล่าวอย่างรุนแรง นางพาซีฟาอีมีเสาวนีย์ให้เดดาลัสแกะสลักโคไม้ขึ้นตัวหนึ่ง ภายในเป็นช่องโปร่ง ภายนอกเอาหนังโคคลุมไว้ ตกแต่งดังโคจริง แล้วนางไต่เข้าไปในช่องเพื่อสวมโคไม้นั้น แล้วให้โคเผือกมาสมจรด้วยเรื่อยมาจนตั้งครรภ์ และให้กำเนิดอสุรกายมินะทอร์ นางเลี้ยงดูบุตรเป็นอย่างดี แต่ครั้นมินะทอร์เติบใหญ่ ก็เริ่มสำแดงวิสัยเดรัจฉาน จับข้าราชบริพารกินเป็นเครื่องยังชีพ ขณะที่พระเจ้าไมนอสทรงปริวิตกอยู่นั้น ปุโรหิตเมืองเดลไฟ (Delphi) ทูลแนะนำว่า ให้ขังโคมินะทอร์ไว้ในวงกต จึงมีพระบัญชาให้เดดาลัสสร้างขึ้นไว้ริมพระตำหนักในตำบลนอสซอส (Knossos) งานเขียนทั่วไปในทางวรรณกรรมและกามวิสัยมุ่งพรรณนาการร่วมประเพณีระหว่างนางพาซีฟาอีและโคเผือกโดยอาศัยโคไม้ มีกวีนิพนธ์เรื่อง เอพิสตูลีเฮโรอิดัม (Epistulae Heroidum) ของโอวิด เพียงเรื่องเดียวที่ระบุไว้เป็นอื่น โดยพรรณนาเหตุการณ์นี้ไว้อย่างสั้น ๆ ในตอนที่ธิดาองค์หนึ่งของนางพาซีฟาอีพร่ำบ่นถึงมารดาที่หลงรักโคเผือกอยู่ฝ่ายเดียวว่า "โคนั้นจำแลงเป็นเทวา พาซีฟาอีมารดาข้าตกอยู่ในบ่วงกามแห่งโคนั้น จึงนำมามาซึ่งเสียงก่นด่าและความหนักใจ"[6][7] รูปลักษณ์![]() ศิลปะสมัยคลาสสิกมักแสดงรูปมินะทอร์เป็นมนุษย์เพศผู้มีศีรษะเป็นโคและมีหางโค ตามที่ซอฟาคลีส (Sophocles) นักละครชาวกรีก ประพันธ์ไว้ในงานเรื่อง ทราคีนีอี (Trachiniae) ว่า ผีเสื้อน้ำแอคีโลอัส (Achelous) เคยกล่าวไว้ในคราวเกี้ยวนางดีอาไนรา (Deianira) ว่า มินะทอร์หัวเป็นโคกายเป็นคน ตั้งแต่สมัยคลาสสิกจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา การพรรณนาเกี่ยวกับวงกตมักเอามินะทอร์เป็นที่ตั้ง[8] งานเขียนของโอวิดเกี่ยวกับมินะทอร์ แม้มิได้ให้รายละเอียดมากมายว่า กายมินะทอร์ส่วนใดเป็นคนส่วนใดเป็นโค แต่ก็แพร่หลายที่สุดในช่วงมัชฌิมยุค ส่วนงานเขียนในสมัยถัด ๆ มากลับนิยมกันใหม่ว่า มินะทอร์มีหัวและกายดั่งคนอยู่บนตัวโค ทำนองเดียวกับเซนทอร์ (centaur)[9] ความนิยมอย่างหลังนี้ปรากฏมาจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และปัจจุบันยังพบอยู่บ้าง เช่น ในผลงานที่สตีล แซวิจ (Steele Savage) วาดประกอบหนังสือเรื่อง มิโธโลจี (Mythology) ของอีดิธ แฮมิลตัน (Edith Hamilton) เมื่อ ค.ศ. 1942 ตาย![]() หลังจากมินะทอร์ถูกขังไว้ในวงกตแล้ว พระเจ้าไมนอสทรงเกิดหมางพระทัยกับกรุงเอเธนส์ เนื่องจากแอนโดรเจียส (Androgeus) พระโอรส ถูกชาวเอเธนส์ฆ่าตายกลางงานแข่งขันกีฬาแพแนเธเนีย (Panathenaic Games) เพราะชาวเอเธนส์ไม่ชอบใจที่แอนโดรเจียสชนะ อีกเรื่องว่า พระเจ้าอีเจียส (Aegeus) แห่งกรุงเอเธนส์ทรงบัญชาให้โคเผือกตัวข้างต้นไปสังหารแอนโดรเจียสกลางนครแมราธอน (Marathon) แต่ไม่ว่าด้วยเหตุใด พระเจ้าไมนอสได้เสด็จยกพยุหโยธาไปเอากรุงเอเธนส์เพื่อทรงแก้แค้นในการสูญเสียพระโอรสเป็นผลสำเร็จ และคาทัลลัส (Catullus) บรรยายไว้ในงานเขียนเรื่องกำเนิดมินะทอร์ ว่า กรุงเอเธนส์ "ถูกพิบัติภัยร้ายแรงบังคับให้ใช้ค่าปฏิกรรมในการคร่าชีวิตแอนโดรเจียส" โดยพระเจ้าอีเจียสต้องทรงชำระค่าปฏิกรรมนั้นด้วยการส่ง "ชายหนุ่มและหญิงโสดพร้อมกันไปเป็นภักษาหาร" ของมินะทอร์[10] ในการนี้ พระเจ้าไมนอสทรงกำหนดให้จับสลากเลือกชายเจ็ดคนหญิงเจ็ดคนส่งมาทุก ๆ เจ็ดปีหรือเก้าปี (บางแห่งว่าทุกปี)[11] เพื่อมาให้มินะทอร์บริโภคถึงในวงกต ในคราวที่จะต้องส่งคนไปเป็นครั้งที่สามนั้น ธีเซียส พระโอรสพระเจ้าอีเจียส อาสาไปฆ่ามินะทอร์ถวาย โดยให้คำมั่นว่า ถ้ากิจสำเร็จจะล่องเรือกลับมาโดยชักใบสีขาว หาไม่แล้วจะใช้ใบเรือสีดำอย่างเดิม ครั้นไปถึงเกาะครีต แอรีแอดนี (Ariadne) กับฟีดรา (Phaedra) ธิดาพระเจ้าไมนอส เกิดปฏิพัทธ์ธีเซียสด้วยกันทั้งคู่ นางแอรีแอดนีซึ่งเป็นคนพี่จึงเสด็จมาแนะวิธีรอดพ้นจากกลไกลวงกตให้แก่ธีเซียส โดยในบางเรื่องว่า นางมอบด้ายให้เขาผูกบานประตูไว้เมื่อเข้าไปในวงกต แล้วสาวด้ายทิ้งไว้ตามทางที่เดินไป เมื่อประหารมินะทอร์โดยใช้กระบี่ของพระเจ้าอีเจียสตัดศีรษะแล้ว เขาจึงหาทางกลับออกมาได้ โดยนำพาชายหญิงคนอื่น ๆ ที่เข้าไปพร้อมกันในคราวนั้นออกมาด้วย เมื่อกลับกรุงเอเธนส์ ธีเซียสทิ้งนางแอรีแอดนีไว้บนเกาะแน็กซอส (Naxos) แล้วเอานางฟีดราเป็นภริยาเพียงหนึ่งเดียว แต่ลืมเปลี่ยนใบเรือจากสีดำเป็นสีขาว ขณะนั้น พระเจ้าอีเจียสประทับอยู่บนแหลมซูเนียน (Sounion) ทอดพระเนตรเห็นใบเรือดำ เข้าพระทัยว่า พระโอรสถูกฆ่าด้วยเงื้อมมืออสุรกายมินะทอร์เสียแล้ว ก็โทมนัสคร่ำครวญ กระโจนจากแหลมนั้นลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่างปลิดพระชนม์พระองค์เอง ทะเลนั้นจึงขนานนามว่า อีเจียน[12] เป็นเหตุให้ธีเซียสได้ราชสมบัติต่อมา อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia