พิเชษฐ์ วิสัยจร
พลเอก พิเชษฐ์ วิสัยจร (ชื่อเล่น: แป๊ะ) อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก, อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีตราชองครักษ์พิเศษ[1] เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2493 ที่อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร การศึกษาพล.อ.พิเชษฐ์ จบการศึกษาจากโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย, โรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 11 (ตท.11-ร่วมรุ่นเดียวกับ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์, พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน, พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์, โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 22 (จปร.22-ร่วมรุ่นเดียวกับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล), โรงเรียนเสนาธิการทหารบกหลักสูตรประจำ ชุดที่ 61, วิทยาลัยเสนาธิการทหาร รุ่นที่ 44, วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 47 (วปรอ.47) และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพัฒนบูรณาการศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี สมรสกับ ผศ.ดร.ภัทรียา วิสัยจร อดีตรองธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีบุตรชายได้แก่ ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี การทำงานพล.อ.พิเชษฐ์ เป็นทหารราบ เริ่มรับราชการจากการเป็นผู้หมวดปืนเล็กกองร้อยอาวุธเบาที่ 23 กองพันทหารราบที่ 3 (ร.23 พัน3) ในพื้นที่ภาคอีสาน จากนั้นได้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่ได้รับเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4 ในปี พ.ศ. 2548, รองแม่ทัพภาคที่ 2 ในปี พ.ศ. 2549 และในปี พ.ศ. 2551 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 นอกจากนั้นยังเคยเป็นผู้บังคับบัญชา 972 ไทย-ติมอร์ตะวันออก ผลัดที่ 2 รักษาการสันติภาพที่ติมอร์ตามมติของสหประชาชาติอีกด้วย [2] ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารพัฒนา โดยเฉพาะด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชุมชน[3] เคยเป็นหัวหน้าพัฒนาโครงการเพื่อความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ป่าดงนาทาม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้รับรางวัลจากการทำงานด้านนี้จากหลายหน่วยงาน ผลงานด้านการทหารที่สำคัญเมื่อปี 2530 ขณะนั้นเป็นรองผู้บังคับกองพันได้นำกำลังเข้าโจมตีทหารเวียดนามบริเวณเนิน 382 ซึ่งรุกล้ำอธิปไตยเข้ามาในประเทศไทยบริเวณพื้นที่ช่องบกอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี จนเวียดนาม สูญเสียจำนวนมากและถอนตัวออกไป ฝ่ายเราบาดเจ็บสูญเสียเช่นกันและที่สำคัญ พ.ต.พิเชษฐ์ วิสัยจร ยศในขณะนั้นถูกสะเก็ดลูกกระสุนปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลังของเวียดนามได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากที่ภัยคอมมิวนิสต์และเวียดนามยุติลง พลเอกพิเชษฐ์ วิสัยจร ได้เห็นว่าภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นใหม่และความไม่มั่นคงตามแนวชายแดน คือภัยคุกคามจาก ความยากจนความไม่มีจะกิน ภัยจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ และยุทธศาสตร์ของทหารคือยุทธศาสตร์การต่อสู้แบบเบ็ดเสร็จ จึงได้ริเริ่มฝึกจัดตั้งราษฎรให้ช่วยกันรักษาป่าตามแนวชายแดนอีสานใต้ ซึ่งเป็นต้นน้ำลำธารเรียกว่า ราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า โดยเน้นเรื่อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การรักษาป่า การปลูกต้นไม้เป็นสมบัติของโลก เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ นอกจากนั้นยังเคยเป็นผู้บังคับบัญชา 972 ไทย-ติมอร์ตะวันออก ผลัดที่ 2 รักษาการสันติภาพที่ติมอร์ตามมติของสหประชาชาติอีกด้วย [4] ปี พ.ศ. 2547 เมื่อครั้งมาดำรง ตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4 ใน ได้ดำเนินการต่างๆ ไว้มากมาย อาทิโครงการเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ ,โครงการดำเนินงานส่งเสริมพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม,โครงการศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง, โครงการตาสับปะรด,โครงการคอมพิวเตอร์สู่ตาดีกา,โครงการแตงโมสมานฉันท์ ปี พ.ศ. 2551 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็น แม่ทัพภาคที่ 4 ทำให้โครงการต่าง ๆที่ดำเนินการไว้ โดยเฉพาะในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี และพื้นที่ บ.บอเกาะ ต.สากอ อ.สุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ที่เป็นพื้นที่นำร่องและเห็นเป็นรูปธรรม จะได้ขยายสู่ทั่วทุกพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกันนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์ 4 ด้านดังนี้ 1. การเมืองนำการทหาร 2. การแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี 3. ยึดหลักกฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรมบนหลักสิทธิมนุษยชน 4. การพัฒนาสมดุลยั่งยืนดังนั้นภายใต้อุดมการณ์ วิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ การแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี พ.ศ. 2553 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก[5] ระหว่างวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554 การรับราชการ
รางวัล
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
เหรียญสหประชาชาติ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia