ตำบลหน้าถ้ำ
หน้าถ้ำ หรือภาษามลายูปัตตานีว่า บาโย[2] เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา มีพื้นที่ 9.18 ตารางกิโลเมตร[3] เป็นตำบลที่มีขนาดและประชากรน้อยที่สุดของอำเภอเมืองยะลา[4] ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทยพุทธ[2] และเป็นที่ตั้งของวัดคูหาภิมุข ศาสนสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดยะลา[5] ประวัติตำบลหน้าถ้ำมีร่องรอยของการอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังพบหลักฐานภาพเขียนที่ถ้ำศิลป จนถึงยุคประวัติศาสตร์ราวพุทธศตวรรษที่ 14-15 เพราะพบว่าถ้ำหลายแห่งในตำบลนี้มีร่องรอยของการดัดแปลงเป็นพุทธสถานแบบมหายาน[2] ก่อนถูกทิ้งให้โรยราไป ราวสองร้อยปีก่อน มีประชาชนเข้ามาลงหลักปักฐาน ณ ตำบลหน้าถ้ำ โดยอพยพมาจากจังหวัดปัตตานี, สงขลา และพัทลุง[2] โดยชนกลุ่มแรกที่ตั้งถิ่นฐานนั้นเป็นชาวไทยเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลาม กระทั่งในปี พ.ศ. 2392 ชาวมุสลิมบ้านหน้าถ้ำได้ค้นพบพระพุทธรูปในถ้ำคูหาภิมุข ครั้นชาวจีนและไทยพุทธบ้านเปาะเส้งทราบข่าวจึงได้ขอเจรจาแลกเปลี่ยนพื้นที่ตั้งชุมชนกับชาวมุสลิมเพราะตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณพุทธสถานที่ไม่ใช่สิ่งที่ตนนับถือ ด้วยเหตุนี้ชาวมุสลิมบ้านหน้าถ้ำจึงย้ายไปอยู่ที่บ้านเปาะเส้ง และชาวพุทธเปาะเส้งก็ย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านหน้าถ้ำจนถึงปัจจุบัน[6] ในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีชาวไทยพุทธจากเมืองยะหริ่งอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่ 10 ครัวเรือน และได้ขออนุญาตจากเจ้าเมืองยะลาเพื่อสร้างวัดหน้าถ้ำ[2] ที่ต่อมาจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดคูหาภิมุข"[5][7] ส่วนชื่อบาโย ในภาษามลายูปัตตานีนั้นมีความหมายว่า "ต้นพรากวาง" ซึ่งมีมากบนเขาหน้าถ้ำ[2] มีการจัดตั้งบ้านหน้าถ้ำเป็นตำบลหน้าถ้ำเมื่อปี พ.ศ. 2540[3] ที่ตั้งและอาณาเขตตำบลหน้าถ้ำอยู่ทางทิศตะวันตกของอำเภอเมืองยะลา มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังนี้[8]
ประชากรตำบลหน้าถ้ำมีประชากรทั้งหมด 3,315 คน แบ่งเป็นชาย 1,674 คน และเป็นหญิง 1,641 คน (สำรวจเมื่อ พ.ศ. 2561)[1] ประชากรประกอบไปด้วยชาวไทยพุทธ ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวไทยเชื้อสายมลายู ในปี พ.ศ. 2553 มีการประมาณการว่าประชากรร้อยละ 70 นับถือศาสนาพุทธ อาศัยอยู่ในบ้านหน้าถ้ำและบ้านหน้าถ้ำเหนือ และร้อยละ 30 นับถือศาสนาอิสลาม อาศัยอยู่ในบ้านบันนังลูวาและบ้านกูแบอีเต๊ะ (บาเต๊ะ)[2] มีมัสยิดจำนวนสามแห่งและวัดหนึ่งแห่ง[9] ทั้งนี้ชาวพุทธและชาวมุสลิมต่างรักใคร่สนิทสนมกันดี เมื่อชาวพุทธมีงานบุญชาวมุสลิมก็จะมาเยี่ยมชมงาน หากมีงานบุญที่มัสยิดชาวพุทธก็มีส่วนร่วมในการจัดขบวนแห่ ทั้งยังให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่เสมอ อาทิชาวมุสลิมบริจาคที่ดินเพื่อสร้างถนนเข้าถ้ำศิลปสำหรับพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยไม่คิดมูลค่า[2] ประเพณีของชาวพุทธในตำบลนี้มีความใกล้เคียงกับชาวพุทธในภาคใต้ทั่วไป เช่น วันสงกรานต์ งานบุญชักพระ ชิงเปรต และลอยกระทง แต่ไม่คึกคักดังเก่าเนื่องจากมีเหตุการณ์ความไม่สงบ และยกเลิกงานประกวดนางนพมาศ[10] ด้านการศึกษา มีโรงเรียนประถมศึกษาสองแห่ง ได้แก่โรงเรียนวัดหน้าถ้ำ (พุทธไสยานุสรณ์) และโรงเรียนบ้านบันนังดูวา และตาดีกาอีกสามแห่ง[9] ภูมิศาสตร์ตำบลหน้าถ้ำเป็นตำบลขนาดเล็ก มีพื้นที่ทั้งหมด 9.18 ตารางกิโลเมตร[3] และห่างจากตัวเมืองยะลาเพียง 8 กิโลเมตร[11] พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมทุกปีซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้สำหรับเกษตรกรรม[8] มีภูเขาหินปูนสองลูกคือภูเขาหน้าถ้ำ (บูเกะบาโย) และภูเขากำปั่น (บูเกะตาแป) มีถ้ำที่มีชื่อเสียงอาทิ ถ้ำสำเภา และถ้ำมณโฑ[7] รวมไปถึงถ้ำที่เป็นโบราณสถานของท้องถิ่น ได้แก่ ถ้ำพระนอน, ถ้ำ ป.ป.ร., ถ้ำมืด, ถ้ำศิลป และถ้ำเสือ[2] เศรษฐกิจประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ปลูกไม้ผล และยางพารา[8] ที่บ้านหน้าถ้ำเหนือบางครอบครัวเก็บมูลค้างคาวขายเป็นอาชีพเสริมด้วย[7] เฉพาะในบ้านหน้าถ้ำจะมีพัฒนาการดุจสังคมเมืองเป็นหมู่บ้านใหญ่เพราะมีวีดคูหาภิมุขเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ชาวบ้านมีการศึกษาดี และมีอาชีพค่อนข้างหลากหลาย[2] เขตการปกครองตำบลหน้าถ้ำ แบ่งเขตการปกครองเป็น 4 หมู่บ้าน[2] และมีประชากรเมื่อ พ.ศ. 2561 ดังนี้[1]
อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia