ตำบลยม
ยม เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของตัวอำเภอ ประวัติการก่อตั้งเมืองตำบลยม หรือ เมืองยมในสมัยพญาภูคาคือพื้นที่บริเวณเมืองย่างหรือเมืองล่าง (ปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่ ตำบลยม , ตำบลจอมพระ อำเภอท่าวังผา และตำบลศิลาเพชร , ตำบลอวน อำเภอปัว) โดยพบบริเวณชุมชนโบราณเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำย่างและลำน้ำบั่ว ตามประวัติการก่อตั้งกล่าวว่าเมื่อปี พ.ศ. 1820 พญาภูคา พร้อมด้วยราชเทวีคือ พระนางจำปาชายา (นางแก้วฟ้า) และราษฎรประมาณ 220 คน ได้เดินทางมาจากเมืองเงินยาง มาพักอยู่ที่บริเวณบ้านเฮี้ย (ตำบลศิลาแลง) จากนั้นได้ออกสำรวจหาพื้นที่สำหรับที่จะตั้งบ้านเมือง จนได้พบเมืองร้างลุ่มแม่น้ำย่างที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยภูคา ซึ่งเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ มีชื่อว่า "บ้านกำปุง" หรือ "บ่อตอง" (ปัจจุบันคือ บ้านป่าตอง ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว) ราษฎรที่อาศัยเดิมอยู่นั่นเป็นชาวลัวะ บริเวณชุมชนมีวัดร้างอยู่วัดหนึ่งชื่อ "วัดมณี" อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านกำปุง พญาภูคาเห็นว่าบริเวณที่ได้สำรวจนี้เหมาะสมที่จะตั้งเมือง จึงได้พาราษฎรอพยพจากบ้านเฮี้ยมาสร้างบ้านเรือนอยู่ติดกับบ้านกำปุงทางทิศเหนือ และเนื่องด้วยพญาภูคาเป็นผู้มีความเมตตาโอบอ้อมอารี ราษฎรจึงได้ยกย่องขึ้นเป็นเจ้าเมืองล่าง เมื่อเดือน 3 เหนือ ขึ้น 2 ค่ำ พ.ศ. 1840 นับว่าท่านได้เป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์ภูคา เมื่อชาวเมืองเชียงแสนและเมืองใกล้เคียงได้ทราบข่าวว่าพญาภูคาได้ตั้งและได้ปกครองเมืองล่าง ก็พากันอพยพถิ่นฐานมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ตลอดจนชาวไทยลื้อสิบสองปันนาก็ได้อพยพมาอยู่เพิ่มขึ้นอีก จึงทำให้เกิดการตั้งชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นบริเวณลุ่มน้ำย่างและน้ำบั่ว ครอบคลุมบริเวณตำบลศิลาเพชร ตำบลยม ตำบลจอมพระ ตำบลอวนในปัจจุบัน พญาภูคามีราชบุตรกับนางจำปา 2 องค์ องค์โตชื่อ ขุนนุ่น องค์เล็กชื่อ ขุนฟอง เมื่อขุนนุ่นอายุได้ประมาณ 18 ปี พญาภูคาจึงให้ขุนนุ่นพาราษฎรจำนวนหนึ่งไปหาที่ตั้งเมืองใหม่ ขุนนุ่นจึงไปหาพญาเถรแตงที่ดอยติ้ว ดอยวาว (เขตติดต่อระหว่างอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน กับอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาปัจจุบัน) พญาเถรแตงจึงได้พาขุนนุ่นข้ามแม่น้ำโขงไปทางฝั่งตะวันออกไปสร้างเมืองหลวงพระบางและปกครองอยู่ที่นั่น ส่วนขุนฟองผู้น้องให้ไปสร้างเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า "วรนคร" อยู่ทางทิศเหนือของเมืองล่าง (ปัจจุบันคือตำบลวรนคร) ขุนฟองท่านมีราชบุตร 1 องค์ชื่อ เจ้าเก้าเกื่อน พญาภูคาปกครองเมืองล่างได้ 40 ปี ก็ถึงอนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 1890 เจ้าเก้าเกื่อนซึ่งมีศักด์เป็นหลานได้ปกครองเมืองล่างสืบแทน ในสมัยนั้นพญางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา ได้ยกทัพมาตีเมืองวรนคร เจ้าเก้าเกื่อนได้ช่วยพ่อคือขุนฟองปราบข้าศึกจนพ่ายแพ้ไป ในครั้งนั้นได้รับสนับสนุนกองกำลังจากกรุงสุโขทัย ก่อนที่จะชิงเมืองคืนนั้นได้จัดทำสนามไว้สำหรับชุมชนช้างม้าที่เป็นพาหนะออกทำศึกในที่ดอนแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านดอนไชย) มีการสร้างคูเมืองและป้อมปราการเมืองเพื่อป้องกันข้าศึกมากมาย บริเวณข้างพระธาตุจอมพริกและบนสันดอยม่อนหลวง (บ้านลอมกลางปัจจุบัน) เมื่อได้รับชัยชนะต่อพญางำเมืองแล้ว เจ้าเก้าเกื่อนปกครองเมืองล่างอยู่นั้น ท่านได้พาราษฎรสร้างเจดีย์ขึ้นที่ม่อนพักหรือม่อนป่าสัก (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านดอนมูล) และได้สร้างองค์พระธาตุจอมพริกบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับมอบจากกรุงสุโขทัยคราวไปขอกำลังเพื่อชิงเมืองจากพญางำเมือง เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่รบชนะพญางำเมือง และเจ้าเก้าเกื่อนได้นำต้นโพธิ์ที่ได้รับมาจากสุโขทัย มาปลูกไว้ใกล้กับบ้านบ่อตองทางทิศตะวันตก พร้อมทั้งสร้างเจดีย์องค์เล็ก ๆ 1 องค์ใกล้กับต้นโพธิ์ นำเอาเพชรนิลจินดาแก้วแหวนเงินทองของมีค่าต่าง ๆ บรรจุไว้ในเจดีย์ ปัจจุบันไม่ปรากฏเจดีย์ให้เห็น เนื่องจากต้นโพธิ์โตขึ้นครอบเจดีย์องค์เล็กจมหายลงไปในดินนานนับหลายร้อยปีแล้ว คงเหลือแต่ต้นโพธิ์ใหญ่ที่สุดในตำบลศิลาเพชร พ.ศ. 1921 ต่อจากนั้นเมืองล่างจึงไปขึ้นกับเมืองวรนคร อยู่ในความปกครองของพญาผานองซึ่งเป็นราชวงค์ภูคาด้วยกัน พญาผานองได้เปลี่ยนชื่อเมืองล่าง เป็น "เมืองย่าง" โดยเรียกตามลำน้ำย่างที่ไหลผ่าน แล้วได้แต่งตั้งเจ้าผาฮ่องขึ้นปกครองเมืองย่างซึ่งปกครองได้ไม่นานก็สุรคต ต่อมาพญากานเมือง กษัตริย์วรนครองค์ที่ 5 แห่งราชวงค์ภูคาได้ย้ายเมืองวรนครไปตั้งที่เมืองภูเพียงแช่แห้ง เมื่อ พ.ศ. 1902 ราษฎรเมืองย่างบางส่วนได้อพยพตามพญากานเมืองไปอยู่ที่ภูเพียงแช่แห้งด้วย เมืองย่างจึงอยู่ในความปกครองของกษัตริย์เมืองน่าน ปี พ.ศ. 2246 สมัยพระเมืองราชาได้มีการฟื้นม่าน (ต่อต้านพม่า) แต่สุดท้ายพ่ายแพ้แก่กองทัพพม่า เมืองน่านทั้งเมืองถูกเผา และเมืองย่างก็เช่นกัน ถูกพม่าทำลายจนย่อยยับ ราษฏรถูกพม่าจับกุมและนำไปคุมขังไว้ที่ห้วยต้อและห้วยมัดเป็นจำนวนมาก (ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ตำบลอวน) ในครั้งนั้นเจ้าเมืองเล็นถูกพม่ายกทัพมาตีเมือง เจ้าเมืองเล็นทราบข่าวจึงพาชาวเมืองหลบหนีมาอยู่ที่เมืองล่างที่บ้านหัวทุ่ง ปัจจุบันคือบ้านนาคำ ตำบลศิลาเพชร และเจ้าเมืองเล็นได้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองล่างนับแต่นั้นมา ในสมัยนั้นเมืองย่างมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีการสร้างวัดวาอาราม และศาสนสถานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก อีกทั้งสร้างเหมืองฝายต่าง ๆ บริเวณน้ำบั่ว เมื่อเจ้าเมืองเล็นได้ถึงแก่กรรม เจ้าเมืองน่านแต่งตั้งแสนปั๋นขึ้นปกครองเมืองย่าง สมัยนั้นเมืองน่านสงบสุข แสนปั๋นกับชาวเมืองได้สร้างเหมืองฝาย สร้างนาเหล่าหม่อนเปรต (หม่อนเผด บ้านดอนมูล) บูรณะองค์พระธาตุจอมพริก บริเวณบนดอยสันจ้าง บนวัดทุ่งฆ้อง (ปัจจุบันพระธาตุจอมพริกอยู่ในเขตบ้านเสี้ยว) ครั้นถึงสมัยที่มีการฟื้นม่านเมื่อราวปี พ.ศ. 2330 เกิดนโยบายเก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมืองของเจ้ากาวิละ กองทัพเจ้าเจ็ดตน กองทัพเมืองน่านโดยเจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าเมืองแพร่ เจ้าเมืองลำปาง สยาม และหลวงพระบาง เจ้าจอมหงแห่งเชียงตุง ได้นำกองทัพขึ้นไปโจมตีหัวเมืองไทลื้อแถบสิบสองปันนา ทำให้หัวเมืองลื้อทั้งหมดพ่ายแพ้แก่กองทัพล้านนาและสยาม จึงเป็นเหตุให้มีการอพยพชาวไทลื้อ เมืองยอง เมืองยู้ เมืองเชียงลาบ จำนวนมากมาอยู่ในจังหวัดน่าน ปี พ.ศ. 2345 แสนปั๋น เจ้าเมืองย่างถึงแก่กรรม เมืองย่างเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ โดยครั้งนั้นพญาอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่านได้มาตรวจสภาพพื้นที่เมืองย่าง เห็นว่ามีพื้นดินอุดมสมบูรณ์ดี มีพื้นที่ราบกว้างขวาง ประกอบกับในบริเวณเมืองย่างนั้นมีชาวไทลื้อที่เจ้าเมืองเล็นอพยพผู้คนมาตั้งบ้านเรือนบางส่วน อีกทั้งมีชาวไทลื้อที่อพยพมาในสมัยพญาภูคามาตั้งบ้านเรือนอยู่แล้วนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการปกครอง จึงพิจารณาเห็นสมควรโปรดให้ชาวไทลื้อที่ได้อพยพมาจากเมืองยอง เมืองยู้ เมืองเชียงลาบ ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งริมสองฟากฝั่งแม่น้ำย่าง โดยโปรดให้นำช่างปั้นหม้อชาวไทลื้อให้ตั้งบ้านเรือนที่บ้านดอนไชย (ปัจจุบันขึ้นกับตำบลศิลาเพชร) เมืองเชียงลาบให้ตั้งบ้านเรือนที่บริเวณลุ่มน้ำย่างใกล้พระธาตุจอมพริก ลื้อเมืองยองให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้พระธาตุจอมนาง และลื้อเมืองยู้ให้ตั้งบ้านเรือนที่ท้ายแม่น้ำย่าง ในครั้งนั้นเจ้าอัตถวรปัญโญได้แต่งตั้งให้แสนจิณปกครองเมืองย่างสืบต่อจากแสนปั๋น แต่ภายหลังเมื่อมีการจัดระเบียบหัวเมืองการปกครองนครน่านใหม่ในสมัยของพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชฯ จึงแยกเมืองยมออกจากเมืองย่าง โดยให้ท้าวเมืองยมเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองยม และจัดระเบียบเมืองยมขึ้นอยู่กับแขวงน้ำปัว ซึ่งประกอบด้วยหัวเมืองต่าง ๆ ได้แก่ เมืองปัว เมืองริม เมืองอวน เมืองยม เมืองย่าง (ภายหลังเมืองย่างเปลี่ยนชื่อเป็นตำบลศิลาเพชร) เมืองแงง เมืองบ่อ ให้มีที่ว่าการแขวงตั้งที่เมืองปัว พ.ศ. 2486 ทางการได้มีประกาศยุบเลิกตำบลศิลาเพชรให้ไปขึ้นอยู่กับการปกครองของตำบลยม อำเภอปัวในขณะนั้น ซึ่งมีนายอิทธิ อิ่นอ้าย เป็นกำนัน และให้ตำบลศิลาเพชร เป็นตำบลยม 2 อำเภอปัว พ.ศ. 2490 จึงมีประกาศจากทางราชการให้กลับมาเป็นตำบลศิลาเพชรเหมือนเดิม ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2505 ทางราชการประกาศจัดตั้งกิ่งอำเภอท่าวังผา โดยแยกตำบลยม อำเภอปัว ให้มาขึ้นกับกิ่งอำเภอท่าวังผา[2] ในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2524 ได้ประกาศแยกตำบลยมออกเป็นอีกหนึ่งตำบล คือ ตำบลจอมพระ ปัจจุบันตำบลยมแบ่งการปกครองออกเป็น 10 หมู่บ้าน ดังนี้
ภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ตำบลยม ตั้งอยู่ที่พิกัดทางภูมิศาสตร์ ละติจูด 19.08593 องศาเหนือ ลองติจูด 100.89347 องศาตะวันออก หรือ 19.08593° N, 100.89347° E และอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของอำเภอท่าวังผา ห่างจากตัวอำเภอท่าวังผาตามถนนทางหลวงชนบท 1170 (ท่าวังผา - ศิลาเพชร) ประมาณ 13 กิโลเมตร และห่างจากตัวจังหวัดน่านประมาณ 53 กิโลเมตร ภูมิประเทศ ตำบลยม มีลักษณภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขา มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 48.42 ตารางกิโลเมตร (18.695 ตารางไมล์) หรือ 11,647 ไร่ โดยแบ่งพื้นออกเป็น พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำย่าง ประมาณ 7,338 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 63 พื้นที่ราบสูงประมาณ 4,076 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 35 และพื้นน้ำ แม่น้ำ ลำห้วย อ่างเก็บน้ำ ประมาณ 233 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 2 โดยมีแม่น้ำย่าง ลำน้ำบั่ว ลำน้ำหมู ลำน้ำฮาว ลำน้ำไคร้ ไหลผ่าน และมีภูเขาสูง คือ ดอยภูคา ภูมิอากาศ ตำบลยม มีลักษณะภูมิอากาศร้อนชื่น อากาศเปลี่ยนแปลงไปตามฤดู ซึ่งมี 3 ฤดู ดังนี้
อาณาเขต
ด้านการเมือง/การปกครอง
เขตการปกครอง องค์การบริหารส่วนตำบลยม ประกอบด้วยหมู่บ้าน 10 หมู่บ้าน มีพื้นที่อยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลยม ทั้งหมด 10 หมู่บ้าน ดังนี้
การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 มีหน่วยเลือกตั้ง 10 หน่วย
ประชากรจำนวนประชากรในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล 4,499 คน และจำนวนหลังคาเรือน 1,619 หลังคาเรือน[3]
กลุ่มชาติพันธุ์ประชากรในเขตพื้นที่ตำบลยม สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มชาติพันธุ์ ดังนี้
อาชีพอาชีพหลัก ทำนา ทำสวน/ ทำไร่ ประเพณีและงานประจำปีงานประเพณีและงานประจำปีของชาวตำบลยม มีดังนี้
(หมายเหตุ ลำดับที่ 1 - 4 จัดเวียนไปแต่ละหมู่บ้านในตำบลยมทั้ง 9 หมู่บ้าน ยกเว้นบ้านนานิคม) ประวัติแต่ละหมู่บ้านบ้านก๋ง หมู่ที่ 1
บ้านก๋ง หมู่ที่ 1 ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ประวัติหมู่บ้าน บ้านก๋ง เป็นหมู่บ้านที่ก่อตั้งมานานกว่า 200 ปี บริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านนั้นในสมัยก่อนมีสัตว์ป่าที่ดุร้ายหลากหลายชนิด ออกมารบกวนและทำร้ายชาวบ้านอยู่เป็นประจำ ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ชาวบ้านจึงหาวิธีป้องกันตัวเองและทรัพย์สินโดยทำ "ก๋ง" (ธนู) ไว้เป็นอาวุธ เล่าว่าวันหนึ่งมีวัวโพง (วัวโทน) เข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านใช้ก๋งไล่ยิงวัวตัวนั้นจนไปตายที่ลำห้วยระหว่างบ้านสลีกับบ้านจอมนาง จึงเรียกลำห้วยตามชื่อวัวว่า "ห้วยโพง" เรียกหมู่บ้านว่า "บ้านก๋ง" ตั้งแต่นั้นมา
บ้านสบบั่ว หมู่ที่ 2
บ้านสบบั่ว หมู่ที่ 2 ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ประวัติหมู่บ้าน บ้านสบบั่ว หมู่บ้านนี้มีประวัติความเป็นมานานยาวนานกว่า 200 ปี ในอดีตมีชื่อว่า “บ้านเมืองดี” สถานที่ตั้งหมู่บ้านเดิมตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำย่าง ต่อมาราวปี พ.ศ. 2430 เกิดอุทกภัยลำน้ำย่างนองท่วมสองฝั่งแม่น้ำและพัดพาบ้านเรือนหลายสิบหลังคาเรือนของหมู่บ้านเมืองดีสูญหายไปกับสายน้ำ ชาวบ้านเมืองดีจึงได้ย้ายอพยพไปอาศัยอยู่ตามเนินเขาด้านทิศเหนือของหมู่บ้านเดิมและตั้งชื่อใหม่ว่า “บ้านนาไฮ่” ต่อมาได้มีการอพยพมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำน้ำบั่วที่ไหลผ่านหมู่บ้าน จึงยึดลำน้ำบั่วเป็นที่ตั้งบ้านเรือนและได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านสบบั่ว" เนื่องจากเป็นจุดที่ลำน้ำบั่วบรรจบกับแม่น้ำย่าง
บ้านลอมกลาง หมู่ที่ 3
บ้านลอมกลาง หมู่ที่ 3 ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ประวัติหมู่บ้าน บ้านลอมกลาง ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2522 โดยแยกการปกครองออกมาจากบ้านเชียงยืน ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวไทลื้อ ที่ได้อพยพมาจากเมืองสิบสองปันนา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน บริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านแต่เดิมเป็นป่าละเมาะอยู่กลางทุ่งนา ถูกล้อมรอบอยู่ตรงกลาง คำว่า "ลอม" ในภาษาถิ่นภาคเหนือ หมายถึง ตะล่อมสิ่งที่เป็นหมวดฟ่อนรวมกันขึ้นเป็นจอมหรือเป็นวง) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะที่โดดเด่น ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านตามลักษณะเด่นดังกล่าวนี้ว่า "บ้านลอมกลาง"
บ้านเชียงยืน หมู่ที่ 4
บ้านเชียงยืน หมู่ที่ 4 ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ประวัติหมู่บ้าน บ้านเชียงยืน เดิมมีชื่อว่า "บ้านบั่ว" ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 เป็นชาวไทเขินที่อพยพมาจากเมืองสิบสองปันนา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อบ้านยั่วมาเป็น "บ้านเชียงยืน" ซึ่งคำว่า เชียง นั้นเป็นชื่อของผู้อาวุโสในหมู่บ้านสมัยแต่ก่อนชื่อว่า "หนานเชียง" ส่วนคำว่า ยืน นั้นเป็นลักษณะของอายุของผู้อาวุโสนั้นเองเพราะว่าท่านมีอายุยืนถึง 100 ปี จึงได้ชื่อว่า "บ้านเชียงยืน"
บ้านทุ่งฆ้อง หมู่ที่ 5
บ้านทุ่งฆ้อง หมู่ที่ 5 ตำบลยม อำเภอท่วังผา จังหวัดน่าน หมู่บ้านนี้ตั้งเป็นหมู่บ้านเมื่อประมาณราวปี พ.ศ. 2300 ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทลื้อซึ่งได้มีการอพยพมาจากเมืองสิบสองปันนา ทางตอนใต้ของประเทศจีน ด้วยเหตุที่ตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่าบ้านทุ่งฆ้อง ก็เพราะว่าในสมัยอดีตนั้นได้มีบรรพบุรุษเล่าสืบต่อกันมาว่ามีฆ้องใหญ่อยู่กลางทุ่งนาสำหรับตีในงานมงคลและเพื่อบอกเหตุกรณ์ต่าง ๆ จึงได้เรียกชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านทุ่งฆ้อง" มาจนถึงปัจจุบัน (สุชาติ คำแสน, สัมภาษณ์, 18 มกราคม 2563) บ้านเสี้ยว หมู่ที่ 6
บ้านเสี้ยว หมู่ที่ 6 ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน หมู่บ้านนี้ตั้งขึ้นมาเมื่อใดไม่พบหลักฐานที่แน่ชัด ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มสำน้ำย่าง สันนิษฐานว่าอาจสร้างขึ้นมาพร้อมกับพระธาตุจอมพริก ในปี พ.ศ. 2490 ได้ย้ายหมู่บ้านเนื่องจากเกิดอุทกภัยทำให้ตลิ่งพัง ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันย้ายหมู่บ้านขึ้นมาตั้งที่แห่งใหม่ในบริเวณที่ราบเชิงเขา ซึ่งเป็นที่ราบสูงตอนบนของหมู่บ้าน และทางตอนใต้ของพระธาตุจอมพริกเพื่อสะดวกในการคมนาคมและพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ในพื้นที่นี้มีต้นเสี้ยว (ต้นชงโค) ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้ชื่อว่า "บ้านเสี้ยว" (สมควร คำแสน, สัมภาษณ์, 18 มกราคม 2563) บ้านหนอง หมู่ที่ 7
บ้านหนอง หมู่ที่ 7 ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน เดิมหมู่บ้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านทุ่งฆ้อง หมู่ที่ 5 ชื่อว่าบ้านห้วยตุ้ม ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มลำน้ำย่าง ในปี พ.ศ. 2506 ได้เกิดอุทกภัย น้ำกัดเซาะตลิ่งพังทำให้ได้รับความเสียหาย ดังนั้นทางคณะกรรมการหมู่บ้านจึงตัดสินใจย้ายที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ โดยบ้านทุ่งฆ้องย้ายไปทางฝั่งซ้ายของลำน้ำย่าง บ้านห้วยตุ้มย้ายมาทางฝั่งขวาบริเวณหนองกลางเวียน ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "บ้านหนอง" ตามพื้นที่ของหมู่บ้าน (สมพร คำแสน, สัมภาษณ์, 18 มกราคม 2563) บ้านพร้าว หมู่ที่ 8
บ้านพร้าว หมู่ที่ 8 ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ประวัติหมู่บ้าน บ้านพร้าว บริเวณที่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านนี้แรกเริ่มเดิมทีไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ หลังจากนั้นได้มีครอบครัวของคนต่างถิ่นได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ราว 4 - 5 ครัวเรือน อาศัยอยู่ด้วยกันแบบพี่น้องได้ช่วยกันทำมาหากินบนแผ่นดินใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ จากการบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่นั้นบอกว่าบริเวณนี้มีธารน้ำธรรมชาติสายเล็ก น้ำใสไหลเย็น มองเห็นหมู่ปลาเล็กปลาน้อย ด้วยความสะอาดปราศจากมลพิษ นำความชุ่มชื่นร่มเย็นมาให้ผืนดินอีกทั้งยังแหล่งอาหารและที่ทำมาหากินของพวกเขาสืบกันมา ทั้งยังมีต้นพร้าวหรือมะพร้าวขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากบริเวณที่แห่งนี้ ชาวบ้านจึงได้เรียกพื้นที่ที่ตั้งของหมู่บ้านนี้ว่า "บ้านพร้าว"
บ้านน้ำไคร้ หมู่ที่ 9
บ้านน้ำไคร้ หมู่ที่ 9 ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน หมู่บ้านนี้ตั้งขึ้นมาเมื่อใดไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าคงจะอพยพมาจากที่อื่นประมาณก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยน่าจะอพยพมาจากเมืองพวน ในประเทศลาว และได้มาตั้งรกรากที่บริเวณห้วยน้ำไคร้ ซึ่งเป็นเป็นลำห้วยที่ไหนผ่านหมู่บ้าน และมีต้นไคร้ขึ้นอยู่มาก จึงได้เรียกหมู่บ้านนี้ว่า "บ้านน้ำไคร้" (ประยงค์ ใหม่ชัย, สัมภาษณ์, 18 มกราคม 2563) บ้านนานิคม หมู่ที่ 10บ้านนานิคม หมู่ที่ 10 ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน หมู่บ้านนี้เดิมชื่อบ้านหนองเตาหรือบ้านน้ำหมู เนื่องจากอพยพมาอยู่ริมหนองเตาก่อนแล้วขยับขยายมาอยู่ริมน้ำหมู อยู่ในเขตบ้านเชียงยืน ก่อนปี พ.ศ. 2492 มีผู้ที่มาอยู่ 23 หลังคาเรือ เมื่อมีสมาชิกมากขึ้นหลายหลังคาเรือน จึงพร้อมใจกันขอตั้งหมู่บ้านใหม่ขึ้น แจ้งต่อสภาตำบลยมและได้นำเรื่องเสนอทางอำเภอก็ได้รับความเห็นชอบอนุมัติเป็นหมู่บ้านใหมให้ชื่อว่า "บ้านนานิคม" เนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่บริเวณกลางทุ่งนาขนาดใหญ่ ส่วนคำว่า "นิคม" หมายถึง หมู่บ้านหรือแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ (วิจิตร แสนสี, สัมภาษณ์, 18 มกราคม 2563) สวนสาธารณะ/สถานที่ออกกำลังกายรายชื่อสวนสาธารณะหรือลานกีฬา ประจำแต่ละหมู่บ้าน
สถานที่สำคัญสถานที่สำคัญที่ตั้งอยู่ภายในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลยม มีดังนี้
ศาสนสถานตำบลยม มีศาสนสถานที่สำคัญ ประกอบด้วยวัด 9 แห่ง และโบสถ์คริสตจักร 1 แห่ง ดังนี้
สถานศึกษาสถานศึกษาในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลยม มีดังนี้
อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia