กาวี
กาวี (อังกฤษ: GAVI หรือชื่อทางการคือ Gavi, the Vaccine Alliance[1] เคยเรียกว่า GAVI Alliance และก่อนหน้านั้น Global Alliance for Vaccines and Immunization[2]) เป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐ-เอกชนที่ทำการเกี่ยวกับสาธารณสุขระดับโลก มีจุดประสงค์เพิ่มการให้ยาคุ้มกันโรคแก่บุคคลต่าง ๆ ในประเทศยากจน[3] องค์กรส่งเสริมความร่วมมือกันระหว่างประเทศกำลังพัฒนา, ประเทศที่ให้ทุนช่วยพัฒนา, องค์การอนามัยโลก[4], กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ[5], ธนาคารโลก[6], อุตสาหกรรมวัคซีนทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา, องค์การวิจัยและเทคโนโลยี, ประชาสังคม, มูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์[7] และผู้ทำการกุศลอื่น ๆ กาวีมีสถานะผู้สังเกตการณ์ในสมัชชาสาธารณสุขโลก (World Health Assembly ตัวย่อ WHA) แห่งสหประชาชาติ องค์กรได้รับคำยกย่องว่า มีวิธีทำการที่ก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ มีกฎระเบียบจุกจิกน้อยกว่าสถาบันของรัฐที่ทำการระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก โปรแกรมของกาวีมักให้ผลที่วัดได้ เป็นที่นิยมทางการเมือง อธิบายได้ง่ายโดยมีผลทันการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเสน่ห์สำหรับกลุ่มการเมืองที่หาเสียงเป็นคาบ ๆ[8] แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าให้อำนาจแก่เอกชนผู้เป็นนายทุนในการตัดสินเป้าหมายทางสาธารณสุขในระดับโลกมากเกินไป[8], ให้ความสำคัญก่อนแก่วัคซีนใหม่ ๆ ซึ่งมีราคาสูง โดยให้ทุนและพยายามน้อยกว่าเพื่อขยายการใช้วัคซีนที่มีอยู่แล้วและมีราคาถูก[9] ซึ่งมีผลลบต่อระบบสาธารณสุขในพื้นที่ ๆ[8], ให้เงินอุดหนุนมากเกินไปแก่บริษัทยายักษ์ใหญ่ซึ่งมีกำไรอยู่แล้ว[10] โดยไม่ได้ทำให้ราคาของวัคซีนลดลง และมีการขัดกันแห่งผลประโยชน์เพราะมีบริษัทผลิตวัคซีนในคณะกรรมการขององค์กร[11] องค์กรก็พยายามทำการเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้[8] การดำเนินการองค์กรจัดเป็นการทำแบบธุรกิจ เน้นเทคโนโลยี เล็งความต้องการของตลาด และมุ่งเน้นผลที่วัดได้ เป็นรูปแบบดำเนินการที่องค์กรทำเพื่อเป็นตัวอย่างโดยมีชื่อต่าง ๆ เช่น "วิธีการของ (บิล) เกตส์" หรือวิธีแบบอเมริกัน[12][8] ซึ่งต่างกับปฏิญญาแอลมาอะตา (Alma Ata Declaration) ซึ่งเน้นผลทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมที่เกิดจากสาธารณสุข[8] แหล่งทุนจนถึงเดือนมีนาคม 2019 มูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ได้บริจาคทุนประมาณ 1,560 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท) แก่หุ้นส่วนระหว่างปี 2016-2020[13]
ประเทศนอร์เวย์และสหราชอาณาจักรก็เป็นผู้ให้ทุนสำคัญด้วย วันที่ 12 พฤษภาคม 2020 เมื่อสภาผู้แทนรัฐบาลกลางแคนาดากำลังดำเนินไปอย่างกะโผลกกะเผลกในการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา พ.ศ. 2562-2563 รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการนานาชาติได้เป็นตัวแทนของรัฐบาลกลางประกาศให้ทุน 600 ล้านดอลลาร์แคนาดา (ประมาณหมื่นสี่พันล้านบาท) แก่กาวี[15] ประวัติและโปรแกรม![]() กาวีได้จัดตั้งขึ้นในปี 2000 เป็นองค์กรสืบต่อจากโครงการริเริ่มวัคซีนสำหรับเด็ก (Children's Vaccine Initiative) ซึ่งตั้งขึ้นในปี 1990[16] ผู้นำจูเลียน ล็อบ-เลวิตต์ เป็นประธานบริหารของกาวีระหว่างปี 2004-2010 มีข่าวลือว่าเขาลาออกจากองค์กรเพราะความไม่เห็นด้วยในโปรแกรม health system strengthening (ตัวย่อ HSS คร่าว ๆ หมายถึงการปรับปรุงระบบสาธารณสุขของทั้งประเทศ)[8] เซ็ท เบอร์กลีย์ (Seth Berkley) ได้เป็นประธานบริหารตั้งแต่ปี 2011[17] ในเดือนสิงหาคม 2014 กาวีได้เปลี่ยนชื่อจาก พันธมิตรกาวี (GAVI Alliance) แล้วสร้างโลโก้ใหม่ซึ่งเลียนตราขององค์การสหประชาชาติอย่างจงใจ แต่มีสีเขียวเป็นข้อต่าง[1] เจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขต่างก็มีข้อวิจารณ์ต่อกาวี และต่อโครงการริเริ่มทางสาธารณสุขโลก (global health initiatives ตัวย่อ GHIs) ที่มีผู้ดำเนินการจากทั้งภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ ว่าองค์กรไม่ชอบด้วยกฎหมายทางประชาธิปไตย และไม่มีอำนาจในการตัดสินประเด็นทางสาธารณสุข ผู้ให้ทุนเอกชนสามารถใช้อิทธิพลกับหุ้นส่วนรัฐ-เอกชนเช่นกาวี ได้ง่ายกว่ากับองค์กรของรัฐแท้ ๆ มีข้อวิจารณ์ด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของ GHIs มักรับมาทำงานสด ๆ จากสถาบันการศึกษาชั้นนำต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ในระบบสาธารณสุขโดยเฉพาะในประเทศยากจน[8] เจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกได้วิจารณ์กาวีลับหลังว่า ก้าวก่ายและบั่นทอนอาณัติ/อำนาจที่องค์การอนามัยโลกได้รับมอบหมาย[8] ปัญหาเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบสาธารณสุขของทั้งประเทศ![]() เจ้าหน้าที่ของกาวีได้อภิปรายกันอย่างเข้มข้นภายในองค์กรเกี่ยวกับบทบาทขององค์กรกับการให้วัคซีนและการปรับปรุงระบบสาธารณสุขของทั้งประเทศ (health systems strengthening ตัวย่อ HSS) ซึ่งเป็นส่วนของประเด็นทางสาธารณสุขเกี่ยวกับวิธีที่ "เจาะลึก" ซึ่งมักเล็งโรคหรือพฤติกรรมหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ หรือวิธีที่ "เจาะกว้าง" ซึ่งเล็งโปรแกรมกว้าง ๆ เช่นการรักษาในระดับปฐมภูมิ บางพวกกล่าวว่า การให้วัคซีนไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องโดยไม่ปรับปรุงระบบสาธารณสุข และอ้างโปรแกรมการให้วัคซีนของกาวีเอง ที่การขาดบุคลากร การฝึกหัด การขนส่ง และทุน เป็นตัวขัดขวางการให้วัคซีนและการรายงานถึงความทั่วถึงของการให้วัคซีน และจำนวนวัคซีนที่มีในคลัง ยังมีความกังวลด้วยว่า กาวีกำลังบ่อนทำลายหรือขัดขวางระบบสาธารณสุข พวกอื่นกล่าวว่า HSS เป็นเรื่องที่ทำให้จุดประสงค์โดด ๆ ของกาวีคือการให้วัคซีนไขว้เขว และ HSS ก็เป็นแนวคิดคลุมเครือที่ไม่สามารถนิยามหรือวัดได้[8] ผู้ให้ทุนสำคัญขององค์กรคือประเทศนอร์เวย์และสหราชอาณาจักรสนับสนุน HSS ส่วนหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID) และมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ (และบิล เกตส์โดยส่วนตัวเอง) ต่อต้าน HSS ผู้เชี่ยวชาญทางวัคซีนโดยมากมักชื่นชอบวิธีทางเทคโนโลยีมากกว่าวิธีตามแนวคิดของ HSS แต่อุตสาหกรรมยาก็สนับสนุน HSS โดยอาจเพราะเห็นว่าเป็นส่วนสำคัญเพื่อสร้างตลาดที่ยั่งยืน ในปี 2005 คณะกรรมการได้ยอมรับเป้าหมายเกี่ยวกับ HSS แม้จะมีเสียงข้างมากน้อย งบประมาณของกาวีเกือบ 1/4 ระบุจำเพาะเรื่องปรับปรุงสมรรถภาพของระบบสาธารณสุขแบบบูรณาการเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่ประชาชน[8] แต่จริง ๆ ก็ใช้เพียงราว ๆ ร้อยละ 10 เท่านั้น[12] หลังปี 2010 งบประมาณส่วนนี้ได้ให้กับแพลตฟอร์มลงทุนร่วมคือ Health Systems Funding Platform โดยมีข้อแม้ว่า แพลตฟอร์มต้องดำเนินการให้ได้เป้าหมายการให้วัคซีนอย่างทั่วถึง[8] ในกลางคริสต์ทศวรรษ 2010 มีพนักงานขององค์กรน้อยคนที่ทำงานด้าน HSS ข้อวิจารณ์เช่นนี้ว่า องค์กรไม่พยายามแก้ไขภายในองค์กรเอง และการไร้การดำเนินการภายในองค์กรก็ถูกวิจารณ์เช่นกัน ความตกลงกันไม่ได้ค่อนข้างรุนแรง เช่น เมื่อบิล เกตส์มาเยี่ยมสำนักงานใหญ่ พนักงานก็จะซ่อนโปสเตอร์เกี่ยวกับ HSS เพื่อไม่ให้สะกิดใจเขาว่ากาวีก็มีเป้าหมายในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน[8] มีผู้อ้างว่า งบประมาณด้าน HSS ขององค์กรในต้นคริสต์ทศวรรษ 2010 ได้นำไปใช้รักษาโรคโดยเฉพาะ ๆ แต่เชิดว่าเป็นส่วนของ HSS[12] การสนับสนุน HSS ในช่วงนี้มักเล็งการเพิ่มสมรรถภาพการให้วัคซีน โดยเฉพาะการสร้างโซ่อุปาทานที่ควบคุมอุณหภูมิ (cold chain)[A] แต่กาวีก็วัดความก้าวหน้าของโครงการ HSS โดยใช้ความทั่วถึงของการให้วัคซีนเป็นค่าวัดอย่างเดียว องค์กรเป็นผู้กำหนดค่าวัดที่ผู้ได้รับทุนขององค์กรต้องรายงาน โดยไม่ยอมให้ประเทศต่าง ๆ ใช้ค่าวัดคล้าย ๆ กันที่เก็บอยู่แล้ว ข้อบังคับนี้ถูกวิจารณ์ว่าเพิ่มภาระและเปลี่ยนความมุ่งหมายของประเทศต่าง ๆ เอง แม้จะมีผู้แทนรัฐบาลในคณะกรรมการองค์กร แต่ก็ไม่มีอำนาจอะไร ผู้แทนรัฐบาลยุโรปท่านหนึ่งกล่าวถึงบรรยากาศการประชุมคณะกรรมการเมื่อกลางคริสต์ทศวรรษ 2010 ว่า "น่ากลัวมาก"[8] งานวิเคราะห์งบประมาณปี 2016 ของเงินทุนที่องค์กรมอบให้พบว่า งบประมาณเกินครึ่งใช้เพื่อซื้อยา อุปกรณ์ เครื่องใช้สอย และอาคารสถานที่ (อัตราร้อยละ 3 ใช้สำหรับโบนัสและการให้ค่าจ้างเพิ่มเมื่อทำการได้ตามหรือเกินเป้าหมาย[B]) ซึ่งองค์การอนามัยโลกจัดว่าเป็นการลงทุนระยะสั้นและไม่ใช่ HSS ในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขด้อยพัฒนา อัตราส่วนก็จะยิ่งสูงกว่านี้ โดยไม่ได้ใช้จ่ายในงานวิจัยดำเนินการ (เพื่อช่วยการตัดสินใจ) เพิ่มใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว หรือพัฒนานโยบายยาหรือวัคซีนประจำชาติ[12] ทุนที่ให้ในบางกรณีใช้สำหรับค่าดำเนินการประจำวัน โดยไม่มีแผนว่าจะทำอย่างไรจึงไม่ต้องขอทุนอีกต่อไป ต่อมาก่อนปี 2018 องค์กรจึงได้จัดงบประมาณสำหรับ HSS ไปใช้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและส่งเสริมปฏิญญาประสิทธิภาพการช่วยเหลือแห่งกรุงปารีส (Paris Declaration for Aid Effectiveness)[20] การเปลี่ยนราคาและการวางตลาดของวัคซีนในปี 2012 รายงานขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ได้วิจารณ์กาวีว่า ให้ทุนมากเกินไปเพื่อวัคซีนใหม่ ๆ ที่แพงโดยละเลยไม่สนับสนุนวัคซีนราคาถูกที่มีอยู่แล้วแก่เด็ก ๆ ผู้ให้คำปรึกษาทางนโยบายวัคซีนของ MSF กล่าวว่า "เด็กในโลกร้อยละ 20 ไม่ได้แม้แต่วัคซีนพื้นฐาน"[9] องค์กรวิจารณ์แผนทำการวัคซีนโลก (Global Vaccine Action Plan ตัวย่อ GVAP) ซึ่งเป็นแผนการร่วมมือกันขององค์การอนามัยโลกที่กาวีจัดว่าเป็นผู้นำ ว่าไม่สมบูรณ์เพราะไม่ช่วยเด็กร้อยละ 20 เหล่านั้นรวมจำนวนราว ๆ 19 ล้านคน[21] วัคซีนรวม 5 อย่าง (pentavalent vaccine)ในปี 2011 กาวีตั้ง "การกำหนดวิถีทางตลาดของวัคซีนและอุปกรณ์การสร้างภูมิคุ้มกันอื่น ๆ" เป็นเป็นเป้าหมายยุทธการขององค์กร องค์กรใช้เวลานานถึง 15 ปี (ระหว่างปี 2005-2020) กับโปรแกรมวัคซีนรวม 5 อย่าง (pentavalent vaccine) เพื่อปรับตลาดวัคซีนให้เสถียรและให้แข่งขันกันดี โดยราคาวัคซีนก็ได้ตกลงเมื่อแข่งขันกันเพิ่มขึ้น และการตั้งราคาแตกต่างกัน (แล้วแต่ประเทศ) ก็ได้ลดลง องค์กรจะประเมินว่าได้บรรลุเป้าหมายโดยตัวเลขหรือไม่ในปี 2020[22]
วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสในปี 2011 องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) แนะนำให้กาวีเปลี่ยนวิธีการซื้อวัคซีน ในเรื่องโปรแกรมการผูกมัดทางตลาดล่วงหน้า (Advance Market Commitment) สำหรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส (pneumococcal vaccine) ซึ่งเท่ากับว่าบริษัทแกล็กโซสมิธไคลน์ (GSK) และไฟเซอร์ได้ทั้งเงินอุดหนุนและค่าวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสต่อหน่วยที่จำหน่าย MSF ได้วิจารณ์ว่าเป็น "สวัสดิการให้บริษัทที่แพงอย่างอื้อฉาวต่อทั้งผู้บริจาคและประชาชนผู้เสียภาษี"[23] (แต่ก็ผูกมัดบริษัทว่าต้องขายวัคซีนอย่างน้อย 30 ล้านหน่วยต่อปีเป็นเวลา 10 ปี[24]) โปรแกรมการผูกมัดทางตลาดล่วงหน้าทำให้องค์กรให้เงินแก่บริษัททั้งสองมากกว่าให้แก่ผู้ผลิตที่ขายของถูกกว่า โดยแลกเปลี่ยนกับการถ่ายโอนเทคโนโลยีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ MSF กล่าวว่าบริษัทยายักษ์ใหญ่ข้ามชาติบวกกำไรสูงมาก วัคซีนที่ได้รับรองอย่างสากลสามารถผลิตได้โดยบริษัทเล็กกว่าในอินเดียและจีน โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าร้อยละ 40 ถึงแม้จะมีปัญหาเกี่ยวกับสิทธิบัตร การผูกขาดโดยผู้ขายสองรายเช่นนี้ก่อการตั้งราคาแตกต่างกัน นอกจากจะขายวัคซีนให้กาวีในราคาสูงกว่าเล็กน้อยแล้ว บริษัทยังขายวัคซีนในราคาที่จ่ายไม่ไหว (คือประมาณ 10 เท่าที่ขายให้กาวี) แก่ประเทศด้อยพัฒนาแต่มีรายได้ปานกลาง (เช่น ประเทศไทย[C]) ที่มีรายได้เกินกว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากกาวี[23] MSF ยังชี้ที่ความสำแร็จของโปรแกรม adapted vaccine ซึ่งทำให้วัคซีนส่งไปยังเขตชนบทได้ง่าย (คือไม่ต้องมีโซ่อุปาทานที่รักษาอุณหภูมิวัคซีน[A]ไว้ได้ มีข้อจำกัดทางอายุน้อยกว่า ฉีดน้อยครั้งกว่า ราคาถูกกว่าเป็นต้น) MSF แนะนำให้กาวีใช้งบประมาณกับ adapted vaccine และในการเพิ่มการแข่งขัน แทนที่จะให้เงินอุดหนุนแก่บริษัทยายักษ์ใหญ่[10] กาวีตกลงกับสิ่งที่ MSF กล่าว แต่รู้สึกเสียใจว่า MSF ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผยทั้ง ๆ ที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการขององค์กรเอง กาวีแก้ว่า ราคาถูกต้องมีการซื้อขายจำนวนมากที่เสถียร และต้องได้ "การพิจารณาอย่างรอบคอบและการสนับสนุนของผู้สนับสนุนที่สำคัญ"[26] ในเดือนมกราคม 2015 MSF ยังได้ร้องเรียกให้ทั้งบริษัท GSK และไฟเซอร์ลดราคาวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสให้เหลือแค่ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อเด็กหนึ่งคน (ประมาณ 162 บาท) ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งองค์กรประเมินว่าพอสมควรแล้ว[27] ต่อมาวันที่ 27 มกราคม องค์กรตอบสนองต่อสัญญาของไฟเซอร์ว่าจะลดราคาร้อยละ 6 ให้เหลือ 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อเด็กหนึ่งคนโดยชี้ว่า บริษัททั้งสองได้รับเงิน 21 ดอลลาร์ (ประมาณ 682 บาท) ต่อเด็กหนึ่งคนถ้ารวมเงินอุดหนุนจากกาวี และการลดราคาตามที่บริษัทว่าก็ไม่ได้เปลี่ยนสมรรถภาพการซื้อวัคซีนอย่างสำคัญของประเทศที่มีรายได้เกินกว่าที่กาวีจะช่วยเหลือแต่จนเกินกว่าที่จะซื้อวัคซีน[28] และยังกล่าวว่า ไฟเซอร์ได้กำไร 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณห้าแสนล้านบาท) จากวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสใน 4 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น บริษัทจึงสามารถลดราคายิ่งกว่านี้ได้[29] ในต้นปี 2016 MSF ได้ทำการรณรงค์มีชื่อว่า "A fair shot" (การฉีดยาที่ยุติธรรม) เพื่อกดดันให้บริษัททั้งสองลดราคา[30] ไฟเซอร์แก้ว่า ตนกำลังขายวัคซีนในราคาที่ต่ำกว่าทุนมาก ส่วน GSK กล่าวว่าราคาที่ขายประมาณเท่ากับทุนที่ผลิต และ "การลดราคายิ่งกว่านี้จะเป็นอันตรายต่อความสามารถของเราในการขายยาให้กับประเทศเหล่านี้ในระยะยาว"[31] บิล เกตส์ตอบสนองต่อ MSF ว่า "ผมคิดว่า มีองค์กรที่เยี่ยมในเรื่องเกือบทุกเรื่อง แต่ทุกครั้งที่เราระดมทุนเพื่อช่วยชีวิตเด็กยากจน พวกเขาก็จะแถลงข่าวกล่าวว่า ราคาของสิ่งเหล่านี้ควรจะเป็นศูนย์" เขากล่าวว่า การวิจารณ์ราคาบริษัทยาเป็นการกีดกั้นบริษัทไม่ให้ลงทุนกับยาที่ผลิตสำหรับประเทศกำลังพัฒนา และจริง ๆ แล้ว ควรยกย่องบริษัทยาที่ตั้งราคายาแตกต่างกัน (แล้วแต่ลูกค้า) เพราะว่า "เราได้สิ่งเหล่านี้ที่ดีในราคาที่ดีอันตั้งเป็นชั้น ๆ... และนั่นเป็นวิธีที่เราสามารถลดการตายในวัยเด็กได้เป็นครึ่ง" เขายังสนับสนุนให้ปรับปรุงโซ่อุปาทานที่ควบคุมอุณหภูมิ[A]ในประเทศกำลังพัฒนา[32] ในเดือนสิงหาคม 2019 MSF ก็ร้องเรียกให้กาวียุติให้เงินอุดหนุนตามโปรแกรมการผูกมัดทางตลาดล่วงหน้าแก่บริษัททั้งสองอีกซึ่ง MSF จัดว่าเป็นการผูกขาดโดยผู้ขายสองราย (duopoly) และให้ซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตรายที่สามคือสถาบันเซรุ่มอินเดีย (Serum Institute of India) ซึ่งขายวัคซีนในราคา 2/3 ของที่บริษัททั้งสองขาย เพราะวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสใช้งบประมาณซื้อวัคซีนของกาวีร้อยละ 40 การได้ลดราคาร้อยละ 33 ย่อมทำให้องค์กรประหยัดเงินเป็นพัน ๆ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประหยัดงบประมาณซื้อวัคซีนไปร้อยละ 13[D]) ปอดบวมเป็นโรคฆ่าเด็กเกิน 1/4 ก่อนอายุถึง 5 ขวบซึ่งเกือบถึงล้านคนต่อปี MSF อ้างว่า ราคาของบริษัททั้งสองเอารัดเอาเปรียบซึ่งทำให้เด็กเป็นล้าน ๆ คนเสี่ยงตาย[33] ในเดือนธันวาคม 2019 องค์กรก็ยืนยันร้องขอเช่นนี้อีก โดยชี้ว่า วัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสของบริษัททั้งสองมักมีราคาถึง 80 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,500 บาท) สำหรับประเทศมีรายได้ปานกลางที่ไม่จนพอได้รับการสนับสนุนจากกาวี[34] (ในเดือนกรกฎาคม 2020 อยู่ที่ประมาณ 1,114 และ 2,357 บาทในประเทศไทย[35]) ในเดือนมกราคม 2020 MSF ก็ได้ร้องขอให้กาวีซื้อเหมาวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสที่ราคาถูกกว่า และให้วัคซีนกับเด็กเกินกว่า 55 ล้านคนที่ยังไม่ได้วัคซีน[36] โดยยังร้องไปยังองค์การอนามัยโลก กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ และมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ด้วย และกล่าวว่า กาวีควรจะทำการยิ่งกว่านี้เพื่อลดราคาวัคซีน[37] การระบาดทั่วของไวรัสโคโรนาประธานบริหารของกาวีคือเซ็ท เบอร์กลีย์ได้ให้ข้อสังเกตว่า การตอบสนองของโลกต่อการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา พ.ศ. 2562-2563 เริ่มต้นค่อนข้างดี แต่ก็เตือนว่าจำเป็นต้องประสานงานการผลิตสิ่งที่จำเป็นในระดับโลก เขาเสนอว่า การตอบสนองต่อโรคระบาดทั่วจำเป็นต้องมาจากทั่วโลก โดยสถานที่ที่ใช้อำนวยการส่วนต่าง ๆ ของกระบวนการควรจะรวมเข้าเป็นส่วนของโครงการระดับโลก เขาหวังว่า ประเทศกลุ่ม 20 ควรทำงานร่วมกันโดยมีงบประมาณเป็นหมื่น ๆ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประเทศแต่ละประเทศ ๆ ควรเตรียมตัวให้แบ่งวัคซีนส่งไปยังเขตที่จัดว่า จำเป็นมากที่สุด[38] โปรแกรมวัคซีนกาวีสนับสนุนวัคซีนดังต่อไปนี้คือ[39]
เชิงอรรถ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ กาวี
|
Portal di Ensiklopedia Dunia