ไม้เลื้อย![]() ไม้เลื้อย หรือ ไม้เถา คือ พืชที่ไม่มีเนื้อไม้แข็ง ทำให้ไม่สามารถทรงตัวได้โดยลำพัง ลำต้นเลื้อยไปตามดินหรือพันสิ่งที่อยู่ใกล้เคียงเป็นที่ยึดเกาะเพื่อพยุงให้ลำต้นเจริญอยู่ได้ โดยอาจมีอวัยวะพิเศษช่วยในการเกี่ยวยึด เช่น ราก มือเกาะ ขอเกี่ยว[1] ไม้เลื้อยเป็นประเภทหนึ่งในการจำแนกพืชตามโครงสร้างและทรงของลำต้น คือ ไม้ยืนต้นหรือไม้ต้น, ไม้พุ่ม, ไม้ล้มลุกหรือพืชลำต้นอ่อนและ ไม้เถาหรือไม้เลื้อย (vines หรือ climber) ศัพทมูลวิทยาไม้เลี้อย บางครั้งอาจเรียก ไม้เถา หรือ ไม้เถาเลื้อย ในภาษาอังกฤษโดยทั่วไปไม้เลื้อยเรียก vine มาจากภาษาละติน vīnea "เถาองุ่น" (grapevine) และ "ไร่องุ่น" (vineyard) ซึ่งมาจาก vīnum แปลว่า "ไวน์" (wine) และในบางพื้นที่ไม้เลื้อยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ vine คือพืชไม้เลื้อยเฉพาะสกุลองุ่น และ climber หรือ climbing plant สำหรับไม้เลื้อยชนิดอื่นที่เหลือ ในภาษาจีน 藤本植物 (Téngběn zhíwù, เถิงเปิ่นจึอู้) แปลตามตัวว่า "พืชเถา" 藤 หมายถึง ไม้เถา หรือพืชตระกูลหวาย รูปแบบการเจริญเติบโต![]() ![]() พืชประเภทไม้เลื้อย หรือไม้เถา โดยทั่วไปเจริญเติบโตมีลำต้นเลื้อย (trailing stem) ตั้งแต่เริ่ม เช่น พวงชมพู กระเทียมเถา สร้อยอินทนิล[2] บอระเพ็ด ตำลึง อัญชัน[3] กลอย นมตำเลีย[4] เป็นต้น บางครั้งไม้เลื้อยอาจรวมพืชจำพวกไม้รอเลื้อย (scandent) หรือที่เรียก ไม้พุ่มกึ่งเลื้อย, ไม้พุ่มกึ่งไม้เถา, หรือ ไม้พุ่มรอเลื้อย ซึ่งเติบโตเป็นพุ่ม (shrub) ในช่วงแรกสามารถทรงตัวอยู่ได้เมื่อขึ้นอยู่ตามลำพัง และแตกกิ่งก้านรอบทิศโดยกิ่งก้านไม่เลื้อยทอดลงดิน ต่อเมื่อกิ่งก้านบางส่วนทอดเอนเข้าใกล้ต้นไม้อื่นหรือสิ่งอื่นที่อยู่ใกล้เคียง กิ่งก้านนั้นจะเลื้อยพันสิ่งนั้น ๆ (เป็นไม้เลื้อยในบางเวลาเมื่อทอดเอนกับสิ่งยึดเกาะได้) [2][5][6] เช่น ถอบแถบน้ำ สักขี สำมะงา[7] การเวก นมแมว โนรา เฟื่องฟ้า[2][5] เป็นต้น วัตถุประสงค์![]() ไม้เลื้อย มีลำต้นที่มีรูปแบบการเจริญเติบโตแบบอาศัยการเลื้อย พัน เกาะ เพื่อวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ ไม้เลื้อยวิวัฒนาการโดยสร้างตามแนวยาว (ยืดยาว) แทนที่จะลงทุนใช้พลังงานจำนวนมากในการสร้างเนื้อเยื่อ (เนื้อไม้) ที่ใช้เป็นโครงสร้างในการทรงตัว อาจอาศัยหินที่เปิดโล่ง พืชอื่น หรือสิ่งพยุงอื่น ๆ ในการสนับสนุนการเจริญเติบโต และสามารถเข้าถึงแสงแดดได้ด้วยการลงทุนพลังงานน้อยที่สุด เป็นรูปแบบการเจริญเติบโตที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในพืชเช่น พวงชมพู สายน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์รุกรานในบางส่วนของอเมริกาเหนือ และขี้ไก่ย่าน ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์รุกรานในประเทศไทย ไม้เลื้อยเขตร้อนบางชนิดเจริญเติบโตแบบเบนออกจากแสง (skototropism ― ในทางตรงข้ามของการเบนเข้าหาแสง) พยายามงอกไปยังทิศทางที่ไม่มีแสง การเจริญเติบโตลักษณะนี้เพื่อทำให้กิ่งก้านของไม้เลื้อยงอกไปถึงโคนต้นไม้ และอาศัยปีนขึ้นไปยอดไม้ที่สว่างกว่าได้อย่างรวดเร็ว[8] รูปแบบการเจริญเติบโตของไม้เลื้อยอาจสามารถครองพื้นที่ขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องปีนสูง เช่น แพงพวยฝรั่ง และ หูเสือเลื้อยใบด่าง (Glechoma hederacea) นอกจากนี้ไม้เลื้อยสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพพื้นที่ เช่น เถาของไม้เลื้อยสามารถหยั่งรากลงดินในพื้นที่ที่มีดินอุดมสมบูรณ์เป็นหย่อม ๆ มีดินน้อยหรือไม่มีเลย และใบส่วนใหญ่ยังเจริญเฉพาะในบริเวณที่สว่างและโล่งหรือมีแสงแดดส่องถึงเป็นช่วง ๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากทั้งสองสภาพแวดล้อม วิวัฒนาการและกลไกการเลื้อยยอดพันพันตามเข็มนาฬิกา (twining vine หรือ bine) ของ Fockea edulis เถาที่มีมือเกาะ ของ Brunnichia ovata กลไกการเลื้อยวิวัฒนาการของพฤติกรรมการเลื้อยของพืช แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาความหลากหลายของพันธุ์พืช วิวัฒนาการอย่างอิสระในพืชวงศ์และสกุลต่าง ๆ ทำให้มีวิธีการเลื้อยที่แตกต่างกัน ได้แก่
ในรูปแบบอื่นได้แก่ เฟตเทอร์บุช (Pieris phillyreifolia) เป็นไม้เถาที่เลื้อยโดยไม่มีรากเกาะ มือเกาะ หรือหนาม แต่ใช้การแทรกลำต้นของมันเข้าไปในรอยแยกในเปลือกของไม้ยืนต้นที่มีเปลือกเป็นเส้นใย ลำต้นเฟตเทอร์บุชที่อยู่ในเปลือกของต้นไม้อื่นมีลักษณะแบนเป็นพิเศษ และงอกกิ่งออกมาจากซอกไม้เป็นระยะ ๆ และถี่ขึ้นในจุดที่มีแสงส่องเช่น ใกล้ยอดไม้ ไม้เลื้อยส่วนใหญ่เป็นไม้ดอก ไม้เลื้อยยังแบ่งได้เป็นพวกมีผิวไม้ (มีเปลือกลำต้นแข็ง) เช่น วีสเตียเรีย กีวี และบอระเพ็ด และไม้เลื้อยที่เป็นไม้ล้มลุก (มีลำต้นอ่อน) เช่น มอร์นิ่งกลอรี่ กลุ่มไม้เลื้อยแปลกกลุ่มหนึ่งคือเฟิร์นสกุลย่านลิเภา ซึ่งเป็นเฟิร์นเถา เลื้อยด้วยใบ โดยการคลี่ใบออกจากปลายและงอกยาวออกไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด จนปกคลุมก่อตัวเป็นพุ่มเมื่อบนต้นไม้ หรือก้อนหิน[17] รูปแบบการเลื้อย![]() R: รูปซ้าย การพันเกลียวของเถาที่เติบโตหมุนเป็นเกลียวตามเข็มนาฬิกา จากพื้น เรียกการพันรูปตัว Z (Z-twist)[18][19] แปลงปลูกฮอปส์ ใช้ลวดสลิงขึงในแนวตั้งให้ยอดฮอปส์ไต่พันเกลียวขึ้นไป รูปแบบการเลื้อยพันปลายยอดของลำต้น (ลำต้นพัน) หรือ เกลียวเถาวัลย์ ( twining vines) อาจเรียก การพันเกลียว หรือ ไบน์ (bine) เป็นการเจริญเติบโตของไม้เลื้อยที่ไต่ขึ้นโดยใช้ยอดของมันที่งอกออกเป็นเกลียวไปเรื่อย ๆ ตรงกันข้ามกับไม้เลื้อยที่ปีนโดยใช้มือเกาะหรือตีนกาว เกลียวเถาวัลย์ส่วนมากมีซี่ฟัน, ก้านที่หยาบ หรือมีขนแปรงชี้ลงด้านล่างเพื่อช่วยยึดเกาะ เช่น ฮอปส์ (ที่ใช้ในการปรุงเบียร์) เป็นตัวอย่างที่สำคัญในเชิงพาณิชย์ของการปลูกพืชแบบการพันเกลียว[20][21] ทิศทางการหมุนของปลายยอดในระหว่างการปีนป่ายเป็นไปด้วยตัวมันเอง และไม่ได้มาจากการไล่ตามแสงอาทิตย์ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า (อย่างที่บางครั้งคิดไว้) ทิศทางของการบิดพันจึงไม่ขึ้นอยู่กับว่าพืชกำลังเติบโตอยู่ด้านใดของโลกที่แบ่งตามเส้นศูนย์สูตร
การหมุนที่ตรงข้ามกันของ มอร์นิงกลอรี และสายน้ำผึ้ง เป็นแนวคิดของเนื้อเพลงเชิงเสียดสี "Misalliance"[22] เขียนและร้องโดยไมเคิล ฟรานเดอร์ (Michael Flanders) และโดนัลด์ สวอนน์ (Donald Swann) อ้างอิง
|
Portal di Ensiklopedia Dunia