ช่วงอายุปีอาเซนเซียน
ช่วงอายุปีอาเซนเซียน (อังกฤษ: Piacenzian) คือช่วงอายุใหม่สุดหรือหินช่วงอายุบนสุดของไพลโอซีนในธรณีกาลสากล กินเวลาตั้งแต่ 3.6 ± 0.005 ล้านปีถึง 2.588 ± 0.005 ล้านปี อยู่ถัดจากช่วงอายุแซนเคลียนและอยู่ก่อนหน้าช่วงอายุเจลาเซียน (ส่วนหนึ่งของสมัยไพลสโตซีน) ช่วงอายุนี้อยู่ร่วมสมัยกันอย่างคร่าว ๆ กับช่วงอายุสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบกยุโรป MN 16 คาบเกี่ยวกับช่วงอายุชาปัดมาลาลันตอนปลายและช่วงอายุอูเกียนตอนต้นของช่วงอายุสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบกอเมริกาใต้ และอยู่ภายในช่วงอายุสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบกอเมริกาเหนือแบลงกัน นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับหินช่วงอายุแอสเชียน เรโดเนียน เรอูเบเรียน และ โรมาเนียน ซึ่งเป็นหินช่วงอายุท้องถิ่นของยุโรป เจ้าหน้าที่บางคนกล่าวว่าหมวดหินเรดแครกและหินช่วงอายุวัลโทเนียนนั้นอยู่ตอนปลายของช่วงอายุปีอาเซนเซียน[6][7] ในขณะที่ส่วนอื่นจะมองว่าอยู่ในช่วงต้นสมัยไพลสโตซีน[8][9] ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วงอายุนี้คล้ายกับปัจจุบัน ทำให้ในยุคนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงกว่าปัจจุบันประมาณ 2–3 °ซ และระดับน้ำทะเลสูงกว่าปัจจุบันประมาณยี่สิบเมตร ซึ่งเป็นอุปมานสำคัญสำหรับการทำนายอนาคตของโลก[10] นิยามช่วงอายุปีอาเซนเซียนถูกนำมาใช้โดยวรรณกรรมวิทยาศาสตร์โดยคาร์ล มาเยร์-อายมาร์ นักลำดับชั้นหินชาวสวิสในปี ค.ศ. 1858 โดยตั้งตามชื่อเมืองปีอาเซนซาในประเทศอิตาลี ฐานของช่วงอายุนี้อยู่ที่ฐานของหินรุ่นแม่เหล็ก C2An (ฐานของหินรุ่นเกาส์และที่การสูญพันธุ์ของฟอรามินิเฟอราชนิดแพลงก์ตอน Globorotalia margaritae และ Pulleniatina primalis) และมี GSSP สำหรับหินช่วงอายุปีอาเซนเซียนอยู่ที่ปุนตาปิกโกลาในแคว้นซิซิลี ประเทศอิตาลี[11] ขอบบนของช่วงอายุปีอาเซนเซียน (ฐานของหินยุคควอเทอร์นารีและหินสมัยไพลสโตซีน) ถูกนิยามว่าเป็นการลำดับชั้นสนามแม่เหล็กบรรพกาลโดยเป็นฐานของหินรุ่นมาสึยามะ (C2r) (ที่การสลับเกาส์–มาสึยามะ) และหินช่วงอายุไอโซโทป 103 เหนือจุดนี้ขึ้นไปเป็นการสูญพันธุ์ของซากดึกดำบรรพ์ขนาดเล็กเนื้อปูน ได้แก่ Discoaster pentaradiatus และ Discoaster surculus[12] ภูมิอากาศช่วงอายุปีอาเซนเซียนเป็นช่วงอายุสุดท้ายก่อนการเปลี่ยนสภาพโดยธารน้ำแข็งยุคควอเทอร์นารีจะเริ่มต้นขึ้นในซีกโลกเหนือ พืดน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกาขยายออกมาน้อยกว่าในปัจจุบัน และระดับน้ำทะเลสูงกว่าปัจจุบันประมาณ 20 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกอุ่นกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมประมาณ 2–3 °ซ ระหว่างยุคอบอุ่นกลางช่วงอายุปีอาเซนเซียน ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 389 ppm (ช่วง 381–427 ppm โดยมีความมั่นใจร้อยละ 95) ซึ่งใกล้เคียงกับในช่วงปี ค.ศ. 2010 ดังนั้นช่วงอายุนี้จึงสามารถใช้ในเชิงอุปมาของภูมิอากาศและระดับน้ำทะเล เพื่อคาดการณ์ว่าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะคงที่ในระดับหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงอายุย่อยธารน้ำแข็ง KM5c ในช่วงยุคอบอุ่นกลางช่วงอายุปีอาเซนเซียน ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการปรับวงโคจรใกล้เคียงกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีการกระจายทางภูมิศาสตร์ที่ใกล้เคียงกับรังสีอาทิตย์บนผิวโลก[10] ภูมิอากาศของช่วงอายุปีอาเซนเซียนจะเริ่มเแป็นช่วงที่ค่อนข้างอุ่นและชื้นในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากช่วงเวลาเย็นตัวลงของช่วงอายุแซนเคลียน การสะสมของตะกอนและมอลลัสกาของช่วงอายุนี้นั้นสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ทำให้เกิดใต้ทะเลทาไมอามี (Tamiami Subsea) และใต้ทะเลแจ็คสัน (Jackson Subsea) ของรัฐฟลอริดา, ใต้ทะเลดับลิน (Duplin Subsea) โดยทั่วไปของรัฐเซาท์แคโรไลนา และใต้ทะเลยอร์กทาวน์ (Yorktown Subsea) ของเอาเทอร์แบงส์และในแผ่นดินรัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยมีการกำหนดอายุตามสกุลและสปีชีส์ของมอลลัสกาที่พบ[13] ต้นกำเนิดของสกุลโฮโมตอนปลายของช่วงอายุปีอาเซนเซียนอาจเป็นช่วงเวลาที่สกุลโฮโมพัฒนาขึ้นมาจากสกุลออสตราโลพิเทคัส อันเป็นสกุลบรรพบุรุษ[14] ขณะที่ซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จักที่ระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นมนุษย์ โฮโมแฮบิลิส นั้นมีอายุอยู่ในช่วงหลังจากสิ้นสุดช่วงอายุปีอาเซนเซียน (2.58 ล้านปีก่อน) แล้ว โดยเป็นกระดูกขากรรไกรที่มีลักษณะเฉพาะของการเปลี่ยนผ่านจาก ออสตราโลพิเทคัส ไปเป็น โฮโมแฮบิลิส ถูกค้นพบในสามเหลี่ยมแอฟาร์ในปี ค.ศ. 2015 โดยชาลาชิว เซโยอุม นักศึกษาชาวเอธิโอเปีย โดยเรียกบริเวณแหล่งค้นพบว่าแหล่งเลดี-เกรารู ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำมิลเลและแม่น้ำอาวัชในภาคแอฟาร์ ประเทศเอธิโอเปีย (ใกล้กับพิกัด 11°22′N 40°52′E / 11.36°N 40.86°E)[15][16] ตามหลักฐานทางธรณีวิทยาจากภาคแอฟาร์ บุคคลดังกล่าวนั้นจะมีชีวิตอยู่ในช่วงหลังจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศฉับพลันครั้งใหญ่ ซึ่งพื้นที่ป่าและทางน้ำถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยพื้นที่แห้งแล้งสะวันนา ในเรื่องของภาคแอฟาร์และตามที่ในวารสารไซเอินซ์นั้นระบุไว้ว่า "ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์มีแกนสันหลังได้บันทึกการหมุนเวียนของสัตวชาติ ซึ่งบ่งบอกถึงแหล่งที่อยู่อาศัยอันแห้งแล้งและเปิดกว้างมากกว่าที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในภาคนี้ จึงเป็นการสนับสนุนอย่างกว้าง ๆ เกี่ยวกับสมมติฐานที่กล่าวว่าบทบาทของสิ่งแวดล้อมนั้น บังคับให้วงศ์ลิงมนุษย์วิวัฒนาการขึ้นในเวลานี้" การตีความนี้สอดคล้องกับสมมติฐานที่เน้นว่าทุ่งหญ้าสะวันนาในฐานะสภาพแวดล้อมของบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นตัวกำหนดการวิวัฒนาการของสกุลโฮโมและลิงอื่น ๆ ในยุคแรก[17] อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia