เอ็ดมันด์ เอิร์ลที่ 1 แห่งแลงคาสเตอร์
เอ็ดมันด์ เอิร์ลที่ 1 แห่งแลงคัสเตอร์ (อังกฤษ: Edmund, 1st earl of Lancaster) หรือ เอ็ดมันด์หลังกางเขน (อังกฤษ: Crouchback) เป็นพระราชโอรสคนที่สี่ (แต่เป็นคนที่สองที่รอดชีวิต) ของพระเจ้าเฮนรีที่ 3 แห่งอังกฤษกับพระนางอะลิอูโนแห่งพรอว็องส์ พระองค์เป็นต้นตระกูลของราชวงศ์แลงคัสเตอร์
วัยเยาว์![]() เอ็ดมันด์ประสูติที่พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1245 โดยทรงเป็นพระราชบุตรคนที่สี่และพระราชโอรสคนที่สองของพระเจ้าเฮนรีที่ 3 กับพระราชินีอะลิอูโนแห่งพรอว็องส์ พระเจ้าเฮนรีที่ 3 ได้ตั้งชื่อพระองค์ว่า "เอ็ดมันด์" ตามชื่อของนักบุญที่พระองค์นับถือ คือ พระเจ้าเอ็ดมันด์มรณสักขี กษัตริย์แห่งอีสต์แองเกลียที่ถูกชาวไวกิงสังหารในปี ค.ศ. 869 ตามคำสั่งของอิวาร์ผู้ไร้กระดูกและอุบบาผู้เป็นน้องชาย เอ็ดมันด์เติบโตในปราสาทวินด์เซอร์ภายใต้การดูแลของเอย์มอน ธูร์เบิร์ต ตำรวจวังประจำปราสาทวินด์เซอร์ ร่วมกันพี่ๆ น้องๆ ของพระองค์ คือ เอ็ดเวิร์ด (ต่อมาคือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ), มาร์กาเร็ต (ต่อมาเป็นพระราชินีของชาวสกอต), เบียทริซ (ต่อมาเป็นดัชเชสแห่งเบรอตาญ) และแคทเธอรีน
พระราชโอรสผู้องอาจ![]() เป็นที่รู้กันว่าพระเจ้าเฮนรีและอะลิอูโนเป็นพระราชบิดามารดาที่ใส่ใจพระราชบุตรและสนิทสนมกับพระราชบุตรทุกคน ทว่าเอ็ดมันด์โตมาในช่วงที่ราชอาณาจักรอังกฤษประสบกับความวุ่นวายครั้งใหญ่ เหล่าบารอนอังกฤษไม่พอใจพระเจ้าเฮนรีที่ 3 ในหลายๆเรื่องจนก่อเกิดเป็นสงครามกลางเมืองชื่อว่าสงครามบารอนครั้งที่สอง (ค.ศ. 1264 – 1267) โดยผู้นำฝั่งบารอนคือซิมง เดอ มงฟอร์ เอิร์ลแห่งเลสเตอร์ผู้เป็นพระขนิษฐภรรดาของกษัตริย์ กลุ่มบารอนต้องการตอกย้ำมหากฎบัตรและบีบบังคับให้กษัตริย์มอบอำนาจให้แก่สภาขุนนางมากขึ้นจนทำให้เกิดรัฐสภาอังกฤษขึ้นเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นเอ็ดมันด์ได้ติดตามพระราชมารดาเดินทางไปมาระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสเพื่อรวบรวมกองพลทหารรับจ้างและเงินทุนมาสนับสนุนการต่อสู้ของพระราชบิดา สุดท้ายซิมง เดอ มงฟอร์ ผู้นำฝ่ายบารอนก็พ่ายแพ้และถูกสังหารที่สมรภูมิอีฟแชมในปี ค.ศ. 1265 หลังการจากไปของซิมง เดอ มงฟอร์ พระเจ้าเฮนรีที่ 3 ได้พระราชทานตำแหน่งเอิร์ลแห่งเลสเตอร์ซึ่งเคยเป็นของเดอ มงฟอร์ให้แก่เอ็ดมันด์ สองปีต่อมาในปี ค.ศ. 1267 พระองค์ได้รับแต่งตั้งเป็นเอิร์ลแห่งแลงคัสเตอร์อีกหนึ่งตำแหน่ง นอกจากนี้พระองค์ยังได้รับพระราชทานที่ดินทั้งหมดซึ่งเคยเป็นของเดอ มงฟอร์ หนึ่งในนั้นคือปราสาทเคนิลเวิร์ธที่ยังไม่ยอมจำนน เอ็ดมันด์เป็นผู้บัญชาการในการปิดล้อมปราสาทที่กินเวลา 6 เดือนจนทหารรักษาการณ์ยอมจำนนเนื่องจากความหิวโหย
ในปี ค.ศ. 1269 เอ็ดมันด์กับเอ็ดเวิร์ดผู้เป็นพระเชษฐาลอบวางแผนปลดโรเบิร์ด เดอ เฟอร์เรอร์ส์ เอิร์ลแห่งเดอร์บี อดีตผู้สนับสนุนเดอ มงฟอร์ออกจากตำแหน่งและดินแดนที่ครอบครอง ตำแหน่งและดินแดนทั้งหมดของเขาตกเป็นของเอ็ดมันด์
พระราชินีอะลิอูโน พระราชมารดาของเอ็ดมันด์ได้จัดแจงให้พระองค์สมรสกับแอเวอลีน เดอ ฟอร์ เคาน์เตสแห่งอูแมลและเลดีแห่งโฮลเดอร์เนส ทายาทหญิงผู้มั่งคั่งของเอิร์ลแห่งอูแมลและทายาทหญิงโดยสันนิษฐานในตำแหน่งเอิร์ลแห่งเดวอนและลอร์ดแห่งเกาะไวต์ในทางฝั่งมารดา พิธีสมรสของทั้งคู่ถูกจัดขึ้นในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1269 ที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ โดยเอ็ดมันด์และแอเวอลีนเป็นเชื้อพระวงศ์คู่แรกที่สมรสกันในวิหารที่ได้รับการบูรณะใหม่ วิหารเดิมถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพและถูกบูรณะใหม่โดยพระเจ้าเฮนรีที่ 3 ในปี ค.ศ. 1245 ในตอนที่สมรสกันเจ้าสาวมีอายุเพียง 10 ปี ขณะที่เจ้าบ่าวมีพระชนมายุ 24 พรรษา การสมรสถูกทำให้สมบูรณ์ในอีกปีสี่ต่อมาเมื่อแอเวอลีนมีอายุได้ 14 ปี ทว่าในปี ค.ศ. 1274 แอเวอลีนถึงแก่กรรมขณะมีอายุได้ 15 ปีและยังไม่มีทายาท เป็นไปได้ว่าเธออาจเสียชีวิตระหว่างคลอดบุตรหรือหลังแท้งบุตร ร่างของแอเวอลีนถูกฝังที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ หลังถึงแก่กรรมดินแดนของเธอได้กลับคืนเป็นส่วนหนึ่งของราชบัลลังก์ เอ็ดมันด์จึงไม่ได้สืบทอดตำแหน่งเอิร์ลแห่งเดวอน, เอิร์ลแห่งอูแมล, ลอร์ดแห่งโฮลเดอร์เนสและลอร์ดแห่งเกาะไวต์ตามที่หวังไว้
พระอนุชาผู้จงรักภักดี![]() ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1272 พระเจ้าเฮนรีที่ 3 เสด็จสวรรคต พระเชษฐาของเอ็ดมันด์จึงเดินทางกลับอังกฤษและเข้ารับการสวมมงกุฎเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ในวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1274 เอ็ดมันด์รับใช้พระเชษฐาด้วยความซื่อสัตย์ตลอดการครองราชย์ ทรงให้การสนับสนุนพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ทั้งด้านการทหารและการทูต
บั้นปลายชีวิต![]() ในปี ค.ศ. 1294 เอ็ดมันด์ใช้สายสัมพันธ์ครอบครัวที่มีกับราชบัลลังก์ฝรั่งเศสเจรจาสันติภาพกับฝรั่งเศส โดยตกลงกันว่าจะสงบศึกในระยะยาวและพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด พระเชษฐาของพระองค์จะสมรสกับมาร์เกอรีต พระขนิษฐาของพระเจ้าฟีลิปที่ 4 เอ็ดมันด์ยอมสละเมืองใหญ่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือเมืองบอร์โดซ์ในกัสกอญ ด้วยเข้าใจว่าจะได้เมืองกลับมาเมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดสมรส แต่ฝรั่งเศสไม่คิดที่จะคืนกัสกอญให้ ในช่วงเดือนเมษายน ค.ศ. 1294 เอ็ดมันด์รู้ตัวว่าถูกหลอกเมื่อราชสำนักของพระเจ้าฟีลิปที่ 4 ประกาศริบกัสกอญมาจากกษัตริย์อังกฤษ เอ็ดมันด์เดินทางกลับอังกฤษพร้อมกับภรรยาและครอบครัว ขณะที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 เตรียมกองทัพพร้อมทำศึก โดยสั่งรวมพลในวันที่ 1 กันยายน
การสิ้นพระชนม์ของพระองค์สร้างความโศกเศร้าอย่างมากแก่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ที่ได้เรียกคนของคริสตจักรมารวมตัวกันเพื่อสวดมนต์ให้แก่ "น้องชายเพียงคนเดียวผู้เป็นที่รักยิ่ง ผู้ที่ภักดีและซื่อสัตย์ต่อเราเสมอ ทั้งองอาจและมากด้วยฝีมือที่ฉายแสงแห่งความสง่างามออกมา"
อ้างอิง |
Portal di Ensiklopedia Dunia