แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไท ประกอบด้วยแนวคิดทั้งหลายซึ่งอธิบายถึงถิ่นกำเนิดของชนชาติไทที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน โดยมีอยู่หลากหลายแนวคิด เช่น
แถบตอนใต้ของจีน
เป็นแนวคิดซึ่งเสนอว่าเดิมคนไทยเคยอาศัยอยู่บนเกาะไหหลำ เขตปกครองตนเองกว่างซี มณฑลกุ้ยโจว และมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีคำพ้องกับภาษาไทยจำนวนมาก[ 1] นักภาษาศาสตร์จึงเสนอว่าเดิมชาวไทยเคยอยู่อาศัยในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของจีน จากนั้นอพยพไปยังยูนนาน ก่อนที่จะอพยพลงมายังคาบสมุทรอินโดจีน[ 1] แต่การศึกษาในระยะต่อมา แนวคิดดังกล่าวจึงเปลี่ยนเป็นว่าชนชาติไทยเคยอาศัยอยู่แถบเขตปกครองตนเองกว่างซี หรือเวียดนามแถวเดียนเบียนฟู [ 2]
นักประวัติศาสตร์ที่เห็นด้วย เช่น ศาสตราจารย์เจมส์ อาร์. เอ. เชมเบอร์ลิน, ศาสตราจารย์หลีฟ้ง-ก้าย, ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร และ ดร.มาร์วิน บราวน์[ 3]
ต่อมา รายงาน The Archaeological Excavation in Thailand (การขุดค้นโบราณคดีในประเทศไทย) ของ ดร.เบีย ซอเรสเสน นักโบราณคดีชาวเดนมาร์ก ได้เสนอว่า ชนชาติไทยถือกำเนิดบริเวณตอนใต้ของจีน อพยพขึ้นเหนือ แล้วอพยพกลับลงมาอีก[ 4] จากหลักฐานซึ่งปรากฏว่ามีคนไทยหมู่หนึ่งเคยพูดภาษาไทยมานานถึง 3,777 ปีมาแล้ว[ 5]
พิสิฐ เจริญวงศ์ ได้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว และนับว่าภาคอีสานของไทย เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมยุคโลหะ ในเอเชีย[ 5]
จิตร บัวบุศย์ ได้เสนอว่าวัฒนธรรมไทยเริ่มขึ้นที่บ้านเชียง และคนไทยเคยอพยพขึ้นไปทางเหนือแล้วย้อนกลับลงมาอีก
อย่างไรก็ตาม งานเขียนของ ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ระบุว่า วัฒนธรรมบ้านเชียงไม่สามารถระบุได้ว่ามนุษย์บ้านเชียงเป็นคนไทย เพราะในอดีตเคยมีการอพยพขึ้นเหนือและลงใต้อยู่หลายครั้ง
กวี อมรสิริธาดา เคยไปท่องเที่ยวเสียมราฐ ระหว่างที่เดินชมนครวัดอยู่นั้น มีชายชาวเวียดนามกำลังวิจารณ์รูปสลักบนผนังเป็นข้อความว่า "ไก่ไก่กำลังตีกัน" แต่พูดค่อนข้างเร็ว ซึ่งในรูปแกะสลักนั้นมีการแสดงวัฒนธรรมการละเล่นพื้นบ้านของชาวเขมร ซึ่งการชนไก่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น นั่นจึงอาจสนับสนุนทฤษฎีที่ว่าชนชาติไทยอาจเคยอาศัยบริเวณตอนเหนือของเวียดนามมาก่อน เนื่องจากภาษาพูดบางส่วนคล้ายคลึงภาษาไทยมาก
ดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน
สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เสนอในบทความ "คนไทยไม่ได้มาจากไหน" ว่า คนไทยได้อาศัยอยู่ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยเกิดจากการรวมตัวกันของแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกันจนเป็นประเทศเดียวกัน เนื่องจากวัฒนธรรมพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน และการที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียเหมือนกัน โดยถือว่าคนที่พูดภาษาที่คล้ายคลีงกันเป็นบรรพบุรุษทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดพัฒนาการมาเป็นคนไทยในปัจจุบัน[ 6] อย่างไรก็ตาม ประชาชนเหล่านี้ไม่ค่อยมีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติ แต่เน้นไปทางแว่นแคว้นมากกว่า[ 7]
ควอริช เวลส์ (Horace Geoffrey Quaritch Wales) นักวิชาการประวัติศาสตร์และโบราณคดีชาวอังกฤษคนแรก เสนอว่า ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณราชอาณาจักรไทยในปัจจุบัน จากหลักฐานกะโหลกศีรษะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 6 (ราว พ.ศ. 500) ขุดพบที่ตำบลพงตึก อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเวลส์พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับกะโหลกศีรษะคนไทยในปัจจุบัน สอดคล้องกับการศึกษาหลักฐานโบราณคดีและมนุษยวิทยากายภาพของ ศ.เกียรติคุณ ปรีชา กาญจนาคม [ 8] ศ.ชิน อยู่ดี และ ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้เชี่ยวชาญด้านกายวิภาคศาสตร์ โดยเปรียบเทียบโครงกระดูกระหว่างคนก่อนประวัติศาสตร์จากแหล่งโบราณคดีบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี หลักฐานดังกล่าวนำไปสู่ สมมติฐานว่าชนชาติไทยอาจตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณที่เป็นราชอาณาจักรไทยมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว[ 9]
แถบตอนกลางของจีน
เป็นแนวคิดซึ่งเริ่มมาจาก ดร.วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ ในหนังสือเรื่อง The Thai Race: Elder Brother of the Chinese (ชนชาติไทย: พี่ชายของชนชาติจีน) โดยเสนอว่าชนชาติไทเคยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำหวงเหอ ต่อมา ชนชาติไทถูกชนชาติจีนมาปะทะจึงต้องถอยร่นไปในหลายทิศทาง ซึ่งส่วนมากได้ถอยไปยังแม่น้ำแยงซีและมณฑลยูนนานและตั้งอาณาจักรน่านเจ้า [ 10]
แนวคิดนี้มีนักประวัติศาสตร์เห็นด้วยจำนวนหนึ่ง เช่น วอลฟรัม เอเบอร์ฮาร์ด ในหนังสือ A History of China (ประวัติศาสตร์จีน) และศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช ในบทความ "ถิ่นกำเนิดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย"[ 11]
ส่วนนักประวัติศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วย เช่น ศาสตราจารย์วิลเลียม เจ. เก็ดนีย์, ดร.เฟรเดอริก โมต, ชาลส์ โรนีย์ แบกคัส, [ 11] และวินัย พงศ์ศรีเพียร[ 1]
แบกคัสให้เหตุผลว่าคำในภาษาไทยไม่มีในคำภาษาน่านเจ้า, คำในภาษาน่านเจ้าส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับกลุ่มภาษาทิเบต-พม่ามากที่สุด ซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับภาษาไทยเท่าใดนัก และรากฐานและพื้นฐานระหว่างวัฒนธรรมอ้ายลาวกับวัฒนธรรมน่านเจ้ามีความแตกต่างกัน[ 12]
วินัย พงศ์รีเพียรได้อ้างงานเขียนของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ซึ่งกล่าวว่าชนชาติไทยปรากฏในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16[ 1]
แถบเทือกเขาอัลไต
แนวคิดดังกล่าวมาจากงานเขียนเรื่อง "หลักไทย" ของขุนวิจิตรมาตรา กล่าวว่าเดิมชนชาติไทยเคยอาศัยอยู่แถบเทือกเขาอัลไต เมื่อประมาณ 6000 ปีที่แล้ว ต่อมา ได้อพยพลงมายังแม่น้ำหวงเหอ เรียกว่า "อาณาจักรไทยมุง" หรือ "อาณาจักรไทยเมือง"[ 13] และได้อพยพลงมาอีกจนถึงลุ่มแม่น้ำแยงซี แต่ต่อมาได้เสียเมืองให้กับจีน จึงต้องอพยพลงมาทางใต้ต่อไป[ 13] แนวคิดดังกล่าวไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์ โดยได้มีผู้แสดงเหตุผลโต้แย้งหลายคน อย่างเช่น[ 13]
ศาสตราจารย์วิลห์ เครดเนอร์เห็นว่า ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทควรอยู่ในแถบแม่น้ำ และมีภูมิอากาศกึ่งร้อนชื้นทางตอนใต้ของจีน
ดร.พอล เค. เบเนดิกต์ เห็นว่า คนไทยไม่ได้มีเชื้อสายมาจากประเทศจีน เพราะรากศัพท์ที่แตกต่างกัน
ศาสตราจารย์อาจารย์ขจร สุขพานิช เห็นว่าระยะทางจากเทือกเขาอัลไตถึงประเทศไทยอยู่ห่างกันมาก และคนไทยไม่สามารถรอดชีวิตได้จากการเดินทางผ่านทะเลทรายโกบี
ขุนวิจิตรมาตรา ยอมรับว่าเป็นเพียงเรื่องแต่ง ที่แต่งเข้าประกวดในงานประกวด โดยไม่ได้ตั้งใจให้เป็นตำราประวัติศาสตร์ เนื้อหาในหนังสือระบุ "เดิมชนชาติไทยเคยอาศัยอยู่แถบเทือกเขาอัลไตเมื่อประมาณ 6000 ปีที่แล้ว ต่อมา ได้อพยพลงมายังแม่น้ำหวงเหอ เรียกว่า อาณาจักรไทยมุง หรืออาณาจักรไทยเมือง และได้อพยพลงมาอีกจนถึงลุ่มแม่น้ำแยงซี แต่ต่อมาได้เสียเมืองให้กับจีน จึงต้องอพยพลงมาทางใต้ต่อไป"[ 14]
แบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการตามหลักสูตรใน พ.ศ. 2521 ได้ระบุให้ยกเลิกแนวคิดนี้จากแบบเรียนเรื่องคนไทยอพยพจากเทือกเขาอัลไต[ 14]
นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2523 ตีพิมพ์ถ้อยคำของ ขุนวิจิตรฯ ถึงประเด็นอันน่าเคลือบแคลงนี้ ซึ่งท่านอ้างว่าไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่ได้มาจากหมอวิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ ผู้เขียน The Thai Race-The Elder Brother of Chinese "ผมเขียนตามของหมอดอดด์ เขาว่างั้นนะ ไม่ใช่ผมมาเม้คขึ้นเองเมื่อไหร่ ผมก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ผมไม่รู้หรอก ว่าจริงหรือไม่จริง"[ 14]
แถบหมู่เกาะ
จากการศึกษาความหนาแน่นของหมู่เลือดพิเศษซึ่งมักพบในคนไทย มีความหนาแน่นมาทางตอนใต้แล้วค่อยลดลงเมื่อขึ้นมาทางเหนือ ในปี พ.ศ. 2506 นายแพทย์สมศักดิ์ สุวรรณสมบูรณ์ จึงเสนอว่าชนชาติไทยอาจอพยพขึ้นไปทางเหนือ[ 15]
พลตรี ดำเนิร เลขะกุล แสดงความเห็นว่า ผลการตรวจอาจไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากผู้ที่ตรวจอาจมิใช่คนไทยทั้งหมด
ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช แสดงความเห็นว่า ดินแดนแถบหมู่เกาะมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าดินแดนประเทศไทย จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการอพยพไปอยู่ที่อื่น[ 16]
อ้างอิง
↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 22.
↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 23.
↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 24.
↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 24-25.
↑ 5.0 5.1 วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 25.
↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 31.
↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 30.
↑ ปรีชา กาญจนาคม, คณะโบราณดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2533). แนวทางศึกษาโบราณคดี . นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร. 123 หน้า. หน้า 90.
↑ ดนัย ไชยโยธา. (2543). พัฒนาการของมนุษย์กับอารยธรรมในราชอาณาจักรไทย เล่ม 1. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. หน้า 18. ISBN 974-277-805-1
↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 19-20.
↑ 11.0 11.1 วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 20.
↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 20-22.
↑ 13.0 13.1 13.2 วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 19.
↑ 14.0 14.1 14.2 "คนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต ประวัติศาสตร์ ′ปลอม′ ที่ไม่ยอมจากไป และพิพิธภัณฑ์ไทย ที่ไม่หมุนตามโลก" . มติชนออนไลน์. 18 กุมภาพันธ์ 2558. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2016-03-22. สืบค้นเมื่อ 22 มิถุนายน 2017 .
↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 25-26.
↑ วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. หน้า 26.
บรรณานุกรม
วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. (2545). บรรพบุรุษไทย: สมัยก่อนสุโขทัยและสมัยสุโขทัย. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ISBN 974-13-1780-8 .