พระเจ้าย็องโจแห่งโชซ็อน
พระเจ้าย็องโจ (เกาหลี: 영조; ฮันจา: 英祖; อาร์อาร์: Yeongjo; เอ็มอาร์: Yǒngjo ค.ศ. 1694 - ค.ศ. 1776) ทรงเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 21 แห่งราชวงศ์โชซ็อน (ค.ศ. 1724 - ค.ศ. 1776) พระเจ้าย็องโจทรงปฏิรูปการปกครองบ้านเมืองหลายประการ ทรงเป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ได้รับยกย่องที่สุดแห่งราชวงศ์โชซ็อน คู่กับพระนัดดา คือ พระเจ้าช็องโจแห่งโชซ็อน พระเจ้าย็องโจทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวที่สุดของราชวงศ์โชซ็อน ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายโนนนและฝ่ายโซนน![]() พระเจ้าย็องโจพระราชสมภพเมื่อค.ศ. 1694 เป็นพระโอรสของพระเจ้าซุกจง กับพระสนมเอกซุกบิน ตระกูลชเว ได้รับพระนามเป็น เจ้าชายย็อนอิง (연잉군 延礽君) ทรงเป็นองค์ชายที่ขุนนางฝ่ายตะวันตกให้การสนับสนุน มีพระเชษฐาต่างพระราชมารดาซึ่งเป็นพระโอรสของพระสนมฮีบิน ตระกูลชัง เมื่อปลายรัชสมัยพระเจ้าซุกจงขุนนางแตกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายตะวันตก (노론, 老論) สนับสนุนองค์ชายย็อนอิง ขณะที่ฝ่ายใต้ (소론, 少論) สนับสนุนเจ้าชายรัชทายาท เมื่อค.ศ. 1720 พระเจ้าซุกจงสวรรคต เจ้าชายรัชทายาทขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าคย็องจง แต่ทว่าพระเจ้าคย็องจงมีพระพลานามัยที่ไม่สู้จะดีนัก ทรงใช้เวลาทั้งรัชสมัยส่วนใหญ่ไปกับการประชวรทำให้ทรงว่าราชการไม่ได้ และอำนาจจึงตกแก่ขุนนางฝ่ายโซนน ที่สำคัญพระเจ้าคย็องจงทรงไม่มีพระโอรสไว้สืบทอดราชบัลลังก์ ขุนนางฝ่ายโนนนจึงยื่นฎีกาถวายขอให้แต่งตั้งเจ้าชายย็อนอิงเป็น พระอนุชารัชทายาท หรือ วังเซเจ (왕세제, 王世弟) ซึ่งพระเจ้าคย็องจงก็ทรงอนุมัติเมื่อค.ศ. 1721 แต่เมื่อขุนนางฝ่ายโนนนพยายามจะผลักดันพระอนุชารัชทายาทขึ้นมาอีกขั้นโดยการขอให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ขุนนางโซนนจึงกล่าวหาว่าฝ่ายโนนนกำลังพยายามจะผลักดันให้องค์ชายย็อนอิงขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทนพระเจ้าคย็องจง จึงเกิดการกวาดล้างขุนนางฝ่ายโนนนเมื่อค.ศ. 1722 ที่เรียกว่า การลงทัณฑ์ปีชินอิม (신임옥사, 辛壬獄事) ขุนนางฝ่ายโนนนถูกประหารชีวิตและเนรเทศ[1] รวมถึงพระสนมโซฮุน ตระกูลอี ซึ่งเป็นพระสนมของพระอนุชารัชทายาท (ภายหลังได้เป็น พระสนมช็องบิน ตระกูลอี 정빈 이씨, 靖嬪 李氏) และเป็นมารดาของเจ้าชายคย็องอี (경의군, 敬義君 ภายหลังเป็น เจ้าชายรัชทายาทฮโยจัง) ถูกสำเร็จโทษไปในคราวนี้ด้วย พระอนุชารัชทายาทจึงได้สำเร็จราชการแทนพระเจ้าคย็องจง จนพระเจ้าคย็องจงสวรรตเมื่อค.ศ. 1724 พระอนุชารัชทยาทจึงได้ขึ้นครองราชสมบัติ และแต่งตั้งองค์ชายคย็องอีพระโอรสเป็นองค์ชายรัชทายาท รัชสมัยพระเจ้าย็องโจแม้จะทรงขึ้นครองราชสมบัติแล้วพระเจ้าย็องโจยังต้องทรงเผชิญกับปัญหาการต่อต้านจากฝ่ายโซนน ขุนนางฝ่ายโซนนกล่าวหาว่าฝ่ายโนนนได้กระทำการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าคย็องจงเพื่อนำพระเจ้าย็องโจขึ้นครองราชย์ พระเจ้าย็องโจจึงทรงประกาศแผนการเพื่อความสมานฉันท์ (탕평책, 蕩平策)[2] ในปีค.ศ. 1728 เป็นการประกาศยุติการแบ่งฝ่ายของขุนนางและลงโทษขุนนางที่แสดงออกเป็นฝักฝ่าย แต่กลายเป็นว่าขุนนางฝ่ายโซนนกลายเป็นเป้าโจมตีถึงการแบ่งพรรคแบ่งพวก ทำให้ขุนนางฝ่ายโซนนต้องโทษและถูกเนรเทศออกราชสำนักจนหมด ฝ่ายโนนนจึงขึ้นมามีอำนาจ จนทำให้ขุนนางฝ่ายโซนนที่ถูกเนรเทศ นำโดย อีอินจวา (이인좌, 李麟佐) ก่อการกบฏในปีค.ศ. 1729 เพื่อยึดบัลลังก์ให้กับองค์ชายมิลพง (밀풍군, 密豊君 ลื่อของ เจ้าชายรัชทายาทโซฮย็อน) แต่ฝ่ายพระเจ้าย็องโจก็สามารถปราบปรามกบฏลงได้ ทำให้ฝ่ายโซนนถูกกวาดล้างไปหมดสิ้น ในสมัยพระเจ้าย็องโจ การค้าของโชซ็อนพัฒนาขึ้นมามาก[3] ผู้คนในทุกระดับชั้นตั้งแต่ชาวบ้านถึงขุนนางพากับประกอบธุรกิจการค้า ชนชั้นพ่อค้าเรืองอำนาจและได้รับการสนับสนุนจากราชสำนักในการผูกขาดสินค้าแต่ละชนิดให้เป็นของตน เป็นการละทิ้งแนวความคิดแบบขงจื้อเดิม ที่ประมาณอาชีพค้าขายว่าเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ แต่ถ้าจะเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างราชวงศ์ชิงหรือญี่ปุ่นแล้ว กิจกรรมการค้าในเกาหลีนั้นยังไม่พัฒนาไปถึงขั้นนั้น เพียงแต่จากเดิมที่กิจกรรมการค้าจะมีนานๆทีก็กลายเป็นมีทุกวัน โดยเฉพาะในฮันยาง เจ้าชายรัชทายาทสิ้นพระชนม์เมื่อค.ศ. 1728 ได้รับพระนาม เจ้าชายรัชทายาทฮโยจัง (효장세자, 孝章世子) พระเจ้าย็องโจจึงทรงขาดรัชทายาท จนกระทั่งพระสนมย็องบิน ตระกูลอี (영빈 이씨, 暎嬪 李氏) ประสูติพระโอรสในค.ศ. 1735 ในขณะที่พระมเหสีไม่มีพระโอรส พระเจ้าย็องโจจึงทรงตั้งขึ้นเป็น ภายหลังได้รับพระนาม เจ้าชายรัชทายาทซาโด (사도세자, 思悼世子) นโยบายความสมานฉันท์ของพระเจ้าย็องโจทำให้รัชสมัยของพระองค์ค่อนข้างสงบสุข ปราศจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายขุนนาง เป็นผลให้ประเทศเกาหลีมีโอกาสพัฒนาในด้านต่าง ๆ พระเจ้าย็องโจยังทรงได้ชื่อว่าทรงห่วงใยราษฎรโดยการเสด็จออกนอกวังไปเยี่ยมและถือความเดือดร้อนของราษฎรเป็นสำคัญ อย่างที่กษัตริย์เกาหลีเพราะองค์ก่อนๆไม่เคยทำ เรียกได้ว่า พระเจ้าย็องโจทรงเข้าใกล้ความเป็นกษัตริย์ในอุดมคติตามลัทธิขงจื้อ ทรงลดความหรูหราของราชสำนัก เพื่อลดค่าใช้จ่าย หรือทรงแม้แต่ห้ามการดื่มสุรา ซึ่งเป็นนโยบายที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของพระองค์ และยังทรงเลิกการใส่วิกผมของสตรีชั้นสูง[4] แม้ว่าพระเจ้าย็องโจจะทรงไม่เลือกฝ่ายขุนนาง แต่ในรัชสมัยของพระองค์นั้นขุนนางส่วนใหญ่มากจากฝ่ายโนนนทั้งสิ้น นำโดยคิมฮันกู (김한구, 金漢耉) พระราชบิดาของพระมเหสี และฮงพงฮัน (홍봉한, 洪鳳漢) พระบิดาของพระชายาขององค์ชายรัชทายาท เมื่อค.ศ. 1749 พระเจ้าย็องโจทรงตั้งเจ้าชายรัชทายาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทน (승명대리, 承命代理)[5] เจ้าชายรัชทายาทซึ่งตลอดมาถูกขุนนางฝ่ายโนนนโจมตีนั้น ทรงหันไปหาขุนนางฝ่ายโซนน ซึ่งหมดอำนาจไปตั้งแต่ต้นรัชกาล ทำให้เจ้าชายรัชทายาททรงเป็นที่เพ่งเล็งของพระเจ้าย็องโจและขุนนางฝ่ายโนนน เจ้าชายซาโดพระเจ้าย็องโจทรงเข้มงวดกับเจ้าชายรัชทายาทอย่างมาก จนสร้างความเครียดให้กับเจ้าชายรัชทายาทจนทรงเสียพระสติ ทรงเข่นฆ่าข้าราชบริพารและนางรับใช้ แอบลักลอบออกไปประพาสนอกพระราชวัง จนในค.ศ. 1762 ขุนนางฝ่ายโนนนที่ชื่อว่า นาคย็องออน (나경언, 羅景彦) ซึ่งน้องชายได้ถูกเจ้าชายรัชทายาทสังหาร ได้ถวายฎีกาขอให้พระเจ้าย็องโจทรงลงพระอาญาเจ้าชายรัชทายาท ขุนนางฝ่ายโนนนพากันรบเร้าให้พระเจ้าย็องโจทำตามฎีกาของนาคย็องออน พระเจ้าย็องโจยังทรงลังเลอยู่จนกระทั่งพระสนมย็องบิน[6] พระราชมารดาของเจ้าชายรัชทายาท ขอให้พระเจ้าย็องโจทรงทำตามเพื่อความสงบของประเทศ เจ้าชายรัชทายาทจึงทรงถูกปลดและลงพระอาญาให้เสด็จเข้าไปอยู่ในกล่องไม้ใส่ข้าว หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน อดีตเจ้าชายรัชทายาทก็สิ้นพระชนม์ ต่อมาภายหลังพระเจ้าย็องโจทรงคืนตำแหน่งให้แก่อดีตเจ้าชายรัชทายาท พระนามว่า เจ้าชายรัชทายาทซาโด เหตุการณ์สำเร็จโทษเจ้าชายรัชทายาทซาโดนั้นทำให้เกิดการแตกแยกครั้งใหม่ในหมู่ขุนนาง คือ ฝ่ายที่เห็นชอบกับการสำเร็จโทษของเจ้าชายรัชทายาทยาทซาโด เรียกว่า ฝ่ายพยอกพา (벽파, 僻派) และฝ่ายที่ไม่เห็นชอบกับการสำเร็จโทษเจ้าชาย และควรจะคืนตำแหน่งและเกียรติยศให้ดังเดิม เรียกว่า ฝ่ายชิพา (시파, 時派) ราชสำนักจึงเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความขัดแย้งอีกครั้ง เมื่อค.ศ. 1775 พระเจ้าย็องโจทรงตั้งพระนัดดารัชทายาท (왕세손, 王世孫) ที่เป็นพระโอรสของเจ้าชายรัชทายทาซาโด เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ท่ามกลางการต่อต้านจากขุนนางฝ่ายพยอกพา พระเจ้าย็องโจสวรรคตในค.ศ. 1776 พระนัดดารัชทายาทขึ้นครองราชย์ต่อเป็นพระเจ้าช็องโจ มีพระสุสานพระนามว่า ว็อนนึง (원릉, 元陵) พระนามเต็ม
พระบรมวงศานุวงศ์
พระมเหสี
พระสนม
พระราชโอรส
พระราชธิดา
พงศาวลี
หมายเหตุ
อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia