การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2550
การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ช่วงเวลา 08.00 น.ถึง 16.00 น. โดยใช้วิธีกากบาทลงบัตรเหมือนการเลือกตั้ง ในกรณีที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเห็นชอบให้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้บังคับแล้ว ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และเมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับได้ ในกรณีที่เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบให้ใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สภาร่างรัฐธรรมนูญจะสิ้นสุดลง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ได้เคยประกาศใช้บังคับมาแล้วฉบับใดฉบับหนึ่งมาปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันออกเสียงประชามติ และนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญต่อไป ได้มีการกล่าวไว้ว่าถ้าประชาชนส่วนมากไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การเลือกตั้งครั้งต่อไปยังคงมีอยู่ภายในปี 2550 โดยจะมีการนำรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 บางส่วนมาดัดแปลงแก้ไข[1] อย่างไรก็ตาม พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรี่วาการกระทรวงกลาโหม ได้ระบุว่า "การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อร่างรัฐธรรมนูญได้รับประชามติ ถ้าหากว่าไม่รับแล้วก็จะเป็นปัญหาที่วุ่นวายต่อเนื่องไม่จบง่าย ๆ ฉะนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ"[2][3] การห้ามการรณรงค์ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญต้นเดือน กรกฎาคม 2550 สังศิต พิริยะรังสรรค์ หนึ่งในสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยว่าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นไปได้ว่าจะห้ามการรณรงค์ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ โดยระบุโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี[4] การห้ามดังกล่าวถูกต่อต้านจาก องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ Asian Human Rights Commission (AHRC) โดย AHRC ได้กล่าวว่า "กฎหมายดังกล่าวมีจุดประสงค์อย่างชัดเจนที่จะ ข่มขู่และปิดปากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของรัฐบาล ถึงจะถูกดัดแปลงแก้ไขให้สามารถรณรงค์ แบบกล่าวแต่เพียงข้อเท็จจริงก็ตาม"[3] ในเดือน กรกฎาคม 2550 กลุ่มตำรวจได้ยึดโปสเตอร์ที่มีข้อความระบุว่า "โหวตล้มร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ผิดกฎหมาย" ซึ่งครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ยอมรับว่าเป็นเจ้าของ[5] อย่างไรก็ตาม พันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกกองทัพบก และ โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ คมช. ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า เมื่อทหารพบโปสเตอร์ดังกล่าวจึงนำไปแจ้งให้ตำรวจทราบ และเมื่อตำรวจสอบถามว่าใครเป็นเจ้าของก็ไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของแต่อย่างใด ดังนั้น จึงได้นำเอกสารไปตรวจสอบว่าผิดกฎหมายหรือไม่ เมื่อไม่พบว่าผิดข้อกฎหมายใดก็พร้อมที่จะคืนเอกสารให้ ถ้ามีคนมาแสดงตัวเป็นเจ้าของ[6] นอกจากนี้ พระราชบัญญัติว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ[7]ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2550 ได้ระบุว่าความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี สำหรับผู้ที่กระทำการดังนี้
พลเรือเอก ธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งให้กรมการขนส่งทางบกไปตรวจสอบรายละเอียดด้านกฎหมายว่าผู้ขับรถแท็กซี่ติดสติกเกอร์รณรงค์ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญบนรถแท็กซี่ สามารถทำได้หรือไม่ ขณะที่นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รองอธิบดีกรมขนส่งทางบก กล่าวว่าการติดสติกเกอร์โฆษณาต่าง ๆ บนรถแท็กซี่ถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติโฆษณา เนื่องจากกฎหมายห้ามไม่ให้รถแท็กซี่ติดโฆษณาใด ๆ ยกเว้นมีความจำเป็นกรณีพิเศษก็สามารถทำได้ แต่ต้องทำเรื่องขอไปที่กรมการขนส่งทางบกก่อน[8][9] การบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจากแทบทุกภาคว่ามีการแจกใบปลิวเนื้อหาบิดเบือนรัฐธรรมนูญ [10] โดยมีเนื้อหาเหมือนกันจึงมองได้ว่าใบปลิวออกมาจากแหล่งเดียวกัน จากการวินิจฉัยแล้วน่าจะเป็นคนมีเงินที่มีข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของประชาชนถึงขนาดส่งจดหมายกระจายได้ทั่วประเทศเช่นนี้ ด้านนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ เลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) กล่าวระหว่างเสวนาเรื่อง "คว่ำ-ไม่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ประเทศชาติรอดไม่รอด" ตอนหนึ่งว่าได้มีการส่งจดหมายไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยมีเนื้อหาบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เล่าว่ามีการปล่อยข่าวว่าถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการเห็นชอบ ประธานองคมนตรีจะได้รับการยกฐานะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างกระแสว่า ถ้าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ บัตร 30 บาทรักษาทุกโรคเดิม จะถูกยกเลิก โดย นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ออกมายืนยันว่า ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการลงประชามติหรือไม่ ประชาชนที่ถือบัตรทองโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็ยังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ระบุไว้ในบัตรได้ตามปกติ[11] การซื้อเสียงมีการกล่าวหาว่าอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ได้ทำการซื้อเสียงเพื่อให้ผู้ที่มีสิทธิออกเสียงในประชามติ เลือก "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ จากทั้งพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี [8] รองศาสตราจารย์ ดร. ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี[12] นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ[13] และนายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์[14] อย่างไรก็ตาม คำกล่าวข้างต้นไม่ได้มีการนำหลักฐานมารองรับการกล่าวหา และไม่ได้แจ้งความผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าซื้อเสียง ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท คณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการเลือกตั้ง ได้เปิดเผยข้อมูลว่า มีเรื่องร้องเรียนมายัง กกต. แล้วทั้งสิ้น 155 เรื่อง โดยเป็นเรื่องแจกเงิน มากที่สุด ตามมาด้วยการแจกใบปลิวบิดเบือน และแจกเสื้อ ตามลำดับ[15] นอกจากนี้ พล.ต.อ.วิเชียร์ พจน์โพธิ์ศรี ในฐานะประธานอนุกรรมการรักษาความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบการกระทำผิดที่มีการดำเนินคดีแล้ว 17 คดี โดย 15 คดี เป็นการแจกใปปลิวบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญและอีก 2 คดีเป็นการซื้อเสียงที่จังหวัดบุรีรัมย์ รวมทั้ง พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กกต. ยังได้ลงนามหนังสือถึง กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้แจ้งความดำเนินคดีต่อ นายโสภณ ซารัมย์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย กลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ ในข้อหาแจกเงินหัวละ 200 บาท เพื่อคว่ำร่างรัฐธรรมนูญที่จังหวัดบุรีรัมย์ด้วย[16] ผลการออกเสียงประชามติผลการออกเสียงตามรายงานผลอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550[17]
แหล่งข้อมูลอื่นอ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia