ประเทศลิทัวเนีย
55°N 24°E / 55°N 24°E ลิทัวเนีย (อังกฤษ: Lithuania; ลิทัวเนีย: Lietuva, ออกเสียง [lʲɪɛtʊˈvɐ]) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐลิทัวเนีย (อังกฤษ: Republic of Lithuania; ลิทัวเนีย: Lietuvos Respublika) เป็นประเทศในภูมิภาคบอลติกของยุโรป เป็นหนึ่งในสามรัฐบอลติกและตั้งอยู่ริมชายฝั่งตะวันออกของทะเลบอลติก มีอาณาเขตติดต่อกับลัตเวียทางทิศเหนือ ติดต่อกับเบลารุสทางทิศตะวันออกและทิศใต้ ติดต่อกับโปแลนด์ทางทิศใต้ และติดต่อกับแคว้นคาลินินกราดของรัสเซียทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ลิทัวเนียมีเนื้อที่ 65,300 ตารางกิโลเมตร (25,200 ตารางไมล์) และมีประชากร 2.8 ล้านคน เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือวิลนีอัส ส่วนเมืองใหญ่อื่น ๆ ได้แก่ เกานัสและเกล็ยเปดา ชาวลิทัวเนียจัดอยู่ในกลุ่มภาษาศาสตร์ชาติพันธุ์บอลต์และพูดภาษาลิทัวเนียซึ่งเป็นหนึ่งในภาษากลุ่มบอลต์เพียงไม่กี่ภาษาที่ยังมีผู้ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นเวลานับพันปีที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลบอลติกเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าบอลต์หลายเผ่า ในคริสต์ทศวรรษ 1230 มินเดากัสได้รวบรวมดินแดนลิทัวเนียเข้าเป็นหนึ่งเดียวแล้วก่อตั้งราชอาณาจักรลิทัวเนียเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1253 ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป[14] ลิทัวเนีย เบลารุส ยูเครน รวมทั้งบางส่วนของโปแลนด์และรัสเซียล้วนเคยเป็นดินแดนของแกรนด์ดัชชีนี้ ราชบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรโปแลนด์และแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียเป็นรัฐร่วมประมุขโดยพฤตินัยตั้งแต่ ค.ศ. 1386 ผ่านการอภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จพระราชินีนาถยัดวีกาแห่งโปแลนด์กับแกรนด์ดุ๊กยอกายลาแห่งลิทัวเนียซึ่งได้รับราชาภิเษกเป็นพระเจ้าววาดึสวัฟที่ 2 ยากีแยววอ ตามสิทธิ์ของคู่อภิเษก เครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนียได้รับการจัดตั้งขึ้นตามข้อตกลงสหภาพลูบลินในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1569 และดำรงอยู่เป็นเวลานานกว่าสองศตวรรษก่อนจะถูกประเทศเพื่อนบ้านแบ่งแยกเอาดินแดนไประหว่าง ค.ศ. 1772–1795 โดยดินแดนส่วนใหญ่ของลิทัวเนียถูกผนวกเข้ากับจักรวรรดิรัสเซีย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ได้มีการลงนามในรัฐบัญญัติเอกราชลิทัวเนียเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 เพื่อจัดตั้งสาธารณรัฐลิทัวเนียสมัยใหม่ขึ้น ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ลิทัวเนียถูกสหภาพโซเวียตและเยอรมนีนาซีเข้ายึดครองตามลำดับ ในช่วงท้ายของสงครามใน ค.ศ. 1944 ระหว่างที่เยอรมนีถอนตัวออกไป สหภาพโซเวียตได้กลับเข้ายึดครองลิทัวเนียอีกครั้ง พลพรรคชาวลิทัวเนียทำสงครามกองโจรต่อต้านการยึดครองของสหภาพโซเวียตมาจนถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1990 หนึ่งปีก่อนการล่มสลายอย่างเป็นทางการของสหภาพโซเวียต ลิทัวเนียได้ผ่านร่างรัฐบัญญัติจัดตั้งรัฐลิทัวเนียขึ้นใหม่และกลายเป็นสาธารณรัฐโซเวียตแห่งแรกที่ประกาศเอกราช[15] ลิทัวเนียเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีระบบเศรษฐกิจก้าวหน้ารายได้สูงและมีดัชนีการพัฒนามนุษย์อยู่ในระดับสูงมาก ได้รับการจัดอันดับที่ดีในด้านเสรีภาพพลเมือง เสรีภาพสื่อ เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต วิธีการปกครองระบอบประชาธิปไตย และความสงบสุข ลิทัวเนียเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป สภายุโรป ยูโรโซน ธนาคารเพื่อการลงทุนนอร์ดิก ความตกลงเชงเกน องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ และองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคนอร์ดิก-บอลติกแปดและเป็นผู้สังเกตการณ์ถาวรในสภานอร์ดิก ภูมิศาสตร์มีพื้นที่ 65,300 ตารางกิโลเมตร ใหญ่ที่สุดในจำนวน 3 ประเทศแถบบอลติก (เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย) พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าสนและเนินทราย ลิทัวเนียเป็นแหล่งอำพันที่สำคัญ การเมืองการปกครองฝ่ายบริหารระบบการเมือง มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ภายใต้รัฐธรรมปัจจุบันซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1992 ฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภาใช้ระบบสภาเดียว เรียกว่า เซย์มัส (Seimas) จำนวนสมาชิกสภาทั้งหมด 141 คน (71 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง อีก 70 คน มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน) มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี พรรคการเมืองจะต้องได้รับคะแนนเสียงเกินร้อยละ 4 จากการลงคะแนนเสียงทั่วประเทศ จึงจะมีสิทธิเข้าร่วมในรัฐสภา ยกเว้นพรรคที่มาจากชนกลุ่มน้อย คณะรัฐบาลดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระของสมาชิกรัฐสภาเว้นแต่สมาชิกคณะรัฐบาลจะลาออก หรือรัฐสภาลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วยเสียงข้างมากเด็ดขาด ประธานสภาเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี สถานการณ์การเมืองปัจจุบันสถานภาพทางการเมืองของลิทัวเนียในสายตาของนานาชาตินั้นถือได้ว่ามีเสถียรภาพและเอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุน ภายหลังจากการถอนทหารรัสเซียออกจากลิทัวเนียตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1996 กอปรกับชนกลุ่มน้อยชาวรัสเซียในลิทัวเนียไม่มีบทบาทสำคัญทางการเมือง จึงส่งผลทำให้การบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลลิทัวเนียในเรื่องชนกลุ่มน้อยค่อนข้างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศบอลติกอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ ลัตเวียและเอสโตเนีย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 ลิทัวเนียและประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มบอลติก คือ เอสโตเนียและลัตเวีย พร้อมด้วยสาธารณรัฐเช็ก ไซปรัส ฮังการี มอลตา โปแลนด์ สโลวีเนีย และสโลวาเกีย ได้เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปอย่างสมบูรณ์ ก่อนหน้านี้ ลิทัวเนียและกลุ่มประเทศบอลติกพยายามที่จะดำเนินการเจรจาเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในขั้นตอนต่าง ๆ และการปฏิบัติตามเงื่อนไขของการเข้าเป็นสมาชิกใหม่ให้เสร็จสิ้นลุล่วงใน ค.ศ. 2002 เพื่อที่จะได้มีความพร้อมสำหรับการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปใน ค.ศ. 2004 การเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือลิทัวเนียได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (เนโท) ใน ค.ศ. 2002 โดยรัฐบาลดำเนินนโยบายในเชิงรุกเพื่อสร้างความตื่นตัวและความกระตือรือร้นให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกภาพเนโทของลิทัวเนียในด้านต่าง ๆ และจะมีการติดต่อหารืออย่างต่อเนื่องกับประเทศสมาชิกเนโท เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของลิทัวเนีย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2003 สมาชิกเนโท 19 ประเทศได้ลงนามในพิธีสารว่าด้วยการรับสมาชิกใหม่ 7 ประเทศ คือ บัลแกเรีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย โรมาเนีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ที่กรุงบรัสเซลส์ ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2004 ประเทศสมาชิกเนโทใหม่ทั้ง 7 ประเทศได้มอบภาคยานุวัตรสารให้แก่รัฐบาลสหรัฐที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การพัฒนาสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านลิทัวเนียให้ความสำคัญแก่การพัฒนาความสัมพันธ์และความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดกับโปแลนด์ การแสวงหาความร่วมมือในภูมิภาคยุโรปเหนือกับกลุ่มประเทศแถบทะเลบอลติกและกลุ่มประเทศนอร์ดิก การกระชับความร่วมมือกับรัสเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ พลังงาน การคมนาคมขนส่ง รวมทั้งการขยายความร่วมมือกับเบลารุสและประเทศต่าง ๆ ในแถบทะเลดำ การดำเนินนโยบายการทูตเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมลิทัวเนียจะมุ่งเน้นการพัฒนาในการส่งออกและการแสวงหาการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของลิทัวเนีย ขณะเดียวกัน มุ่งเน้นให้ความสำคัญมากขึ้นแก่มิติความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรมกับประเทศต่าง ๆ เพื่อที่จะส่งผลเกื้อกูลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศของลิทัวเนีย การแบ่งเขตการปกครอง![]() การแบ่งเขตการปกครองตามระบบปัจจุบันมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1994 และได้รับการปรับปรุงใน ค.ศ. 2000 เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรป ลิทัวเนียประกอบด้วยเทศมณฑล (apskritis) 10 เทศมณฑล แต่ละเทศมณฑลแบ่งออกเป็นเทศบาล (savivaldybė) รวมทั้งหมด 60 เทศบาล และแต่ละเทศบาลแบ่งออกเป็นแขวง (seniūnija; แปลว่า เขตผู้อาวุโส) รวมทั้งหมด 545 แขวง เทศบาลกลายเป็นหน่วยการปกครองระดับแรกของลิทัวเนียนับตั้งแต่หน่วยงานบริหารของเทศมณฑลถูกยุบเลิกไปใน ค.ศ. 2010[16] บางเทศบาลมีฐานะเป็น "เทศบาลเขต" (มักเรียกสั้น ๆ ว่า "เขต") ในขณะที่บางเทศบาลมีฐานะเป็น "เทศบาลนคร" (บางครั้งเรียกสั้น ๆ ว่า "นคร") แต่ละเทศบาลมีฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลแต่เดิมจัดขึ้นทุกสามปี แต่ในปัจจุบันจัดขึ้นทุกสี่ปี สภาเทศบาลจะแต่งตั้งกำนันแขวง (seniūnas; แปลว่า ผู้อาวุโส) เพื่อปกครองแขวง นายกเทศมนตรีได้รับการเลือกตั้งทางตรงตั้งแต่ ค.ศ. 2015 ก่อนหน้านั้นมาจากการแต่งตั้งของสภาเทศบาล[17] แขวงซึ่งมีจำนวนมากกว่า 500 แขวงเป็นหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุดและไม่มีบทบาทในการเมืองระดับชาติ มีหน้าที่หลักเพียงการให้บริการสาธารณะที่จำเป็นในท้องถิ่น เช่น การแจ้งเกิดและการแจ้งตายในชนบท เป็นต้น แขวงมีบทบาทมากที่สุดในภาคสังคม โดยพิสูจน์ทราบบุคคลหรือครอบครัวที่มีความขัดสนและจัดหาสวัสดิการรวมทั้งการบรรเทาทุกข์ในรูปแบบอื่น ๆ[18] พลเมืองบางคนรู้สึกว่าแขวงไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงและได้รับความสนใจน้อยเกินไป หาไม่แล้ว แขวงเหล่านี้อาจกลายเป็นแหล่งกำเนิดของความริเริ่มแก้ไขปัญหาในชนบทก็ได้[19] เศรษฐกิจ
ประชากรศาสตร์จากสำมะโนประชากรและเคหะใน ค.ศ. 2011 ลิทัวเนียมีประชากร 3,043,429 คน เป็นชาวลิทัวเนียร้อยละ 84.2 ชาวโปลร้อยละ 6.6 ชาวรัสเซียร้อยละ 5.8 ชาวเบลารุสร้อยละ 1.2 และชาวยูเครนร้อยละ 0.5[20][21] ภาษาราชการคือภาษาลิทัวเนียซึ่งเป็นภาษาแม่ของประชากรประมาณร้อยละ 85 ของประเทศ ประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมากที่สุด แต่ชาวรัสเซียในลิทัวเนียนับถือศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์เป็นหลัก[3] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
Portal di Ensiklopedia Dunia